ตอนที่ 580. สภาพการณ์ตอนปลายสามก๊ก

พระพุทธศาสนายุกาลล่วงแล้วได้เจ็ดร้อยเจ็ดสิบเจ็ดพรรษา เดือนสิบสอง ขึ้นสิบสองค่ำ พระเจ้าเล่าเสี้ยนเสด็จไปส่งและทำพิธีฝังศพขงเบ้งตามคำสั่งเสีย ครั้นเสด็จกลับเข้าเมืองหลวงก็ทรงทราบข่าวว่าง่อก๊กยกทหารมาตั้งอยู่ที่ชายแดน จึงแต่งราชทูตไปฟังความที่เมืองกังตั๋ง

            สามก๊กฉบับสมบูรณ์ระบุว่าพระเจ้าซุนกวนได้ยินคำของราชทูตเมืองเสฉวนต้องพระทัยลึกก็ทรงพระสรวลแล้วตรัสว่า “ตัวท่านก็มิได้ด้อยไปกว่าเตงจี๋เลย ข้าได้ยินกิตติศัพท์ว่าท่านสมุหนายกจูกัดเหลียงถึงแก่กรรมกลับสู่สวรรค์ แต่ละวันก็น้ำตาไหลนอง ได้บัญชาให้คณะขุนนางล้วนต้องไว้ทุกข์ให้ขงเบ้ง ด้วยข้าเกรงว่าก๊กวุยจะฉวยโอกาสการไว้ทุกข์เข้าบุกโจมตีเสฉวน ด้วยเหตุนี้จึงเพิ่มทหารอีกหนึ่งหมื่นคนไปเฝ้ารักษาพื้นที่  ปากิ๋วเพื่อจะได้ช่วยเหลือกัน มิได้มีจิตใจคิดเป็นอื่นแต่ประการใด ข้าในเมื่อร่วมเป็นพันธมิตร ไฉนจะมีเหตุผลอันใดไปทรยศต่อสัตยธรรม”

            พระเจ้าซุนกวนตรัสดังนั้นแล้วจึงรับสั่งให้ทหารมหาดเล็กไปเอาลูกเกาทัณฑ์หุ้มทองคำสำหรับพระองค์มาดอกหนึ่ง ทรงหักลูกเกาทัณฑ์นั้นต่อหน้าขุนนางทั้งปวง แล้วทรงประกาศว่าถ้ามาตรแม้นข้าทรยศต่อพันธมิตรก็ขอให้เป็นอันตรายตายด้วยคมอาวุธเหมือนหนึ่งลูกเกาทัณฑ์นี้ และอย่าให้ลูกหลานทั้งปวงมีอำนาจและความสุขสืบไปเลย

            พระเจ้าซุนกวนประกาศดังนั้นแล้วจึงตรัสสั่งตั้งราชทูตเชิญเครื่องราชบรรณาการไปถวายพระเจ้าเล่าเสี้ยนเป็นการตอบแทน และให้นำดอกไม้ธูปเทียนเครื่องเซ่นไหว้เดินทางไปเคารพศพขงเบ้งพร้อมกับจองอี้

            จองอี้ถวายบังคมลาพระเจ้าซุนกวนแล้ว จึงนำขบวนราชทูตกังตั๋งเดินทางกลับไปเมืองเสฉวน แล้วพาราชทูตเข้าไปเฝ้าพระเจ้าเล่าเสี้ยน กราบบังคมทูลให้ทรงทราบความทุกประการ

            พระเจ้าเล่าเสี้ยนทรงทราบความดังนั้นก็ดีพระทัย ตรัสสั่งให้ขันทีรับเครื่องราชบรรณาการของพระเจ้าซุนกวน และพระราชทานข้าวของปูนบำเหน็จแก่ราชทูตเป็นอันมาก

            ราชทูตเมืองกังตั๋งพักอยู่ในเมืองเสฉวนคืนหนึ่งแล้ว รุ่งขึ้นจึงเดินทางไปสักการะศพขงเบ้งกับจองอี้ เสร็จการแล้วจึงเดินทางกลับไปเมืองกังตั๋ง

            ครั้นเสร็จการไว้ทุกข์ขงเบ้งตามประเพณีแล้ว พระเจ้าเล่าเสี้ยนจึงโปรดเกล้าตั้งให้เจียวอ้วนเป็นมหาอุปราชตามคำแนะนำของขงเบ้ง และให้บิฮุยเป็นรองมหาอุปราช ให้งออี้เป็นเจ้าเมืองฮันต๋ง บัญชาการทั้งฝ่ายทหารและพลเรือน ส่วนเกียงอุยนั้นโปรดเกล้าตั้งให้เป็นขุนนางผู้ใหญ่ ตำแหน่งผู้บัญชาการทหารสูงสุดแห่งแคว้น มีอำนาจในการบัญชาทหารทั่วแคว้นจ๊ก และมีอาญาสิทธิ์ตัดศีรษะผู้กระทำความผิดก่อนแล้วค่อยกราบบังคมทูลภายหลังตามคำแนะนำของขงเบ้งทุกประการ บรรดาขุนนางอื่นโปรดให้คงตำแหน่งเดิม

            ฝ่ายเอียวหงีคิดว่าตนเองมีความชอบในการสงคราม เป็นที่ไว้วางใจของขงเบ้ง และได้รับมอบหมายตราอาญาสิทธิ์จากขงเบ้งให้บัญชากองทัพล่าถอยกลับจากแดนวุยก๊กโดย มิได้เป็นอันตราย ควรที่จะได้รับความชอบเลื่อนขั้นและตำแหน่งในครั้งนี้ด้วย เอียวหงีตั้งความหวังว่าความชอบของตนนั้นใหญ่หลวง ควรแก่ตำแหน่งรองมหาอุปราช ครั้นได้ยินพระบรมราชโองการตั้งเจียวอ้วนเป็นมหาอุปราช และบิฮุยเป็นรองมหาอุปราชโดยที่ตนเองมิได้เลื่อนขั้นตำแหน่งก็น้อยใจว่า เราสู้ภักดีทำการสนองพระเดชพระคุณโดยไม่กลัวยากไม่กลัวตายแต่ไม่ทรงเห็นความชอบ หากรู้ดังนี้แล้วเราจะนำทัพไปสวามิภักดิ์กับวุยก๊กก็จะเป็นความชอบยิ่งกว่า

            เอียวหงีน้อยใจดังนั้นแล้วจึงถวายบังคมลากลับไปเรือน แล้วเชิญบิฮุยมากินโต๊ะ ปรารภความซึ่งน้อยใจพระเจ้าเล่าเสี้ยนให้บิฮุยฟังทุกประการ

            บิฮุยฟังคำเอียวหงีแล้วมิได้กล่าวประการใด ครั้นได้เวลาบิฮุยก็ลากลับ พอวันรุ่งขึ้นบิฮุยจึงขอเข้าไปเฝ้าพระเจ้าเล่าเสี้ยนถึงข้างในที่ประทับแล้วกราบบังคมทูลให้พระเจ้าเล่าเสี้ยนทรงทราบความซึ่งเอียวหงีปรารภนั้นทุกประการ

            เอียวหงีสำคัญว่าบิฮุยเป็นสหายร่วมรบที่วางใจได้ จึงปรารภความน้อยใจให้บิฮุยฟัง โดยมิได้สำนึกว่าความเป็นสหายร่วมรบและความใกล้ชิดสนิทสนมส่วนตัวไหนเลยจะเทียบได้กับความจงรักภักดีต่อชาติบ้านเมืองและพระมหากษัตริย์ ไหนเลยจะเปลี่ยนแปลงน้ำใจภักดีของบิฮุยที่มีต่อพระเจ้าเล่าเสี้ยนให้คลอนแคลนไปได้ ความลับอันเอียวหงีปรารภกับบิฮุยจึงมีแต่จะเป็นภัยแก่ตัว นี่แล้วที่โบราณว่า “อย่าไว้ใจทาง อย่าวางใจคน จะจนใจเอง”

            พระเจ้าเล่าเสี้ยนทรงทราบความจากบิฮุยดังนั้นก็ทรงพิโรธ ตรัสสั่งให้ข้าหลวงไปเรียกตัวเอียวหงีเข้าวัง แล้วตรัสถามความตามที่บิฮุยกราบบังคมทูลนั้น เอียวหงีได้ยินคำตรัสก็ตกใจ รับสารภาพตามความจริงทุกประการ

            พระเจ้าเล่าเสี้ยนจึงตรัสสั่งให้คุมตัวเอียวหงีไปประหารชีวิต 

            เจียวอ้วนทราบดังนั้นก็ตกใจ รีบเข้าไปเฝ้าพระเจ้าเล่าเสี้ยนแล้วกราบทูลว่า “แต่ก่อนนั้นเอียวหงีก็ได้ทำความชอบมาเป็นอันมาก ครั้งนี้เอียวหงีเจรจาผิด ข้าพเจ้าจะขอชีวิตไว้ แต่ให้ถอดออกจากที่ขุนนาง”

            พระเจ้าเล่าเสี้ยนได้ฟังคำทูลของเจียวอ้วนก็ทรงเห็นชอบ จึงโปรดให้ยกโทษประหารชีวิต แต่ให้ถอดเอียวหงีออกจากตำแหน่งขุนนาง และเนรเทศไปอยู่เมืองฮันต๋ง

            เอียวหงีกราบบังคมทูลขอบพระทัยพระเจ้าเล่าเสี้ยนแล้วถวายบังคมลากลับไปที่พัก เอียวหงีให้รู้สึกอัปยศอดสูเป็นยิ่งนัก นั่งหม่นหมองตรอมใจอยู่ทั้งวัน คิดหน้าคิดหลังไม่ตก ค่ำลงก็เอามีดเชือดคอตัวเองถึงแก่ความตาย

            ฝ่ายงออี้ครั้นได้รับพระบรมราชโองการแล้ว ได้ถวายบังคมลาพระเจ้าเล่าเสี้ยนเดินทางไปรับตำแหน่งที่เมืองฮันต๋ง

            ขณะนั้นพระพุทธศาสนายุกาลล่วงแล้วได้เจ็ดร้อยเจ็ดสิบแปดพรรษา พระเจ้าเล่าเสี้ยนเสวยราชสมบัติในแคว้นจ๊กได้สิบสามปี พระเจ้าโจยอยเสวยราชย์ในแคว้นวุยได้เก้าปี พระเจ้าซุนกวนเสวยราชย์ในแคว้นง่อได้สิบปี ต่างฝ่ายต่างเป็นอิสระแก่กัน และมุ่งพัฒนาบ้านเมืองโดยมิได้ทำสงครามแก่กัน สันติภาพจึงกลับคืนสู่แผ่นดินจีนอีกครั้งหนึ่ง

            สามก๊กฉบับภาษาจีนระบุว่า ในปีพุทธศักราชเจ็ดร้อยเจ็ดสิบแปดนั้น พระเจ้าเล่าเสี้ยนเสวยราชย์ได้สิบสามปี พระเจ้าโจยอยเสวยราชย์ได้สามปี พระเจ้าซุนกวนเสวยราชย์ได้เก้าปี เหตุที่ระยะเวลาการเสวยราชย์ของพระเจ้าโจยอยและพระเจ้าซุนกวนแตกต่างกันเกิดจากการนับเวลาการเสวยราชย์ที่ตั้งต้นต่างกัน สามก๊กฉบับเจ้าพระยาพระคลัง (หน) นับวันตั้งต้นจากวันเสวยราชย์ครั้งแรก แต่สามก๊กฉบับภาษาจีนนับวันตั้งต้นจากวันที่พระเจ้าโจยอยและพระเจ้าซุนกวนเปลี่ยนศักราชใหม่ หลังจากตั้งศักราชในครั้งแรกแล้ว แต่เมื่อนับเวลาที่เสวยราชย์ตั้งแต่ต้นก็จะตรงกันทั้งสามก๊ก

            แผ่นดินสามก๊กในยามว่างศึก ภาวะสันติภาพได้แผ่ปกคลุมทั่วสามแคว้น แต่เป็นภาวะสันติภาพที่คั่นกลางยุคสงครามช่วงก่อนหน้านี้กับช่วงหลังจากนี้ ขับเคลื่อนให้สามก๊กก้าวเข้าสู่ยุคปลาย

            สถานการณ์ดังนี้ย่อมมีเหตุและปัจจัยที่แน่นอน ใช่ว่าสันติภาพจะเกิดขึ้นอย่างเลื่อนลอยก็หาไม่

            ประการแรก สงครามไม่อาจดำเนินต่อเนื่องไปชั่วนิรันดร เมื่อมีสงครามแล้วย่อมมีวันเวลาที่สงครามสิ้นสุด บังเกิดภาวะที่สงบสุขและสันติภาพขึ้น สันติภาพเกิดขึ้นแล้วก็ไม่อาจจีรังยั่งยืนเป็นนิรันดรดุจกัน และเมื่อสันติภาพสิ้นสุดลงสงครามก็ย่อมเกิดขึ้น กฎแห่งสงครามและสันติภาพแต่ครั้งประวัติศาสตร์เนื่องมาจนถึงปัจจุบันและที่จะทอดไปสู่อนาคตย่อมเป็นไปเช่นนี้ ดังนั้นใครใดที่เพ้อฝันว่าโลกจะมีสันติภาพนิรันดร สิ้นแล้วซึ่งสงครามย่อมเป็นความเพ้อฝันอันไม่มีรากฐานแห่งประวัติศาสตร์และความเป็นจริงรองรับ นับเป็นการตั้งอยู่ในความประมาท อาจนำพาชาติไปสู่ความล่มจม และตกเป็นเมืองขึ้นของอีกชาติหนึ่งได้โดยไม่ทันรู้ตัว

            ประการที่สอง สันติภาพที่บังเกิดขึ้นชั่วคราวนั้นเป็นผลต่อเนื่องจากประวัติศาสตร์สงครามของสามก๊ก ที่แต่ละก๊กต่างก็มีความจำเป็นและตกอยู่ในสภาพบังคับที่ไม่อาจทำสงครามได้

            ฝ่ายจ๊กก๊กหลังจากสิ้นขงเบ้งแล้ว ความโศกเศร้าเสียใจและความประหวั่นพรั่นพรึงได้บังเกิดขึ้นทั่วทั้งแคว้น เพียงแค่พระเจ้าซุนกวนให้ยกกองทัพไปตั้งที่เมืองปากิ๋ว พระเจ้าเล่าเสี้ยนก็ตกพระทัย สภาพจิตใจของชาวจ๊กก๊กตั้งแต่ดินถึงฟ้าไม่อยู่ในสภาพที่พร้อมจะทำสงคราม ในทางการเมือง แม้เจียวอ้วนได้ครองตำแหน่งมหาอุปราช แต่เจียวอ้วนก็ไม่ชำนาญการสงคราม คุ้นก็แต่การปกครองการบริหารราชการแผ่นดิน หวังความสงบเป็นที่ตั้ง มิได้ทอดสายตาไปยาวไกล และไม่ได้สืบทอดอุดมการณ์ที่จะรวบรวมแผ่นดินเข้าเป็นหนึ่งเหมือนกับพระราชปณิธานของพระเจ้าเล่าปี่และความตั้งใจของขงเบ้ง ในทางการทหาร แม้จะมีเกียงอุยเป็นผู้บัญชาการทหารสูงสุด มีสติปัญญาความสามารถทางการบัญชาหาร และได้รับถ่ายทอดสรรพวิทยาการจากขงเบ้ง มีฐานะประหนึ่งเป็นทายาทโดยตรงของขงเบ้ง แต่ก็ยังเป็นขุนนางหน้าใหม่ของราชสำนัก ยังไม่มีบารมีและอำนาจทางการเมืองที่จะผลักดันการสงครามให้เป็นไปตามปณิธานของขงเบ้งได้ ประกอบทั้งจ๊กก๊กได้อยู่ในภาวะสงครามตลอดมา แม้ว่าจะมีความอุดมสมบูรณ์ทั้งไพร่พลและเสบียงอาหาร แต่สงครามก็ได้ทำให้ไพร่พลและเสบียงอาหารนั้นร่อยหรอลง จำต้องซ่องสุมบำรุงไพร่พลและซ่องสุมเสบียงให้เพียงพอต่อไป

            ฝ่ายวุยก๊กแม้จะครองดินแดนตงง้วนซึ่งอุดมสมบูรณ์ และเป็นศูนย์กลางการปกครองแผ่นดินจีนมาตั้งแต่ราชวงศ์ฮั่นได้สถาปนามากว่าสี่ร้อยปี แต่ตลอดระยะเวลาอันยาวนานวุยก๊กก็อยู่ในสถานการณ์สงครามไม่เคยหยุดหย่อน กำลังพลและเสบียงอาหารก็ร่อยหรอ จำเป็นต้องซ่องสุมบำรุงกันใหม่ ยิ่งสงครามหกครั้งที่กระทำกับขงเบ้ง แม้จะสามารถรักษาบ้านเมืองเอาไว้ได้ แต่บรรดาขุนทหารตั้งแต่นายถึงไพร่ล้วนท้อถอยท้อแท้เบื่อหน่ายการสงคราม ยิ่งการจะยกไปรุกจ๊กก๊กหรือง่อก๊กด้วยแล้วยิ่งยากลำบาก ประกอบทั้งสถานการณ์ทางการเมืองภายในก็มีการแก่งแย่งแข่งขันกันอย่างรุนแรง หลังสิ้นขงเบ้งแล้วประหนึ่งว่าสุมาอี้จะเป็นผู้มีสติปัญญาเป็นเลิศในแผ่นดิน แต่สุมาอี้ก็ถูกสาปด้วยคำตรัสของพระเจ้าวุยอ๋องโจโฉว่าคนผู้นี้หากมีอำนาจทางการทหารแล้วก็จะคิดการกบฏ จึงเป็นที่หวาดระแวงของราชสำนักวุยและบรรดาขุนนางผู้ใหญ่ได้อาศัยคำสาปนี้กีดกันความก้าวหน้าในทางราชการของสุมาอี้มิได้ขาด เสร็จศึกกับขงเบ้งแล้วแทนที่สุมาอี้จะได้ครองอำนาจทางการทหารเหมือนยามสงคราม กลับถูกเวนคืนอาญาสิทธิ์และอำนาจทางการทหาร เหลือแต่เพียงตำแหน่งขุนนางฝ่ายทหารที่ไม่อาจบังคับบัญชาไพร่พลได้เหมือนครั้งก่อน ๆ มา วุยก๊กจึงไม่อยู่ในสภาพที่จะทำสงครามได้เช่นเดียวกัน

            ฝ่ายง่อก๊กนั้นเล่า ในทางการเมืองมีพื้นฐานทางความคิดของชาวภาคใต้ที่มุ่งหน้าแต่การทำมาค้าขาย ต้องการสันติภาพและความสงบสุขเป็นรากฐาน ก่อเป็นรูปการจิตสำนึกให้ชาวง่อก๊กตั้งแต่พระเจ้าซุนกวนลงมาจนถึงไพร่ทหารไม่ใฝ่ในการสงคราม ส่วนในทางการทหาร แม้ว่าง่อก๊กจะว่างเว้นภาวะสงครามมานาน เพราะหลังจากสงครามเซ็กเพ็กมาถึงสงครามกับพระเจ้าเล่าปี่ซึ่งเป็นสงครามขนาดใหญ่แล้ว แม้จะมีสงครามประปรายกับพระเจ้าโจผีและพระเจ้าโจยอยบ้างก็เป็นสงครามขนาดเล็ก แต่ที่เสียหายมากก็คือสงครามที่ ร่วมมือกับขงเบ้งยกกองทัพเป็นสามสายบุกวุยก๊กแล้วถูกทำลายกองทัพบก กองทัพเรืออย่างย่อยยับจนต้องล่าทัพกลับคืนเมืองกังตั๋ง กำลังคนและเสบียงอาหารจึงอ่อนล้าอิดโรยลงเช่นเดียวกัน ลกซุนผู้เป็นแม่ทัพใหญ่ แม้จะมีสติปัญญาความสามารถคิดอ่านการสงครามให้ลิบองเอาชนะกวนอู และบัญชากองทัพสู้รบกับพระเจ้าเล่าปี่จนมีชัยชนะครั้งใหญ่ แต่ลกซุนเองก็เป็นบัณฑิตฝ่ายพลเรือน ไม่รักการสงคราม ความรู้ในพิชัยสงคราม ประสบการณ์และความสามารถแม้มีอยู่เป็นอันมากก็มีลักษณะเชิงรับ สามารถทำสงครามเชิงรับได้อย่างดียิ่ง แต่ในสงครามเชิงรุกกลับอ่อนด้อยยิ่งนัก ดังได้ประจักษ์ฝีมือในสงครามที่ร่วมมือกับจ๊กก๊กแล้วปราชัยอย่างยับเยิน ดังนั้นภาวการณ์ทางการเมืองการทหารและรูปการณ์จิตสำนึกของง่อก๊กจึงไม่พร้อมที่จะทำสงครามเช่นเดียวกัน

            เพราะเหตุนี้ทั้งสามก๊กจึงต่างไม่พร้อมที่จะทำสงคราม ไม่มีก๊กใดคิดอ่านก่อสงครามครั้งใหม่ขึ้น ต่างฝ่ายต่างคุมกำลังซ่องสุมบำรุงผู้คนและเสบียงอาหารอยู่ในแคว้นตน สันติภาพจึงบังเกิดขึ้นดังนี้.

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

ตัวอย่างกระทู้ธรรม ธรรมศึกษาชั้นตรี 5

I miss you all กับ I miss all of you ต่างกันอย่างไร

ปัญหาและเฉลยวิชาธรรม นักธรรมชั้นโท สอบในสนามหลวง วันเสาร์ ที่ ๑๙ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๔๘