ตอนที่ 57. แปรความแค้นส่วนตัวเป็นการเมือง

โจโฉซ่องสุมกำลังทั้งฝ่ายบุ๋นและฝ่ายบู๊อยู่ที่เมืองกุนจิ๋วเป็นปึกแผ่นแล้วจึงพิจารณายุทธศาสตร์ใหญ่ในการก้าวเข้าสู่อำนาจรัฐร่วมกับคณะที่ปรึกษา แล้วเห็นว่ามีอยู่สองแนวทาง คือ แนวทางแรก ยกกองทัพเข้าโจมตีเมืองหลวง และแนวทางที่สอง คือการขยายฐานอำนาจในหัวเมืองต่าง ๆ ก่อนแล้วค่อยยกกองทัพเข้ายึดเมืองหลวง

            แนวทางแรกนั้น มีบทเรียนตั้งแต่ยุคของโฮจิ๋นและตั๋งโต๊ะแล้วว่ามีความเสี่ยงภัยสูงมากทุกขั้นตอน ในชั้นเข้าโจมตีเมืองหลวงก็อาจถูกฝ่ายเมืองหลวงสั่งให้หัวเมืองอื่นยกกองทัพมาตีกระหนาบ แม้ได้อำนาจรัฐแล้วก็ยังมีความเป็นไปได้ที่หัวเมืองต่าง ๆ จะยกกองทัพเข้ามายึดอำนาจคืน

             ส่วนแนวทางที่สองนั้นอาจเรียกได้ว่าเป็นแนวทาง “ชนบทล้อมเมือง” หากยึดหัวเมืองต่าง ๆ ไว้ในอำนาจ  ขยายกองทัพให้เติบโตเข้มแข็งเสียก่อนแล้วยกไปยึดเมืองหลวงในภายหลังก็จะทำศึกเพียงด้านเดียวไม่ต้องห่วงหน้าพะวงหลัง  ทั้งทำการได้สะดวกเพราะอำนาจรัฐอ่อนแอ ไม่สามารถช่วยเหลือหัวเมืองต่าง ๆ ได้ ทั้งแต่ละเมืองก็มีทหารป้องกันรักษาไม่มากนัก

             ดังนั้นโจโฉจึงตกลงใจใช้แผนยุทธศาสตร์ “ชนบทล้อมเมือง” เป็นยุทธศาสตร์หลักในการยึดอำนาจรัฐ และภายใต้ยุทธศาสตร์นี้ได้กำหนดวิธีการค่อยๆ แผ่อำนาจยึดทีละเมืองอย่างค่อยเป็นค่อยไป ถือยุทธวิธี “กินข้าวทีละคำจนหมดจาน” เพื่อไม่ให้เกิดความตื่นตระหนกแก่หัวเมืองต่าง ๆ

             เมื่อกำหนดยุทธศาสตร์และยุทธวิธีดั่งนี้แล้ว ขั้นต่อไปก็คือการสร้างความชอบธรรมในการยึดหัวเมืองต่าง ๆ ต่อไป

             ในขณะที่รอคอยโอกาสสร้างเงื่อนไขความชอบธรรมอยู่นั้น โจโฉเห็นว่าภายในเมืองกุนจิ๋วมีเสถียรภาพเพียงพอแล้วจึงรำลึกถึงบิดาตนที่หนีราชภัยไปอาศัยอยู่เมืองตันลิว จึงสั่งให้ทหารถือหนังสือไปหาโจโก๋ผู้บิดาที่เมืองตันลิว เพื่อรับเอาครอบครัวและญาติพี่น้องมาอยู่ด้วยกันที่เมืองกุนจิ๋ว

             โจโก๋ได้รับหนังสือของโจโฉแล้วยินดีในวาสนาของลูกชายยิ่งนัก จึงจัดแจงรวบรวมทรัพย์สมบัติทั้งปวงแล้วพาครอบครัว พร้อมด้วยโจเต๊กผู้น้องและญาติที่สนิทรวมสองร้อยกว่าคนออกเดินทางจากเมืองตันลิวพร้อมกับทหารของโจโฉที่มารับนั้น

             ฝ่ายโตเกี๋ยมเจ้าเมืองชีจิ๋ว หลังจากเข้าร่วมกับกองทัพปฏิวัติแล้ว มีความประทับใจในสติปัญญาของโจโฉเป็นอันมาก ครั้นเลิกทัพกลับมาเมืองชีจิ๋วแล้วก็ยังระลึกถึงโจโฉอยู่เสมอคิดว่าในยามบ้านเมืองเป็นจลาจลเช่นนี้ จำเป็นที่จะต้องมีผู้ที่ปรีชาสามารถมาเป็นหลักให้แก่หัวเมืองต่าง ๆ ช่วยทำนุบำรุงแผ่นดินและราษฎรให้เป็นสุข คิดอยู่ในใจว่าถ้าโอกาสอำนวยเมื่อใดก็จะชวนให้โจโฉเป็นผู้นำทำการใหญ่อีกต่อไป

             ครั้นโตเกี๋ยมได้ข่าวว่าบัดนี้โจโฉให้ทหารไปรับบิดาและครอบครัวจะไปอยู่ เมืองกุนจิ๋วและกำลังเดินทางผ่านมาทางเมืองชีจิ๋วก็มีความยินดี ประกอบทั้งตัว       โตเกี๋ยมเองก็เป็นคนใจคอกว้างขวางเอื้ออารีต่อคนทั้งปวงเห็นว่าโจโก๋เดินทางไกลคงยากลำบากประการหนึ่ง และเห็นว่าเป็นบิดาและครอบครัวของคนที่ตัวนับถือผ่านมาแล้วจะทำเป็นไม่รู้เห็นจะเป็นการแล้งน้ำใจเกินไปอีกประการหนึ่ง ดังนั้นโตเกี๋ยมจึงนำทหารออกจากประตูเมืองไปเชิญโจโก๋และญาติพี่น้องในขบวนให้เข้ามาพักในเมืองชีจิ๋วเสียก่อน แล้วค่อยเดินทางต่อไป 

             โจโก๋เห็นเจ้าเมืองออกมาคารวะและออกปากเชิญด้วยตนเองก็เกรงใจและยินดีตามคำเชิญนั้น จึงพากันเข้าเมืองชีจิ๋ว โตเกี๋ยมได้จัดให้โจโก๋และคณะพักที่ตึกรับรองแขกเมืองอย่างสมเกียรติ แล้วแต่งโต๊ะเลี้ยงโจโก๋และคณะเป็นอย่างดี

             คณะของโจโก๋พักอยู่เมืองชีจิ๋วสองวันแล้วจึงออกเดินทางต่อไป โตเกี๋ยมคนใจอารีจึงให้เตียวคีนำทหารห้าร้อยนายไปส่งขบวนให้ถึงเมืองกุนจิ๋ว ขบวนของโจโก๋เดินทางมาถึงวัดแฮหุย ซึ่งเป็นวัดร้างแห่งหนึ่งเป็นเวลาค่ำ ประจวบกับฝนตกห่าใหญ่จึงให้พักขบวนค้างคืนในวัดร้างแห่งนี้ โดยมีทหารของโตเกี๋ยมและทหารของโจโฉเฝ้ารักษาการณ์อยู่ภายนอกที่พัก
           
             เตียวคีทหารของโตเกี๋ยมซึ่งเป็นผู้นำทหารมาส่งขบวนนั้นเคยเป็นโจรโพกผ้าเหลืองมาแต่ก่อน ครั้นโจรโพกผ้าเหลืองถูกปราบปรามจึงหนีมาสมัครเป็นทหารเมืองชีจิ๋วเห็นในขบวนของโจโก๋มีทรัพย์สินหลายเล่มเกวียนก็เกิดความคิดโลภอยากได้ทรัพย์สมบัติเหล่านั้น จึงปรึกษากับเพื่อนทหารที่มาด้วยกันเพื่อปล้นเอาทรัพย์สินนั้นเสีย พวกทหารเหล่านั้นก็เห็นด้วย

             โจโก๋และคณะเดินทางมาเหนื่อยเหน็ดทั้งวัน ทั้งวางใจว่ามีทหารคอยรักษาความปลอดภัยจึงพากันหลับสนิท โดยไม่ได้คิดเลยว่าทหารเหล่านั้นจะคิดทำร้ายตัว ดังนั้นในขณะที่ทุกคนกำลังหลับไหล เตียวคีจึงคุมทหารเมืองชีจิ๋วเข้าไปสังหารโจโก๋และครอบครัวจนตายสิ้นและปล้นเอาทรัพย์สินทั้งหมดหนีไปอยู่ป่า

             ทหารของโจโฉที่มารับโจโก๋และญาติพี่น้องเห็นทหารของเตียวคีปล้นฆ่าเจ้าทรัพย์ก็ตกใจกลัวจึงพากันหลบหนีไปด้วย  ตัวนายนั้นหนีไปอยู่กับอ้วนเสี้ยวที่เมืองกิจิ๋ว แต่ทหารชั้นผู้น้อยไม่มีหนทางไปและคิดถึงครอบครัวจึงเดินทางกลับไปเมืองกุนจิ๋วรายงานเหตุการณ์ให้โจโฉทราบ

             โจโฉทราบเรื่องแล้วก็ร้องไห้รักบิดาและญาติเป็นอันมาก สามก๊กฉบับเจ้าพระยาพระคลัง (หน) ว่า “โจโฉครั้นแจ้งดังนั้นก็ร้องไห้รักบิดาจนล้มลงจากเก้าอี้ ทหารทั้งปวงเข้าอุ้มโจโฉขึ้นบนเก้าอี้”

             อันความโศกเศร้าแต่การที่บิดาและญาติ ๆ ถูกปล้นฆ่าอย่างทารุณเช่นนี้เป็นวิสัยของคนเราทุกตัวคน และโจโฉก็ย่อมอยู่ในวิสัยเช่นนี้ แต่คนคิดการใหญ่และมีความเป็นผู้นำอย่างโจโฉนั้นย่อมรู้ดีว่าถึงจะเศร้าโศกเสียใจและร้องไห้จนน้ำตาเป็นสายเลือดก็หาได้ทำให้คนตายฟื้นคืนขึ้นมาได้ไม่

             กรณีมีเหตุผลที่โจโฉจะโกรธโตเกี๋ยม เพราะคนซึ่งปล้นฆ่าครอบครัวของตนคือทหารของโตเกี๋ยม เมื่อโกรธแล้วก็มีเหตุผลที่จะต้องแก้แค้นเอากับโตเกี๋ยม นี่คือเหตุผลและความชอบธรรมที่จะยกกองทัพไปโจมตีเมืองชีจิ๋ว และนี่คือโอกาสที่โจโฉรอคอยอยู่มิใช่หรือ

             ดังนั้นโจโฉจึงจำต้องสร้างสถานการณ์ขึ้นเพื่อให้ผู้ใต้บังคับบัญชาทั้งปวงมีความรู้สึกเดือดแค้นด้วยจะได้มีน้ำใจสมานฉันท์ในการสงคราม ทำให้กำลังรบสามารถเปล่งอานุภาพได้อย่างเต็มที่ ซึ่งถือเป็นยุทโธบายสำคัญตามพิชัยสงครามที่ว่า “ฝ่ายนำและผู้ใต้บังคับบัญชาร่วมจิตสมานฉันท์เป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน ผู้นั้นชนะ”

             และนี่คือหลักการวางแผนเบื้องต้นในการทำสงคราม ซึ่งตำราพิชัยสงครามบัญญัติว่า “เมื่อได้วางแผนการเหมาะสมและผู้ใต้บังคับบัญชาเห็นชอบและเชื่อฟังดีแล้ว ก้าวต่อไปก็คือการเสกสร้างเหตุการณ์ให้เกิดขึ้นเพื่อคอยเป็นกำลังเสริมทางภายนอกอีกด้านหนึ่ง อันว่าเหตุการณ์อันจะปลุกเสกขึ้นนั้น เรามิพักต้องถือหลักเกณฑ์ตายตัว จงกระทำไปตามโดยนัยประโยชน์ของฝ่ายเราก็แล้วกัน”

             ดังนั้นการโศกเศร้าเสียใจร้องไห้ของโจโฉจึงน่าจะเป็นความรู้สึกที่แท้จริงตามวิสัยของปุถุชน แต่การร้องไห้จนล้มลงจากเก้าอี้นั้น น่าจะเป็นการเสกสร้างขึ้น เพื่อสร้างความรู้สึกเดือดแค้นร่วมขึ้นภายในกองทัพ และนี่แสดงว่าโจโฉในวันนี้ได้เรียนรู้และสามารถใช้ความรู้ด้านพิชัยสงครามอย่างกลมกลืนจนดูประหนึ่งเป็นเรื่องธรรมดาเข้าทำนอง “สูงสุดสู่สามัญ” แล้ว

             ครั้นทหารพยุงโจโฉขึ้นบนเก้าอี้แล้ว โจโฉจึงว่าการครั้งนี้เป็นเพราะโตเกี๋ยมทำกลอุบายปล้นฆ่าบิดาและญาติ ๆ ของเรา หากเราไม่ล้างแค้นโตเกี๋ยมแล้วย่อมได้ชื่อว่าเป็นบุตรอกตัญญู ดังนั้นแม้ว่าตัวเราจะเห็นแก่ความสงบสุขของบ้านเมืองแลราษฎร ครั้งนี้จำต้องละความเห็นส่วนตัวนั้นเสีย เพื่อพิทักษ์คุณธรรม เราจำจะยกไปเหยียบเมืองชีจิ๋วเสียให้เรียบเป็นหน้ากลองแล้วจับตัวโตเกี๋ยมมาฆ่าเสียให้จงได้

             แล้วโจโฉจึงถามความเห็นบรรดาแม่ทัพนายกองทั้งปวง ทั่วทั้งกองทัพสนับสนุนความคิดเห็นของโจโฉอย่างท่วมท้นด้วยใจเดือดแค้นร่วมกับนายตัว

             ดังนั้นโจโฉจึงสั่งให้ซุนฮกและเทียหยกสองที่ปรึกษาคุมกำลังทหารสามหมื่นอยู่รักษาเมืองกุนจิ๋วแล้วโจโฉจึงเคลื่อนทัพจากเมืองกุนจิ๋วตรงไปเมืองชีจิ๋วของโตเกี๋ยม ครั้นใกล้เมืองชีจิ๋วแล้วจึงให้ตั้งค่ายลง และสั่งให้แฮหัวตุ้น อิกิ๋ม และเตียนอุย สามทหารเอกเป็นกองหน้ายกทหารไปประชิดกำแพงเมืองชีจิ๋ว กำชับว่าให้สังหารผู้คนชาวเมืองชีจิ๋วเสียให้สิ้น

             สามทหารเอกจึงเคลื่อนกำลังเข้าประชิดเมืองชีจิ๋ว และสังหารชาวเมืองที่อยู่นอกกำแพงเมืองเสียสิ้น ไม่ละเว้นแม้กระทั่งลูกเด็กเล็กแดงและคนชรา

             ฝ่ายเปียนเหยียง เจ้าเมืองกิวกั๋ง ซึ่งเป็นหัวเมืองที่ขึ้นต่อเมืองชีจิ๋ว และตัว     เปียนเหยียงเองมีความชอบพอกับโตเกี๋ยม ครั้นรู้ข่าวว่าโจโฉยกกองทัพมาตีเมืองชีจิ๋วจึงยกทหารห้าพันจะมาช่วยเหลือโตเกี๋ยม

             ครั้นยกมาใกล้เมืองชีจิ๋วจึงปะทะกับกองหน้าของแฮหัวตุ้น ทหารของทั้งสองฝ่ายได้ตะลุมบอนกันอย่างดุเดือด แฮหัวตุ้นฆ่าเปียนเหยียงตายในที่รบ ทหารของ  เปียนเหยียงที่เหลือจึงแตกพ่ายไป

             ฝ่ายตันก๋งอดีตเจ้าเมืองจงพวน ซึ่งเคยศรัทธาในตัวโจโฉ ได้ปล่อยตัวโจโฉซึ่งถูกจองจำตามคำสั่งของรัฐบาลกลาง แล้วทิ้งตำแหน่งเจ้าเมืองหนีไปกับโจโฉ ต่อมาเห็นว่าโจโฉเป็นคนเนรคุณ ไร้คุณธรรมจึงหนีจากโจโฉไปนั้น ได้ไปทำราชการอยู่ที่เมืองตองกุ๋น

             ฝ่ายตันก๋งซึ่งเป็นเพื่อนกับโตเกี๋ยม ครั้นรู้ข่าวว่าโจโฉยกกองทัพจะไปโจมตีเมืองชีจิ๋วและสั่งให้สังหารชาวเมืองเสียทั้งสิ้น รู้สึกเป็นห่วงใยโตเกี๋ยม ทั้งมีน้ำใจรักราษฎร จึงคิดว่าเคยมีคุณกับโจโฉมาแต่ก่อน จึงเดินทางมาพบโจโฉ อธิบายความจริงให้ทราบว่า    โตเกี๋ยมมิได้รู้เห็นเป็นใจในการปล้นฆ่าบิดาและญาติพี่น้องของโจโฉ เหตุเกิดจากทหารของโตเกี๋ยมมีความโลภหักหลังโตเกี๋ยมแล้วปล้นฆ่าโจโก๋และคณะเสีย จึงขอให้โจโฉทบทวนความคิด และขอร้องให้ถอนทัพกลับเมืองกุนจิ๋ว

             โจโฉฟังคำตันก๋งแล้ว แม้ยังระลึกถึงคุณตันก๋งที่ช่วยเหลือปล่อยตัวออกจากการถูกจองจำและยังสู้อุตส่าห์ทิ้งตำแหน่งเจ้าเมืองหนีตามมาทำการด้วย แต่แผนการของตัวเองนั้นเป็นการใหญ่ จะมัวคิดเห็นแก่ไมตรีส่วนตัวเช่นนี้ไม่ได้ โจโฉจึงไม่ยอมตามคำขอร้องของตันก๋ง และแสร้งทำทีเป็นโกรธตันก๋งหาว่าละทิ้งกันในยามยาก แล้วยังมาเข้าข้างคนที่คบคิดกันสังหารบิดาตัวเองซ้ำอีก

             ตันก๋งมาขอร้องโจโฉไม่สมความคิด ก็รู้สึกละอายใจที่ไม่สามารถช่วยเหลือ     โตเกี๋ยมผู้เป็นมิตร จึงไม่กล้าเข้าเมืองชีจิ๋วไปพบหน้ากับโตเกี๋ยม ดังนั้นตันก๋งจึงเดินทางไปหาเจ้าเมืองตันลิว

             ฝ่ายโตเกี๋ยมเจ้าเมืองชีจิ๋ว ครั้นได้ข่าวศึกและได้รับรายงานว่าทหารโจโฉสังหารชาวเมืองที่อาศัยทำมาหากินอยู่นอกเมืองเป็นอันมากก็มีความเสียใจร้องไห้อาลัยรักราษฎรเหล่านั้น และได้เรียกประชุมขุนนางข้าราชการเมืองชีจิ๋วเพื่อรับมือกับกองทัพโจโฉ

             ผลการประชุมตกลงกันว่าจำเป็นที่จะต้องชี้แจงข้อเท็จจริงเพื่อทำความเข้าใจกับโจโฉว่าโตเกี๋ยมมิได้รู้เห็นหรือคบคิดปล้นฆ่าครอบครัวโจโฉเสียครั้งหนึ่งก่อน แล้วค่อยคิดอ่านการศึกต่อไป

             ครั้นรุ่งขึ้นโตเกี๋ยมจึงยกทหารออกไป “เห็นทหารโจโฉนั้นตั้งอยู่เป็นมาก ดังคลื่นในท้องมหาสมุทร” โจโฉเห็นโตเกี๋ยมยกทหารออกมาจึงชักม้าออกไปหน้าทหาร โตเกี๋ยมก็ชักม้าออกมาหน้าทหารอย่างเดียวกัน คำนับโจโฉแล้วชี้แจงความจริงที่เกิดขึ้นทุกประการ

             โจโฉฟังคำโตเกี๋ยมแล้วหาว่าโตเกี๋ยมเป็นคนเจ้าอุบาย คบคิดกับลูกน้องให้ปล้นฆ่าบิดาและครอบครัว จึงสั่งให้ทหารล้อมจับโตเกี๋ยม เมื่อพูดจากันไม่รู้เรื่องดังนี้ จึงทั้งโจโฉและโตเกี๋ยมต่างชักม้าเข้ามาข้างหลังทหาร ทหารทั้งสองฝ่ายจึงดาหน้าเข้าประจัญบานกัน บาดเจ็บล้มตายลงเป็นอันมาก พอดีฝนตกลงมาห่าใหญ่ ทั้งสองฝ่ายจึงถอยทัพกลับเข้าเมืองและกลับเข้าค่ายของตน

             สงครามระหว่างเมืองกุนจิ๋วและเมืองชีจิ๋วครั้งนี้ นับเป็นสงครามระหว่างขุนศึกด้วยกันเป็นครั้งที่สามหลังจากเกิดศึกเมืองกังตั๋งกับเมืองเกงจิ๋ว ระหว่าง      ซุนเกี๋ยนกับเล่าเปียว และศึกเมืองกิจิ๋วกับเมืองปักเป๋ง ระหว่างอ้วนเสี้ยวกับกองซุนจ้าน โดยที่อำนาจรัฐส่วนกลางมิได้เกี่ยวข้องและไม่สามารถบังคับบัญชาขุนศึกเหล่านั้นได้

             นี่คือสถานการณ์ที่พัฒนาไปอีกขั้นใหญ่ แสดงให้เห็นถึงอำนาจรัฐส่วนกลางได้อ่อนตัวลง และต่างเมืองต่างตั้งตัวเป็นอิสระ.

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

ตัวอย่างกระทู้ธรรม ธรรมศึกษาชั้นตรี 5

ปัญหาและเฉลยวิชาธรรม นักธรรมชั้นโท สอบในสนามหลวง วันเสาร์ ที่ ๑๙ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๔๘

I miss you all กับ I miss all of you ต่างกันอย่างไร