ตอนที่ 577. อุบาย "ล่อเสือเอาลูก ล่อจระเข้เอาไข่"
พระพุทธศาสนายุกาลล่วงแล้วได้เจ็ดร้อยเจ็ดสิบเจ็ดพรรษา เดือนสิบเอ็ด อุยเอี๋ยนก่อการกบฎ คุมทหารไปเผาสะพานข้ามหุบเหว และสกัดเส้นทางถอยของขบวนทัพจ๊กที่จะยกเข้าแดนเมืองฮันต๋ง ทั้งอุยเอี๋ยนและเอียวหงีต่างแต่งฎีกาเข้าไปกราบบังคมทูลพระเจ้าเล่าเสี้ยนกล่าวหาว่าอีกฝ่ายหนึ่งเป็นกบฏ
พระเจ้าเล่าเสี้ยนทราบความตามฎีกาของเอียวหงีแล้ว จึงปรึกษาด้วยขุนนางทั้งปวงว่า ทั้งอุยเอี๋ยนและเอียวหงีต่างมีฎีกาเข้ามากล่าวหากันและกันว่าเป็นกบฏ ท่านทั้งปวงจะมีความเห็นเป็นประการใด
เจียวอ้วนซึ่งเป็นขุนนางอาวุโส ได้กราบถวายบังคมแล้วกราบทูลว่าเอียวหงีนั้นแม้เป็นขุนนางฝ่ายบุ๋น ใจร้อน วู่วาม แต่ได้ร่วมงานสงครามกับมหาอุปราชมาเป็นเวลานาน สามารถรับผิดชอบเรื่องราวธุรการของกองทัพได้ไม่ขาดตกบกพร่อง ก่อนมหาอุปราชจะสิ้นใจก็ได้ฝากฝังให้เอียวหงีควบคุมกองทัพ ข้าพระองค์เห็นว่าเอียวหงีเป็นขุนนางที่ซื่อสัตย์ จงรักภักดี ไม่มีทางที่จะก่อการกบฏตามข้อกล่าวหาของอุยเอี๋ยน ข้าพระองค์ขอเอาตัวเอง บุตรภรรยาและครอบครัวเป็นประกันความภักดีของเอียวหงี หากแม้นเอียวหงีเป็นขบถก็ยินดีให้ประหารชีวิตเสียทั้งครอบครัว
พระเจ้าเล่าเสี้ยนและขุนนางทั้งปวงได้ยินคำเจียวอ้วนรับรองค้ำประกันเอียวหงีแน่นหนามั่นคงดังนั้นก็พากันตกตะลึง เจียวอ้วนจึงกราบทูลต่อไปว่า ในความคาดคิดของข้าพระองค์ อุยเอี๋ยนนั่นแล้วที่เป็นฝ่ายก่อกบฏ เพราะแต่ไหนแต่ไรมาอุยเอี๋ยนอวดดื้อถือดีว่ามีวรยุทธ์เข้มแข็งแกร่งกล้าเหนือกว่าใคร ไม่เห็นผู้ใดอยู่ในสายตา แต่มหาอุปราชระแวงอุยเอี๋ยนว่าจะเป็นขบถมาช้านานแล้วจึงไม่มอบหมายให้อุยเอี๋ยนควบคุมกองทัพ กลับมอบให้แก่เอียวหงี อุยเอี๋ยนจึงไม่พอใจแล้วก่อการกบฏขึ้น มิหนำซ้ำยังแต่งฎีกากราบทูลเท็จป้ายสีความผิดให้แก่เอียวหงีอีก
ขุนนางอีกหลายคนได้ยินคำกราบบังคมทูลของเจียวอ้วนดังนั้น จึงกราบบังคมทูลพระเจ้าเล่าเสี้ยนต้องกันว่า อุยเอี๋ยนเป็นคนทะเยอทะยานมักใหญ่ใฝ่สูง แต่ช่วงเวลาที่ผ่านมายังไม่กล้าก่อกรรมกบฏก็เพราะยังเกรงกลัวมหาอุปราชอยู่ บัดนี้มหาอุปราชสิ้นบุญแล้วจึงคิดกำเริบฉวยโอกาสทำการกบฎ
พระเจ้าเล่าเสี้ยนได้ยินคำขุนนางทั้งปวงลงความเห็นต้องกันว่า เอียวหงีเป็นฝ่ายจงรักภักดี อุยเอี๋ยนเป็นฝ่ายก่อกบฏ ก็ทรงเห็นด้วย จึงตรัสถามขุนนางทั้งปวงว่าเมื่ออุยเอี๋ยนเป็นกบฏดังนี้ จะคิดอ่านประการใดจึงจะควร
เจียวอ้วนจึงกราบบังคมทูลว่า มหาอุปราชระแวงระวังอุยเอี๋ยนว่าจะเป็นกบฏตลอดมา เห็นจะมีอุบายไม่อย่างใดก็อย่างหนึ่งมอบให้กับเอียวหงีไว้ ซึ่งเอียวหงีสามารถคุมกองทัพล่าถอยออกมาจากตำบลเขากิสานโดยที่สุมาอี้ทำอันตรายมิได้นั้น เห็นจะเป็นเพราะแผนการอุบายที่มหาอุปราชสั่งสอนไว้ มิฉะนั้นแล้วไหนเลยจะล่าถอยทัพโดยปลอดภัยได้ ข้าพระองค์คะเนว่ามหาอุปราชน่าจะมอบแผนการอันใดอันหนึ่งไว้กับเอียวหงีเพื่อกำจัดอุยเอี๋ยนเป็นมั่นคง ขอพระองค์อย่าทรงพระวิตกเลย
พระเจ้าเล่าเสี้ยนได้ฟังกราบบังคมทูลของเจียวอ้วนก็ทรงเห็นด้วย หลังจากนั้นไม่นานอุยเอี๋ยนก็มีฎีกาเข้ามากราบบังคมทูลอีกว่าเอียวหงีก่อการกบฏเป็นแน่แล้ว ข้าพระองค์ได้เกลี้ยกล่อมให้ยอมสำนึกผิด แต่เอียวหงีไม่ยอมคิดจะยกกองทัพเข้าตีเมืองฮันต๋ง ขอพระองค์ได้แต่งกองทัพยกไปกำจัดเอียวหงีเสีย
พระเจ้าเล่าเสี้ยนยังไม่ทันที่จะตรัสประการใด เอียวหงีก็ได้ให้ม้าเร็วถือฎีกามา กราบบังคมทูลอีกว่าอุยเอี๋ยนได้ก่อการกบฏ คุมกำลังกองทัพหน้าตั้งสกัดกองทัพหลวงอยู่ที่ตำบลเจียงโต๋ เห็นจะเตรียมการบุกเข้าตีเมืองฮันต๋ง ขอพระองค์ได้ทรงกำชับด่านรายทางทั้งปวงให้ระมัดระวังกวดขัน อย่าให้กองทัพอุยเอี๋ยนยกล่วงเข้าไปได้
พระเจ้าเล่าเสี้ยนทอดพระเนตรฎีกาทั้งสองฉบับแล้วจึงปรารภความกับบรรดาขุนนางว่าจะมีความเห็นเป็นประการใด ยังมิทันที่ขุนนางจะกราบบังคมทูลบิฮุยได้เดินทางกลับจากตำบลเขากิสานมาถึงเมืองเสฉวนแล้วลุกลี้ลุกลนเข้ามาเฝ้า
พระเจ้าเล่าเสี้ยนทอดพระเนตรเห็นบิฮุยดังนั้นก็ดีพระทัย ตรัสเรียกบิฮุยเข้าไปสอบถามความเป็นไป บิฮุยถวายบังคมตามประเพณีแล้วกราบบังคมทูลว่าก่อนจะสิ้นบุญ มหาอุปราชได้มอบหมายให้เอียวหงีควบคุมกองทัพล่าถอยกลับเมืองเสฉวน และให้อุยเอี๋ยนเป็นกองทัพหลังคอยคุ้มกันกองทัพไม่ให้เป็นอันตราย แต่อุยเอี๋ยนไม่เชื่อฟัง เอียวหงีและเกียงอุยจึงทำตามแผนการอุบายของมหาอุปราช พากองทัพล่าถอยจากตำบลเขากิสานโดยปลอดภัย ครั้นมาถึงตำบลเจียงโต๋อุยเอี๋ยนได้คุมกองทัพหน้ามาสกัดทางไว้ และเผาสะพานข้ามหุบเหวเสียทั้งสิ้น เห็นอุยเอี๋ยนจะเป็นกบฏสมตามที่มหาอุปราชได้ทำนายไว้ แต่พระองค์ได้โปรดวางพระราชหฤทัย เพราะขงเบ้งได้คิดอ่านแผนการกำจัดอุยเอี๋ยนเอาไว้แล้ว
พระเจ้าเล่าเสี้ยนได้ฟังคำกราบบังคมทูลดังนั้นก็ดีพระทัย และตรัสถามขุนนางทั้งปวงว่าเมื่ออุยเอี๋ยนเป็นกบฏดังนี้จะคิดอ่านผันผ่อนประการใด
เจียวอ้วนจึงกราบบังคมทูลว่า อุยเอี๋ยนเป็นคนเจ้าเล่ห์ หากทราบว่าพระองค์ ปักใจเชื่อว่าเป็นกบฏเห็นจะคิดกำเริบยกกองทัพไปตีเอาเมืองฮันต๋ง จึงชอบที่จะมีหมายรับสั่งไปปลอบประโลมใจอุยเอี๋ยนเอาไว้ก่อน รอจนกองทัพหลวงยกล่วงเข้าเมืองฮันต๋งแล้วจึงค่อยดำเนินการสืบไป
พระเจ้าเล่าเสี้ยนได้ฟังดังนั้นก็ทรงเห็นชอบ จึงโปรดให้ตังอุ๋นเชิญหมายรับสั่งไปเกลี้ยกล่อมอุยเอี๋ยนไว้ว่า ฮ่องเต้ได้รับทราบฎีกาของอุยเอี๋ยนแล้ว กำลังจัดแจงกองทัพเพื่อปราบปรามฝ่ายกบฏให้ราบคาบ โดยที่ไม่ยืนยันเป็นแน่ชัดว่าฝ่ายใดเป็นฝ่ายกบฏ แต่เป็นทีให้อุยเอี๋ยนเข้าใจว่าฝ่ายเอียวหงีเป็นกบฏ
ตังอุ๋นรับหมายรับสั่งแล้วจึงถวายบังคมลารีบเดินทางไปตำบลเจียงโต๋
ฝ่ายเอียวหงีและเกียงอุยครั้นได้แต่งฎีกาเข้าไปกราบบังคมทูลพระเจ้าเล่าเสี้ยนแล้ว พอเวลาค่ำลงก็สั่งให้ทหารทั้งปวงลอบยกไปตามเส้นทางลัดตามซอกเขาเจาสัน โดยเอียวหงีและเกียงอุยคุมขบวนศพของขงเบ้งยกล่วงหน้าไปก่อน ให้อองเป๋งเป็นกองหลัง คอยคุ้มกันการโจมตีของอุยเอี๋ยน และสั่งให้เร่งเดินทัพทั้งกลางวันและกลางคืน
ฝ่ายอุยเอี๋ยนหลังจากเผาสะพานลอยข้ามหุบเหวแล้ว ก็มั่นใจว่ากองทัพหลวงของเอียวหงีจะไม่สามารถล่าถอยกลับไปเมืองฮันต๋งได้ เนื่องจากไม่รู้ว่ามีทางลัดตามซอกเขาเจาสันอยู่อีก จึงยกกองทัพหน้าเข้าไปตั้งสกัดอยู่ในเส้นทางสายจำก๊ก หวังจะสกัดกั้นไม่ให้กองทัพหลวงของเอียวหงียกมาถึงตำบลเจียงโต๋ได้ และตั้งตาคอยหมายรับสั่งของพระเจ้าเล่าเสี้ยนที่จะยกกองทัพมากำจัดเอียวหงีเสียตามฎีกาที่ได้กราบบังคมทูลไป
วันหนึ่งหน่วยลาดตระเวนของอุยเอี๋ยนได้นำความไปแจ้งแก่อุยเอี๋ยนว่า ท่านแม่ทัพหลงกลแก่เอียวหงีแล้ว เพราะเอียวหงีและเกียงอุยได้ลอบยกกองทัพไปตามเส้นทางลัดอ้อมกองทัพหน้าและหุบเหวเข้าเส้นทางจำก๊กไปก่อนแล้ว กำลังรุดจะเข้าแดนเมืองฮันต๋งอยู่แล้ว
อุยเอี๋ยนได้ฟังรายงานดังนั้นก็โกรธ รีบคุมทหารออกไล่ตาม เห็นอองเป๋งคุมกองหลังสกัดอยู่ในเส้นทางซึ่งเป็นที่ราบกว้างกลางหุบเขา จึงคุมทหารประชิดเข้าไป
อองเป๋งเห็นดังนั้นจึงสั่งทหารให้โห่ร้องเยาะเย้ยอุยเอี๋ยนว่า มหาอุปราชรู้อยู่ก่อนแล้วว่ามึงจะเป็นกบฏ บัดนี้มหาอุปราชสิ้นบุญ ศพยังไม่ทันเย็น มึงก็ก่อการกบฏสมตามคำทำนายของมหาอุปราช
พอทหารเงียบเสียงลงอองเป๋งจึงประกาศแก่ทหารของอุยเอี๋ยนว่า พวกเราเป็นข้าแผ่นดินจ๊ก เป็นพี่น้องร่วมเป็นร่วมตาย ร่วมทำสงครามกับมหาอุปราชมาช้านาน ตลอดมามหาอุปราชก็เอื้ออาทรทำนุบำรุงดุจดังบุตรในอุทร มิได้ทำสิ่งใดให้แค้นเคือง ไยจะต้องไปเข้าด้วยไอ้กบฏ จงคิดถึงลูกเมียที่อยู่ข้างหลังแล้วมาร่วมกับเรากลับไปเมืองเสฉวนพร้อมกันเถิด ลูกเมียและครอบครัวจะได้มีความสุขสืบไป
อุยเอี๋ยนได้ยินดังนั้นก็โกรธ ชักม้าพุ่งปราดเข้ารบกับอองเป๋ง อองเป๋งเข้ารบกับอุยเอี๋ยนได้ห้าเพลงก็ทำทีเป็นสู้อุยเอี๋ยนไม่ได้ ชักม้าเบนหนีออกจากวงรบ อุยเอี๋ยนไม่รู้กลก็ขี่ม้าไล่ตามอองเป๋งไป
ในขณะที่อุยเอี๋ยนขี่ม้าไล่ตามอองเป๋งนั้น บรรดาทหารในกองทัพหน้าของอุยเอี๋ยนได้ยินคำประกาศของอองเป๋งแล้วก็ร้องไห้รักขงเบ้ง และคิดถึงบุตรภรรยาที่อยู่ข้างหลัง จึงพากันไปเข้าด้วยกับอองเป๋งเป็นอันมาก ทหารของอุยเอี๋ยนไปเข้าด้วยกับทหารของอองเป๋งถึงครึ่งหนึ่ง
อองเป๋งเห็นการเป็นไปตามแผนการก็มีความยินดี ขี่ม้าวนกลับมาที่กองทหารแล้วร้องสั่งทหารทั้งปวงว่า ให้ระดมยิงเกาทัณฑ์สกัดไอ้กบฎไว้ ทหารของอองเป๋งได้ยินคำสั่งก็ยิงเกาทัณฑ์สกัดไม่ให้อุยเอี๋ยนไล่ตามอองเป๋ง อุยเอี๋ยนเห็นม่านเกาทัณฑ์หนาแน่น ขี่ม้าฝ่าเข้าไปไม่ได้ จึงชักม้าถอยกลับออกมา เห็นทหารในกองทัพหน้าที่เหลืออยู่ไม่ถึงครึ่งต่างพากันรวนเร จะพากันไปเข้าด้วยกับอองเป๋งอีกก็โกรธ
อุยเอี๋ยนร้องตวาดขึ้นด้วยเสียงอันดังว่า ถ้าผู้ใดเอาใจออกหากเราก็จะตัดศีรษะเสีย พลันเหลือบไปเห็นทหารม้าสี่ห้าคนกำลังจะขี่ม้าไปเข้ากับอองเป๋ง อุยเอี๋ยนจึงขี่ม้าเข้าไปฆ่าทหารทั้งห้าคนนั้นจนตายสิ้น แล้วขี่ม้ากลับมาที่กองทหาร เห็นม้าต้ายยังคุมกองทหารสงบนิ่งอยู่
อุยเอี๋ยนจึงขี่ม้าเข้าไปหาม้าต้ายแล้วว่า ตัวท่านนี้มีน้ำใจสัตย์ซื่อต่อข้าพเจ้าเป็นอันมาก แม้นทำการสำเร็จสมความปรารถนาแล้ว เรามียศศักดิ์วาสนาอย่างใด ท่านก็จะมียศศักดิ์วาสนาดังนั้นด้วย นับแต่นี้ต่อไปเราสองคนมีสุขต้องร่วมเสพ มีทุกข์ต้องร่วมต้าน
ม้าต้ายได้ฟังคำอุยเอี๋ยนดังนั้นจึงว่า ข้าพเจ้าปักใจอยู่ด้วยท่านแล้ว ไฉนท่านจึงกล่าวความเสมือนหนึ่งเป็นคนอื่นไกลดังนี้เล่า
อุยเอี๋ยนได้ยินดังนั้นก็มีความยินดี เหลียวกลับไปมองกองทหารของอองเป๋ง เห็นอองเป๋งพาทหารรีบรุดหนีไปอย่างรวดเร็ว อุยเอี๋ยนจึงบอกม้าต้ายและทหารทั้งปวงให้ยก ไล่ตามอองเป๋งไป
อุยเอี๋ยนและม้าต้ายคุมทหารไล่ตามอองเป๋งเป็นระยะทางถึงสองร้อยเส้นแต่ไม่ทันกัน อุยเอี๋ยนจึงหยุดทหารไว้แล้วปรึกษากับม้าต้ายว่า เราทำการทั้งนี้เห็นความจะล่วงรู้ไปถึงพระเจ้าเล่าเสี้ยนแล้ว กระนั้นเลยเมื่อได้ชื่อว่าเป็นกบฏแล้วจำจะเข้าสวามิภักดิ์กับวุยก๊ก เห็นจะมีความชอบสืบไป ท่านจะเห็นเป็นประการใดเล่า
ม้าต้ายซึ่งรับแผนการมาจากขงเบ้งได้ยินคำอุยเอี๋ยนดังนั้นก็นึกสรรเสริญขงเบ้งว่าแม้ยามป่วยหนักใกล้สิ้นใจก็ยังคะเนการณ์ไว้ไม่ผิดพลาด หากจะเออออไปกับอุยเอี๋ยนเข้าสวามิภักดิ์กับวุยก๊กย่อมเท่ากับเพิ่มกำลังวังชาให้กับวุยก๊ก จึงแสร้งกล่าวกับอุยเอี๋ยนตามแผนการที่ขงเบ้งสั่งไว้ว่า “ท่านว่านี้ไม่ควร ธรรมดาเป็นชาติทหารถ้าคิดการสิ่งใดก็ให้สำเร็จจึงจะปรากฏชื่อเสียงไปภายหน้า อันตัวท่านบัดนี้ก็มีฝีมือกล้าหาญ ประกอบด้วยสติปัญญาคิดการลึกซึ้ง ในเมืองเสฉวนแลเมืองฮันต๋งหาผู้ใดจะต้านทานฝีมือแลความคิดท่านไม่ ข้าพเจ้าจะขออาสาตีเอาเมืองฮันต๋งแล้วจะตีเมืองเสฉวนให้ได้ ท่านก็จะได้เป็นใหญ่”
อุยเอี๋ยนได้ฟังคำม้าต้ายดังนั้นก็มีใจกำเริบ คิดจะยกกองทัพเข้าตีเมืองฮันต๋งแล้วยึดเอาเมืองเสฉวน จึงกล่าวกับม้าต้ายว่าแม้นการสำเร็จดังแผนการของท่าน เราสองคนชาตินี้ย่อมเสพสุขไม่สิ้นเป็นแน่แท้ กล่าวแล้วอุยเอี๋ยนและม้าต้ายก็หัวเราะขึ้นพร้อมกัน เป็นแต่เบื้องลึกของเสียงหัวเราะนั้นต่างกันอย่างสิ้นเชิง อุยเอี๋ยนหัวเราะด้วยกำเริบใจว่าจะครองอำนาจเป็นใหญ่ในเมืองเสฉวนและเมืองฮันต๋ง ในขณะที่ม้าต้ายหัวเราะด้วยความชื่นชมนิยมในสติปัญญาของขงเบ้งที่ล่วงรู้การณ์เบื้องหน้า แล้ววางแผนการอย่างแยบยลดุจเทพยดา มั่นใจได้ว่าแผนการที่ขงเบ้งสั่งเสียไว้ก่อนตายจักสัมฤทธิ์ผลเป็นแน่แท้
ครู่หนึ่งหน่วยลาดตระเวนได้นำความมารายงานแก่อุยเอี๋ยนว่า ขณะนี้กองทัพหลวงของเอียวหงีได้ยกเข้าไปตั้งอยู่ในเมืองหน้าด่านของเมืองฮันต๋ง และอองเป๋งได้พาทหารตามเข้าไปสมทบอยู่ในเมืองแล้ว
อุยเอี๋ยนได้ฟังรายงานดังนั้นจึงพาม้าต้ายและทหารยกไปที่เมืองหน้าด่าน เตรียมการที่จะโจมตียึดเอาเป็นฐานที่มั่นต่อไป.
พระเจ้าเล่าเสี้ยนทราบความตามฎีกาของเอียวหงีแล้ว จึงปรึกษาด้วยขุนนางทั้งปวงว่า ทั้งอุยเอี๋ยนและเอียวหงีต่างมีฎีกาเข้ามากล่าวหากันและกันว่าเป็นกบฏ ท่านทั้งปวงจะมีความเห็นเป็นประการใด
เจียวอ้วนซึ่งเป็นขุนนางอาวุโส ได้กราบถวายบังคมแล้วกราบทูลว่าเอียวหงีนั้นแม้เป็นขุนนางฝ่ายบุ๋น ใจร้อน วู่วาม แต่ได้ร่วมงานสงครามกับมหาอุปราชมาเป็นเวลานาน สามารถรับผิดชอบเรื่องราวธุรการของกองทัพได้ไม่ขาดตกบกพร่อง ก่อนมหาอุปราชจะสิ้นใจก็ได้ฝากฝังให้เอียวหงีควบคุมกองทัพ ข้าพระองค์เห็นว่าเอียวหงีเป็นขุนนางที่ซื่อสัตย์ จงรักภักดี ไม่มีทางที่จะก่อการกบฏตามข้อกล่าวหาของอุยเอี๋ยน ข้าพระองค์ขอเอาตัวเอง บุตรภรรยาและครอบครัวเป็นประกันความภักดีของเอียวหงี หากแม้นเอียวหงีเป็นขบถก็ยินดีให้ประหารชีวิตเสียทั้งครอบครัว
พระเจ้าเล่าเสี้ยนและขุนนางทั้งปวงได้ยินคำเจียวอ้วนรับรองค้ำประกันเอียวหงีแน่นหนามั่นคงดังนั้นก็พากันตกตะลึง เจียวอ้วนจึงกราบทูลต่อไปว่า ในความคาดคิดของข้าพระองค์ อุยเอี๋ยนนั่นแล้วที่เป็นฝ่ายก่อกบฏ เพราะแต่ไหนแต่ไรมาอุยเอี๋ยนอวดดื้อถือดีว่ามีวรยุทธ์เข้มแข็งแกร่งกล้าเหนือกว่าใคร ไม่เห็นผู้ใดอยู่ในสายตา แต่มหาอุปราชระแวงอุยเอี๋ยนว่าจะเป็นขบถมาช้านานแล้วจึงไม่มอบหมายให้อุยเอี๋ยนควบคุมกองทัพ กลับมอบให้แก่เอียวหงี อุยเอี๋ยนจึงไม่พอใจแล้วก่อการกบฏขึ้น มิหนำซ้ำยังแต่งฎีกากราบทูลเท็จป้ายสีความผิดให้แก่เอียวหงีอีก
ขุนนางอีกหลายคนได้ยินคำกราบบังคมทูลของเจียวอ้วนดังนั้น จึงกราบบังคมทูลพระเจ้าเล่าเสี้ยนต้องกันว่า อุยเอี๋ยนเป็นคนทะเยอทะยานมักใหญ่ใฝ่สูง แต่ช่วงเวลาที่ผ่านมายังไม่กล้าก่อกรรมกบฏก็เพราะยังเกรงกลัวมหาอุปราชอยู่ บัดนี้มหาอุปราชสิ้นบุญแล้วจึงคิดกำเริบฉวยโอกาสทำการกบฎ
พระเจ้าเล่าเสี้ยนได้ยินคำขุนนางทั้งปวงลงความเห็นต้องกันว่า เอียวหงีเป็นฝ่ายจงรักภักดี อุยเอี๋ยนเป็นฝ่ายก่อกบฏ ก็ทรงเห็นด้วย จึงตรัสถามขุนนางทั้งปวงว่าเมื่ออุยเอี๋ยนเป็นกบฏดังนี้ จะคิดอ่านประการใดจึงจะควร
เจียวอ้วนจึงกราบบังคมทูลว่า มหาอุปราชระแวงระวังอุยเอี๋ยนว่าจะเป็นกบฏตลอดมา เห็นจะมีอุบายไม่อย่างใดก็อย่างหนึ่งมอบให้กับเอียวหงีไว้ ซึ่งเอียวหงีสามารถคุมกองทัพล่าถอยออกมาจากตำบลเขากิสานโดยที่สุมาอี้ทำอันตรายมิได้นั้น เห็นจะเป็นเพราะแผนการอุบายที่มหาอุปราชสั่งสอนไว้ มิฉะนั้นแล้วไหนเลยจะล่าถอยทัพโดยปลอดภัยได้ ข้าพระองค์คะเนว่ามหาอุปราชน่าจะมอบแผนการอันใดอันหนึ่งไว้กับเอียวหงีเพื่อกำจัดอุยเอี๋ยนเป็นมั่นคง ขอพระองค์อย่าทรงพระวิตกเลย
พระเจ้าเล่าเสี้ยนได้ฟังกราบบังคมทูลของเจียวอ้วนก็ทรงเห็นด้วย หลังจากนั้นไม่นานอุยเอี๋ยนก็มีฎีกาเข้ามากราบบังคมทูลอีกว่าเอียวหงีก่อการกบฏเป็นแน่แล้ว ข้าพระองค์ได้เกลี้ยกล่อมให้ยอมสำนึกผิด แต่เอียวหงีไม่ยอมคิดจะยกกองทัพเข้าตีเมืองฮันต๋ง ขอพระองค์ได้แต่งกองทัพยกไปกำจัดเอียวหงีเสีย
พระเจ้าเล่าเสี้ยนยังไม่ทันที่จะตรัสประการใด เอียวหงีก็ได้ให้ม้าเร็วถือฎีกามา กราบบังคมทูลอีกว่าอุยเอี๋ยนได้ก่อการกบฏ คุมกำลังกองทัพหน้าตั้งสกัดกองทัพหลวงอยู่ที่ตำบลเจียงโต๋ เห็นจะเตรียมการบุกเข้าตีเมืองฮันต๋ง ขอพระองค์ได้ทรงกำชับด่านรายทางทั้งปวงให้ระมัดระวังกวดขัน อย่าให้กองทัพอุยเอี๋ยนยกล่วงเข้าไปได้
พระเจ้าเล่าเสี้ยนทอดพระเนตรฎีกาทั้งสองฉบับแล้วจึงปรารภความกับบรรดาขุนนางว่าจะมีความเห็นเป็นประการใด ยังมิทันที่ขุนนางจะกราบบังคมทูลบิฮุยได้เดินทางกลับจากตำบลเขากิสานมาถึงเมืองเสฉวนแล้วลุกลี้ลุกลนเข้ามาเฝ้า
พระเจ้าเล่าเสี้ยนทอดพระเนตรเห็นบิฮุยดังนั้นก็ดีพระทัย ตรัสเรียกบิฮุยเข้าไปสอบถามความเป็นไป บิฮุยถวายบังคมตามประเพณีแล้วกราบบังคมทูลว่าก่อนจะสิ้นบุญ มหาอุปราชได้มอบหมายให้เอียวหงีควบคุมกองทัพล่าถอยกลับเมืองเสฉวน และให้อุยเอี๋ยนเป็นกองทัพหลังคอยคุ้มกันกองทัพไม่ให้เป็นอันตราย แต่อุยเอี๋ยนไม่เชื่อฟัง เอียวหงีและเกียงอุยจึงทำตามแผนการอุบายของมหาอุปราช พากองทัพล่าถอยจากตำบลเขากิสานโดยปลอดภัย ครั้นมาถึงตำบลเจียงโต๋อุยเอี๋ยนได้คุมกองทัพหน้ามาสกัดทางไว้ และเผาสะพานข้ามหุบเหวเสียทั้งสิ้น เห็นอุยเอี๋ยนจะเป็นกบฏสมตามที่มหาอุปราชได้ทำนายไว้ แต่พระองค์ได้โปรดวางพระราชหฤทัย เพราะขงเบ้งได้คิดอ่านแผนการกำจัดอุยเอี๋ยนเอาไว้แล้ว
พระเจ้าเล่าเสี้ยนได้ฟังคำกราบบังคมทูลดังนั้นก็ดีพระทัย และตรัสถามขุนนางทั้งปวงว่าเมื่ออุยเอี๋ยนเป็นกบฏดังนี้จะคิดอ่านผันผ่อนประการใด
เจียวอ้วนจึงกราบบังคมทูลว่า อุยเอี๋ยนเป็นคนเจ้าเล่ห์ หากทราบว่าพระองค์ ปักใจเชื่อว่าเป็นกบฏเห็นจะคิดกำเริบยกกองทัพไปตีเอาเมืองฮันต๋ง จึงชอบที่จะมีหมายรับสั่งไปปลอบประโลมใจอุยเอี๋ยนเอาไว้ก่อน รอจนกองทัพหลวงยกล่วงเข้าเมืองฮันต๋งแล้วจึงค่อยดำเนินการสืบไป
พระเจ้าเล่าเสี้ยนได้ฟังดังนั้นก็ทรงเห็นชอบ จึงโปรดให้ตังอุ๋นเชิญหมายรับสั่งไปเกลี้ยกล่อมอุยเอี๋ยนไว้ว่า ฮ่องเต้ได้รับทราบฎีกาของอุยเอี๋ยนแล้ว กำลังจัดแจงกองทัพเพื่อปราบปรามฝ่ายกบฏให้ราบคาบ โดยที่ไม่ยืนยันเป็นแน่ชัดว่าฝ่ายใดเป็นฝ่ายกบฏ แต่เป็นทีให้อุยเอี๋ยนเข้าใจว่าฝ่ายเอียวหงีเป็นกบฏ
ตังอุ๋นรับหมายรับสั่งแล้วจึงถวายบังคมลารีบเดินทางไปตำบลเจียงโต๋
ฝ่ายเอียวหงีและเกียงอุยครั้นได้แต่งฎีกาเข้าไปกราบบังคมทูลพระเจ้าเล่าเสี้ยนแล้ว พอเวลาค่ำลงก็สั่งให้ทหารทั้งปวงลอบยกไปตามเส้นทางลัดตามซอกเขาเจาสัน โดยเอียวหงีและเกียงอุยคุมขบวนศพของขงเบ้งยกล่วงหน้าไปก่อน ให้อองเป๋งเป็นกองหลัง คอยคุ้มกันการโจมตีของอุยเอี๋ยน และสั่งให้เร่งเดินทัพทั้งกลางวันและกลางคืน
ฝ่ายอุยเอี๋ยนหลังจากเผาสะพานลอยข้ามหุบเหวแล้ว ก็มั่นใจว่ากองทัพหลวงของเอียวหงีจะไม่สามารถล่าถอยกลับไปเมืองฮันต๋งได้ เนื่องจากไม่รู้ว่ามีทางลัดตามซอกเขาเจาสันอยู่อีก จึงยกกองทัพหน้าเข้าไปตั้งสกัดอยู่ในเส้นทางสายจำก๊ก หวังจะสกัดกั้นไม่ให้กองทัพหลวงของเอียวหงียกมาถึงตำบลเจียงโต๋ได้ และตั้งตาคอยหมายรับสั่งของพระเจ้าเล่าเสี้ยนที่จะยกกองทัพมากำจัดเอียวหงีเสียตามฎีกาที่ได้กราบบังคมทูลไป
วันหนึ่งหน่วยลาดตระเวนของอุยเอี๋ยนได้นำความไปแจ้งแก่อุยเอี๋ยนว่า ท่านแม่ทัพหลงกลแก่เอียวหงีแล้ว เพราะเอียวหงีและเกียงอุยได้ลอบยกกองทัพไปตามเส้นทางลัดอ้อมกองทัพหน้าและหุบเหวเข้าเส้นทางจำก๊กไปก่อนแล้ว กำลังรุดจะเข้าแดนเมืองฮันต๋งอยู่แล้ว
อุยเอี๋ยนได้ฟังรายงานดังนั้นก็โกรธ รีบคุมทหารออกไล่ตาม เห็นอองเป๋งคุมกองหลังสกัดอยู่ในเส้นทางซึ่งเป็นที่ราบกว้างกลางหุบเขา จึงคุมทหารประชิดเข้าไป
อองเป๋งเห็นดังนั้นจึงสั่งทหารให้โห่ร้องเยาะเย้ยอุยเอี๋ยนว่า มหาอุปราชรู้อยู่ก่อนแล้วว่ามึงจะเป็นกบฏ บัดนี้มหาอุปราชสิ้นบุญ ศพยังไม่ทันเย็น มึงก็ก่อการกบฏสมตามคำทำนายของมหาอุปราช
พอทหารเงียบเสียงลงอองเป๋งจึงประกาศแก่ทหารของอุยเอี๋ยนว่า พวกเราเป็นข้าแผ่นดินจ๊ก เป็นพี่น้องร่วมเป็นร่วมตาย ร่วมทำสงครามกับมหาอุปราชมาช้านาน ตลอดมามหาอุปราชก็เอื้ออาทรทำนุบำรุงดุจดังบุตรในอุทร มิได้ทำสิ่งใดให้แค้นเคือง ไยจะต้องไปเข้าด้วยไอ้กบฏ จงคิดถึงลูกเมียที่อยู่ข้างหลังแล้วมาร่วมกับเรากลับไปเมืองเสฉวนพร้อมกันเถิด ลูกเมียและครอบครัวจะได้มีความสุขสืบไป
อุยเอี๋ยนได้ยินดังนั้นก็โกรธ ชักม้าพุ่งปราดเข้ารบกับอองเป๋ง อองเป๋งเข้ารบกับอุยเอี๋ยนได้ห้าเพลงก็ทำทีเป็นสู้อุยเอี๋ยนไม่ได้ ชักม้าเบนหนีออกจากวงรบ อุยเอี๋ยนไม่รู้กลก็ขี่ม้าไล่ตามอองเป๋งไป
ในขณะที่อุยเอี๋ยนขี่ม้าไล่ตามอองเป๋งนั้น บรรดาทหารในกองทัพหน้าของอุยเอี๋ยนได้ยินคำประกาศของอองเป๋งแล้วก็ร้องไห้รักขงเบ้ง และคิดถึงบุตรภรรยาที่อยู่ข้างหลัง จึงพากันไปเข้าด้วยกับอองเป๋งเป็นอันมาก ทหารของอุยเอี๋ยนไปเข้าด้วยกับทหารของอองเป๋งถึงครึ่งหนึ่ง
อองเป๋งเห็นการเป็นไปตามแผนการก็มีความยินดี ขี่ม้าวนกลับมาที่กองทหารแล้วร้องสั่งทหารทั้งปวงว่า ให้ระดมยิงเกาทัณฑ์สกัดไอ้กบฎไว้ ทหารของอองเป๋งได้ยินคำสั่งก็ยิงเกาทัณฑ์สกัดไม่ให้อุยเอี๋ยนไล่ตามอองเป๋ง อุยเอี๋ยนเห็นม่านเกาทัณฑ์หนาแน่น ขี่ม้าฝ่าเข้าไปไม่ได้ จึงชักม้าถอยกลับออกมา เห็นทหารในกองทัพหน้าที่เหลืออยู่ไม่ถึงครึ่งต่างพากันรวนเร จะพากันไปเข้าด้วยกับอองเป๋งอีกก็โกรธ
อุยเอี๋ยนร้องตวาดขึ้นด้วยเสียงอันดังว่า ถ้าผู้ใดเอาใจออกหากเราก็จะตัดศีรษะเสีย พลันเหลือบไปเห็นทหารม้าสี่ห้าคนกำลังจะขี่ม้าไปเข้ากับอองเป๋ง อุยเอี๋ยนจึงขี่ม้าเข้าไปฆ่าทหารทั้งห้าคนนั้นจนตายสิ้น แล้วขี่ม้ากลับมาที่กองทหาร เห็นม้าต้ายยังคุมกองทหารสงบนิ่งอยู่
อุยเอี๋ยนจึงขี่ม้าเข้าไปหาม้าต้ายแล้วว่า ตัวท่านนี้มีน้ำใจสัตย์ซื่อต่อข้าพเจ้าเป็นอันมาก แม้นทำการสำเร็จสมความปรารถนาแล้ว เรามียศศักดิ์วาสนาอย่างใด ท่านก็จะมียศศักดิ์วาสนาดังนั้นด้วย นับแต่นี้ต่อไปเราสองคนมีสุขต้องร่วมเสพ มีทุกข์ต้องร่วมต้าน
ม้าต้ายได้ฟังคำอุยเอี๋ยนดังนั้นจึงว่า ข้าพเจ้าปักใจอยู่ด้วยท่านแล้ว ไฉนท่านจึงกล่าวความเสมือนหนึ่งเป็นคนอื่นไกลดังนี้เล่า
อุยเอี๋ยนได้ยินดังนั้นก็มีความยินดี เหลียวกลับไปมองกองทหารของอองเป๋ง เห็นอองเป๋งพาทหารรีบรุดหนีไปอย่างรวดเร็ว อุยเอี๋ยนจึงบอกม้าต้ายและทหารทั้งปวงให้ยก ไล่ตามอองเป๋งไป
อุยเอี๋ยนและม้าต้ายคุมทหารไล่ตามอองเป๋งเป็นระยะทางถึงสองร้อยเส้นแต่ไม่ทันกัน อุยเอี๋ยนจึงหยุดทหารไว้แล้วปรึกษากับม้าต้ายว่า เราทำการทั้งนี้เห็นความจะล่วงรู้ไปถึงพระเจ้าเล่าเสี้ยนแล้ว กระนั้นเลยเมื่อได้ชื่อว่าเป็นกบฏแล้วจำจะเข้าสวามิภักดิ์กับวุยก๊ก เห็นจะมีความชอบสืบไป ท่านจะเห็นเป็นประการใดเล่า
ม้าต้ายซึ่งรับแผนการมาจากขงเบ้งได้ยินคำอุยเอี๋ยนดังนั้นก็นึกสรรเสริญขงเบ้งว่าแม้ยามป่วยหนักใกล้สิ้นใจก็ยังคะเนการณ์ไว้ไม่ผิดพลาด หากจะเออออไปกับอุยเอี๋ยนเข้าสวามิภักดิ์กับวุยก๊กย่อมเท่ากับเพิ่มกำลังวังชาให้กับวุยก๊ก จึงแสร้งกล่าวกับอุยเอี๋ยนตามแผนการที่ขงเบ้งสั่งไว้ว่า “ท่านว่านี้ไม่ควร ธรรมดาเป็นชาติทหารถ้าคิดการสิ่งใดก็ให้สำเร็จจึงจะปรากฏชื่อเสียงไปภายหน้า อันตัวท่านบัดนี้ก็มีฝีมือกล้าหาญ ประกอบด้วยสติปัญญาคิดการลึกซึ้ง ในเมืองเสฉวนแลเมืองฮันต๋งหาผู้ใดจะต้านทานฝีมือแลความคิดท่านไม่ ข้าพเจ้าจะขออาสาตีเอาเมืองฮันต๋งแล้วจะตีเมืองเสฉวนให้ได้ ท่านก็จะได้เป็นใหญ่”
อุยเอี๋ยนได้ฟังคำม้าต้ายดังนั้นก็มีใจกำเริบ คิดจะยกกองทัพเข้าตีเมืองฮันต๋งแล้วยึดเอาเมืองเสฉวน จึงกล่าวกับม้าต้ายว่าแม้นการสำเร็จดังแผนการของท่าน เราสองคนชาตินี้ย่อมเสพสุขไม่สิ้นเป็นแน่แท้ กล่าวแล้วอุยเอี๋ยนและม้าต้ายก็หัวเราะขึ้นพร้อมกัน เป็นแต่เบื้องลึกของเสียงหัวเราะนั้นต่างกันอย่างสิ้นเชิง อุยเอี๋ยนหัวเราะด้วยกำเริบใจว่าจะครองอำนาจเป็นใหญ่ในเมืองเสฉวนและเมืองฮันต๋ง ในขณะที่ม้าต้ายหัวเราะด้วยความชื่นชมนิยมในสติปัญญาของขงเบ้งที่ล่วงรู้การณ์เบื้องหน้า แล้ววางแผนการอย่างแยบยลดุจเทพยดา มั่นใจได้ว่าแผนการที่ขงเบ้งสั่งเสียไว้ก่อนตายจักสัมฤทธิ์ผลเป็นแน่แท้
ครู่หนึ่งหน่วยลาดตระเวนได้นำความมารายงานแก่อุยเอี๋ยนว่า ขณะนี้กองทัพหลวงของเอียวหงีได้ยกเข้าไปตั้งอยู่ในเมืองหน้าด่านของเมืองฮันต๋ง และอองเป๋งได้พาทหารตามเข้าไปสมทบอยู่ในเมืองแล้ว
อุยเอี๋ยนได้ฟังรายงานดังนั้นจึงพาม้าต้ายและทหารยกไปที่เมืองหน้าด่าน เตรียมการที่จะโจมตียึดเอาเป็นฐานที่มั่นต่อไป.