ตอนที่ 575. อุบาย "คนตายหลอกคนเป็น"

สุมาอี้เห็นดาวประจำตัวของขงเบ้งร่วงลงจากฟ้าแล้วลอยขึ้นไปอยู่ที่เดิมถึงสามครั้งสามหน ตอนแรกเชื่อว่าขงเบ้งตายแน่แล้วจึงยกทหารจะไปตีค่ายขงเบ้ง แต่กลับคิดว่าเป็นกลอุบายของขงเบ้งจึงต้องงดกองทัพไว้  ในขณะที่ภายในกองทัพจ๊กก๊กนั้นบิฮุยได้ไปที่ค่ายของอุยเอี๋ยนเพื่อจะฟังท่าทีดีร้ายของอุยเอี๋ยน

            ครั้นทหารรับใช้ในค่ายของอุยเอี๋ยนออกไปแล้ว บิฮุยจึงแจ้งแก่อุยเอี๋ยนว่าเมื่อเวลายามสามคืนนี้มหาอุปราชได้อำลาโลกนี้ไปแล้ว ก่อนจะสิ้นใจได้กำชับเป็นหลายครั้งให้ถอยทัพกลับเมืองเสฉวนอย่างช้า ๆ และให้ท่านคุมทหารเป็นกองทัพหลังคอยคุ้มกันมิให้สุมาอี้ทำอันตรายแก่ทหารทั้งปวงได้

            อุยเอี๋ยนได้ยินดังนั้นจึงถามว่ามหาอุปราชได้มอบหมายอาญาสิทธิ์ให้ผู้ใดคุมกองทัพแทนตัวเล่า

            บิฮุยจึงว่ามหาอุปราชได้มอบหมายให้เอียวหงีเป็นผู้รับผิดชอบควบคุมกองทัพแทน ทั้งได้มอบตราสำคัญประจำตำแหน่งให้แก่เอียวหงีไว้ และเอียวหงีได้ให้ข้าพเจ้าถือตราอาญาสิทธิ์นำความมาแจ้งแก่ท่าน ให้ท่านคุมทหารเป็นกองทัพหลังตามคำสั่งของมหาอุปราช ในส่วนของตำราวิชาการและแผนการในการถอยทัพมหาอุปราชได้มอบไว้แก่เกียงอุยทั้งสิ้น

            อุยเอี๋ยนถามต่อไปว่ามหาอุปราชได้สั่งความสิ่งใดไว้อีก บิฮุยจึงว่ามหาอุปราชได้กำชับว่าห้ามมิให้ประกาศข่าวตายให้เลื่องลือไปเป็นอันขาด และห้ามมิให้กองทัพทั้งปวงไว้ทุกข์ในระหว่างเดินทัพกลับคืนเมืองเสฉวน

            ในขณะที่ถามความ อุยเอี๋ยนเริ่มมีสีหน้าบึ้งตึงชัดเจนขึ้นโดยลำดับ พอบิฮุยกล่าวจบความอุยเอี๋ยนจึงว่าเอียวหงีเป็นเพียงขุนนางฝ่ายบุ๋น ไหนเลยจะรับผิดชอบงานสำคัญควบคุมกองทัพได้ งานที่เหมาะแก่เอียวหงีก็เห็นจะมีเพียงการควบคุมขบวนศพขงเบ้ง กลับไปเมืองเสฉวนเท่านั้น ตัวข้าพเจ้าทำราชการมาแต่ครั้งพระเจ้าเล่าปี่ มีฝีมือยิ่งกว่าผู้ใดในกองทัพ แต่เหตุไฉนมหาอุปราชจึงไม่มอบอำนาจและอาญาสิทธิ์ให้แก่ข้าพเจ้า

            อุยเอี๋ยนกล่าวสืบไปว่า ราชการสงครามเป็นการใหญ่ของแผ่นดิน จะให้ขึ้นอยู่กับการตายของมหาอุปราชเพียงผู้เดียวนั้นไม่ชอบ เมื่อมหาอุปราชสิ้นบุญแล้วชอบที่จะเอาศพกลับไปเมืองเสฉวน ข้าพเจ้าจะควบคุมกองทัพไปรบกับสุมาอี้เอง

            บิฮุยได้ยินดังนั้นจึงว่า มหาอุปราชได้บัญชาการสั่งเสียไว้ก่อนสิ้นลมว่าให้ถอยทัพ ไหนเลยจะฝ่าฝืนได้

            อุยเอี๋ยนได้ยินดังนั้นก็โกรธ กล่าวว่ายามมีชีวิตอยู่มหาอุปราชก็เคยทำศึกเสียทีหลายครั้ง ตั้งแต่การบุกวุยก๊กครั้งแรกหากยอมรับแผนการรุกเข้าจู่โจมเมืองเตียงอันตามที่ข้าพเจ้าเสนอ บัดนี้ก็ยึดเมืองลกเอี๋ยงได้นานแล้ว แต่มหาอุปราชเชื่อมั่นแต่ความคิดของตนเอง การศึกจึงยืดเยื้อเรื้อรังอยู่ดังนี้ ตัวข้าพเจ้าเป็นแม่ทัพกองทัพหน้า ไม่ชอบที่จะทำหน้าที่เป็นกองทัพหลัง

            อุยเอี๋ยนกล่าวแล้วก็ลุกขึ้นยืนเดินไปเดินมา สะบัดใบหน้าด้วยความไม่พอใจอย่าง  รุนแรง บิฮุยเห็นดังนั้นจึงแสร้งประโลมใจอุยเอี๋ยนว่า “ท่านว่านี้ก็ชอบอยู่ เราจะไปบอกเอียวหงีให้เอาตราสำหรับที่แม่ทัพหลวงมาให้ท่านจึงจะควร”

            บิฮุยล่วงรู้ความนัยอยู่แต่ก่อนแล้วว่าหลังขงเบ้งสิ้นบุญแล้วอุยเอี๋ยนจะคิดกบฏ ครั้นได้เห็นอุยเอี๋ยนโมโหโกรธาไม่พอใจและไม่ยอมรับคำสั่งดังนั้น หากจะยืนยันความเดิมสืบไปอุยเอี๋ยนก็จะชิงก่อการกบฏเสียก่อน จึงแสร้งทำอุบายว่าเห็นด้วยกับความคิดของอุยเอี๋ยน แล้วจะกลับไปเกลี้ยกล่อมเอียวหงีให้ยกตำแหน่งแม่ทัพแก่อุยเอี๋ยน

            อุยเอี๋ยนเห็นดังนั้นก็พอใจ จึงกล่าวกับบิฮุยว่าข้าพเจ้าจะคุมกองทัพหน้าไว้ ณ ที่เดิมก่อน จะคอยฟังผลการเจรจาของท่าน ได้ผลประการใดแล้วให้รีบนำความมาแจ้งให้ข้าพเจ้าทราบเป็นการด่วน

            บิฮุยรับคำอุยเอี๋ยนแล้วรีบคำนับลากลับไปหาเอียวหงี แล้วรายงานความให้เอียวหงีทราบทุกประการ

            เอียวหงีได้ฟังรายงานดังนั้นจึงกล่าวว่า ซึ่งมหาอุปราชคาดคะเนว่าอุยเอี๋ยนจะเป็นกบฏนั้นสมจริงแล้ว ซึ่งข้าพเจ้าให้ท่านนำป้ายอาญาสิทธิ์ไปแจ้งแก่อุยเอี๋ยนให้ทำหน้าที่กองทัพหลังถอยทัพกลับคืนเมืองเสฉวนนั้น ความจริงเป็นเพียงการลองใจหวังจะดูท่าทีเชิงชั้นของอุยเอี๋ยนเท่านั้น

            บิฮุยจึงถามว่า เมื่อการเป็นเช่นนี้ท่านแม่ทัพจะทำการประการใดต่อไป

            บิฮุยจึงเรียกเกียงอุยเข้ามาสั่งการให้ทำหน้าที่เป็นกองหลังคอยคุ้มกันการล่าถอยทัพตามคำสั่งของขงเบ้ง ครั้นสั่งการเสร็จแล้วเอียวหงีจึงนำขบวนคุ้มกันศพของขงเบ้งไปข้างหน้า และให้กองทัพส่วนหน้าค่อย ๆ ล่าถอยทัพตามไป

            ฝ่ายอุยเอี๋ยนคอยท่าฟังข่าวคราวจากบิฮุยอยู่ในค่ายเป็นเวลาช้านาน ไม่เห็นบิฮุยกลับมารายงานความตามที่ตกลงกันก็สงสัย จึงสั่งให้ม้าต้ายนำทหารม้าสิบห้านายไปสืบข่าวคราวที่ค่ายหลวงของขงเบ้ง
อีกพักใหญ่ม้าต้ายได้นำทหารม้ากลับมาหาอุยเอี๋ยนแล้วรายงานว่า บัดนี้กองทัพหลวงและกองทัพส่วนหน้าได้ล่าถอยกลับไปแล้ว เกียงอุยทำหน้าที่เป็นกองหลังคอยคุ้มกันกองทัพมิให้เป็นอันตราย ขณะนี้กองทัพส่วนใหญ่ได้ล่าถอยเข้าหุบเขาไปแล้ว

            อุยเอี๋ยนได้ฟังดังนั้นก็โกรธ ลุกขึ้นยืนเอามือชี้ไปที่ค่ายหลวงของขงเบ้งแล้วด่าว่าไอ้พวกนักศึกษาลูกเต่า บังอาจมาลวงเราให้หลงคอยได้ กูจะฆ่ามันเสียให้สิ้น กล่าวแล้วจึงหันมาทางม้าต้าย แล้วถามว่าตัวท่านจะคิดอ่านสมัครอยู่ด้วยเราหรือว่าจะตามไปสมทบกับเอียวหงี

            ม้าต้ายจึงว่า แต่ไหนแต่ไรมาข้าพเจ้าไม่พอใจเอียวหงีที่ดีแต่สอพลอเพ็ดทูล หาได้มีฝีมือรบพุ่งเสมอด้วยท่านแม่ทัพไม่ ดังนั้นข้าพเจ้าจึงปักใจสมัครอยู่กับท่านแม่ทัพ จะขึ้นเหนือลงใต้ขึ้นเขาลงห้วยประการใด ข้าพเจ้าพร้อมที่จะติดตามท่านแม่ทัพไปทุกแห่งหน

            อุยเอี๋ยนจึงว่า ซึ่งจะไล่ตามไปในหุบเขานั้นเห็นขัดสนนัก ด้วยเป็นเส้นทางแคบไม่อาจทำการได้ถนัด ดังนั้นข้าพเจ้าจะยกทหารไปสกัดหน้าเอียวหงีไว้ กล่าวแล้วอุยเอี๋ยนจึงสั่งให้เคลื่อนกองทัพหลังยกอ้อมไปตามทางลัดเพื่อจะไปสกัดหน้าขบวนทัพของเอียวหงี

            ฝ่ายแฮหัวป๋าเมื่อรับคำสั่งสุมาอี้ให้มาตรวจสอบความเคลื่อนไหวของกองทัพขงเบ้งแล้ว เห็นค่ายทั้งปวงไม่มีทหารเหลืออยู่แม้แต่สักคนเดียว และได้ทราบว่ากองทัพของขงเบ้งส่วนใหญ่ได้เคลื่อนเข้าหุบเขาไปแล้ว จึงนำความไปแจ้งแก่สุมาอี้

            สุมาอี้ได้ทราบรายงานแล้วรู้สึกว่าเสียทีหลงกลของขงเบ้ง จึงกระทืบเท้าลงด้วยความโมโห แล้วกล่าวว่ากองทัพเมืองเสฉวนถอยไปในครั้งนี้ เห็นขงเบ้งจะตายแล้วเป็นมั่นคง ตายแล้วมิหนำซ้ำยังมาลวงเราให้กลัวอีกเล่า กล่าวดังนั้นแล้วสุมาอี้จึงให้ยกกองทัพไล่ตามขบวนทัพเมืองเสฉวนไป

            สุมาอี้พร้อมด้วยบุตรทั้งสองนำกองทหารมาถึงค่ายหลวงของขงเบ้งก็เห็นมีแต่ค่ายร้าง สุมาอี้จึงขี่ม้าขึ้นไปบนเนิน เห็นปากทางเข้าหุบเขายังมีกองหลังของขบวนทัพจ๊กก๊กกำลังทยอยจะเข้าหุบเขา

            สุมาอี้จึงหันกลับมาสั่งสุมาสูกับสุมาเจียวว่า กองทัพเมืองเสฉวนเพิ่งยกล่วงเข้าหุบเขา ยังเป็นระยะทางไกลกว่าจะพ้นแดนวุยก๊ก ให้เจ้าทั้งสองคุมทหารเป็นกองหลัง เราจะรีบพาทหารม้าเป็นกองหน้าไล่ตามไปก่อน

            สุมาอี้กล่าวแล้วก็จัดแจงทหารรีบยกไล่ตามขบวนทหารเมืองเสฉวนไปที่ปากหุบเขา  สุมาสูและสุมาเจียวรับคำสั่งสุมาอี้แล้วจึงจัดแจงทหารเป็นกองหลังยกตามไป

            สุมาอี้พาทหารม้ารีบรุดไปอย่างรวดเร็ว ครั้นใกล้ถึงปากทางเข้าหุบเขา พลันได้ยินเสียงประทัดสัญญาณดังสนั่นหวั่นไหวมาจากภายในหุบเขา เห็นทหารเมืองเสฉวนแปรขบวนดาหน้าออกจากหุบเขาเตรียมประจัญบาน พอตั้งขบวนเสร็จประตูธงก็เปิดออก ในทันใดนั้นธงประจำตัวขงเบ้งผืนใหญ่ระบุนามจูกัดเหลียง-ขงเบ้ง ก็ถูกยกขึ้นชูพลิ้วปลิวไสว

            สุมาอี้เห็นดังนั้นก็ตกใจ รีบออกคำสั่งให้กองทหารหยุดอยู่กับที่ แล้วจ้องเขม้นมองไปที่กองทหารซึ่งแปรขบวนอยู่เบื้องหน้า  เห็นทหารองครักษ์สี่ห้าสิบคนเข็นเกวียนเล่มหนึ่งออกมาหน้าขบวน เห็นขงเบ้งนั่งอยู่บนเกวียน ใส่เสื้อคลุมขนนกกระเรียน คาดเอวด้วยผ้าไหมสีดำ สวมหมวกผ้าไหมสีน้ำเงิน ในมือถือพัดขนนก

            สุมาอี้เห็นดังนั้นก็สำคัญว่าขงเบ้งยังมีชีวิตอยู่ ก็รู้ว่ากำลังต้องกลอุบายของขงเบ้งอีกครั้งหนึ่ง ใจก็หวนประหวัดไปถึงเหตุการณ์ที่หุบเขาน้ำเต้า สุมาอี้ตกใจจนสุดขีด ร้องขึ้นด้วยเสียงอันดังแบบคุมสติไม่ได้ว่าขงเบ้งทำกลอุบายดาวตกลวงเรา เราหลงเข้ามาในกลอุบายของขงเบ้งเสียแล้ว กล่าวพลางก็ชักม้าหันกลับรีบขับม้าหนีห้อตะบึงไป ในขณะที่ปากก็ออกคำสั่งให้ทหารทั้งปวงรีบถอยทัพกลับไปค่าย

            พลันได้ยินเสียงเกียงอุยร้องดังมาจากด้านหลังว่า “สุมาอี้ต้องกลมหาอุปราชแล้ว จะหนีไปไหนได้เล่า”

            สุมาอี้ได้ยินเสียงเกียงอุยดังนั้นก็ไม่กล้าเหลียวหลังกลับมามอง กระทืบโกลนม้าเร่งรุดหนีไปอย่างไม่คิดชีวิต ทหารของสุมาอี้เห็นตัวนายตกใจแตกตื่นถึงเพียงนั้นก็พากันตกใจตาม ต่างคนต่างทิ้งอาวุธและสัมภาระ รีบห้อม้าหนีอย่างไม่คิดชีวิต

            แฮหัวป๋า แฮหัวฮุย เห็นสุมาอี้ขับม้าหนีเหมือนคนไร้สติก็วิตกว่าสุมาอี้จะเป็นอันตราย จึงขี่ม้ารีบตามเข้าประกบสุมาอี้ไว้ แล้วร้องเรียกว่าท่านแม่ทัพจงหยุดอยู่ก่อน อย่าเพิ่งรีบหนี

            สุมาอี้ได้ยินเสียงของแฮหัวป๋าและแฮหัวฮุย ตอนแรกก็ตกใจว่าข้าศึกไล่ตามมาถึงตัว หลงผิดไปว่าถูกตัดศีรษะหลุดออกจากบ่าแล้ว สามก๊กฉบับเจ้าพระยาพระคลัง (หน) ระบุอาการตกใจของสุมาอี้ว่า “สุมาอี้ได้ฟังดังนั้นก็ตกใจนัก คิดว่าข้าศึกตามมาตัดเอาศีรษะไปได้ จึงเอามือคลำดูก็รู้ว่าศีรษะติดตัวอยู่ ก็ยิ่งขับม้ารีบหนีไป”

            แฮหัวป๋าและแฮหัวฮุยเห็นดังนั้นก็ตกใจ จึงขี่ม้าไล่ตามสุมาอี้ พลางตะโกนไล่หลังว่าท่านแม่ทัพจะตกใจไปไยกัน กองทัพเมืองเสฉวนได้ถอยกลับไปหมดสิ้นแล้ว

            สุมาอี้ได้ยินดังนั้นก็ค่อยได้สติ หยุดม้าเหลียวหลังกลับมาดู เห็นแฮหัวป๋าและแฮหัวฮุยก็ค่อยคลายใจ จึงรีบพาทหารกลับไปค่าย แล้วกำชับให้ทหารทั้งปวงระมัดระวังเวรยามและลาดตระเวนอย่าให้ข้าศึกรุกล้ำมาทำอันตราย

            วันเวลาผ่านไปอีกสองวัน หน่วยลาดตระเวนของสุมาอี้ได้ยินชาวบ้านพูดจากันว่าขงเบ้งตายแล้ว จึงควบคุมตัวพาเข้าไปหาสุมาอี้ สุมาอี้จึงไต่สวนถามความนัย ชาวบ้านนั้นได้แจ้งแก่สุมาอี้ว่าเมื่อกองทัพเมืองเสฉวนยกล่วงเข้าหุบเขาไปแล้วได้เปลี่ยนชุดทหารเป็นชุดไว้ทุกข์ทุกตัวคน และเปลี่ยนธงประจำตัวแม่ทัพเป็นธงขาว เสียงร้องไห้ของทหารเมืองเสฉวนระงมไปตลอดหุบเขา

            สุมาอี้ได้ฟังก็ยังไม่เชื่อใจ จึงถามว่าแลเกวียนและขงเบ้งซึ่งนั่งอยู่ในเกวียนนั้นเป็นประการใดเล่า
ชาวบ้านทั้งนั้นต่างยืนยันว่าขงเบ้งตายแน่นอนแล้ว ซึ่งเห็นเป็นขงเบ้งนั่งอยู่บนเกวียนนั้นแท้จริงเป็นเพียงหุ่นปลอมเหมือนกับขงเบ้งเท่านั้น

            สุมาอี้ไต่สวนความเสร็จสิ้นแล้วก็มีความยินดีเป็นอันมาก กล่าวกับแม่ทัพนายกองทั้งปวงว่า เราคาดหมายมาแต่เดิมว่าขงเบ้งตายแล้ว แต่กลับคาดคิดไม่ถึงว่าแม้ตายแล้ว  ขงเบ้งยังแกล้งแต่งอุบายมาลวงเราได้อีก นับแต่นี้ไปเราจะเกรงกลัวอันใดกับกองทัพเมืองเสฉวน กล่าวแล้วสุมาอี้จึงสั่งให้กองทัพทุกกองยกกองทัพไล่ตามกองทัพเมืองเสฉวนไปอีกครั้งหนึ่ง

            สุมาอี้ยกกองทัพมาถึงตำบลชะงันโผ แต่ไม่ทันกับกองทัพเมืองเสฉวนเพราะได้ยกไกลออกไป ไม่อาจไล่ตามได้ทันอีกแล้ว สุมาอี้จึงสั่งให้ทหารถอยทัพ แล้วกล่าวกับแม่ทัพนายกองทั้งปวงว่า “ซึ่งขงเบ้งตายเสียบัดนี้ บรรดาเราท่านจะได้นั่งเป็นสุข จะได้นอนตาหลับ”

            สุมาอี้ประเมินคุณค่าของขงเบ้งอย่างยิ่งใหญ่ ไม่เห็นบรรดาแม่ทัพนายกองเมืองเสฉวนอยู่ในสายตาแม้แต่สักคนเดียว ขงเบ้งตายเสียคนหนึ่งทุกคนในวุยก๊กจะนั่งก็เป็นสุข จะนอนก็ตาหลับดังนี้

            สุมาอี้กล่าวดังนั้นแล้วจึงยกกองทัพกลับ ในระหว่างขากลับใจก็คิดติดใจถึงการตั้งค่ายคูประตูรบของขงเบ้ง ดังนั้นสุมาอี้จึงสั่งให้เดินทัพกลับไปทางค่ายหลวงของขงเบ้งอีกครั้งหนึ่ง.

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

ตัวอย่างกระทู้ธรรม ธรรมศึกษาชั้นตรี 5

I miss you all กับ I miss all of you ต่างกันอย่างไร

ปัญหาและเฉลยวิชาธรรม นักธรรมชั้นโท สอบในสนามหลวง วันเสาร์ ที่ ๑๙ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๔๘