ตอนที่ 581. เภทภัยของยาขม
หลังขงเบ้งถึงแก่ความตายทั้งสามก๊กต่างตกอยู่ในสภาพที่ไม่พร้อมรบ แต่ละก๊กจึงไม่กล้าก่อสงคราม ทำให้ภาวะสันติภาพชั่วคราวบังเกิดขี้น เพราะเหตุที่บ้านเมืองสงบสุขสันติดังนั้นลัทธิเสพสุขจึงบังเกิดขึ้นโดยทั่วไป การบริโภคส่วนเกินในทุกปริมณฑลได้ขยายตัวไปอย่างกว้างขวางในทุกก๊ก
ฝ่ายวุยก๊กพระเจ้าโจยอยได้แปรพระราชฐานมาประทับที่เมืองฮูโต๋ และได้โปรดเกล้าแต่งตั้งให้สุมาอี้เป็นที่มหาอุปราช แต่ให้มีอำนาจทางการทหารเฉพาะการดูแลป้องกันแนวชายแดน และให้เน้นในการระมัดระวังชายแดนด้านเมืองเสฉวน จึงตรัสสั่งให้สุมาอี้ไปตั้งกองบัญชาการอยู่ที่เมืองลกเอี๋ยง
สุมาอี้รับตำแหน่งแล้วจึงถวายบังคมลาพระเจ้าโจยอยออกไปอยู่เมืองลกเอี๋ยง
เพราะเหตุที่บ้านเมืองว่างศึกสงคราม พระเจ้าโจยอยจึงทรงมีพระราชปรารภว่าเกิดมาเป็นพระมหากษัตริย์อันประเสริฐ หากไม่ได้สร้างสรรค์สิ่งไรไว้ประดับพระบารมี วันเวลาล่วงไปเบื้องหน้าพระนามของพระองค์ก็จะเลือนหายไปในประวัติศาสตร์ ดังนั้นเพื่อธำรงพระนามของพระองค์ให้จีรังยั่งยืนตราบสิ้นฟ้าดินสลาย จึงมีพระราชดำริให้สร้างพระราชวังแห่งใหม่ขึ้นในเมืองลกเอี๋ยง
เมื่อมีพระราชดำริดังนั้นจึงตรัสสั่งให้ขุนนางตำแหน่งเจ้ากรมโยธาชื่อม้ากิ้นเป็นแม่กอง ทำการก่อสร้างพระราชวังแห่งใหม่ให้ยิ่งใหญ่ตระการตาเสมอด้วยพระราชวังของพระเจ้าจิ๋นซีฮ่องเต้ ให้ทำการก่อสร้างอย่างเร่งรีบ แม้จะใช้งบประมาณแผ่นดินเท่าใดก็ไม่ทรงจำกัด เพื่อการนี้ทรงตรัสสั่งให้ม้ากิ้นระดมช่างฝีมือทั่วแผ่นดินกว่าสามหมื่นคน และเกณฑ์ราษฎรอีกกว่าสามสิบหมื่นไปทำการก่อสร้างทั้งกลางวันและกลางคืน เร่งให้พระราชวังใหม่แล้วเสร็จโดยเร็วที่สุด
สามก๊กฉบับสมบูรณ์ระบุว่า พระราชวังแห่งใหม่นี้พระเจ้าโจยอยตรัสสั่งให้สร้างขึ้นที่เมืองฮูโต๋ โดยให้ก่อสร้างใหม่ทั้งกำแพงเมือง เชิงเทิน คูเมือง ปราสาทพระราชวัง และพระตำหนักต่าง ๆ สำหรับปราสาทนั้นกำหนดสูงถึงยี่สิบวา
สามก๊กฉบับภาษาจีนระบุว่า พระราชวังแห่งใหม่นี้พระเจ้าโจยอยตรัสสั่งให้สร้างเป็นพระราชวังหลวงแห่งหนึ่ง พระราชวังสำหรับที่ประทับในฤดูร้อนอีกแห่งหนึ่ง มี พระที่นั่งขนาดใหญ่ในพระราชวังแต่ละแห่งสำหรับเป็นที่ว่าราชการสูงยี่สิบวา กว้างสามสิบวา ยาวห้าสิบวา และพระตำหนักขนาดเล็กสำหรับข้าในพระองค์ทั้งฝ่ายหน้าฝ่ายในกว่าหนึ่งพันหลัง สำหรับพระราชวังที่ประทับในฤดูร้อนนั้นตรัสสั่งให้ขุดสระน้ำกว้างสิบเส้นยาวยี่สิบเส้น มีคูน้ำเชื่อมจากสระกับคูรอบพระราชวัง ให้สร้างหอสูงเจ็ดชั้นสำหรับประทับทอดพระเนตรความงามของพระราชวัง พระราชทานนามพระราชวังใหญ่ว่าพระราชวังสุริยันสถิต พระราชวังที่ประทับในฤดูร้อนว่าเริงจิตหฤหรรษ์ พระราชทานนามพระที่นั่งใหญ่อันเป็นที่ว่าราชการว่าพระที่นั่งทวยราษฎร์ภักดี พระตำหนักใหญ่ในพระราชวังที่ประทับในฤดูร้อนว่าพระตำหนักมณีพิมาน พระราชทานนามสำหรับหอสูงเจ็ดชั้นว่าหอจักรวาลทัศนา พระราชทานนามสำหรับสระใหญ่ว่าเก้ามังกรกมลาลัย พระราชวัง พระที่นั่ง พระตำหนัก และหอสูงให้มุงหลังคาด้วยกระเบื้องพิเศษสีเหลืองสำหรับพระมหากษัตริย์ พื้นปูหินภูเขาพิเศษสีแดงล้วน กำแพงทาสีปูนแดง ตามผนังและเพดานวาดลวดลายประดิษฐ์จำลองเรื่องราวในประวัติศาสตร์ มุขและหน้าบรรณแกะสลักด้วยไม้งดงามวิจิตร ให้เกณฑ์เอาไม้และอุปกรณ์การก่อสร้างมาจากหัวเมืองทั้งปวง
ทรงกำชับม้ากิ้นให้เร่งการก่อสร้างให้แล้วเสร็จภายในสิบแปดเดือน หากล่าช้ากว่ากำหนดก็จะลงโทษประหารชีวิต ม้ากิ้นเกรงพระราชอาญาจึงเร่งการก่อสร้างทั้งวันคืน ครั้นการก่อสร้างผ่านไปหกเดือนม้ากิ้นเกรงว่าการก่อสร้างจะไม่แล้วเสร็จตามกำหนด จึงขอ พระบรมราชานุญาตให้เกณฑ์ทหารเลวและขุนนางผู้น้อยเพิ่มเติมอีกสิบหมื่นไปทำการ ก่อสร้าง พระเจ้าโจยอยก็ทรงโปรดอนุญาตตามที่ทูลขอทุกประการ
ขุนนาง ทหาร และราษฎรทั้งที่ถูกเกณฑ์มาทำการก่อสร้างและทั้งที่ถูกเกณฑ์เอาวัสดุสิ่งของต่าง ๆ พากันเดือดร้อนทุกหย่อมหญ้า เสียงครหานินทากึกก้องกังวานไปทั้งแคว้นวุย บรรดาช่างและคนทำงานทั้งปวงหากป่วยเจ็บก็ไม่อนุญาตให้พักและต้องทำงานเพื่อให้งานแล้วเสร็จตามกำหนด ผู้คนล้มตายเจ็บป่วยเป็นอันมาก มีลักษณาการอย่างเดียวกันกับเมื่อครั้งที่พระเจ้าจิ๋นซีฮ่องเต้ทรงสร้างกำแพงเมืองจีน
ฝ่ายตังสิมขุนนางฝ่ายบุ๋นผู้ภักดี ได้ยินคำครหานินทาที่ดังก้องกระหึ่มและได้ทราบความเดือดร้อนของผู้คนทั้งปวงก็มีน้ำใจสงสาร ทั้ง ๆ ที่ทราบว่าการคัดค้านทัดทานห้ามปรามนั้นผลร้ายมีแต่จะเกิดกับตัว ก็ยังคงปรึกษาด้วยเพื่อนขุนนาง แต่ ทุกคนได้ตอบเป็นเสียงเดียวกันว่าเวลานี้น้ำเชี่ยวจัดนัก หากเอาเรือเข้าไปขวางก็มีแต่จะล่มจมลงเป็นแน่แท้ ต่างคนจึงต่างพากันนิ่งเฉย
ตังสิมเห็นดังนั้นก็โกรธ รำพึงในใจว่าคนทั้งปวงล้วนแต่รักตัวกลัวตาย คิดถึงแต่ความสุขส่วนตัว ไม่คิดถึงความเดือดร้อนของอาณาประชาราษฎรและความฉิบหายของบ้านเมือง เพราะบ้านเมืองนั้นแม้จะว่างเว้นศึกแต่การพัฒนาบ้านเมืองก็ยังคงต้องดำเนินต่อไปเพื่อความร่มเย็นเป็นสุขของอาณาประชาราษฎร การที่ฮ่องเต้ระดมเงินจากท้องพระคลังหลวงและวัสดุอุปกรณ์ ตลอดจนแรงงานจำนวนมหาศาลมาทำการก่อสร้างซึ่งไม่สร้างผลผลิต ทำให้แผ่นดินขาดแคลนซึ่งเงินลงทุนในการพัฒนาประเทศ ทำให้ประเทศต้องอ่อนแอล้าหลัง ประวัติศาสตร์ได้ให้บทพิสูจน์แจ่มแจ้งแล้วว่าหากทุ่มเทงบประมาณไปใช้ในการก่อสร้างถาวรวัตถุที่ไม่เพิ่มผลผลิต อาณาจักรนั้น ๆ ย่อมถึงวันดับสูญ ตัวอย่างมีให้เห็นเป็นอันมาก เวลาบัดนี้ผู้คนเดือดร้อนทั้งแผ่นดิน ซึ่งตัวเราจะมาคำนึงถึงความสุขส่วนตัว คิดเอาตัวรอดย่อมไม่ชอบ แต่การซึ่งจะนำความกราบบังคมทูลคัดค้านนั้นเล่า ดีร้ายโทษตายก็จะมาถึงตัว
ตังสิมคิดไปคิดมาเป็นหลายวัน ในที่สุดก็ตัดสินใจแต่งฎีกาขึ้นฉบับหนึ่งใจความว่านับแต่ศักราชเจี้ยนอันมาจนถึงบัดนี้ แผ่นดินเกิดจลาจลเป็นสงครามต่อเนื่องยาวนาน ราษฎรบ้านแตกสาแหรกขาด ควรที่จะฟื้นฟูพัฒนาประเทศชาติให้เจริญรุ่งเรืองก้าวหน้า ทำให้ชาวนาชาวไร่มีสภาพชีวิตความเป็นอยู่และรายได้ที่ดีขึ้น เพิ่มผลผลิตของประเทศชาติ สร้างสรรค์รายได้ให้กับประเทศ และนำไปสู่การพัฒนาต่อไป ไม่ชอบที่จะลงทุนในการก่อสร้างถาวรวัตถุที่มิได้ให้ผลตอบแทนบังเกิดแก่ราษฎร การก่อสร้างครั้งใหญ่ในแผ่นดินนี้ประเทศชาติต้องสูญเสียงบประมาณและทรัพยากรนับไม่ถ้วน ขุนนางและทหารถูกย่ำยีเกียรติยศ ลดฐานะลงไปทำหน้าที่แบกหาม ไม่ชอบด้วยธรรมเนียมแต่โบราณมา ขงจื๊อได้กล่าวไว้ว่าใช้ขุนนางต้องให้เกียรติ รับใช้ฮ่องเต้ต้องถวายความจงรักภักดี ดังนี้แล้วพระราชอาณาจักรก็จะมั่นคงมั่งคั่ง ข้าพระองค์ทราบดีว่าการกราบบังคมพระกรุณาเพื่อให้ระงับการก่อสร้างย่อมมีโทษถึงตาย ถึงกระนั้นก็ไม่อาจทนได้ยินได้ฟังเสียงร่ำไห้ของราษฎรทั้งปวงได้ จึงขอเอาชีวิตเป็นเดิมพันด้วยใจมั่นภักดีต่อพระองค์ ถือว่ายาขมย่อมมีประโยชน์ต่อการรักษาโรค คำกราบทูลที่ไม่ต้องพระทัยย่อมมีประโยชน์ จึงขอกราบบังคมทูลความซึ่งอาจไม่ต้องพระทัย ให้ทรงระงับยับยั้งการก่อสร้างเอาไว้ก่อน ให้ราษฎรได้ประกอบสัมมาอาชีพโดยปกติสุข ให้ทหารและขุนนางได้ทำราชการสนองพระคุณเพื่อความผาสุขของราษฎรแทนการแบกหาม อนึ่งเล่าแม้แผ่นดินว่างศึกก็ไม่อาจไว้วางใจได้ หากข้าศึกรู้ก็อาจจะยกกองทัพมาย่ำยี แผ่นดินก็จะเป็นอันตราย ขอได้ทรงพระกรุณาวินิจฉัย ด้วยเกล้าด้วยกระหม่อม
ครั้นถึงวันที่พระเจ้าโจยอยเสด็จออกว่าราชการ ตังสิมจึงนำฎีกาขึ้นทูลเกล้าถวายแล้วคุกเข่าหมอบถวายบังคมอยู่เบื้องหน้าพระราชบัลลังก์ประหนึ่งเตรียมตัวพร้อมรับความตาย
พระเจ้าโจยอยรับฎีกาของตังสิมมาอ่านตลอดแล้ว จึงพระราชทานฎีกาของตังสิมให้แก่ราชเลขาธิการ แต่ไม่ได้ทรงตรัสประการใด
ครั้นเสด็จขึ้นแล้วบรรดาขุนนางต่างแปลกใจว่าเหตุไฉนฮ่องเต้ทอดพระเนตรฎีกาของตังสิมแล้วจึงมีพระอาการไม่พอพระทัย จึงพากันไต่ถามความจากราชเลขาธิการ ครั้นทราบความแล้วต่างคนต่างส่ายศีรษะแล้วกลับไปเรือน
ต่อมาขุนนางหลายคนซึ่งบางคนไม่พอใจตังสิมมาแต่เดิม บางคนเป็นพวกช่างเพ็ดทูลเพื่อเอาความชอบ ได้พากันเข้าไปเฝ้าพระเจ้าโจยอยเป็นการส่วนพระองค์ แล้วกราบบังคมทูลว่าซึ่งตังสิมบังอาจคัดค้านพระราชดำรินั้นเป็นการล่วงพระราชอาญา และหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ ทำตัวเป็นผู้รู้สั่งสอนฮ่องเต้ พึงมีโทษถึงตาย ขอให้พระองค์ทรงลงพระอาญาประหารชีวิตตังสิมเสีย
พระเจ้าโจยอยแม้จะขุ่นพระทัยตังสิม แต่ก็ยังคงเป็นพระมหากษัตริย์ที่รู้ผิดชอบ พอได้ฟังคำขุนนางดังนั้นจึงตรัสว่า “ตังสิมเป็นคนเก่า มีความชอบอยู่ ซึ่งจะฆ่าเสียนั้นไม่ได้”
แต่ใจคนไหนเลยจะทนน้ำคำเพ็ดทูลของขุนนางจำพวกลิ้นยาวได้ พระเจ้าโจยอยได้ฟังคำเพ็ดทูลของขุนนางเหล่านั้นอีกพักใหญ่ก็ทรงพระโกรธ ตรัสสั่งให้ถอดตังสิมออกจากขุนนางลงเป็นไพร่ และให้ไปทำการก่อสร้างพระราชวังกับราษฎรทั้งปวง
เมื่อถอดตังสิมออกจากตำแหน่งแล้ว พระเจ้าโจยอยเกรงว่าจะมีขุนนางอื่นคัดค้านทัดทานให้ระงับการก่อสร้างอีก จึงตรัสสั่งให้ออกหมายประกาศทั่วไปว่าถ้าผู้ใดนำความมากราบทูลให้ระงับยับยั้งการก่อสร้างอีกจะถือเป็นความผิดฉกรรจ์ และจะลงโทษประหารชีวิต
ฝ่ายเตียวบ้อซึ่งเป็นเพื่อนเรียนหนังสือมากับพระเจ้าโจยอยเมื่อครั้งยังทรง พระเยาว์และได้รับราชการเป็นขุนนาง ได้ยินคำครหานินทาตำหนิติเตียนพระเจ้าโจยอยว่าทรงคิดแต่ความสุขและชื่อเสียงส่วนพระองค์ ไม่คำนึงถึงความเดือดร้อนของราษฎรและความเสียหายของบ้านเมือง ก็เกรงว่าสหายตนจะได้รับอันตรายเพราะคิดว่าอำนาจของฮ่องเต้นั้นอุปมาดั่งแผ่นฟ้า สูงส่งสง่างามได้ก็เพราะแผ่นดินคืออาณาประชาราษฎร ฟ้าปกดินแต่ดินก็เทิดฟ้า หากอาณาประชาราษฎรไม่ยินยอมพร้อมใจ ฮ่องเต้ก็ไม่อาจปกครองแผ่นดินได้ และคิดว่าเคยเป็นสหายร่วมเรียนหนังสือกันมาแต่น้อย แม้จะมีหมายรับสั่งคาดโทษฉกรรจ์ไว้ก็คงจะได้รับการผ่อนผันอภัยโทษให้
เมื่อห่วงกังวลพระเจ้าโจยอยดังนี้แล้ว เตียวบ้อจึงเข้าไปเฝ้าพระเจ้าโจยอย และกราบทูลถวายฎีกาให้ทรงระงับดับทุกข์เข็ญของบ้านเมืองและราษฎรด้วยการระงับการก่อสร้างพระราชวังเอาไว้ก่อน
พระเจ้าโจยอยได้ฟังคำกราบทูลของเตียวบ้อก็ทรงพระพิโรธดั่งกองเพลิงถูกสาดด้วยน้ำมัน พระเจ้าโจยอยไม่ตรัสตอบเตียวบ้อแม้แต่สักคำเดียว กลับตรัสสั่งให้ทหารจับตัวเตียวบ้อเอาไปตัดศีรษะในทันที
อนาถหนอเตียวบ้อและตังสิมที่มุ่งถือเอาความจงรักภักดีและห่วงหาอาทรต่อผู้เป็นนาย หลงคิดว่ายาขมแล้วจะรักษาโรคได้เสมอไป หาได้คิดไม่ว่าหากคนไข้ไม่ยอมดื่มยาแล้วพาลโกรธ เอาถ้วยยาทุบศีรษะหมอก็ย่อมถึงตายได้เช่นเดียวกัน นี่แหละที่โบราณว่าไว้ว่าอันพระมหากษัตริย์นั้นดุจดังดวงอาทิตย์ แม้จะยังสรรพชีวิตให้ดำเนินไปแต่ก็อาจเผาผลาญสิ่งทั้งหลายให้มอดมลายได้ในพริบตา ความผูกพันสนิทสนมแน่นแฟ้นกับผู้มีอำนาจในอดีตนั้นย่อมเป็นเรื่องของอดีต ไม่อาจยึดถือมาผูกพันสนิทสนมแน่นแฟ้นในยามมีอำนาจในปัจจุบันได้ หากใครหลงยึดถือว่าปัจจุบันเป็นเหมือนกับอดีตก็ย่อมมีอนาคตที่เป็นเช่นเดียวกับเตียวบ้อและตังสิมนั่นแล
หลังจากประหารชีวิตเตียวบ้อแล้วพระเจ้าโจยอยก็รู้สึกเสียพระทัย เพราะทรงรู้ดีว่าเตียวบ้อนั้นเป็นสหายสนิทร่วมสำนักมาแต่น้อยน่าจะรู้น้ำใจดี ไม่ชอบที่จะมาขัดขวางทัดทานให้ขัดอัชฌาสัย แต่ก็ทรงคิดว่าสิ่งที่เตียวบ้อกราบทูลนั้นหาใช่ประโยชน์ใดของเตียวบ้อไม่ หากเป็นไปเพื่อประโยชน์ของพระองค์โดยแท้ รู้สึกดังนั้นแล้วพระเจ้าโจยอยก็สงสัยว่าที่ม้ากิ้นทำรายงานกราบทูลตลอดมาว่าคนทั้งปวงมีความจงรักภักดี จึงตั้งหน้าทำการ ก่อสร้างสนองพระคุณด้วยความยินดีนั้นจะเป็นจริงหรือไฉน
พระเจ้าโจยอยจึงตรัสสั่งให้เรียกม้ากิ้นมาสอบถาม หวังจะทราบความจริงที่เป็นไปในการก่อสร้าง.
ฝ่ายวุยก๊กพระเจ้าโจยอยได้แปรพระราชฐานมาประทับที่เมืองฮูโต๋ และได้โปรดเกล้าแต่งตั้งให้สุมาอี้เป็นที่มหาอุปราช แต่ให้มีอำนาจทางการทหารเฉพาะการดูแลป้องกันแนวชายแดน และให้เน้นในการระมัดระวังชายแดนด้านเมืองเสฉวน จึงตรัสสั่งให้สุมาอี้ไปตั้งกองบัญชาการอยู่ที่เมืองลกเอี๋ยง
สุมาอี้รับตำแหน่งแล้วจึงถวายบังคมลาพระเจ้าโจยอยออกไปอยู่เมืองลกเอี๋ยง
เพราะเหตุที่บ้านเมืองว่างศึกสงคราม พระเจ้าโจยอยจึงทรงมีพระราชปรารภว่าเกิดมาเป็นพระมหากษัตริย์อันประเสริฐ หากไม่ได้สร้างสรรค์สิ่งไรไว้ประดับพระบารมี วันเวลาล่วงไปเบื้องหน้าพระนามของพระองค์ก็จะเลือนหายไปในประวัติศาสตร์ ดังนั้นเพื่อธำรงพระนามของพระองค์ให้จีรังยั่งยืนตราบสิ้นฟ้าดินสลาย จึงมีพระราชดำริให้สร้างพระราชวังแห่งใหม่ขึ้นในเมืองลกเอี๋ยง
เมื่อมีพระราชดำริดังนั้นจึงตรัสสั่งให้ขุนนางตำแหน่งเจ้ากรมโยธาชื่อม้ากิ้นเป็นแม่กอง ทำการก่อสร้างพระราชวังแห่งใหม่ให้ยิ่งใหญ่ตระการตาเสมอด้วยพระราชวังของพระเจ้าจิ๋นซีฮ่องเต้ ให้ทำการก่อสร้างอย่างเร่งรีบ แม้จะใช้งบประมาณแผ่นดินเท่าใดก็ไม่ทรงจำกัด เพื่อการนี้ทรงตรัสสั่งให้ม้ากิ้นระดมช่างฝีมือทั่วแผ่นดินกว่าสามหมื่นคน และเกณฑ์ราษฎรอีกกว่าสามสิบหมื่นไปทำการก่อสร้างทั้งกลางวันและกลางคืน เร่งให้พระราชวังใหม่แล้วเสร็จโดยเร็วที่สุด
สามก๊กฉบับสมบูรณ์ระบุว่า พระราชวังแห่งใหม่นี้พระเจ้าโจยอยตรัสสั่งให้สร้างขึ้นที่เมืองฮูโต๋ โดยให้ก่อสร้างใหม่ทั้งกำแพงเมือง เชิงเทิน คูเมือง ปราสาทพระราชวัง และพระตำหนักต่าง ๆ สำหรับปราสาทนั้นกำหนดสูงถึงยี่สิบวา
สามก๊กฉบับภาษาจีนระบุว่า พระราชวังแห่งใหม่นี้พระเจ้าโจยอยตรัสสั่งให้สร้างเป็นพระราชวังหลวงแห่งหนึ่ง พระราชวังสำหรับที่ประทับในฤดูร้อนอีกแห่งหนึ่ง มี พระที่นั่งขนาดใหญ่ในพระราชวังแต่ละแห่งสำหรับเป็นที่ว่าราชการสูงยี่สิบวา กว้างสามสิบวา ยาวห้าสิบวา และพระตำหนักขนาดเล็กสำหรับข้าในพระองค์ทั้งฝ่ายหน้าฝ่ายในกว่าหนึ่งพันหลัง สำหรับพระราชวังที่ประทับในฤดูร้อนนั้นตรัสสั่งให้ขุดสระน้ำกว้างสิบเส้นยาวยี่สิบเส้น มีคูน้ำเชื่อมจากสระกับคูรอบพระราชวัง ให้สร้างหอสูงเจ็ดชั้นสำหรับประทับทอดพระเนตรความงามของพระราชวัง พระราชทานนามพระราชวังใหญ่ว่าพระราชวังสุริยันสถิต พระราชวังที่ประทับในฤดูร้อนว่าเริงจิตหฤหรรษ์ พระราชทานนามพระที่นั่งใหญ่อันเป็นที่ว่าราชการว่าพระที่นั่งทวยราษฎร์ภักดี พระตำหนักใหญ่ในพระราชวังที่ประทับในฤดูร้อนว่าพระตำหนักมณีพิมาน พระราชทานนามสำหรับหอสูงเจ็ดชั้นว่าหอจักรวาลทัศนา พระราชทานนามสำหรับสระใหญ่ว่าเก้ามังกรกมลาลัย พระราชวัง พระที่นั่ง พระตำหนัก และหอสูงให้มุงหลังคาด้วยกระเบื้องพิเศษสีเหลืองสำหรับพระมหากษัตริย์ พื้นปูหินภูเขาพิเศษสีแดงล้วน กำแพงทาสีปูนแดง ตามผนังและเพดานวาดลวดลายประดิษฐ์จำลองเรื่องราวในประวัติศาสตร์ มุขและหน้าบรรณแกะสลักด้วยไม้งดงามวิจิตร ให้เกณฑ์เอาไม้และอุปกรณ์การก่อสร้างมาจากหัวเมืองทั้งปวง
ทรงกำชับม้ากิ้นให้เร่งการก่อสร้างให้แล้วเสร็จภายในสิบแปดเดือน หากล่าช้ากว่ากำหนดก็จะลงโทษประหารชีวิต ม้ากิ้นเกรงพระราชอาญาจึงเร่งการก่อสร้างทั้งวันคืน ครั้นการก่อสร้างผ่านไปหกเดือนม้ากิ้นเกรงว่าการก่อสร้างจะไม่แล้วเสร็จตามกำหนด จึงขอ พระบรมราชานุญาตให้เกณฑ์ทหารเลวและขุนนางผู้น้อยเพิ่มเติมอีกสิบหมื่นไปทำการ ก่อสร้าง พระเจ้าโจยอยก็ทรงโปรดอนุญาตตามที่ทูลขอทุกประการ
ขุนนาง ทหาร และราษฎรทั้งที่ถูกเกณฑ์มาทำการก่อสร้างและทั้งที่ถูกเกณฑ์เอาวัสดุสิ่งของต่าง ๆ พากันเดือดร้อนทุกหย่อมหญ้า เสียงครหานินทากึกก้องกังวานไปทั้งแคว้นวุย บรรดาช่างและคนทำงานทั้งปวงหากป่วยเจ็บก็ไม่อนุญาตให้พักและต้องทำงานเพื่อให้งานแล้วเสร็จตามกำหนด ผู้คนล้มตายเจ็บป่วยเป็นอันมาก มีลักษณาการอย่างเดียวกันกับเมื่อครั้งที่พระเจ้าจิ๋นซีฮ่องเต้ทรงสร้างกำแพงเมืองจีน
ฝ่ายตังสิมขุนนางฝ่ายบุ๋นผู้ภักดี ได้ยินคำครหานินทาที่ดังก้องกระหึ่มและได้ทราบความเดือดร้อนของผู้คนทั้งปวงก็มีน้ำใจสงสาร ทั้ง ๆ ที่ทราบว่าการคัดค้านทัดทานห้ามปรามนั้นผลร้ายมีแต่จะเกิดกับตัว ก็ยังคงปรึกษาด้วยเพื่อนขุนนาง แต่ ทุกคนได้ตอบเป็นเสียงเดียวกันว่าเวลานี้น้ำเชี่ยวจัดนัก หากเอาเรือเข้าไปขวางก็มีแต่จะล่มจมลงเป็นแน่แท้ ต่างคนจึงต่างพากันนิ่งเฉย
ตังสิมเห็นดังนั้นก็โกรธ รำพึงในใจว่าคนทั้งปวงล้วนแต่รักตัวกลัวตาย คิดถึงแต่ความสุขส่วนตัว ไม่คิดถึงความเดือดร้อนของอาณาประชาราษฎรและความฉิบหายของบ้านเมือง เพราะบ้านเมืองนั้นแม้จะว่างเว้นศึกแต่การพัฒนาบ้านเมืองก็ยังคงต้องดำเนินต่อไปเพื่อความร่มเย็นเป็นสุขของอาณาประชาราษฎร การที่ฮ่องเต้ระดมเงินจากท้องพระคลังหลวงและวัสดุอุปกรณ์ ตลอดจนแรงงานจำนวนมหาศาลมาทำการก่อสร้างซึ่งไม่สร้างผลผลิต ทำให้แผ่นดินขาดแคลนซึ่งเงินลงทุนในการพัฒนาประเทศ ทำให้ประเทศต้องอ่อนแอล้าหลัง ประวัติศาสตร์ได้ให้บทพิสูจน์แจ่มแจ้งแล้วว่าหากทุ่มเทงบประมาณไปใช้ในการก่อสร้างถาวรวัตถุที่ไม่เพิ่มผลผลิต อาณาจักรนั้น ๆ ย่อมถึงวันดับสูญ ตัวอย่างมีให้เห็นเป็นอันมาก เวลาบัดนี้ผู้คนเดือดร้อนทั้งแผ่นดิน ซึ่งตัวเราจะมาคำนึงถึงความสุขส่วนตัว คิดเอาตัวรอดย่อมไม่ชอบ แต่การซึ่งจะนำความกราบบังคมทูลคัดค้านนั้นเล่า ดีร้ายโทษตายก็จะมาถึงตัว
ตังสิมคิดไปคิดมาเป็นหลายวัน ในที่สุดก็ตัดสินใจแต่งฎีกาขึ้นฉบับหนึ่งใจความว่านับแต่ศักราชเจี้ยนอันมาจนถึงบัดนี้ แผ่นดินเกิดจลาจลเป็นสงครามต่อเนื่องยาวนาน ราษฎรบ้านแตกสาแหรกขาด ควรที่จะฟื้นฟูพัฒนาประเทศชาติให้เจริญรุ่งเรืองก้าวหน้า ทำให้ชาวนาชาวไร่มีสภาพชีวิตความเป็นอยู่และรายได้ที่ดีขึ้น เพิ่มผลผลิตของประเทศชาติ สร้างสรรค์รายได้ให้กับประเทศ และนำไปสู่การพัฒนาต่อไป ไม่ชอบที่จะลงทุนในการก่อสร้างถาวรวัตถุที่มิได้ให้ผลตอบแทนบังเกิดแก่ราษฎร การก่อสร้างครั้งใหญ่ในแผ่นดินนี้ประเทศชาติต้องสูญเสียงบประมาณและทรัพยากรนับไม่ถ้วน ขุนนางและทหารถูกย่ำยีเกียรติยศ ลดฐานะลงไปทำหน้าที่แบกหาม ไม่ชอบด้วยธรรมเนียมแต่โบราณมา ขงจื๊อได้กล่าวไว้ว่าใช้ขุนนางต้องให้เกียรติ รับใช้ฮ่องเต้ต้องถวายความจงรักภักดี ดังนี้แล้วพระราชอาณาจักรก็จะมั่นคงมั่งคั่ง ข้าพระองค์ทราบดีว่าการกราบบังคมพระกรุณาเพื่อให้ระงับการก่อสร้างย่อมมีโทษถึงตาย ถึงกระนั้นก็ไม่อาจทนได้ยินได้ฟังเสียงร่ำไห้ของราษฎรทั้งปวงได้ จึงขอเอาชีวิตเป็นเดิมพันด้วยใจมั่นภักดีต่อพระองค์ ถือว่ายาขมย่อมมีประโยชน์ต่อการรักษาโรค คำกราบทูลที่ไม่ต้องพระทัยย่อมมีประโยชน์ จึงขอกราบบังคมทูลความซึ่งอาจไม่ต้องพระทัย ให้ทรงระงับยับยั้งการก่อสร้างเอาไว้ก่อน ให้ราษฎรได้ประกอบสัมมาอาชีพโดยปกติสุข ให้ทหารและขุนนางได้ทำราชการสนองพระคุณเพื่อความผาสุขของราษฎรแทนการแบกหาม อนึ่งเล่าแม้แผ่นดินว่างศึกก็ไม่อาจไว้วางใจได้ หากข้าศึกรู้ก็อาจจะยกกองทัพมาย่ำยี แผ่นดินก็จะเป็นอันตราย ขอได้ทรงพระกรุณาวินิจฉัย ด้วยเกล้าด้วยกระหม่อม
ครั้นถึงวันที่พระเจ้าโจยอยเสด็จออกว่าราชการ ตังสิมจึงนำฎีกาขึ้นทูลเกล้าถวายแล้วคุกเข่าหมอบถวายบังคมอยู่เบื้องหน้าพระราชบัลลังก์ประหนึ่งเตรียมตัวพร้อมรับความตาย
พระเจ้าโจยอยรับฎีกาของตังสิมมาอ่านตลอดแล้ว จึงพระราชทานฎีกาของตังสิมให้แก่ราชเลขาธิการ แต่ไม่ได้ทรงตรัสประการใด
ครั้นเสด็จขึ้นแล้วบรรดาขุนนางต่างแปลกใจว่าเหตุไฉนฮ่องเต้ทอดพระเนตรฎีกาของตังสิมแล้วจึงมีพระอาการไม่พอพระทัย จึงพากันไต่ถามความจากราชเลขาธิการ ครั้นทราบความแล้วต่างคนต่างส่ายศีรษะแล้วกลับไปเรือน
ต่อมาขุนนางหลายคนซึ่งบางคนไม่พอใจตังสิมมาแต่เดิม บางคนเป็นพวกช่างเพ็ดทูลเพื่อเอาความชอบ ได้พากันเข้าไปเฝ้าพระเจ้าโจยอยเป็นการส่วนพระองค์ แล้วกราบบังคมทูลว่าซึ่งตังสิมบังอาจคัดค้านพระราชดำรินั้นเป็นการล่วงพระราชอาญา และหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ ทำตัวเป็นผู้รู้สั่งสอนฮ่องเต้ พึงมีโทษถึงตาย ขอให้พระองค์ทรงลงพระอาญาประหารชีวิตตังสิมเสีย
พระเจ้าโจยอยแม้จะขุ่นพระทัยตังสิม แต่ก็ยังคงเป็นพระมหากษัตริย์ที่รู้ผิดชอบ พอได้ฟังคำขุนนางดังนั้นจึงตรัสว่า “ตังสิมเป็นคนเก่า มีความชอบอยู่ ซึ่งจะฆ่าเสียนั้นไม่ได้”
แต่ใจคนไหนเลยจะทนน้ำคำเพ็ดทูลของขุนนางจำพวกลิ้นยาวได้ พระเจ้าโจยอยได้ฟังคำเพ็ดทูลของขุนนางเหล่านั้นอีกพักใหญ่ก็ทรงพระโกรธ ตรัสสั่งให้ถอดตังสิมออกจากขุนนางลงเป็นไพร่ และให้ไปทำการก่อสร้างพระราชวังกับราษฎรทั้งปวง
เมื่อถอดตังสิมออกจากตำแหน่งแล้ว พระเจ้าโจยอยเกรงว่าจะมีขุนนางอื่นคัดค้านทัดทานให้ระงับการก่อสร้างอีก จึงตรัสสั่งให้ออกหมายประกาศทั่วไปว่าถ้าผู้ใดนำความมากราบทูลให้ระงับยับยั้งการก่อสร้างอีกจะถือเป็นความผิดฉกรรจ์ และจะลงโทษประหารชีวิต
ฝ่ายเตียวบ้อซึ่งเป็นเพื่อนเรียนหนังสือมากับพระเจ้าโจยอยเมื่อครั้งยังทรง พระเยาว์และได้รับราชการเป็นขุนนาง ได้ยินคำครหานินทาตำหนิติเตียนพระเจ้าโจยอยว่าทรงคิดแต่ความสุขและชื่อเสียงส่วนพระองค์ ไม่คำนึงถึงความเดือดร้อนของราษฎรและความเสียหายของบ้านเมือง ก็เกรงว่าสหายตนจะได้รับอันตรายเพราะคิดว่าอำนาจของฮ่องเต้นั้นอุปมาดั่งแผ่นฟ้า สูงส่งสง่างามได้ก็เพราะแผ่นดินคืออาณาประชาราษฎร ฟ้าปกดินแต่ดินก็เทิดฟ้า หากอาณาประชาราษฎรไม่ยินยอมพร้อมใจ ฮ่องเต้ก็ไม่อาจปกครองแผ่นดินได้ และคิดว่าเคยเป็นสหายร่วมเรียนหนังสือกันมาแต่น้อย แม้จะมีหมายรับสั่งคาดโทษฉกรรจ์ไว้ก็คงจะได้รับการผ่อนผันอภัยโทษให้
เมื่อห่วงกังวลพระเจ้าโจยอยดังนี้แล้ว เตียวบ้อจึงเข้าไปเฝ้าพระเจ้าโจยอย และกราบทูลถวายฎีกาให้ทรงระงับดับทุกข์เข็ญของบ้านเมืองและราษฎรด้วยการระงับการก่อสร้างพระราชวังเอาไว้ก่อน
พระเจ้าโจยอยได้ฟังคำกราบทูลของเตียวบ้อก็ทรงพระพิโรธดั่งกองเพลิงถูกสาดด้วยน้ำมัน พระเจ้าโจยอยไม่ตรัสตอบเตียวบ้อแม้แต่สักคำเดียว กลับตรัสสั่งให้ทหารจับตัวเตียวบ้อเอาไปตัดศีรษะในทันที
อนาถหนอเตียวบ้อและตังสิมที่มุ่งถือเอาความจงรักภักดีและห่วงหาอาทรต่อผู้เป็นนาย หลงคิดว่ายาขมแล้วจะรักษาโรคได้เสมอไป หาได้คิดไม่ว่าหากคนไข้ไม่ยอมดื่มยาแล้วพาลโกรธ เอาถ้วยยาทุบศีรษะหมอก็ย่อมถึงตายได้เช่นเดียวกัน นี่แหละที่โบราณว่าไว้ว่าอันพระมหากษัตริย์นั้นดุจดังดวงอาทิตย์ แม้จะยังสรรพชีวิตให้ดำเนินไปแต่ก็อาจเผาผลาญสิ่งทั้งหลายให้มอดมลายได้ในพริบตา ความผูกพันสนิทสนมแน่นแฟ้นกับผู้มีอำนาจในอดีตนั้นย่อมเป็นเรื่องของอดีต ไม่อาจยึดถือมาผูกพันสนิทสนมแน่นแฟ้นในยามมีอำนาจในปัจจุบันได้ หากใครหลงยึดถือว่าปัจจุบันเป็นเหมือนกับอดีตก็ย่อมมีอนาคตที่เป็นเช่นเดียวกับเตียวบ้อและตังสิมนั่นแล
หลังจากประหารชีวิตเตียวบ้อแล้วพระเจ้าโจยอยก็รู้สึกเสียพระทัย เพราะทรงรู้ดีว่าเตียวบ้อนั้นเป็นสหายสนิทร่วมสำนักมาแต่น้อยน่าจะรู้น้ำใจดี ไม่ชอบที่จะมาขัดขวางทัดทานให้ขัดอัชฌาสัย แต่ก็ทรงคิดว่าสิ่งที่เตียวบ้อกราบทูลนั้นหาใช่ประโยชน์ใดของเตียวบ้อไม่ หากเป็นไปเพื่อประโยชน์ของพระองค์โดยแท้ รู้สึกดังนั้นแล้วพระเจ้าโจยอยก็สงสัยว่าที่ม้ากิ้นทำรายงานกราบทูลตลอดมาว่าคนทั้งปวงมีความจงรักภักดี จึงตั้งหน้าทำการ ก่อสร้างสนองพระคุณด้วยความยินดีนั้นจะเป็นจริงหรือไฉน
พระเจ้าโจยอยจึงตรัสสั่งให้เรียกม้ากิ้นมาสอบถาม หวังจะทราบความจริงที่เป็นไปในการก่อสร้าง.