ตอนที่ 585. หลักการดำเนินสงคราม
กองทัพเมืองเลียวตั๋งดำเนินยุทโธบายชั้นเลวที่สุดสมดังที่สุมาอี้ได้คาดการณ์ไว้ คือยกกองทัพออกมาตั้งรับที่แนวชายแดน สุมาอี้จึงยกกองทัพวกอ้อมกองทัพหน้าของเมืองเลียวตั๋งจะไปตีเมืองเซียงเป๋ง ทำให้กองทัพหน้าต้องถอนทัพเพื่อยกกลับไปช่วยเมืองเซียงเป๋ง ซึ่งต้องด้วยกลของสุมาอี้ที่คาดคิดไว้
แฮหัวป๋าและแฮหัวฮุยรับคำสั่งสุมาอี้แล้ว จึงยกทหารออกไปซุ่มอยู่ที่สองข้างทางใกล้แม่น้ำเจซุ้ยเพื่อดักซุ่มโจมตีกองทัพหน้าเมืองเลียวตั๋งที่จะยกไปช่วยเมืองเซียงเป๋ง
ครั้นกองทัพหน้าของเมืองเลียวตั๋งยกมาถึงจุดซุ่ม แฮหัวป๋าและแฮหัวฮุยจึงให้จุดประทัดขึ้นเป็นสัญญาณ กองทัพวุยก๊กได้ยกออกจากจุดซุ่มพร้อมกันรุกกระหนาบเข้าตีกองทัพเมืองเลียวตั๋งไม่ให้ทันระวังตั้งตัว
ปีเอี๋ยนและเอียวจอเห็นดังนั้นก็ตกใจ ร้องสั่งทหารให้ล่าถอยแต่ไม่ทันการ ทหารวุยก๊กตีกระหนาบเข้ามาทุกด้าน แล้วฆ่าฟันทหารเมืองเลียวตั๋งบาดเจ็บล้มตายลงเป็นอันมาก
ปีเอี๋ยนและเอียวจอเห็นจะต่อสู้ไม่ได้จึงพาทหารหนีไปข้างทิศเหนือ ครั้นถึงเขาซิวสันจึงสวนทางกับกองซุนเอี๋ยนซึ่งยกกองทัพหลวงหนุนตามมา ปีเอี๋ยนและเอียวจอจึงรายงานความทั้งปวงให้กองซุนเอี๋ยนทราบ
กองซุนเอี๋ยนทราบความก็โกรธ สั่งให้เคลื่อนทัพตรงไปที่ริมแม่น้ำเจซุ้ยเพื่อแก้แค้นทหารวุยก๊กแทนกองทัพหน้า เมื่อกองซุนเอี๋ยนยกกองทัพเข้าไปใกล้แม่น้ำเจซุ้ย กองทัพวุยก๊กก็ทราบความ แฮหัวป๋าจึงคุมทหารตั้งเป็นขบวนสกัดไว้
ปีเอี๋ยนมั่นใจในกำลังกองทัพของกองซุนเอี๋ยนจึงขี่ม้าออกหน้าทหาร ท้าให้แฮหัวป๋าออกมารบกันตัวต่อตัว แฮหัวป๋าก็รับคำท้าชักม้าออกไปข้างหน้าทหาร พลกลองของทั้งสองฝ่ายได้โหมกลองรบดังลั่นสมรภูมิ สองทหารเอกได้ขี่ม้าเข้าประมือกันอย่างรวดเร็ว แต่ไม่ทันผ่านสามเพลงแฮหัวป๋าก็เอาง้าวฟันถูกปีเอี๋ยนตกม้าตาย
ทหารวุยก๊กเห็นตัวนายได้ทีจึงรุกเข้าโจมตีกองทัพเมืองเลียวตั๋ง ซึ่งในขณะนั้นพากันตกอกตกใจที่สูญเสียตัวนายภายใต้เพลงรบเพียงไม่ถึงสามเพลง ต่างคนต่างรวนเรกันอยู่ จึงถูกทหารวุยก๊กรุกรบเข้าฆ่าฟันบาดเจ็บล้มตายลงเป็นอันมาก
กองซุนเอี๋ยนเห็นปีเอี๋ยนเสียแก่ข้าศึกก็ตกใจ และทหารวุยก๊กจู่โจมรุกหนักมาเห็นจะต้านทานมิได้ จึงพาทหารถอยหนีเข้าไปตั้งอยู่ในเมืองเซียงเป๋ง สั่งทหารให้ปิดประตูเมืองแล้วขึ้นรักษาการณ์บนกำแพงเชิงเทินหอรบทั้งปวง
หน่วยลาดตระเวนของวุยก๊กเห็นดังนั้นจึงนำความไปรายงานแก่สุมาอี้ สุมาอี้ทราบความแล้วจึงสั่งให้เคลื่อนทัพยกไปประชิดเมืองเซียงเป๋ง และให้ตั้งค่ายรายล้อมเมืองไว้ทั้งสี่ด้าน
พระพุทธศาสนายุกาลล่วงแล้วได้เจ็ดร้อยแปดสิบเอ็ดพรรษา ต้นเดือนแปด กองทัพของสุมาอี้ได้ล้อมเมืองเซียงเป๋งไว้อย่างแน่นหนา แต่ด้วยเป็นกลางวสันต์ฤดู ฝนได้ตกหนักลงมาอย่างไม่ขาดสาย สามก๊กฉบับเจ้าพระยาพระคลัง (หน) ระบุว่า “ฝนตกทั้งกลางวันกลางคืนถึงเดือนเศษ น้ำท่วมแผ่นดินลึกประมาณสองศอกเศษ เสบียงซึ่งส่งมานั้นมิได้ขาดเป็นแต่สะเทินน้ำสะเทินบก แลทหารกับม้าในกองทัพสุมาอี้นั้นได้ความลำบากด้วยน้ำท่วม”
สามก๊กฉบับสมบูรณ์ระบุว่า “ฝนตกไม่หยุด ภายในค่ายทหารก็เกิดมีดินเลน ทหารมิอาจหยุดพักได้”
ฝ่ายปวยเกงซึ่งเป็นปีกขวาของกองทัพวุยก๊ก เห็นทหารได้ยากลำบากจึงเข้าไปแจ้งแก่สุมาอี้ว่าทหารจะนั่งจะนอนก็มิได้ เสบียงอาหารก็เปียกน้ำจนหมดสิ้น ชอบที่มหาอุปราชจะให้รื้อค่ายขึ้นไปตั้งค่ายใหม่บนเนินเขา ฝนซาน้ำแห้งเหือดแล้วจึงค่อยย้ายค่ายมาปิดล้อมดังเก่า
สุมาอี้ได้ยินดังนั้นก็โกรธ กล่าวว่าซึ่งเรายอมยากลำบากปิดล้อมเมืองเซียงเป๋งดังนี้ ก็เพราะได้คิดอ่านอุบายไว้เป็นแน่นอน เห็นจะจับกุมตัวกองซุนเอี๋ยนได้ในวันนี้วันพรุ่งอยู่แล้ว เหตุไฉนเจ้าซึ่งไม่รู้ความนัยบังอาจมาเสนอดังนี้เล่า
กล่าวแล้วสุมาอี้ก็ขับปวยเกงออกไปด้านนอกแล้วให้ออกคำสั่งสนามแจ้งแก่ทหารทั้งปวงว่า นับแต่นี้ไปห้ามมิให้ผู้ใดเสนอความคิดเห็นให้ถอยทัพหรือย้ายค่ายอีกต่อไป แม้นผู้ใดไม่เชื่อฟังก็จะตัดศีรษะเสีย
วันนั้นฝนยังคงตกหนัก น้ำท่วมสูงขึ้น ทหารยิ่งได้ยากลำบากกว่าแต่ก่อน พอรุ่งขึ้นเช้า ซือเหลียนซึ่งเป็นปีกซ้ายของกองทัพวุยก๊กได้เข้าไปหาสุมาอี้แล้วกล่าวว่า ฝนยังคงตกหนัก น้ำท่วมสูงขึ้น “จะนั่งนอนก็จมน้ำอยู่กึ่งตัวบ้าง จะหุงหาอาหารก็ไม่ใคร่จะได้” จึงขอให้มหาอุปราชย้ายค่ายไปตั้งอยู่บนเนินเขาก่อน ฝนหยุด น้ำท่วมหายเมื่อใดแล้วจึงค่อยยกลงมาล้อมเมืองดังเก่า
สุมาอี้ได้ยินสิ้นคำลงก็โกรธ กล่าวว่าตัวเราเป็นแม่ทัพถืออาญาสิทธิ์ ได้ออกคำสั่งสนามให้ทราบทั่วกันแล้ว ไฉนท่านจึงฝ่าฝืนนำความมากล่าวอีกเล่า จะไม่เป็นแบบอย่างให้คนทั้งปวงละเมิดคำสั่งดอกหรือ
กล่าวแล้วสุมาอี้จึงสั่งทหารเข้าคุมตัวซือเหลียนและสั่งให้ตัดศีรษะเสียบประจานไว้หน้าค่ายไม่ให้เป็นเยี่ยงอย่างแก่คนทั้งปวง ทหารวุยก๊กทราบความดังนั้นก็พากันกลัวเกรงอาญาสิทธิ์ของสุมาอี้ ไม่มีผู้ใดกล้าเสนอความเห็นในเรื่องนี้แก่สุมาอี้อีกเลย
สุมาอี้สั่งประหารชีวิตซือเหลียนแล้วได้ออกคำสั่งให้กองทัพที่ปิดล้อมเมืองเซียงเป๋งด้านทิศใต้ให้ถอนค่าย แล้วยกไปตั้งห่างจากตัวเมืองสองร้อยเส้น กองทัพด้านอื่นๆ ให้ปิดล้อมเมืองไว้ตามเดิม
ตันกุ๋นซึ่งเป็นนายทหารฝ่ายเสนาธิการเห็นดังนั้นก็สงสัย จึงถามสุมาอี้ว่ามหาอุปราชได้ปิดล้อมเมืองไว้ จนข้างในเมืองเซียงเป๋งก็ได้รับความลำบากเป็นสาหัส เหตุไฉนจึงถอนการปิดล้อมด้านทิศใต้ ทำให้ข้างในเมืองสามารถออกไปตัดฟืนหาเสบียงอาหารฟื้นฟูกำลังได้เล่า
สุมาอี้ได้ยินดังนั้นก็หัวเราะแล้วกล่าวว่า เมื่อครั้งที่เรายกไปรบกับเบ้งตัดที่เมืองซงหยงนั้นเรามีกำลังทหารมาก แต่มีเสบียงอาหารน้อย ครั้งนั้นเบ้งตัดมีกำลังทหารน้อยแต่มีเสบียงอาหารมาก เราจึงต้องรีบรุกรบรวดเร็ว ส่วนครั้งนี้เรายกทหารมาเพียงสี่หมื่นคนแต่มีเสบียงอาหารมาก ส่วนกองทัพเมืองเลียวตั๋งมีกำลังทหารมากแต่มีเสบียงอาหารน้อย สภาพการสงครามกำหนดให้เราไม่อาจรุกโจมตีเอาชนะโดยรวดเร็วได้ ส่วนข้าศึกมีคนมาก มีเสบียงน้อยจึงย่อมขาดแคลน ฝ่ายเรากินอิ่ม ฝ่ายข้าศึกหิวโหย จะต้องรบราให้เปลืองแรงทหารไปไยเล่า รอคอยวันเวลาให้ข้าศึกแตกพ่ายไปก่อนแล้วค่อยตามตีก็จะได้ชัยชนะ
สุมาอี้กล่าวสืบไปว่า ซึ่งเราให้ถอนค่ายที่ปิดล้อมเมืองด้านทิศใต้เสียนั้น หวังจะลวงให้ข้าศึกหนีทัพออกจากเมืองไป ทหารในเมืองเหลือน้อยลงเมื่อใดแล้วเห็นจะจับตัวกอง ซุนเอี๋ยนได้เป็นมั่นคง
สุมาอี้กล่าวแล้วก็หัวเราะ พลางสั่งทหารฝ่ายเสนาธิการให้แต่งม้าเร็วรีบเดินทางไปเมืองลกเอี๋ยง เร่งให้รีบส่งเสบียงมาอย่าให้ล่าช้ากว่ากำหนด
ทางด้านเมืองลกเอี๋ยง วันหนึ่งพระเจ้าโจยอยเสด็จออกว่าราชการตามปกติ ขุนนางชั้นผู้ใหญ่หลายคนได้กราบบังคมทูลพระเจ้าโจยอยว่า ได้ยินกิตติศัพท์ว่าฝนเดือนเก้าตกหนักติดต่อกันถึงเดือนเศษ กองทัพของมหาอุปราชได้ความลำบากอ่อนล้าอิดโรยลง หากนานไปเห็นจะเสียทีแก่ข้าศึก ขอให้พระองค์มีพระบรมราชโองการเรียกกองทัพกลับคืนมาก่อน ถึงฤดูแล้งแล้วจึงค่อยยกไปทำการใหม่
พระเจ้าโจยอยได้ฟังคำขุนนางดังนั้นก็ตรัสว่า “ท่านทั้งปวงอย่าวิตกเลย อันสุมาอี้นั้นมีสติปัญญา ทั้งชำนาญในการสงคราม ไม่ช้านักก็จะรู้ข่าวว่าสุมาอี้มีชัยชนะแก่กองซุนเอี๋ยน”
พระเจ้าโจยอยตรัสสิ้นความลง ม้าเร็วของสุมาอี้ก็เดินทางไปถึงและขอเข้าเฝ้า พระเจ้าโจยอยทรงทราบความแล้วจึงตรัสกำชับให้เร่งรัดจัดส่งเสบียงอาหารให้แก่สุมาอี้ตามกำหนด
ฝ่ายสุมาอี้ตั้งค่ายปิดล้อมเมืองเซียงเป๋งเป็นสามด้าน หลังจากฝนหยุดตกแผ่นดินแห้งแล้ว สุมาอี้ก็มีความยินดีเป็นอันมาก ครั้นเวลาค่ำสุมาอี้จึงเดินออกไปนอกค่าย แหงนหน้าสำรวจดูบนอากาศ พลันเห็นลูกอุกกาบาตลูกหนึ่งสีฟ้าแกมเหลืองพุ่งผ่านมาจากทิศอีสานเหนือภูเขาซิวสันตรงไปทางทิศอาคเนย์ แล้วตกลงใกล้กับเมืองเซียงเป๋ง
ทหารทั้งปวงเห็นนิมิตดังนั้นก็พากันตกใจ เกรงว่าจะเกิดเหตุร้ายขึ้นกับกองทัพ พากันเล่าลือทั่วไปทุกค่าย สุมาอี้ทราบความจึงให้ประกาศปลอบใจทหารทั้งปวงว่า “อย่าตกใจเลย อันเป็นเหตุทั้งนี้เพราะเทพยดาสำแดงเหตุจะให้เรามีชัยชนะแก่ข้าศึก พ้นจากนี้ห้าวันเมืองเซียงเป๋งก็จะเสียแก่เรา ซึ่งอุกกาบาตตกลงแห่งใดเราก็จะได้ฆ่ากองซุนเอี๋ยนในที่นั้น”
ครั้นออกประกาศสนามแล้วสุมาอี้จึงเรียกแม่ทัพนายกองทั้งปวงเข้ามาสั่งว่า การบนอากาศได้สำแดงนิมิตว่าเมืองเซียงเป๋งจะเสียแก่เราแล้ว ดังนั้นในวันพรุ่งนี้ให้ปิดล้อมเมืองอย่างแน่นหนาทั้งสามด้าน แต่ให้เปิดด้านทิศใต้ไว้ตามเดิม ให้ขนดินพูนเป็นเนินเสมอด้วยกำแพงเมืองทั้งสามด้าน คอยระดมยิงเกาทัณฑ์สนับสนุนกองหน้าซึ่งให้เตรียมบันไดและพะองสำหรับพาดปีนกำแพงบุกเข้าตีเมือง ให้ทำการพร้อมกันทั้งสามด้าน
วันรุ่งขึ้นสุมาอี้ได้คุมทหารโหมรุกเข้าตีเมืองเซียงเป๋งทุกด้านอย่างพร้อมเพรียงกัน กองหน้ารุกเข้าประชิดกำแพงเมือง พาดบันไดและพะองกับกำแพงเมืองแล้วปีนบุกเข้าตี ในขณะที่กองหลังตั้งกำลังบนเนินดิน ระดมยิงเกาทัณฑ์เข้าไปในเมืองราวห่าฝน
ข้างในเมืองเซียงเป๋งเห็นข้าศึกรุกเข้าตีดังนั้นก็ช่วยกันต่อสู้ป้องกันรักษาเมืองไว้เป็นสามารถ ทหารของสุมาอี้รุกเข้าตีเมืองตั้งแต่เช้าจนถึงเวลากลางคืนก็ถูกทหารเมืองเลียวตั๋งรบป้องกันไว้ไม่อาจหักเข้ากำแพงเมืองได้ สุมาอี้เห็นดังนั้นจึงสั่งให้ถอยทหารกลับที่ตั้งดังเก่า
ในค่ำคืนวันนั้นบรรดาทหารเมืองเลียวตั๋งซึ่งอยู่ในเมืองเซียงเป๋งได้อ่อนล้าอิดโรยลงเป็นอันมากเพราะขาดแคลนเสบียงอาหารต่อเนื่องมาหลายวัน ความอดอยากหิวโหยแผ่ขยายปกคลุมทั้งตัวเมือง อาณาประชาราษฎรล้วนเดือดร้อนทุกครัวเรือน เพื่อแก้ไขปัญหาอดตายทหารเมืองเลียวตั๋งต้องฆ่าม้าและโคกระบือภายในเมืองกินกันจนหมดสิ้น ครั้นสิ้นเสบียงแล้วก็หมดกำลังใจจะต่อสู้ ทหารจำนวนหนึ่งได้ลอบหนีออกจากเมืองทางด้านทิศใต้ พวกที่ไม่อาจหลบหนีออกไปได้ต่างคนต่างพูดจากันว่า หากต่อสู้กันนานช้าสืบไปก็จะพากันตายสิ้น ควรจะตัดศีรษะกองซุนเอี๋ยนเอาไปมอบแก่สุมาอี้เป็นความชอบจะดีกว่า
ข่าวคราวที่ทหารทั้งปวงคิดเอาใจออกหากได้ยินไปถึงหูของกองซุนเอี๋ยนก็ตกใจกลัวเป็นอันมาก คิดว่าข้าศึกล้อมกระชับอยู่ทุกด้าน เสบียงอาหารก็ขัดสน ข้างในเมืองก็รวนเรเอาใจออกหาก หากเนิ่นช้าไปเห็นจะเกิดการกบฏขึ้นเป็นแน่แท้
กองซุนเอี๋ยนคิดดังนั้นแล้ววันรุ่งขึ้นจึงสั่งให้อองเกี๋ยนซึ่งเป็นอัครมหาเสนาบดีและลิวฮูซึ่งเป็นขุนนางผู้ใหญ่ออกไปหาสุมาอี้เพื่อขอยอมสวามิภักดิ์แต่โดยดี
สุมาอี้พอทราบความก็ตวาดอองเกี๋ยนและลิวฮูว่า เมื่อจะยอมสวามิภักดิ์แล้วไฉนกองซุนเอี๋ยนจึงไม่ออกมาเอง กล่าวแล้วก็สั่งให้ทหารคุมตัวอองเกี๋ยนและลิวฮูเอาไปตัดศีรษะ และมอบแก่ทหารซึ่งติดตามอองเกี๋ยนและลิวฮูให้เอากลับไปมอบแก่กองซุนเอี๋ยน
กองซุนเอี๋ยนทราบความดังนั้นก็ตกใจ รีบสั่งให้โอยเอี๋ยนซึ่งเป็นขุนนางคนสนิทออกไปหาสุมาอี้อีกครั้งหนึ่ง แล้วกล่าวกับสุมาอี้ว่าซึ่งท่านตำหนิว่าเหตุใดกองซุนเอี๋ยนยังไม่ยอมออกมาอ่อนน้อมด้วยตนเองนั้น บัดนี้กองซุนเอี๋ยนได้ให้ข้าพเจ้ามาแจ้งแก่ท่านว่าในวันพรุ่งนี้จะส่งตัวกองซุนสิวซึ่งเป็นบุตรของกองซุนเอี๋ยนมามอบเป็นตัวประกันไว้ก่อน พร้อมแล้วกองซุนเอี๋ยนและขุนนางทั้งปวงก็จะยินยอมออกมาคำนับอ่อนน้อมกับท่านต่อไป
สุมาอี้ได้ยินดังนั้นจึงกล่าวว่า “อันธรรมดาการสงครามนี้มีอยู่ห้าประการ ประการหนึ่งเห็นว่าจะต้านทานได้ก็ให้คิดอ่านออกมารบพุ่งจงสามารถ ประการหนึ่งถ้าเห็นสู้มิได้ก็อย่าออกมารบพุ่ง ให้รักษาเมืองจงมั่นคง ประการหนึ่งถ้ารักษาเมืองไว้ไม่ได้ให้หนีเอาตัวรอด ประการหนึ่งแม้ไม่หนีก็ให้ออกมาอ่อนน้อมโดยดีก็จะมีชีวิตสืบไป ประการหนึ่งถ้าไม่ออกมาอ่อนน้อมโดยดีก็ควรที่จะตาย” กองซุนเอี๋ยนอับจนแล้ว ไม่ยอมออกมาอ่อนน้อมด้วยตนเอง จะส่งบุตรมาเป็นตัวประกันจะมีประโยชน์อันใด.
แฮหัวป๋าและแฮหัวฮุยรับคำสั่งสุมาอี้แล้ว จึงยกทหารออกไปซุ่มอยู่ที่สองข้างทางใกล้แม่น้ำเจซุ้ยเพื่อดักซุ่มโจมตีกองทัพหน้าเมืองเลียวตั๋งที่จะยกไปช่วยเมืองเซียงเป๋ง
ครั้นกองทัพหน้าของเมืองเลียวตั๋งยกมาถึงจุดซุ่ม แฮหัวป๋าและแฮหัวฮุยจึงให้จุดประทัดขึ้นเป็นสัญญาณ กองทัพวุยก๊กได้ยกออกจากจุดซุ่มพร้อมกันรุกกระหนาบเข้าตีกองทัพเมืองเลียวตั๋งไม่ให้ทันระวังตั้งตัว
ปีเอี๋ยนและเอียวจอเห็นดังนั้นก็ตกใจ ร้องสั่งทหารให้ล่าถอยแต่ไม่ทันการ ทหารวุยก๊กตีกระหนาบเข้ามาทุกด้าน แล้วฆ่าฟันทหารเมืองเลียวตั๋งบาดเจ็บล้มตายลงเป็นอันมาก
ปีเอี๋ยนและเอียวจอเห็นจะต่อสู้ไม่ได้จึงพาทหารหนีไปข้างทิศเหนือ ครั้นถึงเขาซิวสันจึงสวนทางกับกองซุนเอี๋ยนซึ่งยกกองทัพหลวงหนุนตามมา ปีเอี๋ยนและเอียวจอจึงรายงานความทั้งปวงให้กองซุนเอี๋ยนทราบ
กองซุนเอี๋ยนทราบความก็โกรธ สั่งให้เคลื่อนทัพตรงไปที่ริมแม่น้ำเจซุ้ยเพื่อแก้แค้นทหารวุยก๊กแทนกองทัพหน้า เมื่อกองซุนเอี๋ยนยกกองทัพเข้าไปใกล้แม่น้ำเจซุ้ย กองทัพวุยก๊กก็ทราบความ แฮหัวป๋าจึงคุมทหารตั้งเป็นขบวนสกัดไว้
ปีเอี๋ยนมั่นใจในกำลังกองทัพของกองซุนเอี๋ยนจึงขี่ม้าออกหน้าทหาร ท้าให้แฮหัวป๋าออกมารบกันตัวต่อตัว แฮหัวป๋าก็รับคำท้าชักม้าออกไปข้างหน้าทหาร พลกลองของทั้งสองฝ่ายได้โหมกลองรบดังลั่นสมรภูมิ สองทหารเอกได้ขี่ม้าเข้าประมือกันอย่างรวดเร็ว แต่ไม่ทันผ่านสามเพลงแฮหัวป๋าก็เอาง้าวฟันถูกปีเอี๋ยนตกม้าตาย
ทหารวุยก๊กเห็นตัวนายได้ทีจึงรุกเข้าโจมตีกองทัพเมืองเลียวตั๋ง ซึ่งในขณะนั้นพากันตกอกตกใจที่สูญเสียตัวนายภายใต้เพลงรบเพียงไม่ถึงสามเพลง ต่างคนต่างรวนเรกันอยู่ จึงถูกทหารวุยก๊กรุกรบเข้าฆ่าฟันบาดเจ็บล้มตายลงเป็นอันมาก
กองซุนเอี๋ยนเห็นปีเอี๋ยนเสียแก่ข้าศึกก็ตกใจ และทหารวุยก๊กจู่โจมรุกหนักมาเห็นจะต้านทานมิได้ จึงพาทหารถอยหนีเข้าไปตั้งอยู่ในเมืองเซียงเป๋ง สั่งทหารให้ปิดประตูเมืองแล้วขึ้นรักษาการณ์บนกำแพงเชิงเทินหอรบทั้งปวง
หน่วยลาดตระเวนของวุยก๊กเห็นดังนั้นจึงนำความไปรายงานแก่สุมาอี้ สุมาอี้ทราบความแล้วจึงสั่งให้เคลื่อนทัพยกไปประชิดเมืองเซียงเป๋ง และให้ตั้งค่ายรายล้อมเมืองไว้ทั้งสี่ด้าน
พระพุทธศาสนายุกาลล่วงแล้วได้เจ็ดร้อยแปดสิบเอ็ดพรรษา ต้นเดือนแปด กองทัพของสุมาอี้ได้ล้อมเมืองเซียงเป๋งไว้อย่างแน่นหนา แต่ด้วยเป็นกลางวสันต์ฤดู ฝนได้ตกหนักลงมาอย่างไม่ขาดสาย สามก๊กฉบับเจ้าพระยาพระคลัง (หน) ระบุว่า “ฝนตกทั้งกลางวันกลางคืนถึงเดือนเศษ น้ำท่วมแผ่นดินลึกประมาณสองศอกเศษ เสบียงซึ่งส่งมานั้นมิได้ขาดเป็นแต่สะเทินน้ำสะเทินบก แลทหารกับม้าในกองทัพสุมาอี้นั้นได้ความลำบากด้วยน้ำท่วม”
สามก๊กฉบับสมบูรณ์ระบุว่า “ฝนตกไม่หยุด ภายในค่ายทหารก็เกิดมีดินเลน ทหารมิอาจหยุดพักได้”
ฝ่ายปวยเกงซึ่งเป็นปีกขวาของกองทัพวุยก๊ก เห็นทหารได้ยากลำบากจึงเข้าไปแจ้งแก่สุมาอี้ว่าทหารจะนั่งจะนอนก็มิได้ เสบียงอาหารก็เปียกน้ำจนหมดสิ้น ชอบที่มหาอุปราชจะให้รื้อค่ายขึ้นไปตั้งค่ายใหม่บนเนินเขา ฝนซาน้ำแห้งเหือดแล้วจึงค่อยย้ายค่ายมาปิดล้อมดังเก่า
สุมาอี้ได้ยินดังนั้นก็โกรธ กล่าวว่าซึ่งเรายอมยากลำบากปิดล้อมเมืองเซียงเป๋งดังนี้ ก็เพราะได้คิดอ่านอุบายไว้เป็นแน่นอน เห็นจะจับกุมตัวกองซุนเอี๋ยนได้ในวันนี้วันพรุ่งอยู่แล้ว เหตุไฉนเจ้าซึ่งไม่รู้ความนัยบังอาจมาเสนอดังนี้เล่า
กล่าวแล้วสุมาอี้ก็ขับปวยเกงออกไปด้านนอกแล้วให้ออกคำสั่งสนามแจ้งแก่ทหารทั้งปวงว่า นับแต่นี้ไปห้ามมิให้ผู้ใดเสนอความคิดเห็นให้ถอยทัพหรือย้ายค่ายอีกต่อไป แม้นผู้ใดไม่เชื่อฟังก็จะตัดศีรษะเสีย
วันนั้นฝนยังคงตกหนัก น้ำท่วมสูงขึ้น ทหารยิ่งได้ยากลำบากกว่าแต่ก่อน พอรุ่งขึ้นเช้า ซือเหลียนซึ่งเป็นปีกซ้ายของกองทัพวุยก๊กได้เข้าไปหาสุมาอี้แล้วกล่าวว่า ฝนยังคงตกหนัก น้ำท่วมสูงขึ้น “จะนั่งนอนก็จมน้ำอยู่กึ่งตัวบ้าง จะหุงหาอาหารก็ไม่ใคร่จะได้” จึงขอให้มหาอุปราชย้ายค่ายไปตั้งอยู่บนเนินเขาก่อน ฝนหยุด น้ำท่วมหายเมื่อใดแล้วจึงค่อยยกลงมาล้อมเมืองดังเก่า
สุมาอี้ได้ยินสิ้นคำลงก็โกรธ กล่าวว่าตัวเราเป็นแม่ทัพถืออาญาสิทธิ์ ได้ออกคำสั่งสนามให้ทราบทั่วกันแล้ว ไฉนท่านจึงฝ่าฝืนนำความมากล่าวอีกเล่า จะไม่เป็นแบบอย่างให้คนทั้งปวงละเมิดคำสั่งดอกหรือ
กล่าวแล้วสุมาอี้จึงสั่งทหารเข้าคุมตัวซือเหลียนและสั่งให้ตัดศีรษะเสียบประจานไว้หน้าค่ายไม่ให้เป็นเยี่ยงอย่างแก่คนทั้งปวง ทหารวุยก๊กทราบความดังนั้นก็พากันกลัวเกรงอาญาสิทธิ์ของสุมาอี้ ไม่มีผู้ใดกล้าเสนอความเห็นในเรื่องนี้แก่สุมาอี้อีกเลย
สุมาอี้สั่งประหารชีวิตซือเหลียนแล้วได้ออกคำสั่งให้กองทัพที่ปิดล้อมเมืองเซียงเป๋งด้านทิศใต้ให้ถอนค่าย แล้วยกไปตั้งห่างจากตัวเมืองสองร้อยเส้น กองทัพด้านอื่นๆ ให้ปิดล้อมเมืองไว้ตามเดิม
ตันกุ๋นซึ่งเป็นนายทหารฝ่ายเสนาธิการเห็นดังนั้นก็สงสัย จึงถามสุมาอี้ว่ามหาอุปราชได้ปิดล้อมเมืองไว้ จนข้างในเมืองเซียงเป๋งก็ได้รับความลำบากเป็นสาหัส เหตุไฉนจึงถอนการปิดล้อมด้านทิศใต้ ทำให้ข้างในเมืองสามารถออกไปตัดฟืนหาเสบียงอาหารฟื้นฟูกำลังได้เล่า
สุมาอี้ได้ยินดังนั้นก็หัวเราะแล้วกล่าวว่า เมื่อครั้งที่เรายกไปรบกับเบ้งตัดที่เมืองซงหยงนั้นเรามีกำลังทหารมาก แต่มีเสบียงอาหารน้อย ครั้งนั้นเบ้งตัดมีกำลังทหารน้อยแต่มีเสบียงอาหารมาก เราจึงต้องรีบรุกรบรวดเร็ว ส่วนครั้งนี้เรายกทหารมาเพียงสี่หมื่นคนแต่มีเสบียงอาหารมาก ส่วนกองทัพเมืองเลียวตั๋งมีกำลังทหารมากแต่มีเสบียงอาหารน้อย สภาพการสงครามกำหนดให้เราไม่อาจรุกโจมตีเอาชนะโดยรวดเร็วได้ ส่วนข้าศึกมีคนมาก มีเสบียงน้อยจึงย่อมขาดแคลน ฝ่ายเรากินอิ่ม ฝ่ายข้าศึกหิวโหย จะต้องรบราให้เปลืองแรงทหารไปไยเล่า รอคอยวันเวลาให้ข้าศึกแตกพ่ายไปก่อนแล้วค่อยตามตีก็จะได้ชัยชนะ
สุมาอี้กล่าวสืบไปว่า ซึ่งเราให้ถอนค่ายที่ปิดล้อมเมืองด้านทิศใต้เสียนั้น หวังจะลวงให้ข้าศึกหนีทัพออกจากเมืองไป ทหารในเมืองเหลือน้อยลงเมื่อใดแล้วเห็นจะจับตัวกอง ซุนเอี๋ยนได้เป็นมั่นคง
สุมาอี้กล่าวแล้วก็หัวเราะ พลางสั่งทหารฝ่ายเสนาธิการให้แต่งม้าเร็วรีบเดินทางไปเมืองลกเอี๋ยง เร่งให้รีบส่งเสบียงมาอย่าให้ล่าช้ากว่ากำหนด
ทางด้านเมืองลกเอี๋ยง วันหนึ่งพระเจ้าโจยอยเสด็จออกว่าราชการตามปกติ ขุนนางชั้นผู้ใหญ่หลายคนได้กราบบังคมทูลพระเจ้าโจยอยว่า ได้ยินกิตติศัพท์ว่าฝนเดือนเก้าตกหนักติดต่อกันถึงเดือนเศษ กองทัพของมหาอุปราชได้ความลำบากอ่อนล้าอิดโรยลง หากนานไปเห็นจะเสียทีแก่ข้าศึก ขอให้พระองค์มีพระบรมราชโองการเรียกกองทัพกลับคืนมาก่อน ถึงฤดูแล้งแล้วจึงค่อยยกไปทำการใหม่
พระเจ้าโจยอยได้ฟังคำขุนนางดังนั้นก็ตรัสว่า “ท่านทั้งปวงอย่าวิตกเลย อันสุมาอี้นั้นมีสติปัญญา ทั้งชำนาญในการสงคราม ไม่ช้านักก็จะรู้ข่าวว่าสุมาอี้มีชัยชนะแก่กองซุนเอี๋ยน”
พระเจ้าโจยอยตรัสสิ้นความลง ม้าเร็วของสุมาอี้ก็เดินทางไปถึงและขอเข้าเฝ้า พระเจ้าโจยอยทรงทราบความแล้วจึงตรัสกำชับให้เร่งรัดจัดส่งเสบียงอาหารให้แก่สุมาอี้ตามกำหนด
ฝ่ายสุมาอี้ตั้งค่ายปิดล้อมเมืองเซียงเป๋งเป็นสามด้าน หลังจากฝนหยุดตกแผ่นดินแห้งแล้ว สุมาอี้ก็มีความยินดีเป็นอันมาก ครั้นเวลาค่ำสุมาอี้จึงเดินออกไปนอกค่าย แหงนหน้าสำรวจดูบนอากาศ พลันเห็นลูกอุกกาบาตลูกหนึ่งสีฟ้าแกมเหลืองพุ่งผ่านมาจากทิศอีสานเหนือภูเขาซิวสันตรงไปทางทิศอาคเนย์ แล้วตกลงใกล้กับเมืองเซียงเป๋ง
ทหารทั้งปวงเห็นนิมิตดังนั้นก็พากันตกใจ เกรงว่าจะเกิดเหตุร้ายขึ้นกับกองทัพ พากันเล่าลือทั่วไปทุกค่าย สุมาอี้ทราบความจึงให้ประกาศปลอบใจทหารทั้งปวงว่า “อย่าตกใจเลย อันเป็นเหตุทั้งนี้เพราะเทพยดาสำแดงเหตุจะให้เรามีชัยชนะแก่ข้าศึก พ้นจากนี้ห้าวันเมืองเซียงเป๋งก็จะเสียแก่เรา ซึ่งอุกกาบาตตกลงแห่งใดเราก็จะได้ฆ่ากองซุนเอี๋ยนในที่นั้น”
ครั้นออกประกาศสนามแล้วสุมาอี้จึงเรียกแม่ทัพนายกองทั้งปวงเข้ามาสั่งว่า การบนอากาศได้สำแดงนิมิตว่าเมืองเซียงเป๋งจะเสียแก่เราแล้ว ดังนั้นในวันพรุ่งนี้ให้ปิดล้อมเมืองอย่างแน่นหนาทั้งสามด้าน แต่ให้เปิดด้านทิศใต้ไว้ตามเดิม ให้ขนดินพูนเป็นเนินเสมอด้วยกำแพงเมืองทั้งสามด้าน คอยระดมยิงเกาทัณฑ์สนับสนุนกองหน้าซึ่งให้เตรียมบันไดและพะองสำหรับพาดปีนกำแพงบุกเข้าตีเมือง ให้ทำการพร้อมกันทั้งสามด้าน
วันรุ่งขึ้นสุมาอี้ได้คุมทหารโหมรุกเข้าตีเมืองเซียงเป๋งทุกด้านอย่างพร้อมเพรียงกัน กองหน้ารุกเข้าประชิดกำแพงเมือง พาดบันไดและพะองกับกำแพงเมืองแล้วปีนบุกเข้าตี ในขณะที่กองหลังตั้งกำลังบนเนินดิน ระดมยิงเกาทัณฑ์เข้าไปในเมืองราวห่าฝน
ข้างในเมืองเซียงเป๋งเห็นข้าศึกรุกเข้าตีดังนั้นก็ช่วยกันต่อสู้ป้องกันรักษาเมืองไว้เป็นสามารถ ทหารของสุมาอี้รุกเข้าตีเมืองตั้งแต่เช้าจนถึงเวลากลางคืนก็ถูกทหารเมืองเลียวตั๋งรบป้องกันไว้ไม่อาจหักเข้ากำแพงเมืองได้ สุมาอี้เห็นดังนั้นจึงสั่งให้ถอยทหารกลับที่ตั้งดังเก่า
ในค่ำคืนวันนั้นบรรดาทหารเมืองเลียวตั๋งซึ่งอยู่ในเมืองเซียงเป๋งได้อ่อนล้าอิดโรยลงเป็นอันมากเพราะขาดแคลนเสบียงอาหารต่อเนื่องมาหลายวัน ความอดอยากหิวโหยแผ่ขยายปกคลุมทั้งตัวเมือง อาณาประชาราษฎรล้วนเดือดร้อนทุกครัวเรือน เพื่อแก้ไขปัญหาอดตายทหารเมืองเลียวตั๋งต้องฆ่าม้าและโคกระบือภายในเมืองกินกันจนหมดสิ้น ครั้นสิ้นเสบียงแล้วก็หมดกำลังใจจะต่อสู้ ทหารจำนวนหนึ่งได้ลอบหนีออกจากเมืองทางด้านทิศใต้ พวกที่ไม่อาจหลบหนีออกไปได้ต่างคนต่างพูดจากันว่า หากต่อสู้กันนานช้าสืบไปก็จะพากันตายสิ้น ควรจะตัดศีรษะกองซุนเอี๋ยนเอาไปมอบแก่สุมาอี้เป็นความชอบจะดีกว่า
ข่าวคราวที่ทหารทั้งปวงคิดเอาใจออกหากได้ยินไปถึงหูของกองซุนเอี๋ยนก็ตกใจกลัวเป็นอันมาก คิดว่าข้าศึกล้อมกระชับอยู่ทุกด้าน เสบียงอาหารก็ขัดสน ข้างในเมืองก็รวนเรเอาใจออกหาก หากเนิ่นช้าไปเห็นจะเกิดการกบฏขึ้นเป็นแน่แท้
กองซุนเอี๋ยนคิดดังนั้นแล้ววันรุ่งขึ้นจึงสั่งให้อองเกี๋ยนซึ่งเป็นอัครมหาเสนาบดีและลิวฮูซึ่งเป็นขุนนางผู้ใหญ่ออกไปหาสุมาอี้เพื่อขอยอมสวามิภักดิ์แต่โดยดี
สุมาอี้พอทราบความก็ตวาดอองเกี๋ยนและลิวฮูว่า เมื่อจะยอมสวามิภักดิ์แล้วไฉนกองซุนเอี๋ยนจึงไม่ออกมาเอง กล่าวแล้วก็สั่งให้ทหารคุมตัวอองเกี๋ยนและลิวฮูเอาไปตัดศีรษะ และมอบแก่ทหารซึ่งติดตามอองเกี๋ยนและลิวฮูให้เอากลับไปมอบแก่กองซุนเอี๋ยน
กองซุนเอี๋ยนทราบความดังนั้นก็ตกใจ รีบสั่งให้โอยเอี๋ยนซึ่งเป็นขุนนางคนสนิทออกไปหาสุมาอี้อีกครั้งหนึ่ง แล้วกล่าวกับสุมาอี้ว่าซึ่งท่านตำหนิว่าเหตุใดกองซุนเอี๋ยนยังไม่ยอมออกมาอ่อนน้อมด้วยตนเองนั้น บัดนี้กองซุนเอี๋ยนได้ให้ข้าพเจ้ามาแจ้งแก่ท่านว่าในวันพรุ่งนี้จะส่งตัวกองซุนสิวซึ่งเป็นบุตรของกองซุนเอี๋ยนมามอบเป็นตัวประกันไว้ก่อน พร้อมแล้วกองซุนเอี๋ยนและขุนนางทั้งปวงก็จะยินยอมออกมาคำนับอ่อนน้อมกับท่านต่อไป
สุมาอี้ได้ยินดังนั้นจึงกล่าวว่า “อันธรรมดาการสงครามนี้มีอยู่ห้าประการ ประการหนึ่งเห็นว่าจะต้านทานได้ก็ให้คิดอ่านออกมารบพุ่งจงสามารถ ประการหนึ่งถ้าเห็นสู้มิได้ก็อย่าออกมารบพุ่ง ให้รักษาเมืองจงมั่นคง ประการหนึ่งถ้ารักษาเมืองไว้ไม่ได้ให้หนีเอาตัวรอด ประการหนึ่งแม้ไม่หนีก็ให้ออกมาอ่อนน้อมโดยดีก็จะมีชีวิตสืบไป ประการหนึ่งถ้าไม่ออกมาอ่อนน้อมโดยดีก็ควรที่จะตาย” กองซุนเอี๋ยนอับจนแล้ว ไม่ยอมออกมาอ่อนน้อมด้วยตนเอง จะส่งบุตรมาเป็นตัวประกันจะมีประโยชน์อันใด.