ตอนที่ 584. แผนทลายรังโจร
กองซุนเอี๋ยนผู้บุตรของกองซุนของเจ้าเมืองเลียวตั๋ง คิดตั้งตัวเป็นเจ้าไม่ขึ้นกับวุยก๊ก ขุนนางผู้ภักดีได้ทัดทานและบอกนิมิตลางประหลาดร้าย ซึ่งถ้าหากเกิดขึ้นในประเทศไทยก็ย่อมเป็นข่าวใหญ่ให้ผู้คนได้ซื้อหวยใต้ดินกันเป็นที่สนุกสนาน เพื่อให้ กองซุนเอี๋ยนระงับความคิดที่จะประกาศอิสรภาพนั้นเสีย
กองซุนเอี๋ยนได้ฟังคำทัดทานดังนั้นก็โกรธ สั่งทหารให้คุมตัวแก่หวนและลุนติดไปตัดศีรษะ เพื่อนขุนนางหลายคนได้ร้องขอชีวิตไว้ แต่กองซุนเอี๋ยนไม่ฟังคำ เร่งให้ผู้คุมเอาตัวแก่หวนและลุนติดไปตัดศีรษะที่กลางตลาด หลังจากวันนั้นแล้วก็ไม่มีผู้ใดกล้าทัดทานอีกเลย
กองซุนเอี๋ยนเห็นคนทั้งปวงพร้อมใจกันดังนั้น จึงตั้งการพิธีปราบดาภิเษกเป็นพระมหากษัตริย์ ทรงพระสมัญญานามว่าเอี้ยนอ๋อง ให้ตั้งศักราชประจำพระองค์ตามประเพณีแล้วประกาศความเป็นเอกราชไม่ขึ้นกับวุยก๊ก ให้ยกเว้นภาษีอากรแก่ราษฎรสามปี และปล่อยนักโทษที่ถูกจองจำให้เป็นไททั้งสิ้น
เมื่อสถาปนาตนเองขึ้นเป็นเจ้าทรงพระนามว่าเอี้ยนอ๋องแล้ว กองซุนเอี๋ยนได้แต่งตั้งขุนนางตามทำเนียบขุนนางในพระมหากษัตริย์ตามประเพณีเป็นอันมาก สามก๊กฉบับเจ้าพระยาพระคลัง (หน) ระบุว่ากองซุนเอี๋ยน “ให้สร้างเวียงวังค่ายคูประตูหอรบไว้เป็นมั่นคง แล้วซ่องสุมทแกล้วทหารได้ร้อยหมื่น”
ครั้นจัดแจงบ้านเมืองเรียบร้อยแล้ว กองซุนเอี๋ยนจึงตั้งให้ปีเอี๋ยนเป็นแม่ทัพ ให้เอียวจอเป็นรองแม่ทัพยกกองทัพไปตีเมืองลกเอี๋ยง กองซุนเอี๋ยนจะยกกองทัพหนุนตามไป ปีเอี๋ยนและเอียวจอรับคำสั่งกองซุนเอี๋ยนแล้วจึงออกไปเกณฑ์ทหารและเสบียง เพื่อเตรียมการจะยกกองทัพไปตีเมืองลกเอี๋ยงต่อไป
ข่าวคราวการเตรียมการจะยกกองทัพไปตีเมืองลกเอี๋ยงของเมืองเลียวตั๋งทราบความไปถึงหน่วยสอดแนมของวุยก๊ก บูขิวเคียมเจ้าเมืองอิวจิ๋วซึ่งเป็นหัวเมืองชายแดนของวุยก๊กติดต่อกับแดนเมืองเลียวตั๋ง จึงทำใบบอกขึ้นไปกราบบังคมทูลให้พระเจ้าโจยอยทรงทราบ
พระเจ้าโจยอยทราบความแล้วตกพระทัย ตรัสสั่งให้เรียกประชุมขุนนางและแม่ทัพนายกองทั้งปวง ปรารภความซึ่งกองซุนเอี๋ยนคิดการกบฏจะยกกองทัพมาตีเมืองลกเอี๋ยง แล้วตรัสถามว่าจะมีผู้ใดอาสายกกองทัพไปรับศึกเมืองเลียวตั๋งบ้าง
สุมาอี้ได้ยินดังนั้นจึงออกไปถวายบังคมพระเจ้าโจยอยแล้วกราบทูลขออาสายกกองทัพสี่หมื่นไปรับศึกกองซุนเอี๋ยนและจะตีเอาเมืองเลียวตั๋งมาน้อมเกล้าถวายให้จงได้
พระเจ้าโจยอยได้ฟังคำอาสาของสุมาอี้ก็ดีพระทัย แต่ทรงสงสัยว่าสุมาอี้จะทำการประการใด จึงตรัสถามว่าเมืองเลียวตั๋งมีทหารเป็นอันมาก ทั้งระยะทางก็ไกล ซึ่งท่านจะยกทหารเพียงสี่หมื่นไปทำการทั้งนี้เกรงจะเสียทีแก่ข้าศึก
สุมาอี้จึงกราบทูลว่า อันการสงครามนั้นมากชนะน้อยก็มี น้อยเอาชนะมากก็มี เพราะเหตุที่เมืองเลียวตั๋งเป็นทางไกล หากยกทหารไปเป็นอันมากย่อมยากลำบากแก่การลำเลียงเสบียงอาหาร กลายเป็นจุดอ่อนให้ข้าศึกทำลายได้โดยง่าย ข้าพระองค์จะนำทหารไปแต่น้อย จะคัดเอาแต่ทหารซึ่งมีฝีมือจัดเป็นกองกำลังทหารม้า จะใช้สติปัญญาในการสงครามเข้าทำการ และขอเอาพระบารมีแห่งพระองค์คุ้มเกล้าเป็นที่พึ่งในยามศึก เห็นจะได้ชัยชนะแก่เมืองเลียวตั๋งเป็นมั่นคง
พระเจ้าโจยอยจึงตรัสถามสืบไปว่า ท่านคะเนการศึกครั้งนี้ประการใด
สุมาอี้กราบทูลตอบว่า ข้าพระองค์ได้คะเนการศึกนี้เป็นสามสถาน
สถานแรก ถ้ากองซุนเอี๋ยนเฉลียวฉลาดในการสงครามก็จะพาทหารล่าถอยลึกเข้าไปในแนวหลัง ย่อมยากแก่การไล่ตามตี นานวันไปกองทัพของข้าพระองค์ก็จะ อ่อนเปลี้ยเพลียลง ถ้ากองซุนเอี๋ยนดำเนินการสงครามสถานนี้ ก็นับว่าเป็นยุทโธบายชั้นเลิศ
สถานที่สอง ถ้ากองซุนเอี๋ยนตั้งรับอยู่ในเมืองเลียวตั๋ง ให้ทหารทั้งปวงตั้งมั่นอยู่ในเมือง ระมัดระวังกวดขันค่ายคูประตูหอรบ ไม่ยกออกมารบพุ่ง รอให้กองทัพข้าพระองค์อ่อนล้าแล้วค่อยยกเข้าโจมตี ก็นับว่าเป็นยุทโธบายชั้นรอง เพราะแพ้ชนะย่อมก้ำกึ่งกัน
สถานที่สาม ถ้ากองซุนเอี๋ยนยกทหารมาตั้งรับอยู่ที่เมืองเซียงเป๋งซึ่งเป็นเมืองชายแดนอันเป็นเขตติดต่อระหว่างแดนเมืองเลียวตั๋งกับวุยก๊กเราก็นับว่าเป็นยุทโธบายชั้นเลวที่สุด ถ้าหากกองซุนเอี๋ยนดำเนินยุทโธบายสถานนี้ก็จะเสียทีแก่ข้าพระองค์เป็นมั่นคง
พระเจ้าโจยอยตรัสถามต่อไปว่า ยุทโธบายทั้งสามสถานนี้ท่านคาดว่ากองซุนเอี๋ยนจะดำเนินยุทโธบายสถานใด
สุมาอี้กราบทูลว่า กองซุนเอี๋ยนตั้งตัวขึ้นเป็นเจ้า กำเริบใจในอำนาจ คิดอ่านจะยกกองทัพมาตีวุยก๊ก เห็นจะดำเนินยุทโธบายสถานที่สาม ข้าพระองค์มั่นใจว่าจะจับตัวกองซุนเอี๋ยนได้เป็นแน่แท้
พระเจ้าโจยอยตรัสถามอีกว่าศึกครั้งนี้กระทำในแดนไกล ท่านคาดว่าจะใช้ระยะเวลายาวนานเท่าใด
สุมาอี้กราบทูลตอบว่า ระยะทางจากเมืองลกเอี๋ยงไปเมืองเลียวตั๋งเป็นทางไกลถึงสิบหมื่นเส้น ต้องใช้เวลาเดินทัพขาไปร้อยวัน ใช้เวลาทำศึกร้อยวัน และใช้เวลาเดินทางกลับร้อยวัน ใช้เวลาในการพักทหารหกสิบวัน สรุปรวมเป็นหนึ่งปี เห็นจะยกทัพกลับคืนเมืองหลวงได้
พระเจ้าโจยอยได้ฟังดังนั้นก็ถอนพระทัย ตรัสว่าท่านยกไปทำศึกนานช้าถึงหนึ่งปี หากทางตะวันตกกองทัพเมืองเสฉวนยกมาหรือทางด้านใต้กองทัพเมืองกังตั๋งยกมา จะทำประการใด
สุมาอี้จึงกราบทูลว่า ชาวเมืองกังตั๋งไม่ชำนาญสงครามเชิงรุก ถนัดแต่เชิงรับ และเมืองกังตั๋งก็เพิ่งว่างศึกเห็นจะยังไม่ยกมา ส่วนเมืองเสฉวนนั้นเล่าขงเบ้งเพิ่งสิ้นบุญ ขวัญกำลังใจทหารยังอ่อนแอ และตรากตรำสงครามมาเป็นเวลานานเห็นจะยังไม่พร้อมที่จะยกมารุกราน แต่ถึงแม้กองทัพทั้งสองทางยกมา ข้าพระองค์ก็ได้เตรียมการระมัดระวังด่านรายทางเป็นกวดขันเห็นจะไม่เป็นอันตราย ขอพระองค์จงทรงวาง พระทัย
พระเจ้าโจยอยได้ฟังคำสุมาอี้กราบทูลถ้วนกระบวนความสิ้นกระแสแล้วก็ทรงดี พระทัย มีพระบรมราชโองการตั้งให้สุมาอี้เป็นแม่ทัพยกไปรับศึกเมืองเลียวตั๋งตามแผนการที่ได้กราบบังคมทูลนั้นทุกประการ
สุมาอี้ถวายบังคมลาพระเจ้าโจยอยแล้วออกไปจัดแจงทหารม้าสี่หมื่น ให้โฮจุ้นเป็นกองทัพหน้า สุมาอี้เป็นกองทัพหลวง และจัดเสบียงอาหารเป็นอันมาก ครั้นถึงวันเวลาฤกษ์ดี สุมาอี้ก็สั่งให้เคลื่อนทัพยกไปเมืองเลียวตั๋ง
ฝ่ายเมืองเลียวตั๋งจัดแจงกองทัพจะยกไปตีเมืองลกเอี๋ยงยังไม่ทันเสร็จ ก็ได้ทราบข่าวศึกว่าสุมาอี้กำลังยกกองทัพสี่หมื่นมาที่เมืองเลียวตั๋ง หน่วยสอดแนมจึงรายงานความให้กองซุนเอี๋ยนทราบ
กองซุนเอี๋ยนทราบความดังนั้นจึงสั่งให้ปีเอี๋ยนกับเอียวจอซึ่งกำลังเตรียมกองทัพเปลี่ยนแผนการยกทหารแปดหมื่นไปขัดตาทัพสุมาอี้ที่ตำบลเลียวชุนปลายแดนเมืองเซียงเป๋ง ซึ่งเป็นหัวเมืองแดนต่อแดนระหว่างวุยก๊กกับเมืองเลียวตั๋ง หวังป้องกันมิให้สุมาอี้ยกกองทัพล่วงล้ำเข้าแดนเมืองเลียวตั๋งแม้แต่ตารางนิ้วเดียวเพื่อมิให้เสื่อมเสียแก่เกียรติยศของเอี้ยนอ๋อง
ปีเอี๋ยนและเอียวจอรับคำสั่งกองซุนเอี๋ยนแล้วจึงรีบยกกองทัพไปที่ตำบลเลียวชุน ให้ตั้งค่ายมั่นไว้ที่ปลายแดนเป็นระยะทางถึงสองร้อยเส้น และให้ขุดคูป้องกันหน้าค่ายไว้ตลอดแนวเพื่อมิให้ข้าศึกรุกล้ำเข้าตีค่าย แล้วกำชับทหารให้ระมัดระวังรักษาค่ายมิให้ประมาท
ฝ่ายโฮจุ้นยกกองทัพหน้ามาใกล้แดนตำบลเลียวชุน ได้รับรายงานจากหน่วยสอดแนมว่ากองทัพเมืองเลียวตั๋งยกกองทัพมาตั้งค่ายสกัดดังนั้น จึงสั่งม้าเร็วให้นำความไป รายงานแก่สุมาอี้ที่กองทัพหลวง
สุมาอี้ทราบรายงานของโฮจุ้นแล้วก็ดีใจเป็นอันมาก ด้วยเห็นการดำเนินยุทโธบายของเมืองเลียวตั๋งเป็นการดำเนินยุทโธบายที่เลวที่สุด มิใช่ยุทโธบายชั้นเลิศอันเป็นที่หวั่นเกรงแต่ประการใด เพราะกองทัพเมืองเลียวตั๋งมีกำลังไพร่พลเป็นอันมาก แต่กองทัพของสุมาอี้มีทหารเพียงสี่หมื่น ชอบที่กองทัพเมืองเลียวตั๋งจะทำสงครามเบ็ดเสร็จเด็ดขาดโดยรวดเร็ว ใช้กำลังมากปะทะกำลังน้อยซึ่งหน้าก็ย่อมได้เปรียบแก่กองทัพสุมาอี้ แต่กลับใช้ยุทธวิธีที่ผิดจัดกำลังทหารจำนวนมากมาตั้งค่ายอยู่แนวหน้า ทิ้งเมืองเซียงเป๋งให้ทหารจำนวนน้อยรักษา และคิดทำสงครามยืดเยื้อยาวนานโดยหารู้ไม่ว่าฝ่ายที่มีทหารมากย่อมสิ้นเปลืองเสบียงอาหารมากกว่า กลายเป็นจุดอ่อนของ กองทัพ การดำเนินยุทโธบายของเมืองเลียวตั๋งจึงแปรความแข็งเป็นความอ่อน ทำให้ความได้เปรียบกลายเป็นความเสียเปรียบ และเปิดโอกาสให้กองทัพวุยก๊กสามารถ ช่วงชิงความได้เปรียบไว้ได้ด้วยปัญญา
สุมาอี้จึงเรียกประชุมแม่ทัพนายกองทั้งปวงแล้วกล่าวว่าซึ่งกองทัพเมืองเลียวตั๋งยกมาตั้งค่ายอยู่นอกเมืองดังนี้ หวังจะแกล้งถ่วงเวลาให้กองทัพเราขาดเสบียงอาหาร แล้วค่อยยกโจมตี แต่เราคะเนว่าเมื่อกองทัพเมืองเลียวตั๋งยกมาตั้งดังนี้แล้ว ทหารซึ่งจะรักษาเมืองเซียงเป๋งนั้นย่อมเหลือแต่น้อย เราจะยกกองทัพวกอ้อมหลังไปตีเอาเมืองเซียงเป๋งให้ได้ก่อน กองทัพเมืองเลียวตั๋งซึ่งมาตั้งค่ายอยู่ที่ตำบลเลียวชุนนั้นเห็นจะแตกไปเอง เราจะได้คิดทำการต่อไป
แม่ทัพนายกองทั้งปวงได้ฟังแผนการความคิดของสุมาอี้ดังนั้นก็พากันสรรเสริญว่า แผนการทลายรังโจรของมหาอุปราชนี้ดีนักหนาเสมอด้วยเทพยดาเข้าดลใจ สุมาอี้เห็น แม่ทัพนายกองทั้งปวงเห็นชอบพร้อมกันก็มีความยินดี พอค่ำลงก็สั่งให้เคลื่อนทัพยกวกอ้อมค่ายของปีเอี๋ยนและเอียวจอตรงไปที่เมืองเซียงเป๋ง
ฝ่ายปีเอี๋ยนและเอียวจอซึ่งยกกองทัพเมืองเลียวตั๋งมาตั้งขัดตาทัพสุมาอี้นั้น พอตั้งค่ายเสร็จก็ปรึกษากันว่าเมื่อครั้งที่สุมาอี้รบกับขงเบ้งนั้น สุมาอี้เห็นขงเบ้งยกทัพมาแต่แดนไกล จึงรักษาค่ายตั้งมั่นไม่ออกรบ จนขงเบ้งต้องตายไปเอง บัดนี้สุมาอี้ยกทัพมาแต่แดนไกลถึงสิบหมื่นเส้น ชอบที่เราจะตั้งรับไม่ออกรบกับสุมาอี้ เห็นสุมาอี้จะเสียทีเหมือนกับที่ขงเบ้งเสียทีแก่สุมาอี้เป็นมั่นคง
ครั้นปรึกษาเห็นชอบพร้อมกันแล้วปีเอี๋ยนและเอียวจอจึงออกคำสั่งให้ทหารทั้งปวงตั้งมั่นรักษาค่ายไม่ให้ยกออกไปรบพุ่งกับสุมาอี้ โดยที่หารู้ไม่ว่าสุมาอี้นั้นชำนาญการสงคราม รู้ความพลิกแพลงในการสงคราม ได้กำหนดแผนการทลายรังโจรไว้แล้ว
วันหนึ่งหน่วยลาดตระเวนได้เข้ามารายงานแก่ปีเอี๋ยนว่า บัดนี้สุมาอี้ได้ลอบยกกองทัพวกอ้อมค่ายจะไปตีเอาเมืองเซียงเป๋งแล้ว
ปีเอี๋ยนและเอียวจอได้ทราบความดังนั้นก็ตกใจ ปรึกษากันว่าซึ่งสุมาอี้ยกกองทัพไปทั้งนี้เพราะคาดว่าเมืองเซียงเป๋งมีทหารรักษาแต่น้อย เห็นเมืองเซียงเป๋งจะเสียแก่สุมาอี้ ซึ่งเรามาตั้งกองทัพอยู่บัดนี้ก็จะกลายเป็นว่าวที่ถูกตัดสายป่าน จำจะต้องยกกองทัพถอยไปช่วยรักษาเมืองเซียงเป๋งจึงจะควร
ครั้นปรึกษาตกลงกันดังนั้นปีเอี๋ยนจึงสั่งให้ถอยทัพจะยกกลับไปรักษาเมืองเซียงเป๋ง
ฝ่ายหน่วยลาดตระเวนของสุมาอี้ที่คอยเกาะกุมสภาพความเคลื่อนไหวของกองทัพ ปีเอี๋ยน พอทราบความก็รีบให้ม้าเร็วไปแจ้งข่าวให้สุมาอี้ทราบว่า ปีเอี๋ยนกำลังถอยทัพจะกลับไปช่วยเมืองเซียงเป๋ง
สุมาอี้ได้ทราบดังนั้นก็ดีใจ หัวเราะปรบมือแล้วกล่าวว่า “ซึ่งปีเอี๋ยน เอียวจอ จะถอยเข้ามานี้เห็นจะสมความคิดเรา”
กล่าวดังนั้นแล้วสุมาอี้จึงสั่งให้แฮหัวป๋าและแฮหัวฮุยคุมทหารไปซุ่มอยู่ในป่าสองข้างทางใกล้กับแม่น้ำเจซุ้ย ซึ่งเป็นเส้นทางเชื่อมระหว่างตำบลเลียวชุนและเมือง เซียงเป๋ง กำชับว่าเมื่อกองทัพของปีเอี๋ยนยกมาถึง ก็ให้จุดประทัดสัญญาณขึ้นแล้วตีกระหนาบออกมาพร้อมกัน เห็นจะได้ชัยชนะแก่ข้าศึกเป็นมั่นคง.
กองซุนเอี๋ยนได้ฟังคำทัดทานดังนั้นก็โกรธ สั่งทหารให้คุมตัวแก่หวนและลุนติดไปตัดศีรษะ เพื่อนขุนนางหลายคนได้ร้องขอชีวิตไว้ แต่กองซุนเอี๋ยนไม่ฟังคำ เร่งให้ผู้คุมเอาตัวแก่หวนและลุนติดไปตัดศีรษะที่กลางตลาด หลังจากวันนั้นแล้วก็ไม่มีผู้ใดกล้าทัดทานอีกเลย
กองซุนเอี๋ยนเห็นคนทั้งปวงพร้อมใจกันดังนั้น จึงตั้งการพิธีปราบดาภิเษกเป็นพระมหากษัตริย์ ทรงพระสมัญญานามว่าเอี้ยนอ๋อง ให้ตั้งศักราชประจำพระองค์ตามประเพณีแล้วประกาศความเป็นเอกราชไม่ขึ้นกับวุยก๊ก ให้ยกเว้นภาษีอากรแก่ราษฎรสามปี และปล่อยนักโทษที่ถูกจองจำให้เป็นไททั้งสิ้น
เมื่อสถาปนาตนเองขึ้นเป็นเจ้าทรงพระนามว่าเอี้ยนอ๋องแล้ว กองซุนเอี๋ยนได้แต่งตั้งขุนนางตามทำเนียบขุนนางในพระมหากษัตริย์ตามประเพณีเป็นอันมาก สามก๊กฉบับเจ้าพระยาพระคลัง (หน) ระบุว่ากองซุนเอี๋ยน “ให้สร้างเวียงวังค่ายคูประตูหอรบไว้เป็นมั่นคง แล้วซ่องสุมทแกล้วทหารได้ร้อยหมื่น”
ครั้นจัดแจงบ้านเมืองเรียบร้อยแล้ว กองซุนเอี๋ยนจึงตั้งให้ปีเอี๋ยนเป็นแม่ทัพ ให้เอียวจอเป็นรองแม่ทัพยกกองทัพไปตีเมืองลกเอี๋ยง กองซุนเอี๋ยนจะยกกองทัพหนุนตามไป ปีเอี๋ยนและเอียวจอรับคำสั่งกองซุนเอี๋ยนแล้วจึงออกไปเกณฑ์ทหารและเสบียง เพื่อเตรียมการจะยกกองทัพไปตีเมืองลกเอี๋ยงต่อไป
ข่าวคราวการเตรียมการจะยกกองทัพไปตีเมืองลกเอี๋ยงของเมืองเลียวตั๋งทราบความไปถึงหน่วยสอดแนมของวุยก๊ก บูขิวเคียมเจ้าเมืองอิวจิ๋วซึ่งเป็นหัวเมืองชายแดนของวุยก๊กติดต่อกับแดนเมืองเลียวตั๋ง จึงทำใบบอกขึ้นไปกราบบังคมทูลให้พระเจ้าโจยอยทรงทราบ
พระเจ้าโจยอยทราบความแล้วตกพระทัย ตรัสสั่งให้เรียกประชุมขุนนางและแม่ทัพนายกองทั้งปวง ปรารภความซึ่งกองซุนเอี๋ยนคิดการกบฏจะยกกองทัพมาตีเมืองลกเอี๋ยง แล้วตรัสถามว่าจะมีผู้ใดอาสายกกองทัพไปรับศึกเมืองเลียวตั๋งบ้าง
สุมาอี้ได้ยินดังนั้นจึงออกไปถวายบังคมพระเจ้าโจยอยแล้วกราบทูลขออาสายกกองทัพสี่หมื่นไปรับศึกกองซุนเอี๋ยนและจะตีเอาเมืองเลียวตั๋งมาน้อมเกล้าถวายให้จงได้
พระเจ้าโจยอยได้ฟังคำอาสาของสุมาอี้ก็ดีพระทัย แต่ทรงสงสัยว่าสุมาอี้จะทำการประการใด จึงตรัสถามว่าเมืองเลียวตั๋งมีทหารเป็นอันมาก ทั้งระยะทางก็ไกล ซึ่งท่านจะยกทหารเพียงสี่หมื่นไปทำการทั้งนี้เกรงจะเสียทีแก่ข้าศึก
สุมาอี้จึงกราบทูลว่า อันการสงครามนั้นมากชนะน้อยก็มี น้อยเอาชนะมากก็มี เพราะเหตุที่เมืองเลียวตั๋งเป็นทางไกล หากยกทหารไปเป็นอันมากย่อมยากลำบากแก่การลำเลียงเสบียงอาหาร กลายเป็นจุดอ่อนให้ข้าศึกทำลายได้โดยง่าย ข้าพระองค์จะนำทหารไปแต่น้อย จะคัดเอาแต่ทหารซึ่งมีฝีมือจัดเป็นกองกำลังทหารม้า จะใช้สติปัญญาในการสงครามเข้าทำการ และขอเอาพระบารมีแห่งพระองค์คุ้มเกล้าเป็นที่พึ่งในยามศึก เห็นจะได้ชัยชนะแก่เมืองเลียวตั๋งเป็นมั่นคง
พระเจ้าโจยอยจึงตรัสถามสืบไปว่า ท่านคะเนการศึกครั้งนี้ประการใด
สุมาอี้กราบทูลตอบว่า ข้าพระองค์ได้คะเนการศึกนี้เป็นสามสถาน
สถานแรก ถ้ากองซุนเอี๋ยนเฉลียวฉลาดในการสงครามก็จะพาทหารล่าถอยลึกเข้าไปในแนวหลัง ย่อมยากแก่การไล่ตามตี นานวันไปกองทัพของข้าพระองค์ก็จะ อ่อนเปลี้ยเพลียลง ถ้ากองซุนเอี๋ยนดำเนินการสงครามสถานนี้ ก็นับว่าเป็นยุทโธบายชั้นเลิศ
สถานที่สอง ถ้ากองซุนเอี๋ยนตั้งรับอยู่ในเมืองเลียวตั๋ง ให้ทหารทั้งปวงตั้งมั่นอยู่ในเมือง ระมัดระวังกวดขันค่ายคูประตูหอรบ ไม่ยกออกมารบพุ่ง รอให้กองทัพข้าพระองค์อ่อนล้าแล้วค่อยยกเข้าโจมตี ก็นับว่าเป็นยุทโธบายชั้นรอง เพราะแพ้ชนะย่อมก้ำกึ่งกัน
สถานที่สาม ถ้ากองซุนเอี๋ยนยกทหารมาตั้งรับอยู่ที่เมืองเซียงเป๋งซึ่งเป็นเมืองชายแดนอันเป็นเขตติดต่อระหว่างแดนเมืองเลียวตั๋งกับวุยก๊กเราก็นับว่าเป็นยุทโธบายชั้นเลวที่สุด ถ้าหากกองซุนเอี๋ยนดำเนินยุทโธบายสถานนี้ก็จะเสียทีแก่ข้าพระองค์เป็นมั่นคง
พระเจ้าโจยอยตรัสถามต่อไปว่า ยุทโธบายทั้งสามสถานนี้ท่านคาดว่ากองซุนเอี๋ยนจะดำเนินยุทโธบายสถานใด
สุมาอี้กราบทูลว่า กองซุนเอี๋ยนตั้งตัวขึ้นเป็นเจ้า กำเริบใจในอำนาจ คิดอ่านจะยกกองทัพมาตีวุยก๊ก เห็นจะดำเนินยุทโธบายสถานที่สาม ข้าพระองค์มั่นใจว่าจะจับตัวกองซุนเอี๋ยนได้เป็นแน่แท้
พระเจ้าโจยอยตรัสถามอีกว่าศึกครั้งนี้กระทำในแดนไกล ท่านคาดว่าจะใช้ระยะเวลายาวนานเท่าใด
สุมาอี้กราบทูลตอบว่า ระยะทางจากเมืองลกเอี๋ยงไปเมืองเลียวตั๋งเป็นทางไกลถึงสิบหมื่นเส้น ต้องใช้เวลาเดินทัพขาไปร้อยวัน ใช้เวลาทำศึกร้อยวัน และใช้เวลาเดินทางกลับร้อยวัน ใช้เวลาในการพักทหารหกสิบวัน สรุปรวมเป็นหนึ่งปี เห็นจะยกทัพกลับคืนเมืองหลวงได้
พระเจ้าโจยอยได้ฟังดังนั้นก็ถอนพระทัย ตรัสว่าท่านยกไปทำศึกนานช้าถึงหนึ่งปี หากทางตะวันตกกองทัพเมืองเสฉวนยกมาหรือทางด้านใต้กองทัพเมืองกังตั๋งยกมา จะทำประการใด
สุมาอี้จึงกราบทูลว่า ชาวเมืองกังตั๋งไม่ชำนาญสงครามเชิงรุก ถนัดแต่เชิงรับ และเมืองกังตั๋งก็เพิ่งว่างศึกเห็นจะยังไม่ยกมา ส่วนเมืองเสฉวนนั้นเล่าขงเบ้งเพิ่งสิ้นบุญ ขวัญกำลังใจทหารยังอ่อนแอ และตรากตรำสงครามมาเป็นเวลานานเห็นจะยังไม่พร้อมที่จะยกมารุกราน แต่ถึงแม้กองทัพทั้งสองทางยกมา ข้าพระองค์ก็ได้เตรียมการระมัดระวังด่านรายทางเป็นกวดขันเห็นจะไม่เป็นอันตราย ขอพระองค์จงทรงวาง พระทัย
พระเจ้าโจยอยได้ฟังคำสุมาอี้กราบทูลถ้วนกระบวนความสิ้นกระแสแล้วก็ทรงดี พระทัย มีพระบรมราชโองการตั้งให้สุมาอี้เป็นแม่ทัพยกไปรับศึกเมืองเลียวตั๋งตามแผนการที่ได้กราบบังคมทูลนั้นทุกประการ
สุมาอี้ถวายบังคมลาพระเจ้าโจยอยแล้วออกไปจัดแจงทหารม้าสี่หมื่น ให้โฮจุ้นเป็นกองทัพหน้า สุมาอี้เป็นกองทัพหลวง และจัดเสบียงอาหารเป็นอันมาก ครั้นถึงวันเวลาฤกษ์ดี สุมาอี้ก็สั่งให้เคลื่อนทัพยกไปเมืองเลียวตั๋ง
ฝ่ายเมืองเลียวตั๋งจัดแจงกองทัพจะยกไปตีเมืองลกเอี๋ยงยังไม่ทันเสร็จ ก็ได้ทราบข่าวศึกว่าสุมาอี้กำลังยกกองทัพสี่หมื่นมาที่เมืองเลียวตั๋ง หน่วยสอดแนมจึงรายงานความให้กองซุนเอี๋ยนทราบ
กองซุนเอี๋ยนทราบความดังนั้นจึงสั่งให้ปีเอี๋ยนกับเอียวจอซึ่งกำลังเตรียมกองทัพเปลี่ยนแผนการยกทหารแปดหมื่นไปขัดตาทัพสุมาอี้ที่ตำบลเลียวชุนปลายแดนเมืองเซียงเป๋ง ซึ่งเป็นหัวเมืองแดนต่อแดนระหว่างวุยก๊กกับเมืองเลียวตั๋ง หวังป้องกันมิให้สุมาอี้ยกกองทัพล่วงล้ำเข้าแดนเมืองเลียวตั๋งแม้แต่ตารางนิ้วเดียวเพื่อมิให้เสื่อมเสียแก่เกียรติยศของเอี้ยนอ๋อง
ปีเอี๋ยนและเอียวจอรับคำสั่งกองซุนเอี๋ยนแล้วจึงรีบยกกองทัพไปที่ตำบลเลียวชุน ให้ตั้งค่ายมั่นไว้ที่ปลายแดนเป็นระยะทางถึงสองร้อยเส้น และให้ขุดคูป้องกันหน้าค่ายไว้ตลอดแนวเพื่อมิให้ข้าศึกรุกล้ำเข้าตีค่าย แล้วกำชับทหารให้ระมัดระวังรักษาค่ายมิให้ประมาท
ฝ่ายโฮจุ้นยกกองทัพหน้ามาใกล้แดนตำบลเลียวชุน ได้รับรายงานจากหน่วยสอดแนมว่ากองทัพเมืองเลียวตั๋งยกกองทัพมาตั้งค่ายสกัดดังนั้น จึงสั่งม้าเร็วให้นำความไป รายงานแก่สุมาอี้ที่กองทัพหลวง
สุมาอี้ทราบรายงานของโฮจุ้นแล้วก็ดีใจเป็นอันมาก ด้วยเห็นการดำเนินยุทโธบายของเมืองเลียวตั๋งเป็นการดำเนินยุทโธบายที่เลวที่สุด มิใช่ยุทโธบายชั้นเลิศอันเป็นที่หวั่นเกรงแต่ประการใด เพราะกองทัพเมืองเลียวตั๋งมีกำลังไพร่พลเป็นอันมาก แต่กองทัพของสุมาอี้มีทหารเพียงสี่หมื่น ชอบที่กองทัพเมืองเลียวตั๋งจะทำสงครามเบ็ดเสร็จเด็ดขาดโดยรวดเร็ว ใช้กำลังมากปะทะกำลังน้อยซึ่งหน้าก็ย่อมได้เปรียบแก่กองทัพสุมาอี้ แต่กลับใช้ยุทธวิธีที่ผิดจัดกำลังทหารจำนวนมากมาตั้งค่ายอยู่แนวหน้า ทิ้งเมืองเซียงเป๋งให้ทหารจำนวนน้อยรักษา และคิดทำสงครามยืดเยื้อยาวนานโดยหารู้ไม่ว่าฝ่ายที่มีทหารมากย่อมสิ้นเปลืองเสบียงอาหารมากกว่า กลายเป็นจุดอ่อนของ กองทัพ การดำเนินยุทโธบายของเมืองเลียวตั๋งจึงแปรความแข็งเป็นความอ่อน ทำให้ความได้เปรียบกลายเป็นความเสียเปรียบ และเปิดโอกาสให้กองทัพวุยก๊กสามารถ ช่วงชิงความได้เปรียบไว้ได้ด้วยปัญญา
สุมาอี้จึงเรียกประชุมแม่ทัพนายกองทั้งปวงแล้วกล่าวว่าซึ่งกองทัพเมืองเลียวตั๋งยกมาตั้งค่ายอยู่นอกเมืองดังนี้ หวังจะแกล้งถ่วงเวลาให้กองทัพเราขาดเสบียงอาหาร แล้วค่อยยกโจมตี แต่เราคะเนว่าเมื่อกองทัพเมืองเลียวตั๋งยกมาตั้งดังนี้แล้ว ทหารซึ่งจะรักษาเมืองเซียงเป๋งนั้นย่อมเหลือแต่น้อย เราจะยกกองทัพวกอ้อมหลังไปตีเอาเมืองเซียงเป๋งให้ได้ก่อน กองทัพเมืองเลียวตั๋งซึ่งมาตั้งค่ายอยู่ที่ตำบลเลียวชุนนั้นเห็นจะแตกไปเอง เราจะได้คิดทำการต่อไป
แม่ทัพนายกองทั้งปวงได้ฟังแผนการความคิดของสุมาอี้ดังนั้นก็พากันสรรเสริญว่า แผนการทลายรังโจรของมหาอุปราชนี้ดีนักหนาเสมอด้วยเทพยดาเข้าดลใจ สุมาอี้เห็น แม่ทัพนายกองทั้งปวงเห็นชอบพร้อมกันก็มีความยินดี พอค่ำลงก็สั่งให้เคลื่อนทัพยกวกอ้อมค่ายของปีเอี๋ยนและเอียวจอตรงไปที่เมืองเซียงเป๋ง
ฝ่ายปีเอี๋ยนและเอียวจอซึ่งยกกองทัพเมืองเลียวตั๋งมาตั้งขัดตาทัพสุมาอี้นั้น พอตั้งค่ายเสร็จก็ปรึกษากันว่าเมื่อครั้งที่สุมาอี้รบกับขงเบ้งนั้น สุมาอี้เห็นขงเบ้งยกทัพมาแต่แดนไกล จึงรักษาค่ายตั้งมั่นไม่ออกรบ จนขงเบ้งต้องตายไปเอง บัดนี้สุมาอี้ยกทัพมาแต่แดนไกลถึงสิบหมื่นเส้น ชอบที่เราจะตั้งรับไม่ออกรบกับสุมาอี้ เห็นสุมาอี้จะเสียทีเหมือนกับที่ขงเบ้งเสียทีแก่สุมาอี้เป็นมั่นคง
ครั้นปรึกษาเห็นชอบพร้อมกันแล้วปีเอี๋ยนและเอียวจอจึงออกคำสั่งให้ทหารทั้งปวงตั้งมั่นรักษาค่ายไม่ให้ยกออกไปรบพุ่งกับสุมาอี้ โดยที่หารู้ไม่ว่าสุมาอี้นั้นชำนาญการสงคราม รู้ความพลิกแพลงในการสงคราม ได้กำหนดแผนการทลายรังโจรไว้แล้ว
วันหนึ่งหน่วยลาดตระเวนได้เข้ามารายงานแก่ปีเอี๋ยนว่า บัดนี้สุมาอี้ได้ลอบยกกองทัพวกอ้อมค่ายจะไปตีเอาเมืองเซียงเป๋งแล้ว
ปีเอี๋ยนและเอียวจอได้ทราบความดังนั้นก็ตกใจ ปรึกษากันว่าซึ่งสุมาอี้ยกกองทัพไปทั้งนี้เพราะคาดว่าเมืองเซียงเป๋งมีทหารรักษาแต่น้อย เห็นเมืองเซียงเป๋งจะเสียแก่สุมาอี้ ซึ่งเรามาตั้งกองทัพอยู่บัดนี้ก็จะกลายเป็นว่าวที่ถูกตัดสายป่าน จำจะต้องยกกองทัพถอยไปช่วยรักษาเมืองเซียงเป๋งจึงจะควร
ครั้นปรึกษาตกลงกันดังนั้นปีเอี๋ยนจึงสั่งให้ถอยทัพจะยกกลับไปรักษาเมืองเซียงเป๋ง
ฝ่ายหน่วยลาดตระเวนของสุมาอี้ที่คอยเกาะกุมสภาพความเคลื่อนไหวของกองทัพ ปีเอี๋ยน พอทราบความก็รีบให้ม้าเร็วไปแจ้งข่าวให้สุมาอี้ทราบว่า ปีเอี๋ยนกำลังถอยทัพจะกลับไปช่วยเมืองเซียงเป๋ง
สุมาอี้ได้ทราบดังนั้นก็ดีใจ หัวเราะปรบมือแล้วกล่าวว่า “ซึ่งปีเอี๋ยน เอียวจอ จะถอยเข้ามานี้เห็นจะสมความคิดเรา”
กล่าวดังนั้นแล้วสุมาอี้จึงสั่งให้แฮหัวป๋าและแฮหัวฮุยคุมทหารไปซุ่มอยู่ในป่าสองข้างทางใกล้กับแม่น้ำเจซุ้ย ซึ่งเป็นเส้นทางเชื่อมระหว่างตำบลเลียวชุนและเมือง เซียงเป๋ง กำชับว่าเมื่อกองทัพของปีเอี๋ยนยกมาถึง ก็ให้จุดประทัดสัญญาณขึ้นแล้วตีกระหนาบออกมาพร้อมกัน เห็นจะได้ชัยชนะแก่ข้าศึกเป็นมั่นคง.