ตอนที่ 573. กลพยุงดาวขุนพล
ทันทีที่อุยเอี๋ยนสะดุดโคมไฟเสี่ยงทายชีวิตดับลง ขงเบ้งก็รู้ว่าอายุขัยสิ้นแล้ว แต่ห่วงการข้างหลังจึงสั่งเสียไว้กับผู้วางใจรวมสามเรื่อง คือแผนการล่าถอยทัพมิให้เป็นอันตรายอย่างหนึ่ง แผนการกำจัดอุยเอี๋ยนซึ่งจะก่อการกบฏอย่างหนึ่ง และแผนการช่วยป้องกันชีวิตชาวเมืองเสฉวนหากข้าศึกจะยกเข้าตีในวันข้างหน้าอีกอย่างหนึ่ง
ขงเบ้งมอบหมายตราประจำตำแหน่งแม่ทัพให้เอียวหงีทำหน้าที่บัญชาการทัพแทนแล้ว ยังคงวิตกว่าในระหว่างถอยทัพนั้นอาจเกิดเหตุการณ์ที่ไม่คาดหมายขึ้น ขงเบ้งจึงเรียกเกียงอุยและเอียวหงีเข้ามาใกล้เตียงที่นอน แล้วกระซิบว่าเส้นทางเดินทัพถอยกลับไปเมืองเสฉวนนั้น จะต้องผ่านเส้นทางหุบเขาและต้องเดินทัพบนสะพานลอยที่เชื่อมระหว่างหุบเขา หากถูกตัดเส้นทางนั้นแล้วกองทัพก็จะเป็นอันตราย แต่ยังมีเส้นทางลับอีกเส้นทางหนึ่งซึ่งเราได้สำรวจภูมิประเทศไว้แล้ว ดังนั้นถ้าเกิดเหตุร้ายขึ้นในระหว่างถอยทัพ สะพานลอยถูกตัดขาด ก็ให้ลอบยกวกอ้อมไปตามเส้นทางลัดนั้นเถิด ขงเบ้งกล่าวแล้วก็ชี้มือไปที่แผนที่ให้เอียวหงีและเกียงอุยเห็นเส้นทางลับสายนั้น
เอียวหงีและเกียงอุยได้ยินดังนั้นก็รับคำขงเบ้งว่า มหาอุปราชอย่าได้วิตกสืบไปเลย สติปัญญาการคิดอ่านของมหาอุปราชย่อมคุ้มครองให้กองทัพเราล่าถอยกลับเมืองเสฉวนโดยปลอดภัยเป็นมั่นคง
กล่าวแล้วสองขุนนางผู้ใหญ่ก็ร้องไห้ ตระหนักว่าขงเบ้งนี้น่าบูชาศรัทธายิ่งนัก แม้ยามป่วยเจ็บใกล้จะตายก็ยังห่วงหาอาทรไพร่ทหาร แล้วคิดอ่านปกป้องคุ้มครองมิให้ได้รับอันตราย ต่างคนต่างสำนึกในพระคุณของขงเบ้งเป็นล้นพ้น
ขงเบ้งสั่งเสียเอียวหงีและเกียงอุยเสร็จแล้ว จึงสั่งทหารให้เอากระดาษและพู่กันมาวางไว้ที่โต๊ะข้างเตียง ขงเบ้งพยุงตัวลุกออกจากเตียงที่นอนอย่างยากลำบากตรงไปที่โต๊ะยามนั้นใจก็หวนรำลึกถึงพระคุณของพระเจ้าเล่าปี่ น้ำตาขงเบ้งก็ไหลพรากอาบแก้ม ขงเบ้งกลั้นน้ำตาแล้วแต่งฎีกาเป็นใจความว่า
“ข้าพระพุทธเจ้าจูกัดเหลียง-ขงเบ้ง ขอแต่งฎีกาฉบับนี้มากราบบังคมลาแทนตัว ด้วยเมื่อพระองค์ได้ทอดพระเนตรฎีกาฉบับนี้ ชีวิตของข้าพระองค์ย่อมถึงกาลสิ้นแล้ว จึงไม่อาจมาถวายบังคมลาด้วยตนเอง ข้าพระพุทธเจ้าเดิมเป็นชนชาวนาสามัญแห่งเมืองลำเอี๋ยง ชีวิตแต่น้อยคุ้มใหญ่ไม่ปรารถนาลาภ ยศ สุข สรรเสริญ มุ่งหน้าศึกษาวิทยาการทั้งบุ๋นบู๊ เสพเสวนาด้วยเหล่าบัณฑิตอันเป็นมิตรสหาย หมายปลีกวิเวกอยู่กับธรรมชาติในป่าเขา ด้วยรู้ดีว่าสรรพสิ่งเกิดแล้วตั้งอยู่และย่อมดับสูญ ไม่มีสิ่งใดจะล่วงพ้นความดับไปได้ พระเจ้าเล่าปี่ทรงมีพระเมตตาฝ่าพายุและหิมะอันหนาวเหน็บไปเยือนข้าพระองค์ถึงกระท่อมน้อยถึงสามครั้ง มิได้ถือพระองค์และมิได้คำนึงถึงความตรากตรำพระวรกาย ทรงปรารภปณิธานอันสูงส่งว่าแผ่นดินเป็นจลาจล คนพาลสันดานหยาบครองอำนาจในบ้านเมือง อาณาประชาราษฎรได้ความเดือดร้อนทุกหย่อมหญ้า ทรงปรารถนาจะรวบรวมแผ่นดินเข้าเป็นหนึ่ง ฟื้นฟูเชิดชูพระราชวงศ์ฮั่นให้รุ่งเรืองเฟื่องฟูเหมือนครั้งแผ่นดินองค์ปฐมบรมกษัตริย์ ทำนุบำรุงอาณาประชาราษฎรให้ร่มเย็นเป็นสุข ข้าพระพุทธเจ้าเลื่อมใสในน้ำพระทัยอันประเสริฐ จึงละวิเวกสุข ติดตามรับใช้เบื้องพระยุคลบาท แต่กรรมบันดาลให้เป็นไป ฮ่องเต้ในพระบรมโกศจึงเสด็จสู่สวรรค์ก่อนที่พระราชธุระจะสำเร็จ ทรงฝากฝังใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาทให้ ข้าพระองค์ได้ทำนุบำรุงเหมือนหนึ่งพระองค์เอง ข้าพระองค์ก็ได้ถวายความจงรักภักดีด้วยความสัตย์สุจริต มิได้คิดถึงความยากลำบากและชีวิตตัว และด้วยวิตกว่าศัตรูเหนือใต้ยังไม่ราบคาบ จึงจำต้องผูกมิตรกับศัตรูใต้ มุ่งทำลายศัตรูเหนือ เพื่อบรรลุถึงพระราชปณิธานอันสูงส่ง ข้าพระองค์ได้กรีฑาทัพปราบปรามศัตรูแผ่นดินถึงหกครั้ง ก็ยังไม่ประสบความสำเร็จ แต่สวรรค์กลับไร้ความยุติธรรม ลิขิตชะตาชีวิตข้าพระองค์ให้สิ้นสุดแต่เพียงนี้ วันเวลาข้าพระองค์ ณ บัดนี้มีเหลืออยู่ไม่เกินเวลาที่พระจันทร์จะโคจรอยู่บนนภากาศเท่านั้น วิตกด้วยการแผ่นดินข้างหน้า จึงขอพระราชทานกราบบังคมทูลว่าซึ่งจะปกครองแผ่นดินให้ร่มเย็นเป็นสุขนั้น แผ่นดินกว้างใหญ่ยิ่งกว่ากำลังใครแต่ผู้เดียวจะแบกรับได้ ขอพระองค์ได้เสวนาคบหากับผู้เป็นบัณฑิต เชิญชวนเข้ามาร่วมแบกรับพระราชภารกิจอันสูงหนักดังแผ่นฟ้าแผ่นดิน หลีกเลี่ยงละเว้นไม่เสพเสวนาด้วยเหล่าพาล มอบหมายการงานทั้งปวงให้ถูกคน ใช้คนทั้งปวงให้เหมาะสมแก่ความสามารถและการงาน ขอพระองค์จงทรงมีความอดทนต่อการที่จะถูกเหล่าบัณฑิตชักพาไปในทางที่ถูกต้อง ขอพระองค์ทรงมีความอดทนต่อถ้อยคำอันหวานของเหล่าพาลที่จะชักนำไปในทางที่ผิด แลข้าพระองค์นั้นมีที่นาห้าสิบไร่ มีต้นหม่อนแปดร้อยต้น เพียงพอต่อการเลี้ยงดูบุตรภรรยาครอบครัวไม่ขัดสน ไม่ต้องทรงพระราชทานสิ่งใดเป็นบำเหน็จอีก ทรัพย์สินเครื่องใช้ส่วนตัวของข้าพระองค์มิได้มีสิ่งใด ส่วนบรรดาข้าวของและที่พักอาศัยอันเป็นของพระราชทานนั้นเมื่อสิ้นบุญข้าพระพุทธเจ้าแล้วขอถวายกลับคืนเพื่อทรงโปรดนำเข้าพระคลังหลวงสำหรับแจกจ่ายข้าทหาร ด้วยเกล้าด้วยกระหม่อม”
สามก๊กฉบับเจ้าพระยาพระคลัง (หน) ระบุว่า ฎีกาสุดท้ายของขงเบ้งฉบับนี้มีความว่า “ข้าพเจ้าขงเบ้งขอกราบถวายบังคมมาให้ทราบ ด้วยข้าพเจ้าแจ้งอยู่ว่าบุราณกรรมมาถึงแล้ว แลตัวข้าพเจ้านี้ก็อุตส่าห์ตั้งใจทำราชการตามสติปัญญา พระเจ้าเล่าปี่ชุบเลี้ยงให้เป็นใหญ่ถึงเพียงนี้ แต่ข้าพเจ้ามีความวิตกอยู่ว่าศัตรูฝ่ายเหนือฝ่ายใต้ยังไม่ราบคาบ ควรหรือจะมาด่วนถึงแก่ความตาย ก็คิดแค้นอยู่ทุกเวลา แม้ข้าพเจ้าตายแล้วพระองค์จงรักษาความสัตย์ บำรุงอาณาประชาราษฎรให้อยู่เย็นเป็นสุขตามประเพณี อย่าได้เชื่อฟังคำคนอันเป็นพาล บ้านเมืองจึงจะปรกติสืบไป อันในที่อยู่ข้าพเจ้านั้นมีต้นหม่อนสำหรับเลี้ยงไหมอยู่ถึงแปดร้อยต้น นาห้าสิบไร่ แลที่นากับต้นหม่อนนี้ก็พอจะเลี้ยงดูบุตรภรรยาข้าพเจ้าอยู่แล้ว อันทรัพย์สิ่งของข้าพเจ้าซึ่งอยู่ในเรือนนั้นขอให้เอาไปไว้ในท้องพระคลัง จะได้แจกทหาร”
สามก๊กฉบับสมบูรณ์ได้ระบุความในฎีกาของขงเบ้งว่า “ฟังมาว่าความเป็นความตายนั้นย่อมเป็นเรื่องธรรมดา ยากที่จะหนีรอดจากชะตากรรมที่แน่นอนได้ บัดนี้ความตายจวนจะมาถึง ปรารถนาที่จะถวายความซื่อสัตย์จงรักภักดีจนสิ้นสุด ข้าพระพุทธเจ้าเหลียงอุปนิสัยโง่เขลาปัญญาทึบ ประสบชีวิตในยามทุกข์ยากลำบาก รับแบ่งป้ายอาญาสิทธิ์กองทัพ เทิดทูนพระบัญชา ควบคุมดุลอำนาจเป็นพิเศษ ได้ปฏิบัติการกรีฑาทัพปราบปรามภาคเหนือยังมิประสบความสำเร็จ ไฉนในยามนี้ต้องมาเจ็บป่วยเข้าขั้นหมดหวัง ชีวิตแขวนอยู่ในเวลาเช้าเย็น มิอาจรับใช้พระองค์ถึงที่สุด ต้องกล้ำกลืนความแค้นสุดพรรณนา ขอก้มหมอบปรารถนาให้พระองค์ทรงพระราชหฤทัยผ่องใสรักสันโดษ ทรงผูกพันโปรดทวยราษฎร ทรงรอบรู้กตเวทิตาแด่ฮ่องเต้ที่ล่วงลับไปแล้ว ทรงแผ่พระเมตตามหากรุณาธิคุณทั่วจักรวาล เลือกสรรยกย่องปราชญ์ที่ซุ่มซ่อนตัว เพื่อให้เมธา ผู้ประเสริฐถวายตัวเข้ามา ถอดถอนขับไล่ผู้ทุจริตมิจฉาชีพออกไปเพื่อฟื้นฟูจารีตประเพณีให้ดีงาม ข้าพระพุทธเจ้ามีต้นหม่อนอยู่แปดร้อยต้น มีนาอยู่ห้าสิบไร่ เรื่องเสื้อผ้าอาหารการกินบุตรหลานพอมีเหลือเฟือ ส่วนสิ่งของที่ข้าพระพุทธเจ้าติดตัวใช้สอยอยู่ภายนอกก็เฉพาะพอใช้ในหน้าที่ขุนนางเท่านั้น มิได้กระทำหรือมีสมบัติใด ๆ วันใดที่ข้าพระพุทธเจ้ามรณา มิได้มีทรัพย์สมบัติอยู่ภายใน หรือมีเงินทองอยู่ภายนอก โดยเป็นการทรยศต่อใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาทปกเกล้าปกกระหม่อมแม้แต่ประการใด”
ขงเบ้งแต่งฎีกาเสร็จแล้วผนึกใส่ซองมอบให้เอียวหงีนำไปถวายพระเจ้าเล่าเสี้ยน แล้วกล่าวกับเอียวหงีต่อไปว่า หลังจากเราถึงแก่ความตายแล้วห้ามมิให้ทหารทั้งปวงร้องไห้ไว้ทุกข์เป็นเด็ดขาด ให้ต่อโลงนั่งมีพื้นที่นั่งสูง เอาศพเราใส่ไว้ในโลงนั้นในท่านั่งห้อยเท้า ให้เอาข้าวสารเจ็ดเมล็ดใส่ไว้ในปาก และเอาโคมตะเกียงดวงหนึ่งจุดไว้ที่ฝ่าเท้า ดังนี้แล้วดวงวิญญาณของเราก็จะล่องลอยขึ้นไปบนสวรรค์ บังคับดาวประจำตัวขุนพลไม่ให้หล่นจากฟ้าสักชั่วระยะเวลาหนึ่ง เมื่อดาวขุนพลประจำตัวเราไม่ร่วงลงจากฟากฟ้าในเวลาล่าถอยทัพ สุมาอี้ก็จะสงสัยว่าเราถึงแก่ความตายจริงหรือว่าเป็นกลอุบาย เห็นจะไม่กล้ายกมาทำอันตราย
ขงเบ้งหยุดหอบหายใจอยู่อีกครู่ใหญ่ ในขณะที่เอียวหงีและเกียงอุยยังคงนั่งนิ่งตั้งใจฟังด้วยน้ำตาอาบใบหน้า แล้วขงเบ้งจึงกล่าวสืบไปว่าในการล่าถอยทัพจากแดนที่ลึกเข้ามาในแดนของข้าศึกนั้นยากลำบากนัก ให้ท่านสั่งการให้กองทัพส่วนหลังค่อย ๆ ทยอยล่าถอยทัพกลับไปก่อน กองทัพส่วนหน้าค่อย ๆ ล่าถอยทัพกลับไปอย่างช้า ๆ ให้เอาหุ่นรูปตัวเราซึ่งจัดเตรียมไว้แล้วบรรทุกไปในเกวียนที่เราเคยนั่งคุมกองหลัง ล่าถอยทัพไป มาตรแม้นว่าสุมาอี้ยกกองทัพมาตามตี ก็ให้กองหลังแปรขบวนกลับหน้าตั้งขบวนรบ ชูธงจูกัดเหลียงอันเป็นธงประจำตัวเราให้เด่นชัดที่ข้างเกวียน เข็นเกวียนออกไปหน้าขบวนรบ สุมาอี้จะสำคัญว่าตัวเราทำกลอุบาย เห็นจะถอยทัพหนีประหนึ่งสุนัขโดนน้ำร้อนลวกฉะนั้น
ขงเบ้งกล่าวสิ้นความก็ไออีกหลายครั้ง โลหิตสด ๆ ไหลออกจากปาก ขงเบ้งหลับตาพริ้มอยู่บนเตียง เอียวหงีและเกียงอุยเห็นดังนั้นก็สงสารพากันร้องไห้ แล้วกล่าวว่าถ้อยคำทั้งปวงที่มหาอุปราชได้บัญชา ข้าพเจ้าจะจดจำให้แม่นยำไว้ในใจ ขอมหาอุปราชอย่าได้ห่วงใยสืบไปเลย
พอเวลาค่ำลงขงเบ้งสั่งทหารให้พยุงตัวออกไปด้านนอกค่ายพักอีกครั้งหนึ่ง เทศกาลแรมแปดค่ำ เดือนสิบ ท้องฟ้ามืดสนิทราวกับผืนผ้าสีดำ เห็นดาวพราวพร่างเต็มท้องฟ้า ขงเบ้งแหงนหน้ามองฟ้าเบื้องทิศอีสาน พลางชี้นิ้วไปที่ดาวใหญ่ดวงหนึ่งซึ่งมีรัศมีสีแดงดั่งสีเลือด แต่ริบหรี่เศร้าหมองโรยราวจะร่วงหล่นจากฟากฟ้า แล้วกล่าวว่านี่คือดาวขุนพลประจำตัวเรา
เกียงอุย เอียวหงี และทหารองครักษ์ใกล้ชิดมองตามมือขงเบ้งไปบนอากาศก็รู้สึกเศร้าสลดใจ เพราะดาวประจำตัวขุนพลของขงเบ้งริบหรี่เต็มที ประหนึ่งกำลังจะร่วงหล่นลงจากฟากฟ้า อุปมาคล้ายกับผลไม้สุกใกล้หลุดออกจากขั้วตกลงสู่พื้นฉะนั้น
ทุกคนมองดวงดาวบนอากาศแล้วหันไปมองขงเบ้ง ต่างคนต่างหยุดนิ่งอยู่ในความสงบ แลเห็นขงเบ้งเอากระบี่ชี้ไปที่ดาวประจำตัว ปากก็พร่ำท่องสวดมนต์อันเป็นไสยเวทย์ในลัทธิเต๋า พอท่องมนต์จบกระแสลมหนาวก็พัดมาวูบใหญ่ ขงเบ้งสลบสิ้นสติสมประดี เอียวหงีและเกียงอุยจึงให้ทหารพยุงขงเบ้งกลับเข้าไปในค่ายพัก
ในขณะนั้นลิฮกได้เดินทางกลับมาที่ค่ายพักของขงเบ้งอีกครั้งหนึ่ง เห็นผู้คนในค่ายพักของขงเบ้งสับสนอลหม่านก็ตกใจ รีบสาวเท้าเข้าไปในค่ายพักของขงเบ้ง เห็นขงเบ้งนอนสลบไสลอยู่บนเตียงก็ร้องไห้ ปากก็กล่าวรำพึงว่าหรือตัวเรามาล่าช้าไปไม่ทันการ การใหญ่ของแผ่นดินเห็นจะเสียหายเป็นแน่แท้
สิ้นคำว่าแผ่นดินจะเสียหาย ลิฮกเห็นขงเบ้งลืมตาขึ้นอีกครั้งหนึ่งแล้วเบือนหน้า หันมามองลิฮกอย่างยากเย็น
ขงเบ้งขยับปากด้วยความยากลำบาก กล่าวด้วยน้ำเสียงอันแผ่วเบาว่า ข้าพเจ้ารู้จุดมุ่งหมายการมาของท่านเป็นอย่างดี
ลิฮกได้ยินคำขงเบ้งก็รู้ว่าขงเบ้งล่วงรู้เจตนาการมาของตน จึงชิงกล่าวเสียเองว่าข้าพเจ้าเดินทางมาครั้งนี้เนื่องเพราะองค์พระจักรพรรดิมีพระบัญชาให้มาขอความเห็นจากมหาอุปราชเกี่ยวด้วยการแผ่นดินหลังจากสิ้นบุญท่านแล้วว่าผู้ใดสมควรที่จะเป็นมหาอุปราชแทนตัวท่าน
ขงเบ้งกล่าวตอบด้วยน้ำเสียงแผ่วเบาตะกุกตะกักว่าเจียวอ้วนเป็นขุนนางผู้ใหญ่ เป็นบัณฑิต รู้การแผ่นดินเป็นอันมาก มีความสามารถซื่อสัตย์จงรักภักดี ควรที่จะแทนตำแหน่งข้าพเจ้าได้
ลิฮกจึงถามต่อไปว่า ถ้าหากเจียวอ้วนสิ้นบุญแล้ว มหาอุปราชเห็นว่าผู้ใดเหมาะสมที่จะดำรงตำแหน่งสืบแทนเจียวอ้วน
ขงเบ้งพยายามตอบอย่างยากเย็นด้วยน้ำเสียงที่แผ่วเบาและตะกุกตะกัก ในขณะที่ตานั้นพริ้มสนิทว่าถ้าเจียวอ้วนตายให้ตั้งบิฮุยแทนเจียวอ้วนเถิด
ลิฮกได้ถามต่อไปว่า ถ้าหากบิฮุยตาย จะให้ผู้ใดแทนบิฮุยเล่า.
ขงเบ้งมอบหมายตราประจำตำแหน่งแม่ทัพให้เอียวหงีทำหน้าที่บัญชาการทัพแทนแล้ว ยังคงวิตกว่าในระหว่างถอยทัพนั้นอาจเกิดเหตุการณ์ที่ไม่คาดหมายขึ้น ขงเบ้งจึงเรียกเกียงอุยและเอียวหงีเข้ามาใกล้เตียงที่นอน แล้วกระซิบว่าเส้นทางเดินทัพถอยกลับไปเมืองเสฉวนนั้น จะต้องผ่านเส้นทางหุบเขาและต้องเดินทัพบนสะพานลอยที่เชื่อมระหว่างหุบเขา หากถูกตัดเส้นทางนั้นแล้วกองทัพก็จะเป็นอันตราย แต่ยังมีเส้นทางลับอีกเส้นทางหนึ่งซึ่งเราได้สำรวจภูมิประเทศไว้แล้ว ดังนั้นถ้าเกิดเหตุร้ายขึ้นในระหว่างถอยทัพ สะพานลอยถูกตัดขาด ก็ให้ลอบยกวกอ้อมไปตามเส้นทางลัดนั้นเถิด ขงเบ้งกล่าวแล้วก็ชี้มือไปที่แผนที่ให้เอียวหงีและเกียงอุยเห็นเส้นทางลับสายนั้น
เอียวหงีและเกียงอุยได้ยินดังนั้นก็รับคำขงเบ้งว่า มหาอุปราชอย่าได้วิตกสืบไปเลย สติปัญญาการคิดอ่านของมหาอุปราชย่อมคุ้มครองให้กองทัพเราล่าถอยกลับเมืองเสฉวนโดยปลอดภัยเป็นมั่นคง
กล่าวแล้วสองขุนนางผู้ใหญ่ก็ร้องไห้ ตระหนักว่าขงเบ้งนี้น่าบูชาศรัทธายิ่งนัก แม้ยามป่วยเจ็บใกล้จะตายก็ยังห่วงหาอาทรไพร่ทหาร แล้วคิดอ่านปกป้องคุ้มครองมิให้ได้รับอันตราย ต่างคนต่างสำนึกในพระคุณของขงเบ้งเป็นล้นพ้น
ขงเบ้งสั่งเสียเอียวหงีและเกียงอุยเสร็จแล้ว จึงสั่งทหารให้เอากระดาษและพู่กันมาวางไว้ที่โต๊ะข้างเตียง ขงเบ้งพยุงตัวลุกออกจากเตียงที่นอนอย่างยากลำบากตรงไปที่โต๊ะยามนั้นใจก็หวนรำลึกถึงพระคุณของพระเจ้าเล่าปี่ น้ำตาขงเบ้งก็ไหลพรากอาบแก้ม ขงเบ้งกลั้นน้ำตาแล้วแต่งฎีกาเป็นใจความว่า
“ข้าพระพุทธเจ้าจูกัดเหลียง-ขงเบ้ง ขอแต่งฎีกาฉบับนี้มากราบบังคมลาแทนตัว ด้วยเมื่อพระองค์ได้ทอดพระเนตรฎีกาฉบับนี้ ชีวิตของข้าพระองค์ย่อมถึงกาลสิ้นแล้ว จึงไม่อาจมาถวายบังคมลาด้วยตนเอง ข้าพระพุทธเจ้าเดิมเป็นชนชาวนาสามัญแห่งเมืองลำเอี๋ยง ชีวิตแต่น้อยคุ้มใหญ่ไม่ปรารถนาลาภ ยศ สุข สรรเสริญ มุ่งหน้าศึกษาวิทยาการทั้งบุ๋นบู๊ เสพเสวนาด้วยเหล่าบัณฑิตอันเป็นมิตรสหาย หมายปลีกวิเวกอยู่กับธรรมชาติในป่าเขา ด้วยรู้ดีว่าสรรพสิ่งเกิดแล้วตั้งอยู่และย่อมดับสูญ ไม่มีสิ่งใดจะล่วงพ้นความดับไปได้ พระเจ้าเล่าปี่ทรงมีพระเมตตาฝ่าพายุและหิมะอันหนาวเหน็บไปเยือนข้าพระองค์ถึงกระท่อมน้อยถึงสามครั้ง มิได้ถือพระองค์และมิได้คำนึงถึงความตรากตรำพระวรกาย ทรงปรารภปณิธานอันสูงส่งว่าแผ่นดินเป็นจลาจล คนพาลสันดานหยาบครองอำนาจในบ้านเมือง อาณาประชาราษฎรได้ความเดือดร้อนทุกหย่อมหญ้า ทรงปรารถนาจะรวบรวมแผ่นดินเข้าเป็นหนึ่ง ฟื้นฟูเชิดชูพระราชวงศ์ฮั่นให้รุ่งเรืองเฟื่องฟูเหมือนครั้งแผ่นดินองค์ปฐมบรมกษัตริย์ ทำนุบำรุงอาณาประชาราษฎรให้ร่มเย็นเป็นสุข ข้าพระพุทธเจ้าเลื่อมใสในน้ำพระทัยอันประเสริฐ จึงละวิเวกสุข ติดตามรับใช้เบื้องพระยุคลบาท แต่กรรมบันดาลให้เป็นไป ฮ่องเต้ในพระบรมโกศจึงเสด็จสู่สวรรค์ก่อนที่พระราชธุระจะสำเร็จ ทรงฝากฝังใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาทให้ ข้าพระองค์ได้ทำนุบำรุงเหมือนหนึ่งพระองค์เอง ข้าพระองค์ก็ได้ถวายความจงรักภักดีด้วยความสัตย์สุจริต มิได้คิดถึงความยากลำบากและชีวิตตัว และด้วยวิตกว่าศัตรูเหนือใต้ยังไม่ราบคาบ จึงจำต้องผูกมิตรกับศัตรูใต้ มุ่งทำลายศัตรูเหนือ เพื่อบรรลุถึงพระราชปณิธานอันสูงส่ง ข้าพระองค์ได้กรีฑาทัพปราบปรามศัตรูแผ่นดินถึงหกครั้ง ก็ยังไม่ประสบความสำเร็จ แต่สวรรค์กลับไร้ความยุติธรรม ลิขิตชะตาชีวิตข้าพระองค์ให้สิ้นสุดแต่เพียงนี้ วันเวลาข้าพระองค์ ณ บัดนี้มีเหลืออยู่ไม่เกินเวลาที่พระจันทร์จะโคจรอยู่บนนภากาศเท่านั้น วิตกด้วยการแผ่นดินข้างหน้า จึงขอพระราชทานกราบบังคมทูลว่าซึ่งจะปกครองแผ่นดินให้ร่มเย็นเป็นสุขนั้น แผ่นดินกว้างใหญ่ยิ่งกว่ากำลังใครแต่ผู้เดียวจะแบกรับได้ ขอพระองค์ได้เสวนาคบหากับผู้เป็นบัณฑิต เชิญชวนเข้ามาร่วมแบกรับพระราชภารกิจอันสูงหนักดังแผ่นฟ้าแผ่นดิน หลีกเลี่ยงละเว้นไม่เสพเสวนาด้วยเหล่าพาล มอบหมายการงานทั้งปวงให้ถูกคน ใช้คนทั้งปวงให้เหมาะสมแก่ความสามารถและการงาน ขอพระองค์จงทรงมีความอดทนต่อการที่จะถูกเหล่าบัณฑิตชักพาไปในทางที่ถูกต้อง ขอพระองค์ทรงมีความอดทนต่อถ้อยคำอันหวานของเหล่าพาลที่จะชักนำไปในทางที่ผิด แลข้าพระองค์นั้นมีที่นาห้าสิบไร่ มีต้นหม่อนแปดร้อยต้น เพียงพอต่อการเลี้ยงดูบุตรภรรยาครอบครัวไม่ขัดสน ไม่ต้องทรงพระราชทานสิ่งใดเป็นบำเหน็จอีก ทรัพย์สินเครื่องใช้ส่วนตัวของข้าพระองค์มิได้มีสิ่งใด ส่วนบรรดาข้าวของและที่พักอาศัยอันเป็นของพระราชทานนั้นเมื่อสิ้นบุญข้าพระพุทธเจ้าแล้วขอถวายกลับคืนเพื่อทรงโปรดนำเข้าพระคลังหลวงสำหรับแจกจ่ายข้าทหาร ด้วยเกล้าด้วยกระหม่อม”
สามก๊กฉบับเจ้าพระยาพระคลัง (หน) ระบุว่า ฎีกาสุดท้ายของขงเบ้งฉบับนี้มีความว่า “ข้าพเจ้าขงเบ้งขอกราบถวายบังคมมาให้ทราบ ด้วยข้าพเจ้าแจ้งอยู่ว่าบุราณกรรมมาถึงแล้ว แลตัวข้าพเจ้านี้ก็อุตส่าห์ตั้งใจทำราชการตามสติปัญญา พระเจ้าเล่าปี่ชุบเลี้ยงให้เป็นใหญ่ถึงเพียงนี้ แต่ข้าพเจ้ามีความวิตกอยู่ว่าศัตรูฝ่ายเหนือฝ่ายใต้ยังไม่ราบคาบ ควรหรือจะมาด่วนถึงแก่ความตาย ก็คิดแค้นอยู่ทุกเวลา แม้ข้าพเจ้าตายแล้วพระองค์จงรักษาความสัตย์ บำรุงอาณาประชาราษฎรให้อยู่เย็นเป็นสุขตามประเพณี อย่าได้เชื่อฟังคำคนอันเป็นพาล บ้านเมืองจึงจะปรกติสืบไป อันในที่อยู่ข้าพเจ้านั้นมีต้นหม่อนสำหรับเลี้ยงไหมอยู่ถึงแปดร้อยต้น นาห้าสิบไร่ แลที่นากับต้นหม่อนนี้ก็พอจะเลี้ยงดูบุตรภรรยาข้าพเจ้าอยู่แล้ว อันทรัพย์สิ่งของข้าพเจ้าซึ่งอยู่ในเรือนนั้นขอให้เอาไปไว้ในท้องพระคลัง จะได้แจกทหาร”
สามก๊กฉบับสมบูรณ์ได้ระบุความในฎีกาของขงเบ้งว่า “ฟังมาว่าความเป็นความตายนั้นย่อมเป็นเรื่องธรรมดา ยากที่จะหนีรอดจากชะตากรรมที่แน่นอนได้ บัดนี้ความตายจวนจะมาถึง ปรารถนาที่จะถวายความซื่อสัตย์จงรักภักดีจนสิ้นสุด ข้าพระพุทธเจ้าเหลียงอุปนิสัยโง่เขลาปัญญาทึบ ประสบชีวิตในยามทุกข์ยากลำบาก รับแบ่งป้ายอาญาสิทธิ์กองทัพ เทิดทูนพระบัญชา ควบคุมดุลอำนาจเป็นพิเศษ ได้ปฏิบัติการกรีฑาทัพปราบปรามภาคเหนือยังมิประสบความสำเร็จ ไฉนในยามนี้ต้องมาเจ็บป่วยเข้าขั้นหมดหวัง ชีวิตแขวนอยู่ในเวลาเช้าเย็น มิอาจรับใช้พระองค์ถึงที่สุด ต้องกล้ำกลืนความแค้นสุดพรรณนา ขอก้มหมอบปรารถนาให้พระองค์ทรงพระราชหฤทัยผ่องใสรักสันโดษ ทรงผูกพันโปรดทวยราษฎร ทรงรอบรู้กตเวทิตาแด่ฮ่องเต้ที่ล่วงลับไปแล้ว ทรงแผ่พระเมตตามหากรุณาธิคุณทั่วจักรวาล เลือกสรรยกย่องปราชญ์ที่ซุ่มซ่อนตัว เพื่อให้เมธา ผู้ประเสริฐถวายตัวเข้ามา ถอดถอนขับไล่ผู้ทุจริตมิจฉาชีพออกไปเพื่อฟื้นฟูจารีตประเพณีให้ดีงาม ข้าพระพุทธเจ้ามีต้นหม่อนอยู่แปดร้อยต้น มีนาอยู่ห้าสิบไร่ เรื่องเสื้อผ้าอาหารการกินบุตรหลานพอมีเหลือเฟือ ส่วนสิ่งของที่ข้าพระพุทธเจ้าติดตัวใช้สอยอยู่ภายนอกก็เฉพาะพอใช้ในหน้าที่ขุนนางเท่านั้น มิได้กระทำหรือมีสมบัติใด ๆ วันใดที่ข้าพระพุทธเจ้ามรณา มิได้มีทรัพย์สมบัติอยู่ภายใน หรือมีเงินทองอยู่ภายนอก โดยเป็นการทรยศต่อใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาทปกเกล้าปกกระหม่อมแม้แต่ประการใด”
ขงเบ้งแต่งฎีกาเสร็จแล้วผนึกใส่ซองมอบให้เอียวหงีนำไปถวายพระเจ้าเล่าเสี้ยน แล้วกล่าวกับเอียวหงีต่อไปว่า หลังจากเราถึงแก่ความตายแล้วห้ามมิให้ทหารทั้งปวงร้องไห้ไว้ทุกข์เป็นเด็ดขาด ให้ต่อโลงนั่งมีพื้นที่นั่งสูง เอาศพเราใส่ไว้ในโลงนั้นในท่านั่งห้อยเท้า ให้เอาข้าวสารเจ็ดเมล็ดใส่ไว้ในปาก และเอาโคมตะเกียงดวงหนึ่งจุดไว้ที่ฝ่าเท้า ดังนี้แล้วดวงวิญญาณของเราก็จะล่องลอยขึ้นไปบนสวรรค์ บังคับดาวประจำตัวขุนพลไม่ให้หล่นจากฟ้าสักชั่วระยะเวลาหนึ่ง เมื่อดาวขุนพลประจำตัวเราไม่ร่วงลงจากฟากฟ้าในเวลาล่าถอยทัพ สุมาอี้ก็จะสงสัยว่าเราถึงแก่ความตายจริงหรือว่าเป็นกลอุบาย เห็นจะไม่กล้ายกมาทำอันตราย
ขงเบ้งหยุดหอบหายใจอยู่อีกครู่ใหญ่ ในขณะที่เอียวหงีและเกียงอุยยังคงนั่งนิ่งตั้งใจฟังด้วยน้ำตาอาบใบหน้า แล้วขงเบ้งจึงกล่าวสืบไปว่าในการล่าถอยทัพจากแดนที่ลึกเข้ามาในแดนของข้าศึกนั้นยากลำบากนัก ให้ท่านสั่งการให้กองทัพส่วนหลังค่อย ๆ ทยอยล่าถอยทัพกลับไปก่อน กองทัพส่วนหน้าค่อย ๆ ล่าถอยทัพกลับไปอย่างช้า ๆ ให้เอาหุ่นรูปตัวเราซึ่งจัดเตรียมไว้แล้วบรรทุกไปในเกวียนที่เราเคยนั่งคุมกองหลัง ล่าถอยทัพไป มาตรแม้นว่าสุมาอี้ยกกองทัพมาตามตี ก็ให้กองหลังแปรขบวนกลับหน้าตั้งขบวนรบ ชูธงจูกัดเหลียงอันเป็นธงประจำตัวเราให้เด่นชัดที่ข้างเกวียน เข็นเกวียนออกไปหน้าขบวนรบ สุมาอี้จะสำคัญว่าตัวเราทำกลอุบาย เห็นจะถอยทัพหนีประหนึ่งสุนัขโดนน้ำร้อนลวกฉะนั้น
ขงเบ้งกล่าวสิ้นความก็ไออีกหลายครั้ง โลหิตสด ๆ ไหลออกจากปาก ขงเบ้งหลับตาพริ้มอยู่บนเตียง เอียวหงีและเกียงอุยเห็นดังนั้นก็สงสารพากันร้องไห้ แล้วกล่าวว่าถ้อยคำทั้งปวงที่มหาอุปราชได้บัญชา ข้าพเจ้าจะจดจำให้แม่นยำไว้ในใจ ขอมหาอุปราชอย่าได้ห่วงใยสืบไปเลย
พอเวลาค่ำลงขงเบ้งสั่งทหารให้พยุงตัวออกไปด้านนอกค่ายพักอีกครั้งหนึ่ง เทศกาลแรมแปดค่ำ เดือนสิบ ท้องฟ้ามืดสนิทราวกับผืนผ้าสีดำ เห็นดาวพราวพร่างเต็มท้องฟ้า ขงเบ้งแหงนหน้ามองฟ้าเบื้องทิศอีสาน พลางชี้นิ้วไปที่ดาวใหญ่ดวงหนึ่งซึ่งมีรัศมีสีแดงดั่งสีเลือด แต่ริบหรี่เศร้าหมองโรยราวจะร่วงหล่นจากฟากฟ้า แล้วกล่าวว่านี่คือดาวขุนพลประจำตัวเรา
เกียงอุย เอียวหงี และทหารองครักษ์ใกล้ชิดมองตามมือขงเบ้งไปบนอากาศก็รู้สึกเศร้าสลดใจ เพราะดาวประจำตัวขุนพลของขงเบ้งริบหรี่เต็มที ประหนึ่งกำลังจะร่วงหล่นลงจากฟากฟ้า อุปมาคล้ายกับผลไม้สุกใกล้หลุดออกจากขั้วตกลงสู่พื้นฉะนั้น
ทุกคนมองดวงดาวบนอากาศแล้วหันไปมองขงเบ้ง ต่างคนต่างหยุดนิ่งอยู่ในความสงบ แลเห็นขงเบ้งเอากระบี่ชี้ไปที่ดาวประจำตัว ปากก็พร่ำท่องสวดมนต์อันเป็นไสยเวทย์ในลัทธิเต๋า พอท่องมนต์จบกระแสลมหนาวก็พัดมาวูบใหญ่ ขงเบ้งสลบสิ้นสติสมประดี เอียวหงีและเกียงอุยจึงให้ทหารพยุงขงเบ้งกลับเข้าไปในค่ายพัก
ในขณะนั้นลิฮกได้เดินทางกลับมาที่ค่ายพักของขงเบ้งอีกครั้งหนึ่ง เห็นผู้คนในค่ายพักของขงเบ้งสับสนอลหม่านก็ตกใจ รีบสาวเท้าเข้าไปในค่ายพักของขงเบ้ง เห็นขงเบ้งนอนสลบไสลอยู่บนเตียงก็ร้องไห้ ปากก็กล่าวรำพึงว่าหรือตัวเรามาล่าช้าไปไม่ทันการ การใหญ่ของแผ่นดินเห็นจะเสียหายเป็นแน่แท้
สิ้นคำว่าแผ่นดินจะเสียหาย ลิฮกเห็นขงเบ้งลืมตาขึ้นอีกครั้งหนึ่งแล้วเบือนหน้า หันมามองลิฮกอย่างยากเย็น
ขงเบ้งขยับปากด้วยความยากลำบาก กล่าวด้วยน้ำเสียงอันแผ่วเบาว่า ข้าพเจ้ารู้จุดมุ่งหมายการมาของท่านเป็นอย่างดี
ลิฮกได้ยินคำขงเบ้งก็รู้ว่าขงเบ้งล่วงรู้เจตนาการมาของตน จึงชิงกล่าวเสียเองว่าข้าพเจ้าเดินทางมาครั้งนี้เนื่องเพราะองค์พระจักรพรรดิมีพระบัญชาให้มาขอความเห็นจากมหาอุปราชเกี่ยวด้วยการแผ่นดินหลังจากสิ้นบุญท่านแล้วว่าผู้ใดสมควรที่จะเป็นมหาอุปราชแทนตัวท่าน
ขงเบ้งกล่าวตอบด้วยน้ำเสียงแผ่วเบาตะกุกตะกักว่าเจียวอ้วนเป็นขุนนางผู้ใหญ่ เป็นบัณฑิต รู้การแผ่นดินเป็นอันมาก มีความสามารถซื่อสัตย์จงรักภักดี ควรที่จะแทนตำแหน่งข้าพเจ้าได้
ลิฮกจึงถามต่อไปว่า ถ้าหากเจียวอ้วนสิ้นบุญแล้ว มหาอุปราชเห็นว่าผู้ใดเหมาะสมที่จะดำรงตำแหน่งสืบแทนเจียวอ้วน
ขงเบ้งพยายามตอบอย่างยากเย็นด้วยน้ำเสียงที่แผ่วเบาและตะกุกตะกัก ในขณะที่ตานั้นพริ้มสนิทว่าถ้าเจียวอ้วนตายให้ตั้งบิฮุยแทนเจียวอ้วนเถิด
ลิฮกได้ถามต่อไปว่า ถ้าหากบิฮุยตาย จะให้ผู้ใดแทนบิฮุยเล่า.