ตอนที่ 579. เทพบิดรแห่งฮั่น

กลอุบายของขงเบ้งที่กำหนดไว้เพื่อบรรลุภารกิจหลังการตาย ประการแรกคือการถอยทัพกลับเมืองเสฉวนโดยปลอดภัย และประการที่สองคือการกำจัดอุยเอี๋ยนซึ่งจะก่อกบฏได้บรรลุผลสำเร็จอย่างงดงามทุกประการ คงเหลือภารกิจประการที่สามที่จะปกป้องคุ้มครองอาณาประชาราษฎรเมืองเสฉวนหากข้าศึกยกมาย่ำยีอีกประการเดียวเท่านั้น

            พระเจ้าเล่าเสี้ยนตรัสถามโหรหลวงเพื่อกำหนดวันฝังศพขงเบ้งตามประเพณี แต่ไม่ทันที่โหรจะกราบบังคมทูล ขุนนางอาวุโสหลายคนก็ได้ชิงกราบบังคมทูลขึ้นก่อนว่ามหาอุปราชเป็นขุนนางผู้ใหญ่มาแต่ครั้งพระเจ้าเล่าปี่ มีความซื่อสัตย์จงรักภักดีหาผู้ใดเสมอเหมือนมิได้ เป็นผู้ทำความชอบใหญ่หลวงแก่บ้านเมือง ซึ่งจะนำศพไปฝังไว้กลางป่าไร้สุสานและการเซ่นไหว้บวงสรวงเป็นที่เวทนานัก จักเสื่อมเสียพระบรมเดชานุภาพ  ขอพระองค์จงทรงพิจารณา

            พระเจ้าเล่าเสี้ยนได้ยินคำกราบบังคมทูลดังนั้นก็ทรงนิ่งอึ้ง น้ำพระทัยลึกก็นึกสงสารขงเบ้งว่าความชอบที่สร้างไว้กับแผ่นดินเสฉวนนั้นใหญ่หลวงนัก พระเจ้าเล่าปี่ก็ได้ฝากฝังให้ขงเบ้งทำนุบำรุงพระองค์เสมอด้วยพระเจ้าเล่าปี่ ตลอดมาขงเบ้งได้ถวายความจงรักภักดีโดยสุจริต มิได้เห็นแก่ความเหนื่อยยาก พระองค์เองก็ทรงรักและนับถือขงเบ้งเหมือนกับพระราชบิดา ควรที่ศพขงเบ้งจะได้รับการฝังไว้ในสุสานหลวง มีทหารเฝ้าและเซ่นไหว้บวงสรวงอัญเชิญดวงวิญญาณสถิตบนสรวงสวรรค์ตามประเพณี

            เอียวหงีเห็นดังนั้นจึงกราบบังคมทูลว่าก่อนสิ้นใจมหาอุปราชได้สั่งเสียไว้เป็นความสามประการ คือการทำกลอุบายล่าถอยทัพจากตำบลเขากิสานกลับเมืองเสฉวน มิให้สุมาอี้ทำอันตรายได้ประการหนึ่ง การวางแผนอุบายกำจัดอุยเอี๋ยนซึ่งจะก่อการกบฏประการหนึ่ง และคำสั่งเสียให้แต่งทหารไปรักษาช่องแคบอิมเป๋งแล้วเอาศพไปฝังไว้ที่ซอกเขาเตงกุนสัน ไม่ให้ก่อสุสานทำพิธีบวงสรวงเซ่นไหว้เชิญวิญญาณสู่สรวงสวรรค์อีกประการหนึ่ง สองประการแรกนั้นปรากฏเป็นจริงตามที่มหาอุปราชได้คาดการณ์ไว้ทุกประการแล้ว เหลือแต่ประการสุดท้ายแม้ว่าจะไม่อาจคาดหมายได้ว่ามหาอุปราชมุ่งประสงค์สิ่งใด แต่ย่อมไม่ใช่เรื่องไร้เหตุผล จึงชอบที่จะทำตามคำสั่งเสียของมหาอุปราช

            เอียวหงีได้กราบบังคมทูลต่อไปว่า เมื่อรู้ตัวว่าจะตายมหาอุปราชได้สั่งให้ต่อโลงนั่งและเอาศพนั่งในโลง สั่งให้เอาข้าวสารเจ็ดเมล็ดใส่ไว้ในปาก และจุดตะเกียงที่เบื้องล่างของฝ่าเท้า บอกว่าทำพิธีดังนี้แล้ววิญญาณของมหาอุปราชก็จะขึ้นไปพยุงดาวประจำตัวขุนพลที่ร่วงหล่นลงสู่พื้นให้กลับคืนสู่ตำแหน่งดังเก่า หวังจะลวงสุมาอี้ให้ไม่แน่ใจว่ามหาอุปราชตายจริงหรือไม่ ประจักษ์เบื้องต้นว่ามหาอุปราชไม่ประสงค์ที่จะให้ดวงวิญญาณเดินทางพ้นไปจากมนุษย์โลก และย่อมจะมีวัตถุประสงค์ที่แน่นอนเป็นมั่นคง

            เจียวอ้วนเห็นเอียวหงีกราบทูลดังนั้นจึงถวายบังคมแล้วกราบทูลเสริมว่าธรรมดาเกิดมาเป็นคน ทุกผู้คนย่อมปรารถนาความสุขสบาย ไม่ต้องการความยากลำบาก แม้ตายแล้วย่อมปรารถนาไปสถิตอยู่บนสรวงสวรรค์ ประเพณีแต่ก่อนมาหากว่าเป็นผีร้ายก็ต้องตั้งการพิธีข่มวิญญาณมิให้ออกมาระรานหลอกหลอนก่อภัยพิบัติแก่มวลมนุษย์ รอวันเวลาที่ยมทูตจะมารับเอาดวงวิญญาณไปทำโทษในเมืองนรก หากเป็นผีดีก็ต้องตั้งการพิธีเชิญวิญญาณไปสถิตบนสรวงสวรรค์ ซึ่งมหาอุปราชไม่ให้ทำการเซ่นสรวงเชิญดวงวิญญาณเห็นจะเป็นเพราะมหาอุปราชต้องการให้วิญญาณสถิตอยู่รักษาเมืองเสฉวน ประการหนึ่งเล่ามหาอุปราชเป็นผู้ชำนาญการไสยเวทย์ เจนจบสรรพวิชาในลัทธิเต๋า ซึ่งสั่งเสียไว้ดังนี้ย่อมเกี่ยวข้องด้วยพิธีกรรมอันล้ำลึกลี้ลับเป็นแน่แท้ ขอพระองค์จงทรงดำเนินการตามคำสั่งเสียของมหาอุปราชจึงจะควร

            ขุนนางทั้งปวงได้ฟังคำกราบทูลของเอียวหงีและเจียวอ้วน กอปรด้วยเหตุผลหนักแน่นมั่นคงจึงเห็นด้วย แล้วพากันกราบบังคมทูลให้พระเจ้าเล่าเสี้ยนจัดการศพของขงเบ้งตามคำสั่งเสียทุกประการ
พระเจ้าเล่าเสี้ยนเห็นขุนนางทั้งปวงเห็นชอบพร้อมกันดังนั้นก็ทรงเห็นตาม ตรัสกับโหรหลวงอีกครั้งหนึ่งว่า เราจะทำตามคำสั่งเสียของมหาอุปราช ท่านจงกำหนดวันเวลาฤกษ์ฝังศพขงเบ้งเถิด

            เจาจิ๋วจึงกราบทูลว่า โดยศักดิ์และอิสริยยศของมหาอุปราชชอบที่จะตั้งการพิธีมากหลายยาวนานตามประเพณี แต่เมื่อขงเบ้งมีความประสงค์ดังนี้ข้าพระองค์ได้ตรวจดูแล้วเห็นว่าวันขึ้นสิบสองค่ำปีนี้เป็นวันฤกษ์ดีสำหรับทำพิธีฝังศพขงเบ้ง

            พระเจ้าเล่าเสี้ยนได้ฟังดังนั้นก็ทรงเห็นชอบ และมีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าเลื่อนอิสริยยศของขงเบ้งเป็นเจ้าพระยามหาอุปราชเทพบิดรผู้ภักดีและปรีชาสามารถแห่งฮั่น ให้สร้างศาลบูชาสำหรับชาวเมืองได้กราบไหว้ไว้ที่ริมแม่น้ำในเมืองเสฉวน และโปรดให้ตั้งการพิธีฝังศพขงเบ้งตามวันเวลาที่โหรหลวงกำหนดทุกประการ

            ครั้นถึงวันฤกษ์ดีพระเจ้าเล่าเสี้ยนโปรดเกล้าให้แต่งขบวนอิสริยยศเชิญศพขงเบ้งประกอบด้วยธงทิว ม้าล่อ ฆ้องกลอง ทหารม้า ทหารราบเป็นอันมาก แล้วประทับรถพระที่นั่งเสด็จส่งศพขงเบ้งเสมือนหนึ่งขงเบ้งเป็นพระญาติผู้ใหญ่จนถึงที่ฝังศพ

            เกียงอุยทำหน้าที่เป็นแม่งานเตรียมการหลุมฝังศพ ได้ทำหลุมฝังศพขงเบ้งไว้ที่ข้างทางในหุบเขาเตงกุนสัน เลือกพื้นที่ใกล้เนินเขา น้ำไม่ท่วมขัง แล้วขุดเป็นหลุมกว้างเจ็ดศอกยาวเก้าศอกลึกห้าศอก เอากรวดโรยพื้นล่าง เอาทรายโรยพื้นกลาง ด้านบนโรยดินภูเขาและปูทับด้วยแผ่นเงินแผ่นทอง กระดาษเงินกระดาษทองและเสื้อผ้าอาภรณ์เป็นอันมาก กำหนดวางศพขงเบ้งหันศีรษะไปทางด้านเมืองเสฉวน หันปลายเท้าไปข้างเมืองลกเอี๋ยง ประหนึ่งนอนดูบรรดาข้าศึกที่จะยกมาตามเส้นทางในเทือกเขาเตงกุนสันชั่วกาลนาน

            ครั้นได้เวลาฤกษ์ตามที่โหรหลวงกำหนด พระเจ้าเล่าเสี้ยนประทับยืนที่ด้านหัวของหลุมศพ ขุนนางผู้รับผิดชอบการพิธีได้เอาโลงศพขงเบ้งวางลงหลุม พระเจ้าเล่าเสี้ยนทรงวางธูปเทียน ข้าวตอก ดอกไม้ เงินทองที่ด้านปลายเท้าของขงเบ้ง เอาดินถมจนเต็มปากหลุม จากนั้นจึงเกลี่ยกลบไม่ให้เห็นร่องรอย พระเจ้าเล่าเสี้ยนทรงกันแสงตลอดเวลาที่ทำพิธีฝังศพ ขุนนางทั้งปวงล้วนหลั่งน้ำตาร้องไห้รักขงเบ้งเป็นอันมาก

            อนาถนัก! มหาบุรุษผู้มีสติปัญญาแจ้งฟ้าคลุมดิน เป็นเอกอยู่แต่ผู้เดียวในพิภพ มากล้ำด้วยอิสริยยศ อำนาจ วาสนา มีคุณูปการใหญ่หลวงต่อบ้านเมือง เป็นเทพบิดรแห่งแคว้นจ๊ก ควรที่ศพจะได้สถิตอยู่ในสุสานหลวง มีไพร่ทหารทำความสะอาดกวาดถูจุดตะเกียงบูชาหน้าศพ รับการเคารพเซ่นไหว้ของฮ่องเต้ บรรดาขุนนางผู้ใหญ่และอาณาประชาราษฎรให้สมแก่ความชอบชั่วชีวิต แต่กลับต้องมานอนตากน้ำค้างกลางหาวอยู่ข้างทางในป่าเปลี่ยว ประหนึ่งดังผีไม่มีญาติ ไม่ยินยอมให้ดวงวิญญาณเสวยสุขในสรวงสวรรค์ กลับยอมทนยากลำบากเวียนวนอยู่ในแดนผี ไร้การเซ่นไหว้ทุกตรุษสารท ซึ่งย่อมหิวโหยอดโซสุดที่จะเวทนา ด้วยปรารถนาบรรลุภารกิจสุดท้ายในอนาคตกาล คือปกป้องคุ้มครองอาณาประชาราษฎรชาวเสฉวน ซึ่งสู้ทำนุบำรุงมาด้วยหยาดเหงื่อและน้ำใจอันการุณย์ มิให้ข้าศึกย่ำยีทำอันตรายได้ น้ำใจที่ยามเป็นก็ภักดีจนตัวตาย ยามตายก็ถวายการรับใช้เพื่อความปลอดภัยของอาณาประชาราษฎร์โดยไม่เห็นแก่ความสุขบนสรวงสวรรค์ ดังนั้นแผ่นดินนี้ทั้งอดีต ปัจจุบัน และอนาคตจะมีผู้ใดเสมอเหมือนเล่า ความเป็นเอกแต่ผู้เดียวในพิภพหาได้ดำรงความเป็นเอกในยามเป็นเท่านั้นไม่ หากยังดำรงความเป็นเอกในยามตายจวบนิรันดรนั่นแล

            ครั้นฝังศพขงเบ้งเสร็จแล้วพระเจ้าเล่าเสี้ยนได้เสด็จกลับเมืองเสฉวน วันรุ่งขึ้นก็เสด็จออกว่าราชการตามปกติ

            ขณะนั้นเจ้าหน้าที่กรมข่าวได้ถวายบังคมแล้วกราบทูลว่า เมืองเองอั๋นได้ส่งใบบอกรายงานความมาว่ากองทัพเมืองกังตั๋งกำลังพลสิบหมื่นได้ยกมาตั้งอยู่ที่ปากทางเมืองปากิ๋ว แต่ไม่ทราบวัตถุประสงค์ที่แน่ชัดว่าจะยกมาโจมตีเมืองเสฉวนหรืออย่างไร

            พระเจ้าเล่าเสี้ยนได้ยินคำกราบทูลดังนั้นก็ตกพระทัย ทรงปรารภว่ามหาอุปราชเพิ่งตาย เมืองกังตั๋งสิยกกองทัพมาตั้งอยู่ดังนี้จะทำประการใด

            เจียวอ้วนจึงกราบทูลว่าเมื่อกองทัพเมืองกังตั๋งยกมาตั้งประชิดแดนเมืองเสฉวนดังนี้ ชอบที่จะคิดอ่านป้องกันระวังตัวจึงจะควร ขอพระองค์ได้ตรัสสั่งให้เตียวหงีและ อองเป๋งคุมทหารสิบหมื่นยกไปตั้งคุมเชิงอยู่ที่เมืองเองอั๋น แล้วให้แต่งขุนนางไปฟังท่าทีเมืองกังตั๋งดูว่าซึ่งยกกองทัพใหญ่มาตั้งดังนี้มีเหตุผลกลใด

            พระเจ้าเล่าเสี้ยนจึงตรัสถามว่าแลเมื่อเรายกทหารไปตั้งประหนึ่งขัดตาทัพอยู่ที่เมืองเองอั๋นแล้วจะแต่งทูตไปว่ากล่าวกับเมืองกังตั๋งได้อย่างไร

            เจียวอ้วนจึงกราบทูลต่อไปว่า ให้ราชทูตที่จะเดินทางไปเมืองกังตั๋งทำทีไปแจ้งข่าวตายของมหาอุปราชแก่พระเจ้าซุนกวน ก็จะรู้ท่าทีของเมืองกังตั๋งเองว่าคิดอ่านประการใด

            พระเจ้าเล่าเสี้ยนได้ฟังคำทูลดังนั้นก็ทรงเห็นชอบ จึงตรัสสั่งให้เตียวหงีและอองเป๋งยกกองทัพสิบหมื่นไปตั้งขัดตาทัพอยู่ที่เมืองเองอั๋น แล้วตรัสถามที่ประชุมขุนนางว่าผู้ใดจะอาสาเป็นทูตไปเมืองกังตั๋งในครั้งนี้

            ฝ่ายจองอี้ซึ่งเป็นขุนนางผู้ใหญ่ มีสติปัญญาไหวพริบเฉลียวฉลาด ได้ฟังพระราชปรารภดังนั้นจึงเข้าไปกราบบังคมทูลขออาสาเป็นทูต พระเจ้าเล่าเสี้ยนเห็นจองอี้ก็วางพระทัยว่าจะได้ราชการ จึงโปรดเกล้าตั้งจองอี้เป็นราชทูตให้อัญเชิญเครื่องราชบรรณาการ และเดินทางไปเฝ้าพระเจ้าซุนกวนที่เมืองกังตั๋ง

            พอจองอี้คุมขบวนเดินทางล่วงแดนเมืองเสฉวนเข้าสู่แดนเมืองกังตั๋งก็รู้สึกประหลาดใจเพราะเห็นชาวเมืองนุ่งขาวห่มขาวไว้ทุกข์ จนกระทั่งถึงเมืองกังตั๋งแล้วจึงขอเข้าเฝ้าพระเจ้าซุนกวนตามประเพณี

            จองอี้เข้าไปถึงท้องพระโรงก็เห็นพระเจ้าซุนกวนและขุนนางทั้งปวงนุ่มขาวห่มขาวไว้ทุกข์ทั้งสิ้น จึงเข้าไปถวายบังคมพระเจ้าซุนกวนแล้วกราบทูลว่าพระเจ้าเล่าเสี้ยนตรัสสั่งให้ข้าพระองค์เชิญเครื่องบรรณาการมากราบทูลว่าบัดนี้มหาอุปราชจูกัดเหลียง-ขงเบ้งได้ถึงแก่ความตายแล้ว

            พระเจ้าซุนกวนได้ฟังคำกราบทูลของจองอี้จบก็ตรัสตอบด้วยความโกรธว่า เรารู้ดีว่าท่านมาเมืองกังตั๋งครั้งนี้เพียงเพื่อจะดูท่าทีว่าที่ง่อก๊กเรายกทหารไปตั้งที่ตำบลปากิ๋วนั้นเพราะเหตุผลกลใด แต่ไฉนจะต้องเอาข่าวการตายของขงเบ้งมาบังหน้าด้วยเล่า “เมืองกังตั๋งกับเมืองเสฉวนก็เป็นไมตรีกัน เรารู้ว่าขงเบ้งตาย เราให้ชาวเมืองนุ่งขาวห่มขาวทุกคน”

            แล้วพระเจ้าซุนกวนจึงตัดพ้อต่อว่าว่า พระเจ้าเล่าเสี้ยนแคลงใจเราว่าไม่ซื่อตรง จึงให้ยกทหารไปตั้งอยู่ที่เมืองเองอั๋น หรือหวังจะทำการแก้แค้นที่ลกซุนเผากองทัพพระเจ้าเล่าปี่ถึงเจ็ดสิบสองหมื่นในครั้งก่อน เป็นเหตุให้พระเจ้าเล่าปี่เสด็จไปประทับที่เมืองเป๊กเต้แล้วสิ้นพระชนม์ที่เมืองนั้น

            จองอี้ถวายบังคมพระเจ้าซุนกวนแล้วกราบทูลว่า ซึ่งพระเจ้าเล่าเสี้ยนจะแคลงพระทัยในพระองค์นั้นหามิได้ ด้วยเมืองปากิ๋ว เมืองเองอั๋นล้วนเป็นจุดยุทธศาสตร์สำคัญใกล้กับแดนวุยก๊ก พระองค์ย่อมทรงมีพระวิตกว่าเมื่อขงเบ้งตายแล้วกองทัพ  วุยก๊กจะยกมาทำอันตรายจึงยกทหารไปตั้งอยู่ที่เมืองปากิ๋ว พระเจ้าเล่าเสี้ยนก็ทรงพระวิตกด้วยเห็นเหตุเป็นอย่างเดียวกัน จึงตรัสสั่งให้ยกทหารไปตั้งอยู่ที่เมืองเองอั๋น หวังจะป้องกันอันตรายจากวุยก๊กเช่นเดียวกัน ขอพระองค์อย่าได้แคลงพระทัยเลย

            พระเจ้าซุนกวนได้ยินดังนั้นก็ทรงรู้ว่าจองอี้รู้เท่าทันความคิดของพระองค์จึงทรงพระสรวล แล้วตรัสว่าบรรดาทูตแต่เมืองเสฉวนนั้นเรารักนับถือเตงจี๋เป็นอันมาก หลังจากเตงจี๋ถึงแก่ความตายแล้วรู้ข่าวคราวเมืองเสฉวนครั้งใดก็ให้อาลัยหาเพราะเตงจี๋มีสติปัญญาเฉลียวฉลาดในการเจรจาให้สองเมืองมีไมตรีแน่นแฟ้นวางใจกัน  คาดไม่ถึงว่าวันนี้เมืองเสฉวนยังคงมีราชทูตซึ่งปรีชาสามารถไม่แตกต่างอันใดกับเตงจี๋นั้นเลย

            พระเจ้าซุนกวนได้ตรัสต่อไปว่า “แต่เรารู้ข่าวว่าขงเบ้งถึงแก่ความตาย เราก็เป็นทุกข์อยู่เป็นอันมาก เราเกรงว่าโจยอยจะให้ยกไปตีเมืองเสฉวน เราจึงแต่งกองทัพไปตั้งสกัดไว้ ณ เมืองปากิ๋ว หวังจะช่วยป้องกันเมืองเสฉวน”.

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

ตัวอย่างกระทู้ธรรม ธรรมศึกษาชั้นตรี 5

I miss you all กับ I miss all of you ต่างกันอย่างไร

ปัญหาและเฉลยวิชาธรรม นักธรรมชั้นโท สอบในสนามหลวง วันเสาร์ ที่ ๑๙ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๔๘