ตอนที่ 586. แสงไฟน้อยย่อมสว่างในที่มืด
พระพุทธศาสนายุกาลล่วงแล้วได้เจ็ดร้อยแปดสิบเอ็ดพรรษา เดือนสิบสอง สุมาอี้คุมกองทัพวุยก๊กปิดล้อมเมืองเซียงเป๋งไว้สามด้าน เปิดด้านทิศใต้ไว้เพื่อเป็นทางให้หลบหนี กองซุนเอี๋ยนเห็นว่าจะต่อสู้มิได้จึงให้ขุนนางออกไปเจรจาขอสวามิภักดิ์แต่สุมาอี้ไม่ยอม ซ้ำยังสำทับอีกว่าเมื่อไม่ยอมออกมาอ่อนน้อมก็ควรที่จะต้องตาย
สุมาอี้ไม่ยอมรับข้อเสนอของกองซุนเอี๋ยนที่จะมอบบุตรมาเป็นตัวประกันก่อนแล้ว จะออกมาอ่อนน้อมในภายหลัง แล้วตวาดขับไล่โอยเอี๋ยนกลับไป พลางนึกกระหยิ่มอยู่ในใจว่า ความตายของกองซุนเอี๋ยนได้ถูกกำหนดแน่นอนแล้ว ไยจะต้องยอมรับข้อเสนอที่เป็นเพียงอุบายลวงเอาตัวรอดอีกเล่า
โอยเอี๋ยนถูกตวาดและขับไล่ก็ตกใจ รีบคำนับลาสุมาอี้คลานออกไปจากค่าย แล้วกลับไปหากองซุนเอี๋ยน
การสงครามครั้งนี้ได้ประจักษ์ว่า กิตติศัพท์ที่เล่าลือว่ากองซุนเอี๋ยนมีสติปัญญา ชำนาญทั้งฝ่ายบู๊และฝ่ายบุ๋นมาแต่น้อยนั้น เป็นเพียงคำเล่าข่าวลือตามความคิดความเชื่อของผู้คนระดับเมืองเลียวตั๋งซึ่งเป็นหัวเมืองบ้านนอกเท่านั้น การศึกเพียงยุทธการแรกก็ได้แลเห็นแล้วว่า กองซุนเอี๋ยนเป็นเพียง “แสงไฟน้อยที่สว่างในที่มืด” เท่านั้น เพราะการดำเนินยุทโธบายในสงครามก็ดำเนินยุทโธบายชั้นเลวที่สุด ไม่รู้ข้อเด่น ข้อด้อยของทั้งสองฝ่าย ไม่รู้เขา ไม่รู้เรา ไม่รู้การใช้จุดแข็งเข้าตีจุดอ่อน ไม่รู้การหลีกจุดแข็งของข้าศึก แล้วบั่นทอนทำลายลง การยกทหารเข้าไปตั้งอยู่ในเมืองเซียงเป๋งซึ่งเป็นหัวเมืองเล็กแทนที่จะล่าถอยลึกเข้าไปในแดนเมืองเลียวตั๋ง แล้วคอยจู่โจมทำลายตัดเสบียงลอบสังหารข้าศึกก็จะได้ชัยชนะ จึงเหมือนหนึ่งเอากองทัพของตนเองเข้าไปกักขังไว้ในเมืองเซียงเป๋ง ทหารมากก็เหมือนน้อย เพราะสุมาอี้เพียงใช้ทหารปิดล้อมตัวเมือง จุกช่องประตูเมืองทั้งสี่ด้านไว้เพียงด้านละหมื่นคน กองทัพของกองซุนเอี๋ยนก็เหมือนหนึ่งแมลงเม่าที่อยู่ในรูโดยมีกองไฟสุมอยู่ปากรู มีแต่จะพากันตายสิ้น จึงเป็นเหตุให้กองซุนเอี๋ยนเข้าสู่ตาจน มิหนำซ้ำยังเกิดการรวนเรและมีความคิดแปรพักตร์ขึ้นภายใน ถึงขนาดจะลอบตัดศีรษะกองซุนเอี๋ยนเอาไปให้แก่สุมาอี้ จึงทำให้กองซุนเอี๋ยนต้องยอมจำนนแบบคนสิ้นคิด
กองซุนเอี๋ยนได้ทราบรายงานจากโอยเอี๋ยนที่กลับมาจากค่ายสุมาอี้แล้วก็ยิ่งตกใจ คิดว่าซึ่งสุมาอี้ไม่ยอมรับการสวามิภักดิ์ครั้งนี้ เป็นเพราะคิดร้ายหมายสังหารตัวเราเป็นแน่แท้ จึงเรียกกองซุนสิวผู้บุตรและทหารคนสนิทซึ่งเป็นที่ไว้วางใจมาสั่งการให้เตรียมกำลังทหารซึ่งไว้วางใจจำนวนหนึ่งพันนายไว้ให้พร้อม
พอเวลาใกล้สองยามกองซุนเอี๋ยนจึงพากองซุนสิวและทหารพันนายเปิดประตูเมืองด้านทิศใต้หนีออกจากเมืองเซียงเป๋ง พอพ้นออกจากประตูเมืองก็เร่งฝีเท้าม้านำทหารหนีไปทางด้านทิศอาคเนย์อย่างรวดเร็ว
กองซุนเอี๋ยนเห็นเส้นทางปลอดโปร่งไม่มีข้าศึกก็มีความยินดี เร่งทหารให้รีบหนีกลับไปทางเมืองเลียวตั๋ง แต่พอออกจากเมืองไปได้หนึ่งร้อยเส้นถึงเนินเขาแห่งหนึ่งก็ได้ยินเสียงประทัดสัญญาณดังกึกก้องทั้งเบื้องหน้า สองข้างทางและด้านหลังพร้อม ๆ กัน
สุมาอี้ขี่ม้าขนาบข้างด้วยสุมาสูและสุมาเจียวคุมทหารสกัดด้านหน้าไว้ เตียวฮองกับงักหลิมคุมทหารออกมาขวางเส้นทางถอยด้านหลัง ส่วนโจจุ้นยกทหารกระหนาบเข้ามาทางด้านซ้าย แฮหัวป๋าและแฮหัวฮุยคุมทหารออกมาทางด้านขวา
ทหารวุยก๊กทั้งหน้าหลังซ้ายขวาพากันโห่ร้องกึกก้องและจุดคบเพลิงชูขึ้นสว่างไสว บีบกระชับวงล้อมใกล้เข้ามา ในขณะที่มีเสียงร้องดังก้องมาจากทุกทิศว่า “อ้ายกองซุนเอี๋ยนเป็นขบถแล้วจะหนีไปไหนเล่า”
กองซุนเอี๋ยนเห็นดังนั้นก็ตกใจ เหลียวไปมองทหารที่ติดตามมาเห็นต่างคนต่างตกใจ ไม่มีแก่ใจสู้รบก็คิดว่าซึ่งจะต่อสู้หรือตีฝ่าหนีออกไปเห็นขัดสนนัก ดีร้ายก็จะถูกทหารเมืองเลียวตั๋งช่วยกันจับตัวมอบให้แก่สุมาอี้ เห็นจะถึงแก่ความตายเป็นมั่นคง ขณะที่กำลังคิดเอาตัวรอดอยู่นั้น ทหารวุยก๊กทุกด้านก็กระชับวงล้อมใกล้เข้ามา พลเกาทัณฑ์กำลังตั้งท่าเล็งจะยิงเกาทัณฑ์เข้ามาพร้อมกัน
กองซุนเอี๋ยนเห็นหมดทางสู้สิ้นทางหนี จึงพากองซุนสิวลงจากหลังม้า ตรงเข้าไปหาสุมาอี้แล้วคุกเข่าลงคำนับ พลางกล่าวว่าข้าพเจ้าทำผิดไปแล้วขอท่านได้โปรดไว้ชีวิต จะสนองคุณท่านไปจนกว่าชีวิตจะหาไม่
สุมาอี้เห็นดังนั้นก็หัวเราะ กล่าวว่าคืนวันก่อนเราเห็นลูกอุกกาบาตพุ่งมาจากฟ้าเบื้องทิศอีสาน ตกลงข้างทิศอาคเนย์ของเมืองเซียงเป๋งเหนือเขาซิวสัน วันนั้นเป็นวันธาตุไฟ วันนี้เป็นวันธาตุน้ำ เราจึงรู้ว่าวันนี้กองซุนเอี๋ยนจะต้องหนีออกจากเมืองมาทางนี้ เราจึงแสร้งเปิดการปิดล้อมด้านทิศใต้แล้วมาดักซุ่มอยู่ที่นี่ ก็ได้ตัวกองซุนเอี๋ยนตามนิมิตที่ปรากฏนั้น
บรรดานายทหารได้ยินดังนั้นต่างพากันสรรเสริญสุมาอี้ว่า รู้การณ์ในฟ้าอากาศเสมอด้วยเทพยดา
สุมาอี้แหงนมองท้องฟ้าด้วยความกระหยิ่มยิ้มย่อง แล้วหันมาจ้องกองซุนเอี๋ยนอยู่ครู่หนึ่ง กองซุนเอี๋ยนเห็นสุมาอี้จ้องหน้าดังนั้นก็ไม่กล้าสบสายตา ก้มหน้านิ่งอยู่กับที่
สุมาอี้จึงว่า กองซุนเอี๋ยนนี้มีน้ำใจกำเริบคิดกบฏต่อฮ่องเต้ ซึ่งจะเลี้ยงไว้ให้มีอำนาจสืบไปก็เหมือนปล่อยให้เสี้ยนตำอยู่ในเท้า เห็นจะทำการเป็นกบฏอีกเป็นมั่นคง กล่าวแล้วจึงสั่งทหารให้คุมตัวกองซุนเอี๋ยน กองซุนสิว ไปตัดศีรษะ ณ ที่นั้น
สุมาอี้ดูการประหารชีวิตกองซุนเอี๋ยน กองซุนสิว สองพ่อลูกเสร็จแล้ว จึงสั่งทหารให้เอาศีรษะเอาไปเสียบไว้ที่หน้าเมืองเซียงเป๋ง และแบ่งทหารหมื่นหนึ่งให้บุกเข้าไปยึดเมืองเซียงเป๋ง ส่วนสุมาอี้รีบนำกองทัพตรงไปที่เมืองเลียวตั๋ง สั่งให้โฮจุ้นเป็นกองหน้ายกล่วงไปก่อน
พอสุมาอี้คุมกองทัพหลวงมาถึงกำแพงเมืองเลียวตั๋ง โฮจุ้นซึ่งยกกองทัพหน้าล่วงมาก่อนได้บุกเข้ายึดเมืองเลียวตั๋งได้โดยง่าย ขุนนางข้าราชการทั้งปวงของเมืองเลียวตั๋งได้ยอมสวามิภักดิ์โดยไม่มีการสู้รบ โฮจุ้นจึงพากรมการเมืองทั้งปวงออกมาคำนับสุมาอี้ แล้วรายงานความให้สุมาอี้ทราบทุกประการ
สุมาอี้ทราบรายงานก็มีความยินดี สั่งให้เคลื่อนกองทัพเข้าไปในเมืองเลียวตั๋ง สุมาอี้พาทหารไปที่ศาลาว่าราชการ สั่งให้ควบคุมตัวบุตรภรรยาพรรคพวกของกองซุนเอี๋ยนเอาไปประหารชีวิตเจ็ดสิบกว่าคน แล้วจัดแจงบ้านเมืองจนสงบราบคาบ
วันหนึ่งสุมาอี้ขึ้นนั่งว่าราชการ ขุนนางเมืองเลียวตั๋งได้รายงานแก่สุมาอี้ว่า เมื่อครั้งที่กองซุนเอี๋ยนคิดกบฏนั้น แก่หวนและลุนติดซึ่งเป็นราชครูและขุนนางผู้ใหญ่ได้ทักท้วงห้ามปราม แต่กองซุนเอี๋ยนไม่ฟัง ให้เอาตัวสองขุนนางไปประหารชีวิตเสีย
สุมาอี้ได้ยินดังนั้นจึงคิดว่า จำจะสำแดงอำนาจปกครองให้ประจักษ์ว่าใครภักดีต่อฮ่องเต้ก็จะมีความชอบ ใครขบถต่อฮ่องเต้ก็จะต้องถูกลงโทษประหาร บัดนี้เราได้ประหารชีวิตพรรคพวกผู้กบฏราบคาบแล้ว คงเหลือผู้มีความชอบแต่ถูกกองซุนเอี๋ยนประหารชีวิตไปแล้ว
สุมาอี้คิดดังนั้นจึงประกาศว่า แก่หวนและลุนติดเป็นขุนนางผู้จงรักภักดีต่อพระมหากษัตริย์ เสียดายนักที่ถูกประหารชีวิตโดยไม่มีความผิด ดังนั้นจึงให้ฟื้นฟูเกียรติภูมิของแก่หวนและลุนติดเสียใหม่ ให้ขุดเอาศพของแก่หวนและลุนติดมาตั้งการพิธีศพอย่างสมเกียรติตามตำแหน่งขุนนางผู้ใหญ่ แล้วให้เอาศพไปฝังไว้ในสุสานวีรชนของเมืองเลียวตั๋ง จากนั้นจึงให้ปูนบำเหน็จแก่บุตรภรรยาและพรรคพวกของแก่หวนและลุนติดเป็นอันมาก เพื่อเป็นแบบอย่างของคนทั้งปวง
เสร็จพิธีศพของแก่หวนและลุนติดแล้ว สุมาอี้จึงสั่งให้เบิกทรัพย์สินเงินทองจากคลังเมืองเลียวตั๋งออกมาแจกจ่ายปูนบำเหน็จแก่แม่ทัพนายกองและทหารทั้งปวงซึ่งมีความชอบ
ครั้นจัดแจงการปกครองเมืองเลียวตั๋งเป็นปกติแล้ว สุมาอี้จึงเลิกทัพกลับจากเมืองเลียวตั๋ง และสั่งให้ม้าเร็วรีบนำความไปกราบบังคมทูลให้พระเจ้าโจยอยทรงทราบก่อนว่ายึดเมืองเลียวตั๋งได้ดังพระราชประสงค์แล้ว
พระพุทธศาสนายุกาลล่วงแล้วได้เจ็ดร้อยแปดสิบสองพรรษา เดือนสาม พระเจ้าโจยอยรู้สึกไม่สบายพระทัยและทรงพระประชวร จึงเสด็จแปรพระราชฐานจากเมืองลกเอี๋ยงไปประทับที่เมืองฮูโต๋
คืนวันหนึ่งในขณะที่พระเจ้าโจยอยทรงพักผ่อนพระอริยาบถอยู่บนปราสาทในพระราชวัง ทรงรำคาญพระทัยจึงเอาหนังสือมาอ่านแล้วเคลิ้มพระองค์งีบไป ในภาวะภวังค์นั้นสายลมเย็นยะเยือกประดุจลมจากปากของปีศาจโชยพัดมาวูบหนึ่ง ตะเกียงประจำยามในปราสาทก็ดับมืดลง พระเจ้าโจยอยรู้สึกพระองค์เห็นพระมเหสีมอซือ นางพระกำนัลและขันทีล้อมรอบพระองค์ มีทีท่าอยู่ในทุกขเวทนาแสนสาหัส ร้องทวงชีวิตที่ถูกประหารโดยไม่มีความผิด พระนางมอซือมีพระราชเสาวนีย์ว่าพระองค์ก่อกรรมทำเข็ญ ประหัตประหารผู้คนซึ่งไม่มีความผิดเป็นจำนวนมาก พระองค์ทำลายชีวิตผู้คนมากเท่าใด พระชนมายุขัยของพระองค์ก็จะสั้นลงเท่านั้น บัดนี้กรรมตามมาทันแล้ว พวกเราจึงมาทวงความยุติธรรมต่อพระองค์
พระเจ้าโจยอยเห็นดังนั้นก็ร้องขึ้นด้วยเสียงอันดังเพราะความตกพระทัย พลัดตกลงมาจากพระแท่น สลบสิ้นพระสติสมประดี ขันทีและราชองครักษ์ได้ยินเสียงดังก็พากันวิ่งเข้ามา เห็นพระเจ้าโจยอยสลบอยู่กับพื้นก็ตกใจ ช่วยกันพยุงขึ้นไปบนพระแท่นที่บรรทม แล้วช่วยกันแก้ไขจนฟื้นคืนพระสติดังเดิม
พระเจ้าโจยอยได้สติแล้วก็มีอาการหวาดผวา ตรัสถามขันทีว่าขณะนี้เป็นเวลาเท่าใด ขันทีได้กราบทูลว่าเป็นเวลาสองยามแล้ว พระเจ้าโจยอยก็ทอดถอนพระทัย ทรงรำพึงว่าอาการแน่นในอกประหนึ่งลมหายใจจะหยุดดังนี้มิเคยเป็นมาแต่ก่อน หรือว่าอายุขัยเราจะสิ้นดังได้ยินพระราชเสาวนีย์ของพระมเหสีในภวังค์นั้น
แต่เวลานั้นมาพระเจ้าโจยอยก็ทรงพระประชวรหนักขึ้นโดยลำดับ ไม่อาจหลับพระเนตรบรรทมได้ตลอดทั้งคืน พอรุ่งขึ้นจึงตรัสให้หาเล่าฮองและซุนจูซึ่งเป็นขุนนางที่สนิทเป็นที่ไว้วางพระราชหฤทัยเข้ามาเฝ้า แล้วมีพระราชปรารภว่าเราป่วยครั้งนี้เห็นทีจะหายยาก โจฮองพระราชบุตรนั้นเพิ่งมีอายุเพียงแปดขวบ ไม่อาจว่าราชการแทนเราได้ ท่านเห็นว่าผู้ใดมีความจงรักภักดีมีสติปัญญาพอที่จะช่วยสำเร็จราชการในระหว่างที่โจฮองยังเยาว์ได้
สองขุนนางผู้ภักดีได้ฟังพระราชปรารภดังนั้นก็ปลอบพระทัยว่า พระองค์ทรงประชวรเพียงเล็กน้อย ไฉนจึงทรงพระวิตกถึงปานนี้ พระเจ้าโจยอยส่ายพระเศียรอย่างอ่อนล้าอิดโรยแล้วตรัสว่า กรรมมาถึงตัวเราแล้ว เรารู้ตัวดี อย่าเซ้าซี้สืบไปเลย ให้คำนึงถึงการแผ่นดินข้างหน้าในเวลาอันเหลือน้อยนี้เถิด
สองขุนนางจึงกราบทูลว่า สมเด็จพระปิตุลาเอี้ยนอ๋องโจฮูซึ่งเป็นพระราชบุตรในพระเจ้าโจผีนั้นมีสาโลหิตเดียวกับพระองค์และมิได้มักใหญ่ใฝ่สูง เห็นจะตั้งให้เป็นผู้สำเร็จราชการแผ่นดินได้
พระเจ้าโจยอยได้ฟังคำกราบทูลดังนั้นก็ทรงเห็นชอบ จึงตรัสให้ขันทีรีบไปเชิญโจฮูเข้ามาเฝ้า แล้วปรารภความซึ่งจะทรงตั้งให้เป็นผู้สำเร็จราชการแผ่นดิน
โจฮูได้ยินดังนั้นก็ตกใจ รีบคุกเข่าลงข้างพระแท่นแล้วกราบทูลว่า ข้าพระองค์มีสติปัญญาน้อย ไม่อาจรับภารกิจอันใหญ่หลวงดังพระราชประสงค์ได้ ประการหนึ่งข้าพระองค์มีศักดิ์เป็นอาของโจฮอง วันหน้าอาจตกเป็นที่ครหาได้ว่าคิดแย่งยึดราชสมบัติ จะก่อความขัดแย้งขึ้นในตระกูลโจของเรา อีกประการหนึ่งข้าพระองค์มีน้ำใจอ่อนเกินไป ไม่อาจบังคับบัญชาข้าราชการได้ เพราะผู้มีความผิดน้ำจิตก็ไม่อาจลงโทษ ผู้มีความชอบก็ไม่อาจเอื้อมบำเหน็จตามควรแก่ความชอบนั้น การแผ่นดินก็จะเสียไป
พระเจ้าโจยอยได้ฟังคำโจฮูดังนั้นก็ทรงเห็นด้วย จึงตรัสถามเล่าฮองและซุนจูว่าเมื่อเอี้ยนอ๋องโจฮูไม่ยอมรับหน้าที่ ท่านจะเห็นเชื้อพระวงศ์ผู้ใดที่ควรแก่ภารกิจอันหนักนี้
เล่าฮองและซุนจูเคยเป็นขุนนางเก่าในสังกัดของโจจิ๋น ได้รับการทำนุบำรุงเลี้ยงดูจากโจจิ๋นเป็นอันดี จึงมีความรำลึกถึงพระคุณของโจจิ๋นตลอดมา ครั้นเอี้ยนอ๋องโจฮูไม่ยอมรับตำแหน่งจึงเห็นเป็นโอกาสที่จะสนองคุณเจ้านายเก่า จึงกราบทูลพร้อมกันว่าในบรรดาเชื้อพระวงศ์ทั้งปวงนั้น โจจิ๋นมีความจงรักภักดีต่อสกุลโจมากที่สุด บัดนี้โจจิ๋นตายแล้วแต่โจซองผู้บุตรของโจจิ๋นนั้นได้สืบทอดตำแหน่งของโจจิ๋นต่อมา โจซองมีสาโลหิตแซ่โจร่วมแซ่กับพระองค์ มีความซื่อสัตย์จงรักภักดี เห็นจะช่วยพระราชบุตรว่าราชการได้.
สุมาอี้ไม่ยอมรับข้อเสนอของกองซุนเอี๋ยนที่จะมอบบุตรมาเป็นตัวประกันก่อนแล้ว จะออกมาอ่อนน้อมในภายหลัง แล้วตวาดขับไล่โอยเอี๋ยนกลับไป พลางนึกกระหยิ่มอยู่ในใจว่า ความตายของกองซุนเอี๋ยนได้ถูกกำหนดแน่นอนแล้ว ไยจะต้องยอมรับข้อเสนอที่เป็นเพียงอุบายลวงเอาตัวรอดอีกเล่า
โอยเอี๋ยนถูกตวาดและขับไล่ก็ตกใจ รีบคำนับลาสุมาอี้คลานออกไปจากค่าย แล้วกลับไปหากองซุนเอี๋ยน
การสงครามครั้งนี้ได้ประจักษ์ว่า กิตติศัพท์ที่เล่าลือว่ากองซุนเอี๋ยนมีสติปัญญา ชำนาญทั้งฝ่ายบู๊และฝ่ายบุ๋นมาแต่น้อยนั้น เป็นเพียงคำเล่าข่าวลือตามความคิดความเชื่อของผู้คนระดับเมืองเลียวตั๋งซึ่งเป็นหัวเมืองบ้านนอกเท่านั้น การศึกเพียงยุทธการแรกก็ได้แลเห็นแล้วว่า กองซุนเอี๋ยนเป็นเพียง “แสงไฟน้อยที่สว่างในที่มืด” เท่านั้น เพราะการดำเนินยุทโธบายในสงครามก็ดำเนินยุทโธบายชั้นเลวที่สุด ไม่รู้ข้อเด่น ข้อด้อยของทั้งสองฝ่าย ไม่รู้เขา ไม่รู้เรา ไม่รู้การใช้จุดแข็งเข้าตีจุดอ่อน ไม่รู้การหลีกจุดแข็งของข้าศึก แล้วบั่นทอนทำลายลง การยกทหารเข้าไปตั้งอยู่ในเมืองเซียงเป๋งซึ่งเป็นหัวเมืองเล็กแทนที่จะล่าถอยลึกเข้าไปในแดนเมืองเลียวตั๋ง แล้วคอยจู่โจมทำลายตัดเสบียงลอบสังหารข้าศึกก็จะได้ชัยชนะ จึงเหมือนหนึ่งเอากองทัพของตนเองเข้าไปกักขังไว้ในเมืองเซียงเป๋ง ทหารมากก็เหมือนน้อย เพราะสุมาอี้เพียงใช้ทหารปิดล้อมตัวเมือง จุกช่องประตูเมืองทั้งสี่ด้านไว้เพียงด้านละหมื่นคน กองทัพของกองซุนเอี๋ยนก็เหมือนหนึ่งแมลงเม่าที่อยู่ในรูโดยมีกองไฟสุมอยู่ปากรู มีแต่จะพากันตายสิ้น จึงเป็นเหตุให้กองซุนเอี๋ยนเข้าสู่ตาจน มิหนำซ้ำยังเกิดการรวนเรและมีความคิดแปรพักตร์ขึ้นภายใน ถึงขนาดจะลอบตัดศีรษะกองซุนเอี๋ยนเอาไปให้แก่สุมาอี้ จึงทำให้กองซุนเอี๋ยนต้องยอมจำนนแบบคนสิ้นคิด
กองซุนเอี๋ยนได้ทราบรายงานจากโอยเอี๋ยนที่กลับมาจากค่ายสุมาอี้แล้วก็ยิ่งตกใจ คิดว่าซึ่งสุมาอี้ไม่ยอมรับการสวามิภักดิ์ครั้งนี้ เป็นเพราะคิดร้ายหมายสังหารตัวเราเป็นแน่แท้ จึงเรียกกองซุนสิวผู้บุตรและทหารคนสนิทซึ่งเป็นที่ไว้วางใจมาสั่งการให้เตรียมกำลังทหารซึ่งไว้วางใจจำนวนหนึ่งพันนายไว้ให้พร้อม
พอเวลาใกล้สองยามกองซุนเอี๋ยนจึงพากองซุนสิวและทหารพันนายเปิดประตูเมืองด้านทิศใต้หนีออกจากเมืองเซียงเป๋ง พอพ้นออกจากประตูเมืองก็เร่งฝีเท้าม้านำทหารหนีไปทางด้านทิศอาคเนย์อย่างรวดเร็ว
กองซุนเอี๋ยนเห็นเส้นทางปลอดโปร่งไม่มีข้าศึกก็มีความยินดี เร่งทหารให้รีบหนีกลับไปทางเมืองเลียวตั๋ง แต่พอออกจากเมืองไปได้หนึ่งร้อยเส้นถึงเนินเขาแห่งหนึ่งก็ได้ยินเสียงประทัดสัญญาณดังกึกก้องทั้งเบื้องหน้า สองข้างทางและด้านหลังพร้อม ๆ กัน
สุมาอี้ขี่ม้าขนาบข้างด้วยสุมาสูและสุมาเจียวคุมทหารสกัดด้านหน้าไว้ เตียวฮองกับงักหลิมคุมทหารออกมาขวางเส้นทางถอยด้านหลัง ส่วนโจจุ้นยกทหารกระหนาบเข้ามาทางด้านซ้าย แฮหัวป๋าและแฮหัวฮุยคุมทหารออกมาทางด้านขวา
ทหารวุยก๊กทั้งหน้าหลังซ้ายขวาพากันโห่ร้องกึกก้องและจุดคบเพลิงชูขึ้นสว่างไสว บีบกระชับวงล้อมใกล้เข้ามา ในขณะที่มีเสียงร้องดังก้องมาจากทุกทิศว่า “อ้ายกองซุนเอี๋ยนเป็นขบถแล้วจะหนีไปไหนเล่า”
กองซุนเอี๋ยนเห็นดังนั้นก็ตกใจ เหลียวไปมองทหารที่ติดตามมาเห็นต่างคนต่างตกใจ ไม่มีแก่ใจสู้รบก็คิดว่าซึ่งจะต่อสู้หรือตีฝ่าหนีออกไปเห็นขัดสนนัก ดีร้ายก็จะถูกทหารเมืองเลียวตั๋งช่วยกันจับตัวมอบให้แก่สุมาอี้ เห็นจะถึงแก่ความตายเป็นมั่นคง ขณะที่กำลังคิดเอาตัวรอดอยู่นั้น ทหารวุยก๊กทุกด้านก็กระชับวงล้อมใกล้เข้ามา พลเกาทัณฑ์กำลังตั้งท่าเล็งจะยิงเกาทัณฑ์เข้ามาพร้อมกัน
กองซุนเอี๋ยนเห็นหมดทางสู้สิ้นทางหนี จึงพากองซุนสิวลงจากหลังม้า ตรงเข้าไปหาสุมาอี้แล้วคุกเข่าลงคำนับ พลางกล่าวว่าข้าพเจ้าทำผิดไปแล้วขอท่านได้โปรดไว้ชีวิต จะสนองคุณท่านไปจนกว่าชีวิตจะหาไม่
สุมาอี้เห็นดังนั้นก็หัวเราะ กล่าวว่าคืนวันก่อนเราเห็นลูกอุกกาบาตพุ่งมาจากฟ้าเบื้องทิศอีสาน ตกลงข้างทิศอาคเนย์ของเมืองเซียงเป๋งเหนือเขาซิวสัน วันนั้นเป็นวันธาตุไฟ วันนี้เป็นวันธาตุน้ำ เราจึงรู้ว่าวันนี้กองซุนเอี๋ยนจะต้องหนีออกจากเมืองมาทางนี้ เราจึงแสร้งเปิดการปิดล้อมด้านทิศใต้แล้วมาดักซุ่มอยู่ที่นี่ ก็ได้ตัวกองซุนเอี๋ยนตามนิมิตที่ปรากฏนั้น
บรรดานายทหารได้ยินดังนั้นต่างพากันสรรเสริญสุมาอี้ว่า รู้การณ์ในฟ้าอากาศเสมอด้วยเทพยดา
สุมาอี้แหงนมองท้องฟ้าด้วยความกระหยิ่มยิ้มย่อง แล้วหันมาจ้องกองซุนเอี๋ยนอยู่ครู่หนึ่ง กองซุนเอี๋ยนเห็นสุมาอี้จ้องหน้าดังนั้นก็ไม่กล้าสบสายตา ก้มหน้านิ่งอยู่กับที่
สุมาอี้จึงว่า กองซุนเอี๋ยนนี้มีน้ำใจกำเริบคิดกบฏต่อฮ่องเต้ ซึ่งจะเลี้ยงไว้ให้มีอำนาจสืบไปก็เหมือนปล่อยให้เสี้ยนตำอยู่ในเท้า เห็นจะทำการเป็นกบฏอีกเป็นมั่นคง กล่าวแล้วจึงสั่งทหารให้คุมตัวกองซุนเอี๋ยน กองซุนสิว ไปตัดศีรษะ ณ ที่นั้น
สุมาอี้ดูการประหารชีวิตกองซุนเอี๋ยน กองซุนสิว สองพ่อลูกเสร็จแล้ว จึงสั่งทหารให้เอาศีรษะเอาไปเสียบไว้ที่หน้าเมืองเซียงเป๋ง และแบ่งทหารหมื่นหนึ่งให้บุกเข้าไปยึดเมืองเซียงเป๋ง ส่วนสุมาอี้รีบนำกองทัพตรงไปที่เมืองเลียวตั๋ง สั่งให้โฮจุ้นเป็นกองหน้ายกล่วงไปก่อน
พอสุมาอี้คุมกองทัพหลวงมาถึงกำแพงเมืองเลียวตั๋ง โฮจุ้นซึ่งยกกองทัพหน้าล่วงมาก่อนได้บุกเข้ายึดเมืองเลียวตั๋งได้โดยง่าย ขุนนางข้าราชการทั้งปวงของเมืองเลียวตั๋งได้ยอมสวามิภักดิ์โดยไม่มีการสู้รบ โฮจุ้นจึงพากรมการเมืองทั้งปวงออกมาคำนับสุมาอี้ แล้วรายงานความให้สุมาอี้ทราบทุกประการ
สุมาอี้ทราบรายงานก็มีความยินดี สั่งให้เคลื่อนกองทัพเข้าไปในเมืองเลียวตั๋ง สุมาอี้พาทหารไปที่ศาลาว่าราชการ สั่งให้ควบคุมตัวบุตรภรรยาพรรคพวกของกองซุนเอี๋ยนเอาไปประหารชีวิตเจ็ดสิบกว่าคน แล้วจัดแจงบ้านเมืองจนสงบราบคาบ
วันหนึ่งสุมาอี้ขึ้นนั่งว่าราชการ ขุนนางเมืองเลียวตั๋งได้รายงานแก่สุมาอี้ว่า เมื่อครั้งที่กองซุนเอี๋ยนคิดกบฏนั้น แก่หวนและลุนติดซึ่งเป็นราชครูและขุนนางผู้ใหญ่ได้ทักท้วงห้ามปราม แต่กองซุนเอี๋ยนไม่ฟัง ให้เอาตัวสองขุนนางไปประหารชีวิตเสีย
สุมาอี้ได้ยินดังนั้นจึงคิดว่า จำจะสำแดงอำนาจปกครองให้ประจักษ์ว่าใครภักดีต่อฮ่องเต้ก็จะมีความชอบ ใครขบถต่อฮ่องเต้ก็จะต้องถูกลงโทษประหาร บัดนี้เราได้ประหารชีวิตพรรคพวกผู้กบฏราบคาบแล้ว คงเหลือผู้มีความชอบแต่ถูกกองซุนเอี๋ยนประหารชีวิตไปแล้ว
สุมาอี้คิดดังนั้นจึงประกาศว่า แก่หวนและลุนติดเป็นขุนนางผู้จงรักภักดีต่อพระมหากษัตริย์ เสียดายนักที่ถูกประหารชีวิตโดยไม่มีความผิด ดังนั้นจึงให้ฟื้นฟูเกียรติภูมิของแก่หวนและลุนติดเสียใหม่ ให้ขุดเอาศพของแก่หวนและลุนติดมาตั้งการพิธีศพอย่างสมเกียรติตามตำแหน่งขุนนางผู้ใหญ่ แล้วให้เอาศพไปฝังไว้ในสุสานวีรชนของเมืองเลียวตั๋ง จากนั้นจึงให้ปูนบำเหน็จแก่บุตรภรรยาและพรรคพวกของแก่หวนและลุนติดเป็นอันมาก เพื่อเป็นแบบอย่างของคนทั้งปวง
เสร็จพิธีศพของแก่หวนและลุนติดแล้ว สุมาอี้จึงสั่งให้เบิกทรัพย์สินเงินทองจากคลังเมืองเลียวตั๋งออกมาแจกจ่ายปูนบำเหน็จแก่แม่ทัพนายกองและทหารทั้งปวงซึ่งมีความชอบ
ครั้นจัดแจงการปกครองเมืองเลียวตั๋งเป็นปกติแล้ว สุมาอี้จึงเลิกทัพกลับจากเมืองเลียวตั๋ง และสั่งให้ม้าเร็วรีบนำความไปกราบบังคมทูลให้พระเจ้าโจยอยทรงทราบก่อนว่ายึดเมืองเลียวตั๋งได้ดังพระราชประสงค์แล้ว
พระพุทธศาสนายุกาลล่วงแล้วได้เจ็ดร้อยแปดสิบสองพรรษา เดือนสาม พระเจ้าโจยอยรู้สึกไม่สบายพระทัยและทรงพระประชวร จึงเสด็จแปรพระราชฐานจากเมืองลกเอี๋ยงไปประทับที่เมืองฮูโต๋
คืนวันหนึ่งในขณะที่พระเจ้าโจยอยทรงพักผ่อนพระอริยาบถอยู่บนปราสาทในพระราชวัง ทรงรำคาญพระทัยจึงเอาหนังสือมาอ่านแล้วเคลิ้มพระองค์งีบไป ในภาวะภวังค์นั้นสายลมเย็นยะเยือกประดุจลมจากปากของปีศาจโชยพัดมาวูบหนึ่ง ตะเกียงประจำยามในปราสาทก็ดับมืดลง พระเจ้าโจยอยรู้สึกพระองค์เห็นพระมเหสีมอซือ นางพระกำนัลและขันทีล้อมรอบพระองค์ มีทีท่าอยู่ในทุกขเวทนาแสนสาหัส ร้องทวงชีวิตที่ถูกประหารโดยไม่มีความผิด พระนางมอซือมีพระราชเสาวนีย์ว่าพระองค์ก่อกรรมทำเข็ญ ประหัตประหารผู้คนซึ่งไม่มีความผิดเป็นจำนวนมาก พระองค์ทำลายชีวิตผู้คนมากเท่าใด พระชนมายุขัยของพระองค์ก็จะสั้นลงเท่านั้น บัดนี้กรรมตามมาทันแล้ว พวกเราจึงมาทวงความยุติธรรมต่อพระองค์
พระเจ้าโจยอยเห็นดังนั้นก็ร้องขึ้นด้วยเสียงอันดังเพราะความตกพระทัย พลัดตกลงมาจากพระแท่น สลบสิ้นพระสติสมประดี ขันทีและราชองครักษ์ได้ยินเสียงดังก็พากันวิ่งเข้ามา เห็นพระเจ้าโจยอยสลบอยู่กับพื้นก็ตกใจ ช่วยกันพยุงขึ้นไปบนพระแท่นที่บรรทม แล้วช่วยกันแก้ไขจนฟื้นคืนพระสติดังเดิม
พระเจ้าโจยอยได้สติแล้วก็มีอาการหวาดผวา ตรัสถามขันทีว่าขณะนี้เป็นเวลาเท่าใด ขันทีได้กราบทูลว่าเป็นเวลาสองยามแล้ว พระเจ้าโจยอยก็ทอดถอนพระทัย ทรงรำพึงว่าอาการแน่นในอกประหนึ่งลมหายใจจะหยุดดังนี้มิเคยเป็นมาแต่ก่อน หรือว่าอายุขัยเราจะสิ้นดังได้ยินพระราชเสาวนีย์ของพระมเหสีในภวังค์นั้น
แต่เวลานั้นมาพระเจ้าโจยอยก็ทรงพระประชวรหนักขึ้นโดยลำดับ ไม่อาจหลับพระเนตรบรรทมได้ตลอดทั้งคืน พอรุ่งขึ้นจึงตรัสให้หาเล่าฮองและซุนจูซึ่งเป็นขุนนางที่สนิทเป็นที่ไว้วางพระราชหฤทัยเข้ามาเฝ้า แล้วมีพระราชปรารภว่าเราป่วยครั้งนี้เห็นทีจะหายยาก โจฮองพระราชบุตรนั้นเพิ่งมีอายุเพียงแปดขวบ ไม่อาจว่าราชการแทนเราได้ ท่านเห็นว่าผู้ใดมีความจงรักภักดีมีสติปัญญาพอที่จะช่วยสำเร็จราชการในระหว่างที่โจฮองยังเยาว์ได้
สองขุนนางผู้ภักดีได้ฟังพระราชปรารภดังนั้นก็ปลอบพระทัยว่า พระองค์ทรงประชวรเพียงเล็กน้อย ไฉนจึงทรงพระวิตกถึงปานนี้ พระเจ้าโจยอยส่ายพระเศียรอย่างอ่อนล้าอิดโรยแล้วตรัสว่า กรรมมาถึงตัวเราแล้ว เรารู้ตัวดี อย่าเซ้าซี้สืบไปเลย ให้คำนึงถึงการแผ่นดินข้างหน้าในเวลาอันเหลือน้อยนี้เถิด
สองขุนนางจึงกราบทูลว่า สมเด็จพระปิตุลาเอี้ยนอ๋องโจฮูซึ่งเป็นพระราชบุตรในพระเจ้าโจผีนั้นมีสาโลหิตเดียวกับพระองค์และมิได้มักใหญ่ใฝ่สูง เห็นจะตั้งให้เป็นผู้สำเร็จราชการแผ่นดินได้
พระเจ้าโจยอยได้ฟังคำกราบทูลดังนั้นก็ทรงเห็นชอบ จึงตรัสให้ขันทีรีบไปเชิญโจฮูเข้ามาเฝ้า แล้วปรารภความซึ่งจะทรงตั้งให้เป็นผู้สำเร็จราชการแผ่นดิน
โจฮูได้ยินดังนั้นก็ตกใจ รีบคุกเข่าลงข้างพระแท่นแล้วกราบทูลว่า ข้าพระองค์มีสติปัญญาน้อย ไม่อาจรับภารกิจอันใหญ่หลวงดังพระราชประสงค์ได้ ประการหนึ่งข้าพระองค์มีศักดิ์เป็นอาของโจฮอง วันหน้าอาจตกเป็นที่ครหาได้ว่าคิดแย่งยึดราชสมบัติ จะก่อความขัดแย้งขึ้นในตระกูลโจของเรา อีกประการหนึ่งข้าพระองค์มีน้ำใจอ่อนเกินไป ไม่อาจบังคับบัญชาข้าราชการได้ เพราะผู้มีความผิดน้ำจิตก็ไม่อาจลงโทษ ผู้มีความชอบก็ไม่อาจเอื้อมบำเหน็จตามควรแก่ความชอบนั้น การแผ่นดินก็จะเสียไป
พระเจ้าโจยอยได้ฟังคำโจฮูดังนั้นก็ทรงเห็นด้วย จึงตรัสถามเล่าฮองและซุนจูว่าเมื่อเอี้ยนอ๋องโจฮูไม่ยอมรับหน้าที่ ท่านจะเห็นเชื้อพระวงศ์ผู้ใดที่ควรแก่ภารกิจอันหนักนี้
เล่าฮองและซุนจูเคยเป็นขุนนางเก่าในสังกัดของโจจิ๋น ได้รับการทำนุบำรุงเลี้ยงดูจากโจจิ๋นเป็นอันดี จึงมีความรำลึกถึงพระคุณของโจจิ๋นตลอดมา ครั้นเอี้ยนอ๋องโจฮูไม่ยอมรับตำแหน่งจึงเห็นเป็นโอกาสที่จะสนองคุณเจ้านายเก่า จึงกราบทูลพร้อมกันว่าในบรรดาเชื้อพระวงศ์ทั้งปวงนั้น โจจิ๋นมีความจงรักภักดีต่อสกุลโจมากที่สุด บัดนี้โจจิ๋นตายแล้วแต่โจซองผู้บุตรของโจจิ๋นนั้นได้สืบทอดตำแหน่งของโจจิ๋นต่อมา โจซองมีสาโลหิตแซ่โจร่วมแซ่กับพระองค์ มีความซื่อสัตย์จงรักภักดี เห็นจะช่วยพระราชบุตรว่าราชการได้.