ตอนที่ 583. พิษรัก ภัยหลง

พระเจ้าโจยอยเหลิงระเริงในอำนาจยามบ้านเมืองสันติ ตั้งโครงการก่อสร้างขนาดใหญ่ที่ใช้ทรัพยากรเงินทองและแรงงานทั่วทั้งแผ่นดินหวังเป็นอนุสรณ์ของชีวิต จนความเดือดร้อนเกิดขึ้นทุกหย่อมหญ้า แม้การในราชสำนักก็ทรงลุ่มหลงด้วยพระสนมเอกจนไม่เป็นอันเสด็จออกว่าราชการ

            พระสนมเอกได้ฟังคำตรัสของพระเจ้าโจยอยที่ตั้งความรังเกียจพระมเหสีถึงขนาดว่าหากร่วมที่เสวยแล้วก็ไม่อาจเสวยน้ำจัณฑ์ได้ลงคอ ก็รู้น้ำพระทัยว่าบัดนี้ฮ่องเต้ลุ่มหลงในเสน่หา ไม่คำนึงราชประเพณีอีกต่อไปแล้วก็ดีใจ รีบรินน้ำจัณฑ์ใส่จอกถวายพระเจ้าโจยอยจอกแล้วจอกเล่า ท่ามกลางเสียงหัวเราะอย่างครื้นเครง

            พระเจ้าโจยอยเห็นพระสนมเอกเอาอกเอาใจก็ยิ่งกำเริบหลง ตรัสกำชับบรรดานางกำนัลและขันทีที่ประจำอยู่ในอุทยานให้เก็บงำความซึ่งเสด็จลงอุทยานกับพระสนมเอกเป็นความลับ อย่าได้แพร่งพรายให้ล่วงรู้ถึงหูพระมเหสี ตรัสแล้วก็รับสั่งให้มโหรีขับกล่อมและให้นางรำออกมาฟ้อนถวายเป็นที่สำราญยิ่งนัก

            ฝ่ายพระมเหสีมอซือประทับรออยู่แต่ในพระตำหนัก ไม่เห็นพระเจ้าโจยอยเสด็จมาที่พระตำหนักร่วมเดือนเศษก็ไม่สบายพระทัย ในวันที่พระเจ้าโจยอยพาพระสนมเอกลงพระราชอุทยานนั้น พระมเหสีมอซือไม่ทราบกำหนดการมาก่อนจึงเสด็จลงพระราชอุทยานด้วย มีนางพระกำนัลตามเสด็จสิบสองคน

            พระมเหสีมอซือเสด็จลงอุทยานทอดพระเนตรมวลดอกไม้นานาพรรณเพื่อให้คลายความทุกข์พระทัย พลันได้ยินเสียงมโหรีขับกล่อมจึงตรัสถามนางกำนัลผู้รักษาเวรในพระราชอุทยานว่า เสียงมโหรีขับกล่อมนั้นเสนาะโสตนัก มีราชการประการใดหรือ

            นางกำนัลไม่อาจงำความพระมเหสีได้ จึงทูลความไปตามจริงว่ามิได้มีราชการสิ่งใด เป็นแต่ฮ่องเต้พาพระสนมเอกลงอุทยาน และโปรดให้แต่งโต๊ะเสวยน้ำจัณฑ์ มีมโหรีขับกล่อมและให้นางบำเรอฟ้อนถวายเท่านั้น

            พระมเหสีได้ฟังดังนั้นก็น้อยพระทัย รีบเสด็จกลับพระตำหนัก

            วันรุ่งขึ้นพระมเหสีเสด็จพระราชดำเนินอยู่ในบริเวณกลุ่มพระตำหนักฝ่ายใน สวนทางกับพระเจ้าโจยอยซึ่งกำลังจะเสด็จจากพระตำหนักที่ประทับไปยังพระตำหนักของพระสนมเอก พระมเหสีถวายบังคมตามประเพณีแล้วทรงพระสรวล และมีพระราชเสาวนีย์ว่า “เวลาวานนี้พระองค์เสด็จไปประพาสสวนดอกไม้ ข้าพเจ้าเห็นจะมีความสุขสบายหาที่สุดมิได้”

            พระเจ้าโจยอยได้ยินพระราชเสาวนีย์ดังนั้นก็ทรงกริ้ว สำคัญว่านางกำนัล ขันทีและทหารรับใช้ในพระราชอุทยานไม่เคารพรับสั่งที่ทรงกำชับห้ามนำความที่เสด็จลงอุทยานกับพระสนมเอกไปแพร่งพรายแก่พระมเหสี จึงทรงเบือนพระพักตร์หนีพระมเหสี แล้วตรัสสั่งให้ทหารองครักษ์ยกกำลังไปจับกุมบรรดานางกำนัล คนรับใช้ และขันทีซึ่งมีหน้าที่อยู่ใน พระราชอุทยานทั้งหมด และให้เอาตัวไปประหารชีวิตฐานขัดรับสั่งเสียทั้งสิ้น

            พระมเหสีมอซือเห็นพระเจ้าโจยอยทรงพระพิโรธและลงพระราชอาชญาแก่คนทั้งปวงถึงประหารชีวิตดังนั้นก็ตกพระทัย รีบถวายบังคมแล้วเสด็จกลับไปพระตำหนัก

            พระมเหสีเสด็จถึงพระตำหนักยังไม่ทันหายตกพระทัย นางกำนัลได้วิ่งด้วยความตกอกตกใจเข้ามากราบทูลพระมเหสีว่า ฮ่องเต้โปรดให้กงกงพระราชทานเครื่องประหารแด่พระองค์

            พระมเหสีได้ยินดังนั้นก็ตกพระทัย พอดีขันทีได้ถือถาดสิ่งของเข้ามาถึงแล้วกราบทูลพระมเหสีว่า ฮ่องเต้ได้พระราชทานของเหล่านี้แด่พระองค์ สุดแท้จะทรงพิจารณาเถิด

            พระมเหสีมองไปที่ถาดเห็นมีกระบี่เล่มหนึ่ง มีป้านสุราพร้อมกับจอก และมีผ้าไหมพับอยู่อีกแถบหนึ่ง ก็ทรงรู้ความหมายว่าพระเจ้าโจยอยพระราชทานโทษประหารชีวิตให้พระองค์ทรงเลือกเองว่าจะใช้กระบี่เชือดคอตาย หรือดื่มสุราพิษ หรือเอาแถบผ้าไหมผูกคอตาย จึงทรงกันแสง

            ขันทีเห็นดังนั้นจึงกราบทูลว่า ฮ่องเต้พระราชทานมาดังนี้แล้ว พระองค์อย่าทรงเนิ่นช้าสืบไปเลย ข้าพระองค์จะได้นำความไปกราบบังคมทูลได้ตามหน้าที่ พระมเหสีได้ยินดังนั้นก็ยิ่งทรงกันแสง ขันทีได้นำถาดเข้ามาถวายถึงพระหัตถ์ พระมเหสีเห็นว่าไม่มีทางเอาชีวิตรอดได้อีก จึงหยิบเอาป้านสุรารินใส่จอกแล้วเสวย ครู่หนึ่งเลือดก็ไหลออกจากปากและจมูก แล้วสิ้นพระชนม์ในที่นั้น

            ขันทีเห็นพระมเหสีสิ้นพระชนม์แล้วจึงกลับออกไปจากพระตำหนักแล้วเข้าไปเฝ้าพระเจ้าโจยอย กราบบังคมทูลความให้ทรงทราบทุกประการ พระเจ้าโจยอยทราบความก็ทรงดีพระทัย ตรัสกับพระสนมเอกว่าเจ้าได้ประจักษ์น้ำใจรักของเราแล้วมิใช่หรือ

            พระสนมเอกได้ยินดังนั้นก็ลงมาคุกเข่าโขกศีรษะกับพื้นถวายบังคมพระเจ้าโจยอยแล้วกราบทูลว่า หม่อมฉันขอถวายความจงรักภักดีรับใช้สนองเบื้องพระยุคลบาทไปจนกว่าชีวิตจะหาไม่ กราบทูลแล้วพระสนมเอกก็คลานเข้าไปกอดพระบาทของพระเจ้าโจยอยเอาไว้แน่น ซบหน้าลงกับตักของพระเจ้าโจยอยแล้วร้องไห้ พระเจ้าโจยอยเห็นดังนั้นก็ยิ่งมีน้ำพระทัยสงสาร และยิ่งลุ่มหลงเป็นอันมาก

            วันรุ่งขึ้นพระเจ้าโจยอยเสด็จออกว่าราชการ หลังจากสำนักราชเลขาธิการได้ประกาศข่าวการสิ้นพระชนม์ของพระมเหสีแล้ว พระเจ้าโจยอยจึงมีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าสถาปนาพระสนมเอกโกยฮุยหยินขึ้นเป็นที่พระมเหสีสืบแทนพระนางมอซือ

            ฝ่ายเมืองเลียวตั๋งซึ่งเป็นดินแดนทางภาคอีสานของแคว้นวุย เมื่อครั้งที่อ้วนชงและอ้วนฮีบุตรของอ้วนเสี้ยวหนีโจโฉไปพึ่งกองซุนของผู้เป็นเจ้าเมืองเลียวตั๋ง ครั้งนั้นกุยแกที่ปรึกษาคนสำคัญของโจโฉป่วยหนักใกล้ตายได้สั่งเสียความไว้ว่า ให้โจโฉตั้งมั่นอย่าเพิ่ง   ติดตามไปก็จะได้ตัวอ้วนชงและอ้วนฮี  โจโฉเชื่อฟังคำสั่งเสียของกุยแก ต่อมากองซุนของผู้เป็นเจ้าเมืองได้ตัดศีรษะของอ้วนชงและอ้วนฮีมามอบให้แก่โจโฉ

            โจโฉจึงกราบทูลพระเจ้าเหี้ยนเต้ให้โปรดเกล้าตั้งกองซุนของเป็นเจ้าเมืองเลียวตั๋ง เมื่อกองซุนของถึงแก่กรรม มีบุตรสองคนอายุยังเยาว์ไม่อาจทำหน้าที่เจ้าเมืองได้ กองซุนเกี๋ยนผู้น้องกองซุนของจึงได้ครองอำนาจเป็นเจ้าเมืองสืบต่อมา

            ครั้นถึงแผ่นดินพระเจ้าโจผีก็พระราชทานยศเลื่อนตำแหน่งให้กองซุนเกี๋ยนเป็นขุนพลผู้พิทักษ์ภาคอีสาน ต่อมาถึงแผ่นดินพระเจ้าโจยอย กองซุนเอี๋ยนบุตรคนที่สองของกองซุนของจำเริญวัยขึ้น ได้ร่ำเรียนความรู้วิชาการทั้งฝ่ายบุ๋นฝ่ายบู๊ครบครัน คบสมัครพรรคพวกเป็นอันมาก บรรดาขุนนางซึ่งเคยเป็นลูกน้องเก่าของกองซุนของซึ่งไม่พอใจกองซุนเกี๋ยน ได้ยุยงกองซุนเอี๋ยนว่าแผ่นดินเมืองเลียวตั๋งนี้เป็นของบิดาท่าน หาใช่สิทธิของกองซุนเกี๋ยนไม่ บัดนี้ท่านจำเริญวัยแล้ว ซึ่งกองซุนเกี๋ยนยังไม่ยอมเวนคืนอำนาจเจ้าเมืองให้ย่อมเป็นการก่อกบฎ หวังจะชิงเอาสมบัติไว้แก่ตัว

            กองซุนเอี๋ยนถูกยุยงมากเข้าก็ใคร่ได้อำนาจเจ้าเมืองกลับคืน จึงเข้าไปเจรจาว่ากล่าวกับกองซุนเกี๋ยนว่าบัดนี้ข้าพเจ้าจำเริญวัยแล้ว ขอให้ท่านอาเวนคืนเมืองเลียวตั๋งแก่ข้าพเจ้าตามประเพณี

            กองซุนเกี๋ยนครองอำนาจเจ้าเมืองแล้วก็ติดยึดในยศศักดิ์อำนาจวาสนา ไม่ยอมละวาง แต่ไม่อาจปฏิเสธโดยตรงให้ผิดประเพณีได้ จึงบ่ายเบี่ยงเลี่ยงไปว่าตัวเจ้ายังเยาว์นัก จะรีบร้อนไปไย เราดูแลการบ้านเมืองเป็นปกติดีอยู่ รอวันเวลาที่ตัวเจ้าอายุมากกว่านี้อีกสักหน่อยหนึ่งเราก็จะคืนเมืองให้

            กองซุนเอี๋ยนได้ฟังกองซุนเกี๋ยนก็รู้ว่ากองซุนเกี๋ยนไม่ยอมคืนอำนาจ จึงคบคิดกับบรรดาขุนนางฝ่ายทหารซึ่งหลายคนยังคงจงรักภักดีต่อกองซุนของ ก่อการรัฐประหารชิงอำนาจจากกองซุนเกี๋ยนผู้เป็นอา และตั้งตัวเป็นเจ้าเมืองสืบแทน

            ครั้นตั้งตัวเป็นเจ้าเมืองเลียวตั๋งแล้ว กองซุนเอี๋ยนยังคงเกรงอำนาจของวุยก๊ก จึงแต่งทูตเข้าไปกราบทูลความซึ่งกองซุนเกี๋ยนคิดฉ้อสมบัติ จึงจำต้องยึดอำนาจกลับคืน สืบทอดอำนาจของบิดา แต่ยังคงมีความจงรักภักดีต่อพระเจ้าโจยอยอยู่ จึงกราบบังคมทูลมาเพื่อทรงทราบและขอเป็นข้าในขอบขัณฑเสมาสืบไป พร้อมกับให้นำของบรรณาการขึ้นทูลเกล้าถวายเป็นอันมาก

            พระเจ้าโจยอยเห็นกองซุนเอี๋ยนยังมีความจงรักภักดีก็พอพระทัย เพราะการรบราฆ่าฟันภายในเมืองเลียวตั๋งไม่ใช่การใดของพระองค์ จึงโปรดเกล้าตั้งให้กองซุนเอี๋ยนเป็นขุนพลพิทักษ์ภาคอีสาน และเป็นเจ้าเมืองเลียวตั๋ง

            ต่อมาเมื่อพระเจ้าซุนกวนได้รับการร้องขอจากขงเบ้งให้ยกกองทัพไปตีเมืองลกเอี๋ยง พระเจ้าซุนกวนจึงแต่งราชทูตให้เชิญเครื่องราชบรรณาการไปมอบแก่กองซุนเอี๋ยน และพระราชทานอิสริยศักดิ์ตั้งให้กองซุนเอี๋ยนเป็นสมเด็จเจ้าพระยาในตำแหน่งเอี้ยนอ๋อง และขอให้กองซุนเอี๋ยนยกกองทัพตีกระหนาบวุยก๊กลงมาจากภาคอีสาน ประสานกับกองทัพเมืองกังตั๋งซึ่งจะยกขึ้นไปตีเมืองลกเอี๋ยงทางด้านใต้ และประสานกับกองทัพจ๊กก๊กที่ขงเบ้งยกเข้าตีทางตำบลเขากิสาน

            กองซุนเอี๋ยนทราบความจากราชทูตของพระเจ้าซุนกวนแล้ว เห็นว่าวุยก๊กยังเข้มแข็ง จึงไม่ยอมเป็นฝักฝ่ายกับพระเจ้าซุนกวน สั่งให้ประหารราชทูตของพระเจ้าซุนกวน และทหารติดตามขบวนราชทูตเสียทั้งสิ้น แล้วส่งศีรษะราชทูตพร้อมกับทำฎีกาส่งไปถวายพระเจ้าโจยอย กราบบังคมทูลให้พระเจ้าโจยอยทรงทราบความทุกประการ

            พระเจ้าโจยอยได้รับศีรษะราชทูตเมืองกังตั๋งและฎีการายงานความของกองซุนเอี๋ยนแล้วก็ทรงดีพระทัย ทรงปรารภว่ากองซุนเอี๋ยนมีความจงรักภักดี ไม่เข้าด้วยข้าศึก มีความชอบเป็นอันมาก จึงโปรดให้เลื่อนตำแหน่งของกองซุนเอี๋ยนขึ้นเป็นที่รองสมุหนายกปกครองภาคอีสาน และพระราชทานเครื่องยศ เงินทอง ข้าวของเป็นอันมาก

            กองซุนเอี๋ยนได้รับพระราชทานตำแหน่งสูงขึ้นก็กำเริบใจ และเห็นว่าซึ่งพระเจ้าโจยอยพระราชทานตำแหน่งและของพระราชทานมากมายดังนี้ เป็นเพราะแผ่นดินวุยก๊กซึ่งดูภายนอกเหมือนเข้มแข็งแต่ภายในนั้นย่อมอ่อนแอ จึงเกรงกลัวเมืองเลียวตั๋งเรา เมื่อเป็นดังนี้เราจะเกรงกลัววุยก๊กไปไยกัน

            กองซุนเอี๋ยนจึงปรึกษาด้วยขุนนางข้าราชการทั้งปวงว่าแผ่นดินเมืองเลียวตั๋งกว้างใหญ่อุดมสมบูรณ์ มีกำลังทหารและเสบียงเป็นอันมาก ไฉนจะต้องยอมเป็นข้าขอบขัณฑสีมาของเมืองอื่น

            บรรดาขุนนางทั้งปวงได้ยินปรารภของกองซุนเอี๋ยนดังนั้นจึงพากันส่งเสริมสนับสนุนให้กองซุนเอี๋ยนตั้งตัวขึ้นเป็นฮ่องเต้ เป็นอิสระแก่ตน ไม่ขึ้นกับวุยก๊กสืบไป

            ฝ่ายแก่หวนซึ่งเป็นรองแม่ทัพ เห็นกองซุนเอี๋ยนกระทำการดังนั้นก็เกรงว่าวุยก๊กจะยกกองทัพมาปราบปราม จึงทัดทานกองซุนเอี๋ยนว่าบ้านเมืองสงบสุขสันติมาช้านาน ราษฎรได้ความสุข พระเจ้าโจยอยก็มีพระเมตตาทำนุบำรุงเลี้ยงดูท่านเป็นอันดี ไม่ชอบที่จะแข็งเมือง หากท่านฟังคำคนทั้งปวงเห็นแผ่นดินเลียวตั๋งจะเดือดร้อนเป็นมั่นคง

            ลุนติดซึ่งเป็นขุนนางผู้ใหญ่ ได้ยินคำแก่หวนดังนั้นก็กล่าวเสริมว่าซึ่งแก่หวนได้ทัดทานนี้ชอบด้วยประเพณีแต่ก่อนมา อนึ่งโบราณว่าไว้ว่าบ้านเมืองยามใกล้ร่วงลับดับสูญมักมีอาเพศบอกบ่งเหตุให้ได้รู้ ชั่วสองสามเดือนมานี้ในเมืองเลียวตั๋งเรามีเหตุการณ์ประหลาดพิสดารเกิดขึ้นหลายครั้งหลายหน สามก๊กฉบับสมบูรณ์ระบุเหตุการณ์นี้ว่า “มีสุนัขโพกผ้า ที่ตัวสวมเสื้อแดง ขึ้นหลังคาบ้านเดินเหมือนคนเรา อีกทั้งทางทิศใต้ของตัวเมืองมีชาวบ้านหุงข้าว ภายในหม้อนึ่งพลันมีเด็กเล็กถูกต้มตายอยู่ในหม้อนั้น และภายในตลาดด้านทิศเหนือเมืองเซียงเพ้ง พื้นที่เกิดถล่มเป็นหลุมหนึ่ง เกิดมีเนื้อก้อนหนึ่งพลุ่งขึ้นมา วัดรอบตัวได้หลายเชี๊ยะ มีศีรษะ ใบหน้า ตา ปาก จมูก ครบถ้วนแต่ไม่มีแขนขา คมมีดลูกเกาทัณฑ์มิสามารถจะทำให้บาดเจ็บได้ จึงมิรู้ว่าเป็นสิ่งของอะไร ผู้พยากรณ์เสี่ยงทายแล้วทำนายว่ามีร่างไม่สำเร็จ มีปากไม่มีเสียง ประเทศชาติจะล่มจมพินาศ จึงปรากฏรูปนี้ขึ้น มีเรื่องสามประการนี้ล้วนเป็นนิมิตไม่เป็นมงคล” จึงควรที่จะยับยั้งการประกาศเอกราชเอาไว้ก่อน.

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

ตัวอย่างกระทู้ธรรม ธรรมศึกษาชั้นตรี 5

I miss you all กับ I miss all of you ต่างกันอย่างไร

ปัญหาและเฉลยวิชาธรรม นักธรรมชั้นโท สอบในสนามหลวง วันเสาร์ ที่ ๑๙ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๔๘