ตอนที่ 574. สิ้นบุญขงเบ้ง
หลังจากรู้ชะตากรรมตนเองว่าอายุเหลืออยู่เพียงพระจันทร์โคจรอยู่บนฟ้า ขงเบ้งจึงมอบหมายให้เอียวหงีควบุคมกองทัพแทน มอบหมายแผนการกำจัดอุยเอี๋ยนและแผนการถอยทัพจนเป็นที่วางใจว่ากองทัพจะไม่เป็นอันตรายแล้ว ขงเบ้งจึงแต่งฎีกาถวายบังคมลาพระเจ้าเล่าเสี้ยน และเสนอให้แต่งตั้งเจียวอ้วนเป็นมหาอุปราชแทน เมื่อเจียวอ้วนตายก็ให้ตั้งบิฮุยแทน
ทุกผู้คนตั้งใจฟังว่าหลังจากบิฮุยตาย ผู้ใดจะได้ครองตำแหน่งมหาอุปราชแทน แต่ไม่มีเสียงตอบจากขงเบ้ง สายลมเย็นยะเยือกหนาวจับหัวใจโชยพลิ้วผ่านม่านค่ายพักเข้ามาถึงข้างใน ลิฮก เกียงอุย และเอียวหงี มองไปที่ขงเบ้ง เห็นนอนนิ่งไม่ไหวติงอยู่บนที่นอน มือซ้ายทอดราบอยู่ข้างตัว มือขวาพาดอยู่บนอกนิ่งสนิทไม่มีไม่เห็นรอยกระเพื่อมของการหายใจ ลิฮกรีบยกมือขึ้นแตะที่ปลายจมูกของขงเบ้ง ปรากฏว่า ลมอัสสาสะ ปัสสาสะหมดสิ้นแล้ว ขงเบ้งอำลาโลกไปอย่างสงบต่อหน้าผู้คนที่วางใจในวันแรมแปดค่ำ เดือนสิบ พุทธศักราชเจ็ดร้อยเจ็ดสิบเจ็ดพรรษา ในขณะที่อายุได้ห้าสิบสี่ปี เป็นช่วงเวลาที่พระเจ้าเล่าเสี้ยนเสวยราชสมบัติได้สิบสองปี
ลิฮกกล่าวขึ้นด้วยอาการตกใจว่า มหาอุปราชสิ้นลมแล้ว ในพลันนั้นเสียงร้องไห้ก็ดังระงมขึ้นในค่ายพักของขงเบ้ง
พญามังกรแห่งเทือกเขาโงลังกั๋งซึ่งเลื่องชื่อลือชาว่ามีสติปัญญาลึกล้ำกว้างขวาง แจ้งฟ้าจบดิน เป็นเอกอยู่แต่ผู้เดียวในโลก ทั้ง ๆ ที่เดิมทีมีปณิธานแห่งชีวิตที่ไม่ปรารถนาลาภยศสุขสรรเสริญ หมายอยู่วิเวกในป่าเขาลำเนาไพร เสพเสวนาอยู่กับเหล่าบัณฑิตมิตรสหาย ศึกษาค้นคว้าวิทยาการมากหลาย แต่จำต้องยอมละวิเวกสุขเข้าคลุกงาน ด้วยไม่อาจทนทานต่อมือซึ่งพนมโดยสุจริตของพระเจ้าเล่าปี่ ผู้มีปณิธานอันสูงส่งใหญ่หลวงที่จะกอบกู้แผ่นดินราชวงศ์ฮั่นให้รุ่งเรืองเฟื่องฟู ทำนุบำรุงอาณาประชาราษฎรให้ร่มเย็นเป็นสุข ทั้ง ๆ ที่รู้ดีว่าการละวิเวกออกจากเขาเข้าไปช่วยเหลือเชื้อพระวงศ์พเนจรผู้อาภัพนั้นมีอนาคตเบื้องหน้าที่จะต้องรากเลือดถึงแก่ความตาย ก็มิได้ยอมจำนนต่อลิขิตแห่งสวรรค์ ด้วยมั่นใจว่าสติปัญญาของมนุษย์ที่มีพลังแห่งความจงรักภักดีอันบริสุทธิ์สัตย์ซื่อ จะสามารถเอาชนะและเปลี่ยนแปลงลิขิตสวรรค์ได้ จึงสั่งลา จูกัดกิ๋นผู้น้องยามจะลงจากเขาว่า เสร็จการแผ่นดินแล้วจะกลับมาทำไร่ไถนาอยู่ตามประสาพี่น้องดังแต่ก่อน วันเวลาแรกที่ลงจากเขานั้นพระเจ้าเล่าปี่กำลังสิ้นเนื้อประดาตัว ผืนแผ่นดินสักตารางนิ้วหนึ่งก็ไม่มี มิหนำซ้ำยังถูกศัตรูรุกไล่โจมตีจนไม่มีที่จะตั้งตัว แต่ด้วยสติปัญญาครอบฟ้าคลุมดิน ขงเบ้งจึงสามารถนำพากองทัพของพระเจ้าเล่าปี่หนีรอดพ้นจากเงื้อมมือข้าศึก แล้วชักพาให้กองทัพนับเกือบร้อยหมื่นของโจโฉก่อความกดดันแก่ชาวเมืองกังตั๋ง จนทำให้เกิดความแคลงใจกลายเป็นสงครามเซ็กเพ็ก ถึงกระนั้นแล้วเพื่อจะทำลายกองทัพโจโฉให้วายวอด ขงเบ้งจึงเอาตัวเสี่ยงตายเข้าไปอยู่ในปากเสือที่เมืองกังตั๋ง คิดอ่านแผนการอุบายหลายหลากผลาญเผากองทัพของ โจโฉจนพินาศสิ้น แล้วช่วงชิงโอกาสที่แผ่นดินสับสนทำให้เล่าปี่ตั้งตัวขึ้นได้ในภาคใต้ก่อเป็นรูปดุลกำลังสามก๊กขึ้น หลังจากนั้นอีกสิบกว่าปี่ก็สามารถบรรลุยุทธศาสตร์ สามก๊กขั้นที่สอง ตัดผืนแผ่นดินจีนหนึ่งในสามมอบให้แก่เล่าปี่ผู้เป็นนายได้ใช้เป็นฐานกำลังในการก้าวไปสู่ยุทธศาสตร์สามก๊กขั้นที่สาม แต่ความคิดเป็นของคน ความสำเร็จเป็นของฟ้า แผนการตามยุทธศาสตร์เริ่มกระทบกระเทือนนับแต่กวนอูไม่ฟังคาถารักษาเมือง ทำให้เกิดสงครามกับเมืองกังตั๋งจนกวนอูถึงแก่ความตาย เป็นเหตุให้ พันธมิตรซุน-เล่าต้องพังทลายลง และนำไปสู่ความปราชัยครั้งยิ่งใหญ่ของพระเจ้า เล่าปี่จนกระทั่งสิ้นพระชนม์ที่เมืองเป๊กเต้ สิ้นนายไร้หลักแล้วขงเบ้งยังต้องแบกรับภาระที่พระเจ้าเล่าปี่ฝากฝังให้ทำนุบำรุงรัชทายาทผู้เยาว์ซึ่งไม่เคยร้อนหนาวด้วยการสงคราม ไม่เคยตรากตรำอยู่กับข้าทหาร พลันที่สิ้นแผ่นดินพระเจ้าเล่าปี่ก็ต้องฟื้นไมตรีกับง่อก๊ก แล้วยกกองทัพไปปราบขบถทางใต้ถึงแดนพุกามประเทศ เพื่อกำจัดเสี้ยนหนามในการฟื้นฟูแผนยุทธศาสตร์ที่กำหนดไว้แต่เดิม หลังจากตรากตรำทำศึกเมืองหมั่นอ๋องแล้วจึงนำทัพบุกวุยก๊ก หวุดหวิดจะได้ชัยชนะถึงสองครั้งสองครา แต่บังเอิญมามีเหตุข้างในราชสำนักฮั่น ขงเบ้งจึงต้องล่าทัพกลับอย่างน่าเสียดาย แม้ในสงครามครั้งที่หกก็หวุดหวิดจะผลาญชีวิตแม่ทัพใหญ่คือสุมาอี้แห่งวุยก๊กได้อยู่แล้ว แต่สวรรค์บันดาลช่วยชีวิตสุมาอี้รอดไปอย่างหวุดหวิด ด้วยชีวิตที่ตรากตรำงานหนักจนเกินตัว ขงเบ้งจึงต้องป่วยหนักถึงรากเลือด และถึงแก่ความตายในท่ามกลางศึก ทิ้งภารกิจที่มนุษย์อื่นคาดไม่ถึงไว้ถึงสามประการ คือการนำทัพล่าถอยเข้าสู่แดนเสฉวนโดยปลอดภัยประการหนึ่ง การกำจัดอุยเอี๋ยนที่จะก่อการขบถหลังการตายประการหนึ่ง และการคุ้มครองป้องกันชีวิตชาวเมืองเสฉวนไม่ให้เป็นอันตรายจากการรุกรานของข้าศึกในวันหน้าอีกประการหนึ่ง
ชีวิตอันเปี่ยมด้วยความจงรักภักดีตรากตรำงานหนักและบริบูรณ์ด้วยยศศักดิ์อัครฐาน เป็นถึงมหาอุปราชและบิดรแห่งแคว้น กุมอำนาจบริหารและกองทัพเบ็ดเสร็จ มีโอกาสที่จะแสวงหาประโยชน์เพื่อตนและพวกยิ่งกว่าใครใด แต่หาได้ใช้อำนาจและโอกาสทำการทุจริตต่อแผ่นดินแม้แต่น้อยนิด ทรัพย์สินส่วนตัวคงเหลือแต่สมบัติเก่าคือนาห้าสิบไร่ ต้นหม่อนอีกแปดร้อยต้นเท่านั้น บรรดาสมบัติพัดสถานที่ได้มาในระหว่างปฏิบัติราชการได้น้อมเกล้าถวายคืนเข้าพระคลังจนหมดสิ้น อา! ชีวิตที่สันโดษและสมถะสูงส่งดังนี้ ควรแล้วที่จะได้รับการยกย่องว่าเป็นยอดวีรชนเหนือแผ่นดินจีนตั้งแต่อดีตจวบปัจจุบัน
อุทาหรณ์แห่งชีวิตของขงเบ้งได้พิสูจน์สัจธรรมว่า สติปัญญาของมนุษย์แม้จะเลิศล้ำลึกซึ้งกว้างไกลเพียงไหนก็ตาม ก็มีฐานะเพียงแค่จะคิดจะทำได้เท่านั้น การจักสำเร็จหรือล้มเหลวประการใดย่อมเป็นไปตามลิขิตสวรรค์อันไม่อาจผันแปรได้ ชีวิตเกิดขึ้นแล้วมีความตั้งอยู่และดับไปดุจดังกระแสน้ำในแม่น้ำแยงซีที่ไหลรี่สู่ทิศบูรพาโดยไม่อาจผันแปรได้นั่นแล
พลันที่ขงเบ้งสิ้นลมสามก๊กฉบับเจ้าพระยาพระคลัง (หน) ระบุว่า “ขณะนั้นในกองทัพขงเบ้งให้เย็นเยียบไปทั้งค่าย พยัพลมมัวไปทั่วอากาศ ทหารทั้งปวงรู้ก็ตกใจ ต่างคนต่างร้องไห้ แล้วห้ามกันสงบอยู่มิให้เลื่องลืออื้ออึง”
เอียวหงีและเกียงอุยรีบจัดแจงเอาศพของขงเบ้งใส่ในโลงนั่ง แล้วเอาข้าวสารเจ็ดเมล็ดใส่ไว้ในปาก และจุดโคมไฟไว้ที่เท้าของขงเบ้งตามแบบแผนวิธีที่ขงเบ้งได้สั่งเสียไว้ทุกประการ แล้วเอียวหงีจึงออกคำสั่งให้กองทัพส่วนหลังล่าถอยทัพกลับเข้าเมืองเสฉวน และให้กองทัพส่วนกลางค่อย ๆ ทยอยถอยทัพอย่างช้า ๆ ห้ามทหารมิให้ร้องไห้หรือไว้ทุกข์ตามคำกำชับของขงเบ้งทุกประการ
ในยามดึกคืนวันนั้นสุมาอี้ได้ออกไปยืนอยู่นอกค่ายพัก สังเกตดวงดาวในอากาศ พลันเห็นดาวใหญ่ดวงหนึ่งที่เคยริบหรี่โรยราอยู่บนฟากฟ้าเบื้องทิศอีสาน ได้ร่วงวูบลงจากฟ้าหล่นเฉียงไปทางข้างทิศหรดีตกลงที่กลางค่ายทหารเมืองเสฉวน สุมาอี้ดีใจเป็นล้นพ้น รำพึงขึ้นอย่างลืมตัวว่าขงเบ้งตายแล้ว แผ่นดินวุยก๊กปลอดภัยแล้วอยู่หลายครั้ง
แต่ทันใดนั้นสุมาอี้ก็ต้องอุทานด้วยความตกใจว่าเป็นกลอุบายอะไรกันแน่ เพราะดวงดาวซึ่งร่วงหล่นจากฟ้านั้นได้ลอยกลับขึ้นไปสถิตในที่เดิมแล้วร่วงหล่นลงมาอีก หล่นลงแล้วก็ลอยขึ้นไปอยู่บนฟ้าดังเดิมถึงสามครั้งสามครา แต่สุมาอี้สังเกตเห็นดาวใหญ่นั้นแม้ขึ้นไปโคจรอยู่บนฟ้าดังเดิม แต่แสงริบหรี่ซีดโรย จึงรำพึงขึ้นอีกครั้งหนึ่งว่าขงเบ้งตายแน่แล้ว เราจะเกรงอะไรกับกองทัพเสฉวน
รำพึงดังนั้นแล้วสุมาอี้รีบกลับเข้าไปในค่ายพัก พอรุ่งขึ้นก็เรียกแม่ทัพนายกองทั้งปวงมาพร้อมกัน แล้วปรารภความว่าบัดนี้ขงเบ้งตายแล้ว กองทัพจ๊กก๊กเหมือนหนึ่งหนูอยู่ในถัง จำทำลายให้สิ้นซาก ให้กองทัพทุกกองเตรียมกำลังพลพร้อมไว้หน้าค่ายหลวง เราจะนำกองทัพเข้าจู่โจมทหารจ๊กก๊กเอง
แม่ทัพนายกองทั้งปวงได้ฟังดังนั้นก็มีความยินดี รีบคำนับสุมาอี้ออกไปจัดแจงกองทัพ พักใหญ่เสียงกลองระดมพลพร้อมรบก็ดังขึ้นที่หน้าค่ายหลวง สุมาอี้ใส่เกราะ ขี่ม้าออกไปที่หน้ากองทหาร แล้วออกคำสั่งให้เคลื่อนทัพ
สุมาอี้ขี่ม้านำทัพออกไปยังไม่ทันพ้นแนวค่ายหน้า พลันหวนรำลึกถึงเหตุการณ์ที่ต้องกลขงเบ้งหวุดหวิดจะเสียชีวิตทั้งสามพ่อลูกในหุบเขาน้ำเต้า สุมาอี้ก็สะท้านขึ้นทั้งร่าง ในพลันนั้นสายลมเย็นยะเยียบโชยมาแต่ข้างกองทัพของขงเบ้ง ต้องธงชัยกองทัพสุมาอี้ลู่ลิ่วไปตามลม สุมาอี้รีบออกคำสั่งให้กองทัพทั้งปวงหยุดในทันที
สุมาอี้หยุดม้าคิดอยู่ครู่หนึ่งว่าขงเบ้งนี้รู้มนต์วิเศษในลัทธิเต๋า ตัวเราก็เคยประจักษ์ว่าขงเบ้งได้ใช้วิชาไสยเวทย์อัญเชิญเทพแห่งวายุมาช่วยเหลือในการสงครามได้ ขงเบ้งย่อมรู้วิชาที่จะทำให้ดวงดาวโคจรวิปริตผิดปกติเพื่อล่อลวงได้เช่นเดียวกัน ชะรอยขงเบ้งจะเห็นว่าเรามิได้ยกออกไปรบพุ่งเป็นเวลาช้านาน จึงแสร้งให้ทหารจุดพลุไฟทิ้งลงมาจากยอดเขากิสานทำอุบายว่าถึงแก่ความตายแล้ว หวังจะลวงให้เรายกออกไปรบ หากเรายกกองทัพไปก็จะตกเข้าในกลของขงเบ้งเห็นจะเป็นอันตรายเป็นมั่นคง
สุมาอี้ยิ่งคิดก็ยิ่งสำคัญว่าเป็นกลอุบายลวงของขงเบ้งเป็นแน่แท้แล้ว ครั้นจะอธิบายเหตุผลแก่ทหารทั้งปวงก็เกรงว่าจะไม่ทันการ จึงออกคำสั่งให้ถอยทัพกลับเข้าค่ายดังเดิม และให้ตั้งมั่นอยู่ในค่ายเพิ่มความระมัดระวังกวดขันเวรยามขึ้นอีกสองสามเท่าตัว
เมื่อกลับไปถึงค่ายแล้วสุมาอี้ยังคิดระแวงว่าขงเบ้งตายจริงหรือไม่ จึงสั่งให้แฮหัวป๋านำหน่วยลาดตระเวนออกไปสืบข่าวคราวในเส้นทางเดินทัพของขงเบ้ง
ฝ่ายอุยเอี๋ยนหลังจากสะดุดโคมไฟชะตาชีวิตของขงเบ้งดับลงแล้ว ได้ถูกกันไม่ให้เข้าข้องแวะด้วยเหตุการณ์ภายในค่ายพักของขงเบ้ง และถูกมอบหมายหน้าที่ให้ตรวจตราระมัดระวังรักษาค่ายหน้าไว้มิให้เป็นอันตราย ในค่ำคืนวันที่ขงเบ้งสิ้นลมนั้นอุยเอี๋ยนนอนหลับอยู่ในค่าย ได้ฝันไปว่ามีเขาสองเขางอกขึ้นบนศีรษะ พอตื่นขึ้นก็สงสัยในความฝันอันประหลาดนั้นว่าเป็นประการใด จึงเรียกเตียวติดนายทหารรองในบังคับบัญชาซึ่งมีความรู้ภาคพยากรณ์ นิมิตและลางมาปรึกษาว่าซึ่งฝันทั้งนี้จะดีร้ายประการใด
เตียวติดพิจารณาความฝันของอุยเอี๋ยนตามคัมภีร์อี้จิงถ้วนถี่แล้วก็รู้ว่าฝันทั้งนี้ร้ายนัก แต่เกรงว่าหากพยากรณ์ไปตามความจริงแล้วอุยเอี๋ยนก็จะไม่พอใจ จึงแสร้ง เฉไฉกล่าวว่ากิเลนแลมังกรอันมีฤทธานุภาพมากล้วนมีสองเขา ซึ่งท่านฝันว่ามีเขางอกขึ้นบนศีรษะประหนึ่งกิเลนแลมังกรอันสำแดงฤทธิ์ย่อมถือว่าเป็นนิมิตความฝันอันมงคล แต่นี้ไปท่านจะมากด้วยอำนาจวาสนาหาผู้ใดเสมอเหมือนมิได้
อุยเอี๋ยนได้ฟังคำพยากรณ์ดังนั้นก็มีความยินดี หัวเราะขึ้นด้วยเสียงอันดังแล้วกล่าวว่า ขอให้สมดังคำทำนายของท่านเถิด ถึงวันนั้นแล้วเราจะสมนาคุณท่านให้ถึงขนาด
เตียวติดเห็นอุยเอี๋ยนมีความยินดีก็รีบปลีกตัวลากลับออกไปและจะไปเยี่ยมอาการขงเบ้งที่ค่ายหลวง เตียวติดเห็นบิฮุยเดินสวนมาจึงคำนับตามประเพณี บิฮุยเห็นเตียวติดเดินมาแต่หนทางข้างค่ายของอุยเอี๋ยน จึงถามว่าท่านมาจากค่ายของอุยเอี๋ยนหรือ มีเหตุการณ์อันใดเกิดขึ้นบ้าง
เตียวติดเป็นขุนนางผู้จงรักภักดีต่อราชสำนัก พอได้ฟังคำถามจึงตอบว่าข้าพเจ้าเพิ่งกลับออกมาจากค่ายของอุยเอี๋ยน เนื่องจากอุยเอี๋ยนให้ทหารไปตามข้าพเจ้าเข้าไปทำนายความฝัน
บิฮุยสงสัยว่าเป็นความฝันประการใด อุยเอี๋ยนถึงกับต้องตามตัวเตียวติดตั้งแต่เช้าตรู่ จึงถามเตียวติดว่าท่านทำนายความฝันให้อุยเอี๋ยนประการใด
เตียวติดจึงเล่าความให้บิฮุยฟังว่าอุยเอี๋ยนฝันร้ายนัก เห็นจะใกล้ถึงแก่ความตาย แต่ข้าพเจ้าไม่กล้ากล่าวตามความเป็นจริง จึงแสร้งเบี่ยงเบนเป็นว่าความฝันนั้นเป็นเรื่องมงคล อ้างอิงเอามังกรแลกิเลนขึ้นเปรียบเทียบหวังจะให้อุยเอี๋ยนกำเริบลืมตัว
บิฮุยได้ยินดังนั้นก็ตกตะลึง พอได้สติก็รีบกล่าวกับเตียวติดว่า ซึ่งท่านพยากรณ์ความแก่อุยเอี๋ยนทั้งนี้จงเก็บงำไว้เป็นความลับ อย่าได้แพร่งพรายให้ผู้ใดได้ล่วงรู้เป็นอันขาด เตียวติดได้ยินคำบิฮุยแข็งขันบ่งความเงื่อนงำดังนั้นก็รู้นัย จึงรับคำแล้วคำนับลากลับไป
บิฮุยแยกจากเตียวติดแล้วจึงเดินไปที่ค่ายของอุยเอี๋ยน คำนับกันตามประเพณีแล้วบิฮุยจึงชายตาแก่อุยเอี๋ยน อุยเอี๋ยนก็รู้ทีจึงขับทหารรับใช้ในค่ายออกไปข้างนอกจนหมดสิ้น.
ทุกผู้คนตั้งใจฟังว่าหลังจากบิฮุยตาย ผู้ใดจะได้ครองตำแหน่งมหาอุปราชแทน แต่ไม่มีเสียงตอบจากขงเบ้ง สายลมเย็นยะเยือกหนาวจับหัวใจโชยพลิ้วผ่านม่านค่ายพักเข้ามาถึงข้างใน ลิฮก เกียงอุย และเอียวหงี มองไปที่ขงเบ้ง เห็นนอนนิ่งไม่ไหวติงอยู่บนที่นอน มือซ้ายทอดราบอยู่ข้างตัว มือขวาพาดอยู่บนอกนิ่งสนิทไม่มีไม่เห็นรอยกระเพื่อมของการหายใจ ลิฮกรีบยกมือขึ้นแตะที่ปลายจมูกของขงเบ้ง ปรากฏว่า ลมอัสสาสะ ปัสสาสะหมดสิ้นแล้ว ขงเบ้งอำลาโลกไปอย่างสงบต่อหน้าผู้คนที่วางใจในวันแรมแปดค่ำ เดือนสิบ พุทธศักราชเจ็ดร้อยเจ็ดสิบเจ็ดพรรษา ในขณะที่อายุได้ห้าสิบสี่ปี เป็นช่วงเวลาที่พระเจ้าเล่าเสี้ยนเสวยราชสมบัติได้สิบสองปี
ลิฮกกล่าวขึ้นด้วยอาการตกใจว่า มหาอุปราชสิ้นลมแล้ว ในพลันนั้นเสียงร้องไห้ก็ดังระงมขึ้นในค่ายพักของขงเบ้ง
พญามังกรแห่งเทือกเขาโงลังกั๋งซึ่งเลื่องชื่อลือชาว่ามีสติปัญญาลึกล้ำกว้างขวาง แจ้งฟ้าจบดิน เป็นเอกอยู่แต่ผู้เดียวในโลก ทั้ง ๆ ที่เดิมทีมีปณิธานแห่งชีวิตที่ไม่ปรารถนาลาภยศสุขสรรเสริญ หมายอยู่วิเวกในป่าเขาลำเนาไพร เสพเสวนาอยู่กับเหล่าบัณฑิตมิตรสหาย ศึกษาค้นคว้าวิทยาการมากหลาย แต่จำต้องยอมละวิเวกสุขเข้าคลุกงาน ด้วยไม่อาจทนทานต่อมือซึ่งพนมโดยสุจริตของพระเจ้าเล่าปี่ ผู้มีปณิธานอันสูงส่งใหญ่หลวงที่จะกอบกู้แผ่นดินราชวงศ์ฮั่นให้รุ่งเรืองเฟื่องฟู ทำนุบำรุงอาณาประชาราษฎรให้ร่มเย็นเป็นสุข ทั้ง ๆ ที่รู้ดีว่าการละวิเวกออกจากเขาเข้าไปช่วยเหลือเชื้อพระวงศ์พเนจรผู้อาภัพนั้นมีอนาคตเบื้องหน้าที่จะต้องรากเลือดถึงแก่ความตาย ก็มิได้ยอมจำนนต่อลิขิตแห่งสวรรค์ ด้วยมั่นใจว่าสติปัญญาของมนุษย์ที่มีพลังแห่งความจงรักภักดีอันบริสุทธิ์สัตย์ซื่อ จะสามารถเอาชนะและเปลี่ยนแปลงลิขิตสวรรค์ได้ จึงสั่งลา จูกัดกิ๋นผู้น้องยามจะลงจากเขาว่า เสร็จการแผ่นดินแล้วจะกลับมาทำไร่ไถนาอยู่ตามประสาพี่น้องดังแต่ก่อน วันเวลาแรกที่ลงจากเขานั้นพระเจ้าเล่าปี่กำลังสิ้นเนื้อประดาตัว ผืนแผ่นดินสักตารางนิ้วหนึ่งก็ไม่มี มิหนำซ้ำยังถูกศัตรูรุกไล่โจมตีจนไม่มีที่จะตั้งตัว แต่ด้วยสติปัญญาครอบฟ้าคลุมดิน ขงเบ้งจึงสามารถนำพากองทัพของพระเจ้าเล่าปี่หนีรอดพ้นจากเงื้อมมือข้าศึก แล้วชักพาให้กองทัพนับเกือบร้อยหมื่นของโจโฉก่อความกดดันแก่ชาวเมืองกังตั๋ง จนทำให้เกิดความแคลงใจกลายเป็นสงครามเซ็กเพ็ก ถึงกระนั้นแล้วเพื่อจะทำลายกองทัพโจโฉให้วายวอด ขงเบ้งจึงเอาตัวเสี่ยงตายเข้าไปอยู่ในปากเสือที่เมืองกังตั๋ง คิดอ่านแผนการอุบายหลายหลากผลาญเผากองทัพของ โจโฉจนพินาศสิ้น แล้วช่วงชิงโอกาสที่แผ่นดินสับสนทำให้เล่าปี่ตั้งตัวขึ้นได้ในภาคใต้ก่อเป็นรูปดุลกำลังสามก๊กขึ้น หลังจากนั้นอีกสิบกว่าปี่ก็สามารถบรรลุยุทธศาสตร์ สามก๊กขั้นที่สอง ตัดผืนแผ่นดินจีนหนึ่งในสามมอบให้แก่เล่าปี่ผู้เป็นนายได้ใช้เป็นฐานกำลังในการก้าวไปสู่ยุทธศาสตร์สามก๊กขั้นที่สาม แต่ความคิดเป็นของคน ความสำเร็จเป็นของฟ้า แผนการตามยุทธศาสตร์เริ่มกระทบกระเทือนนับแต่กวนอูไม่ฟังคาถารักษาเมือง ทำให้เกิดสงครามกับเมืองกังตั๋งจนกวนอูถึงแก่ความตาย เป็นเหตุให้ พันธมิตรซุน-เล่าต้องพังทลายลง และนำไปสู่ความปราชัยครั้งยิ่งใหญ่ของพระเจ้า เล่าปี่จนกระทั่งสิ้นพระชนม์ที่เมืองเป๊กเต้ สิ้นนายไร้หลักแล้วขงเบ้งยังต้องแบกรับภาระที่พระเจ้าเล่าปี่ฝากฝังให้ทำนุบำรุงรัชทายาทผู้เยาว์ซึ่งไม่เคยร้อนหนาวด้วยการสงคราม ไม่เคยตรากตรำอยู่กับข้าทหาร พลันที่สิ้นแผ่นดินพระเจ้าเล่าปี่ก็ต้องฟื้นไมตรีกับง่อก๊ก แล้วยกกองทัพไปปราบขบถทางใต้ถึงแดนพุกามประเทศ เพื่อกำจัดเสี้ยนหนามในการฟื้นฟูแผนยุทธศาสตร์ที่กำหนดไว้แต่เดิม หลังจากตรากตรำทำศึกเมืองหมั่นอ๋องแล้วจึงนำทัพบุกวุยก๊ก หวุดหวิดจะได้ชัยชนะถึงสองครั้งสองครา แต่บังเอิญมามีเหตุข้างในราชสำนักฮั่น ขงเบ้งจึงต้องล่าทัพกลับอย่างน่าเสียดาย แม้ในสงครามครั้งที่หกก็หวุดหวิดจะผลาญชีวิตแม่ทัพใหญ่คือสุมาอี้แห่งวุยก๊กได้อยู่แล้ว แต่สวรรค์บันดาลช่วยชีวิตสุมาอี้รอดไปอย่างหวุดหวิด ด้วยชีวิตที่ตรากตรำงานหนักจนเกินตัว ขงเบ้งจึงต้องป่วยหนักถึงรากเลือด และถึงแก่ความตายในท่ามกลางศึก ทิ้งภารกิจที่มนุษย์อื่นคาดไม่ถึงไว้ถึงสามประการ คือการนำทัพล่าถอยเข้าสู่แดนเสฉวนโดยปลอดภัยประการหนึ่ง การกำจัดอุยเอี๋ยนที่จะก่อการขบถหลังการตายประการหนึ่ง และการคุ้มครองป้องกันชีวิตชาวเมืองเสฉวนไม่ให้เป็นอันตรายจากการรุกรานของข้าศึกในวันหน้าอีกประการหนึ่ง
ชีวิตอันเปี่ยมด้วยความจงรักภักดีตรากตรำงานหนักและบริบูรณ์ด้วยยศศักดิ์อัครฐาน เป็นถึงมหาอุปราชและบิดรแห่งแคว้น กุมอำนาจบริหารและกองทัพเบ็ดเสร็จ มีโอกาสที่จะแสวงหาประโยชน์เพื่อตนและพวกยิ่งกว่าใครใด แต่หาได้ใช้อำนาจและโอกาสทำการทุจริตต่อแผ่นดินแม้แต่น้อยนิด ทรัพย์สินส่วนตัวคงเหลือแต่สมบัติเก่าคือนาห้าสิบไร่ ต้นหม่อนอีกแปดร้อยต้นเท่านั้น บรรดาสมบัติพัดสถานที่ได้มาในระหว่างปฏิบัติราชการได้น้อมเกล้าถวายคืนเข้าพระคลังจนหมดสิ้น อา! ชีวิตที่สันโดษและสมถะสูงส่งดังนี้ ควรแล้วที่จะได้รับการยกย่องว่าเป็นยอดวีรชนเหนือแผ่นดินจีนตั้งแต่อดีตจวบปัจจุบัน
อุทาหรณ์แห่งชีวิตของขงเบ้งได้พิสูจน์สัจธรรมว่า สติปัญญาของมนุษย์แม้จะเลิศล้ำลึกซึ้งกว้างไกลเพียงไหนก็ตาม ก็มีฐานะเพียงแค่จะคิดจะทำได้เท่านั้น การจักสำเร็จหรือล้มเหลวประการใดย่อมเป็นไปตามลิขิตสวรรค์อันไม่อาจผันแปรได้ ชีวิตเกิดขึ้นแล้วมีความตั้งอยู่และดับไปดุจดังกระแสน้ำในแม่น้ำแยงซีที่ไหลรี่สู่ทิศบูรพาโดยไม่อาจผันแปรได้นั่นแล
พลันที่ขงเบ้งสิ้นลมสามก๊กฉบับเจ้าพระยาพระคลัง (หน) ระบุว่า “ขณะนั้นในกองทัพขงเบ้งให้เย็นเยียบไปทั้งค่าย พยัพลมมัวไปทั่วอากาศ ทหารทั้งปวงรู้ก็ตกใจ ต่างคนต่างร้องไห้ แล้วห้ามกันสงบอยู่มิให้เลื่องลืออื้ออึง”
เอียวหงีและเกียงอุยรีบจัดแจงเอาศพของขงเบ้งใส่ในโลงนั่ง แล้วเอาข้าวสารเจ็ดเมล็ดใส่ไว้ในปาก และจุดโคมไฟไว้ที่เท้าของขงเบ้งตามแบบแผนวิธีที่ขงเบ้งได้สั่งเสียไว้ทุกประการ แล้วเอียวหงีจึงออกคำสั่งให้กองทัพส่วนหลังล่าถอยทัพกลับเข้าเมืองเสฉวน และให้กองทัพส่วนกลางค่อย ๆ ทยอยถอยทัพอย่างช้า ๆ ห้ามทหารมิให้ร้องไห้หรือไว้ทุกข์ตามคำกำชับของขงเบ้งทุกประการ
ในยามดึกคืนวันนั้นสุมาอี้ได้ออกไปยืนอยู่นอกค่ายพัก สังเกตดวงดาวในอากาศ พลันเห็นดาวใหญ่ดวงหนึ่งที่เคยริบหรี่โรยราอยู่บนฟากฟ้าเบื้องทิศอีสาน ได้ร่วงวูบลงจากฟ้าหล่นเฉียงไปทางข้างทิศหรดีตกลงที่กลางค่ายทหารเมืองเสฉวน สุมาอี้ดีใจเป็นล้นพ้น รำพึงขึ้นอย่างลืมตัวว่าขงเบ้งตายแล้ว แผ่นดินวุยก๊กปลอดภัยแล้วอยู่หลายครั้ง
แต่ทันใดนั้นสุมาอี้ก็ต้องอุทานด้วยความตกใจว่าเป็นกลอุบายอะไรกันแน่ เพราะดวงดาวซึ่งร่วงหล่นจากฟ้านั้นได้ลอยกลับขึ้นไปสถิตในที่เดิมแล้วร่วงหล่นลงมาอีก หล่นลงแล้วก็ลอยขึ้นไปอยู่บนฟ้าดังเดิมถึงสามครั้งสามครา แต่สุมาอี้สังเกตเห็นดาวใหญ่นั้นแม้ขึ้นไปโคจรอยู่บนฟ้าดังเดิม แต่แสงริบหรี่ซีดโรย จึงรำพึงขึ้นอีกครั้งหนึ่งว่าขงเบ้งตายแน่แล้ว เราจะเกรงอะไรกับกองทัพเสฉวน
รำพึงดังนั้นแล้วสุมาอี้รีบกลับเข้าไปในค่ายพัก พอรุ่งขึ้นก็เรียกแม่ทัพนายกองทั้งปวงมาพร้อมกัน แล้วปรารภความว่าบัดนี้ขงเบ้งตายแล้ว กองทัพจ๊กก๊กเหมือนหนึ่งหนูอยู่ในถัง จำทำลายให้สิ้นซาก ให้กองทัพทุกกองเตรียมกำลังพลพร้อมไว้หน้าค่ายหลวง เราจะนำกองทัพเข้าจู่โจมทหารจ๊กก๊กเอง
แม่ทัพนายกองทั้งปวงได้ฟังดังนั้นก็มีความยินดี รีบคำนับสุมาอี้ออกไปจัดแจงกองทัพ พักใหญ่เสียงกลองระดมพลพร้อมรบก็ดังขึ้นที่หน้าค่ายหลวง สุมาอี้ใส่เกราะ ขี่ม้าออกไปที่หน้ากองทหาร แล้วออกคำสั่งให้เคลื่อนทัพ
สุมาอี้ขี่ม้านำทัพออกไปยังไม่ทันพ้นแนวค่ายหน้า พลันหวนรำลึกถึงเหตุการณ์ที่ต้องกลขงเบ้งหวุดหวิดจะเสียชีวิตทั้งสามพ่อลูกในหุบเขาน้ำเต้า สุมาอี้ก็สะท้านขึ้นทั้งร่าง ในพลันนั้นสายลมเย็นยะเยียบโชยมาแต่ข้างกองทัพของขงเบ้ง ต้องธงชัยกองทัพสุมาอี้ลู่ลิ่วไปตามลม สุมาอี้รีบออกคำสั่งให้กองทัพทั้งปวงหยุดในทันที
สุมาอี้หยุดม้าคิดอยู่ครู่หนึ่งว่าขงเบ้งนี้รู้มนต์วิเศษในลัทธิเต๋า ตัวเราก็เคยประจักษ์ว่าขงเบ้งได้ใช้วิชาไสยเวทย์อัญเชิญเทพแห่งวายุมาช่วยเหลือในการสงครามได้ ขงเบ้งย่อมรู้วิชาที่จะทำให้ดวงดาวโคจรวิปริตผิดปกติเพื่อล่อลวงได้เช่นเดียวกัน ชะรอยขงเบ้งจะเห็นว่าเรามิได้ยกออกไปรบพุ่งเป็นเวลาช้านาน จึงแสร้งให้ทหารจุดพลุไฟทิ้งลงมาจากยอดเขากิสานทำอุบายว่าถึงแก่ความตายแล้ว หวังจะลวงให้เรายกออกไปรบ หากเรายกกองทัพไปก็จะตกเข้าในกลของขงเบ้งเห็นจะเป็นอันตรายเป็นมั่นคง
สุมาอี้ยิ่งคิดก็ยิ่งสำคัญว่าเป็นกลอุบายลวงของขงเบ้งเป็นแน่แท้แล้ว ครั้นจะอธิบายเหตุผลแก่ทหารทั้งปวงก็เกรงว่าจะไม่ทันการ จึงออกคำสั่งให้ถอยทัพกลับเข้าค่ายดังเดิม และให้ตั้งมั่นอยู่ในค่ายเพิ่มความระมัดระวังกวดขันเวรยามขึ้นอีกสองสามเท่าตัว
เมื่อกลับไปถึงค่ายแล้วสุมาอี้ยังคิดระแวงว่าขงเบ้งตายจริงหรือไม่ จึงสั่งให้แฮหัวป๋านำหน่วยลาดตระเวนออกไปสืบข่าวคราวในเส้นทางเดินทัพของขงเบ้ง
ฝ่ายอุยเอี๋ยนหลังจากสะดุดโคมไฟชะตาชีวิตของขงเบ้งดับลงแล้ว ได้ถูกกันไม่ให้เข้าข้องแวะด้วยเหตุการณ์ภายในค่ายพักของขงเบ้ง และถูกมอบหมายหน้าที่ให้ตรวจตราระมัดระวังรักษาค่ายหน้าไว้มิให้เป็นอันตราย ในค่ำคืนวันที่ขงเบ้งสิ้นลมนั้นอุยเอี๋ยนนอนหลับอยู่ในค่าย ได้ฝันไปว่ามีเขาสองเขางอกขึ้นบนศีรษะ พอตื่นขึ้นก็สงสัยในความฝันอันประหลาดนั้นว่าเป็นประการใด จึงเรียกเตียวติดนายทหารรองในบังคับบัญชาซึ่งมีความรู้ภาคพยากรณ์ นิมิตและลางมาปรึกษาว่าซึ่งฝันทั้งนี้จะดีร้ายประการใด
เตียวติดพิจารณาความฝันของอุยเอี๋ยนตามคัมภีร์อี้จิงถ้วนถี่แล้วก็รู้ว่าฝันทั้งนี้ร้ายนัก แต่เกรงว่าหากพยากรณ์ไปตามความจริงแล้วอุยเอี๋ยนก็จะไม่พอใจ จึงแสร้ง เฉไฉกล่าวว่ากิเลนแลมังกรอันมีฤทธานุภาพมากล้วนมีสองเขา ซึ่งท่านฝันว่ามีเขางอกขึ้นบนศีรษะประหนึ่งกิเลนแลมังกรอันสำแดงฤทธิ์ย่อมถือว่าเป็นนิมิตความฝันอันมงคล แต่นี้ไปท่านจะมากด้วยอำนาจวาสนาหาผู้ใดเสมอเหมือนมิได้
อุยเอี๋ยนได้ฟังคำพยากรณ์ดังนั้นก็มีความยินดี หัวเราะขึ้นด้วยเสียงอันดังแล้วกล่าวว่า ขอให้สมดังคำทำนายของท่านเถิด ถึงวันนั้นแล้วเราจะสมนาคุณท่านให้ถึงขนาด
เตียวติดเห็นอุยเอี๋ยนมีความยินดีก็รีบปลีกตัวลากลับออกไปและจะไปเยี่ยมอาการขงเบ้งที่ค่ายหลวง เตียวติดเห็นบิฮุยเดินสวนมาจึงคำนับตามประเพณี บิฮุยเห็นเตียวติดเดินมาแต่หนทางข้างค่ายของอุยเอี๋ยน จึงถามว่าท่านมาจากค่ายของอุยเอี๋ยนหรือ มีเหตุการณ์อันใดเกิดขึ้นบ้าง
เตียวติดเป็นขุนนางผู้จงรักภักดีต่อราชสำนัก พอได้ฟังคำถามจึงตอบว่าข้าพเจ้าเพิ่งกลับออกมาจากค่ายของอุยเอี๋ยน เนื่องจากอุยเอี๋ยนให้ทหารไปตามข้าพเจ้าเข้าไปทำนายความฝัน
บิฮุยสงสัยว่าเป็นความฝันประการใด อุยเอี๋ยนถึงกับต้องตามตัวเตียวติดตั้งแต่เช้าตรู่ จึงถามเตียวติดว่าท่านทำนายความฝันให้อุยเอี๋ยนประการใด
เตียวติดจึงเล่าความให้บิฮุยฟังว่าอุยเอี๋ยนฝันร้ายนัก เห็นจะใกล้ถึงแก่ความตาย แต่ข้าพเจ้าไม่กล้ากล่าวตามความเป็นจริง จึงแสร้งเบี่ยงเบนเป็นว่าความฝันนั้นเป็นเรื่องมงคล อ้างอิงเอามังกรแลกิเลนขึ้นเปรียบเทียบหวังจะให้อุยเอี๋ยนกำเริบลืมตัว
บิฮุยได้ยินดังนั้นก็ตกตะลึง พอได้สติก็รีบกล่าวกับเตียวติดว่า ซึ่งท่านพยากรณ์ความแก่อุยเอี๋ยนทั้งนี้จงเก็บงำไว้เป็นความลับ อย่าได้แพร่งพรายให้ผู้ใดได้ล่วงรู้เป็นอันขาด เตียวติดได้ยินคำบิฮุยแข็งขันบ่งความเงื่อนงำดังนั้นก็รู้นัย จึงรับคำแล้วคำนับลากลับไป
บิฮุยแยกจากเตียวติดแล้วจึงเดินไปที่ค่ายของอุยเอี๋ยน คำนับกันตามประเพณีแล้วบิฮุยจึงชายตาแก่อุยเอี๋ยน อุยเอี๋ยนก็รู้ทีจึงขับทหารรับใช้ในค่ายออกไปข้างนอกจนหมดสิ้น.