ตอนที่ 571. ดับโคมไฟชีวิต
พระพุทธศาสนายุกาลล่วงแล้วได้เจ็ดร้อยเจ็ดสิบเจ็ดพรรษา เดือนสิบ แรมหนึ่งค่ำ กองทัพของขงเบ้งยังคงตั้งมั่นอยู่ที่ตำบลเขากิสาน ด้านหนึ่งเตรียมการโจมตีกองทัพสุมาอี้ ด้านหนึ่งคอยฟังข่าวกองทัพหนุนของง่อก๊กที่จะยกเข้าตีวุยก๊กทางด้านทิศใต้ ขงเบ้งมั่นใจว่าเมื่อเป็นศึกกระหนาบสองด้านพร้อมกันดังนี้แล้ววุยก๊กก็จะล่มสลายลง
ขงเบ้งได้ฟังคำบิฮุยว่ากองทัพเมืองกังตั๋งได้เลิกทัพกลับไปหมดแล้วก็ตกใจ แผนการที่คิดไว้เป็นอันพังทลายลงอย่างสิ้นเชิง ลมในอกอัดแน่นขึ้นถึงหัวใจ ขงเบ้งร้องขึ้นได้คำเดียวว่าสวรรค์นะสวรรค์ช่างไร้ความยุติธรรม แล้วอาเจียนออกมาเป็นโลหิต สิ้นสติสมประดีพับอยู่ที่เก้าอี้ว่าราชการนั้น
สามก๊กฉบับเจ้าพระยาพระคลัง (หน) ระบุว่าขงเบ้งได้ฟังข่าวกองทัพเมืองกังตั๋งถอยทัพแล้ว “ก็ตกใจ ร้องหวีดขึ้นด้วยเสียงอันดัง ก็ทอดใจใหญ่ พอลมปะทะขึ้นมาก็ล้มสลบลงกับที่”
บิฮุยและแม่ทัพนายกองทั้งปวงเห็นดังนั้นก็ตกใจ เข้าช่วยกันนวดเฟ้นแก้ไขขงเบ้งจนฟื้นคืนสติ และพลันที่ได้สติลืมตาขึ้นขงเบ้งได้รำพึงขึ้นด้วยน้ำเสียงอันอ่อนล้าว่า โรคเก่าของเรากำเริบขึ้นอีกครั้งหนึ่งแล้ว หนักกว่าเก่าเป็นอันมาก เห็นชีวิตเราจะไม่ยั่งยืนสืบไป
พอค่ำลงพระจันทร์ยังไม่ทันทอแสงทาบขอบฟ้าตามเวลาแรมต้น ๆ ขงเบ้งทั้งที่ป่วยและอ่อนล้าอิดโรย ให้ทหารพยุงไปนั่งบนเกวียนแล้วเข็นออกไปนอกค่ายบัญชาการ สายลมหนาวในต้นยามแรกยังแผ่วเบา แม้ว่าจะเป็นที่สบายแต่ก็หนาวจับเข้าไปถึงหัวใจ ขงเบ้งแหงนหน้ามองขึ้นไปบนฟ้าเบื้องทิศอีสานก็ตกใจเป็นอันมาก รีบสั่งทหารให้เข็นเกวียนกลับเข้าไปในค่ายหลวง และให้ทหารพยุงไปนั่งที่เตียง พลางเรียกเกียงอุยมาที่ข้างหน้าเตียงแล้วกล่าวว่า ชีวิตเราเห็นจะเหลืออยู่เพียงที่พระจันทร์โคจรอยู่บนฟ้าค่ำคืนนี้ หรืออย่างช้าก็ชั่วพระสุริยาลับเหลี่ยมเขาด้านทิศตะวันตกในวันพรุ่งเท่านั้น
สามก๊กฉบับเจ้าพระยาพระคลัง (หน) ระบุว่า “ครั้นเวลาค่ำขงเบ้งอุตส่าห์เดินออกไปดูอากาศ เห็นดาวสำหรับตัวนั้นเศร้าหมองกว่าแต่ก่อนก็ยิ่งตกใจเป็นอันมาก จึงพาเกียงอุยเข้าไปที่ข้างในแล้วว่า ชีวิตเรานี้เห็นจะตายในวันพรุ่งนี้แล้ว”
เกียงอุยได้ยินดังนั้นก็ตกใจ รีบกล่าวว่ามหาอุปราชป่วยแต่เพียงเล็กน้อย ไฉนจึงกล่าวความฉกรรจ์ฉะนี้
ขงเบ้งจึงว่า เราป่วยครั้งนี้อาการหนักวิกฤตกว่าทุกครั้ง จึงได้สำรวจตรวจตราดาวขุนพลประจำตัวซึ่งสถิตอยู่เบื้องทิศอีสาน เห็นดวงดาวบริวารยังคงส่องแสงสุกใส แต่ดาวขุนพลดวงใหญ่อันเป็นดาวประจำตัวเรานั้นรัศมีหม่นหมองแดงริบหรี่ วิปริตกว่าแต่ก่อน เราจึงรู้ว่าชะตาชีวิตเราจะสิ้นแล้ว
เกียงอุยจึงว่า ถึงมาตรแม้นว่าเป็นคราฆาต มหาอุปราชก็รู้วิชาสืบชะตาชีวิต ไฉนจึงไม่แต่งการบูชาบวงสรวงเทพยดา สะเดาะพระเคราะห์ ให้สืบชะตาต่อไปเล่า
ขงเบ้งจึงว่าวิชาบวงสรวงพระเคราะห์สืบชะตาชีวิตนี้เราก็แจ้งอยู่ แลบัดนี้เทพโลกบาลประจำทิศอุดรซึ่งทำหน้าที่จดบัญชีเป็นตายของมนุษย์มิได้อยู่ในแดนมนุษย์แล้ว หากกลับขึ้นไปบนสรวงสวรรค์ สถิตอยู่ในวิมานในกลุ่มดาวเหนือตั้งแต่วันเพ็ญเดือนเก้า การจะสำเร็จประการใดหรือไม่นั้น ย่อมขึ้นกับสวรรค์ลิขิตว่ากำหนดอายุเราจะยืนยาวต่อไปได้อีกหรือไม่ แต่กระนั้นก็จะลองทำพิธีกรรมตามคำท่านเพื่อทราบเจตนาสวรรค์ว่าเป็นประการใด
กล่าวดังนั้นแล้วขงเบ้งจึงสั่งให้เกียงอุยจัดทหารใส่เสื้อเกราะคลุมด้วยเสื้อคลุมสีดำจำนวนสี่สิบเก้าคนถือธงดำประดับภาพกลุ่มดาวเหนือ ทำหน้าที่รักษาการณ์อยู่โดยรอบค่ายพักของขงเบ้ง ภายในค่ายให้จัดโคมไฟสี่สิบเก้าดวงวางเรียงรายเป็นรูปวงกลมเหมือนจักรวาล ตรงกลางวงกลมจุดโคมไฟอีกเจ็ดดวงวางตามตำแหน่งของดาวเหนือ ด้านหน้าไฟตำแหน่งดาวเหนือจุดโคมใหญ่เป็นโคมเสี่ยงทายชะตาชีวิต
ขงเบ้งได้สั่งกำชับเกียงอุยว่า ในชั่วเวลาเจ็ดวันนี้ห้ามคนนอกเข้ามาในค่ายพักของเราโดยเด็ดขาด ถ้ามาตรแม้นมีกิจด่วนสิ่งใดให้เกียงอุยตัดสินใจแก้ไขสั่งการได้ตามที่เห็นสมควร สำหรับอาหารการกินให้ศิษย์รับใช้ของเรานำเอาเข้ามาข้างในค่ายพัก เราจะทำพิธีสืบชะตาชีวิตเป็นเวลาเจ็ดวัน หากครบเจ็ดวันแล้วโคมเสี่ยงทายอายุเรายังคงรุ่งเรืองสว่างไสว อายุเราก็จะยืนยาวไปอีกสิบสองปี แต่ถ้าหากโคมไฟต้องดับลงในกลางคัน อายุเราก็จะสิ้นเป็นแน่แท้ ให้เกียงอุยท่านกวดขันระมัดระวังตามที่เราสั่งการโดยเคร่งครัด
เกียงอุยคำนับรับคำขงเบ้งแล้วกล่าวว่า ด้วยอำนาจแห่งความซื่อตรง จงรักภักดีของมหาอุปราช จงดลบันดาลให้โคมชีวิตได้ประสิทธิ์รุ่งโรจน์ดังปรารถนาเถิด กล่าวดังนั้นแล้วเกียงอุยจึงคำนับออกไปรักษาการอยู่ด้านนอกค่ายพักของขงเบ้ง
พอเกียงอุยออกไปแล้วขงเบ้งจึงจุดธูปเทียนบูชาเทพยดาประจำดาวเหนือคือเทพโลกบาลทิศอุดรผู้คุมบัญชีตายของมนุษย์ แล้วตั้งสัตยาธิษฐานว่าข้าพเจ้า จูกัดเหลียง-ขงเบ้ง ได้ถือรับสั่งของพระเจ้าเล่าปี่ให้ทำการปราบปรามศัตรูราชสมบัติ รวบรวมแผ่นดินเข้าเป็นหนึ่ง ฟื้นฟูเชิดชูราชวงศ์ฮั่นให้รุ่งเรืองดังแต่ก่อน ข้าพเจ้าได้ยกทหารมาทำการถึงหกครั้งแล้วก็ยังไม่สำเร็จ บัดนี้ชะตาชีวิตใกล้ดับสูญ หากสิ้นบุญข้าพเจ้าแล้วศัตรูราชสมบัติก็จะฮึกเหิมก่อการกำเริบ ไม่อาจปราบปรามได้อีกต่อไป ขออำนาจแห่งความจงรักภักดีที่ข้าพเจ้ามีต่อพระราชวงศ์ฮั่นและพระเจ้าเล่าปี่เป็นที่ตั้งแห่งสัตยาธิษฐาน ขอให้เทพโลกบาลประจำทิศอุดรได้เมตตา ยืดเวลาอายุข้าพเจ้าออกไปอีกสิบสองปีด้วยเทอญ
สามก๊กฉบับเจ้าพระยาพระคลัง (หน) พรรณนาความสัตยาธิษฐานของขงเบ้งว่า ขงเบ้งได้อาราธนาเทพยดาว่า “ตัวข้าพเจ้าชื่อจูกัดเหลียงคือขงเบ้ง เอากำเนิดมาในระหว่างแผ่นดินจลาจล พระเจ้าเล่าปี่อุตส่าห์ไปหาข้าพเจ้าถึงสามครั้ง ก็ได้มาช่วยทำการทำนุบำรุงแผ่นดิน พระเจ้าเล่าปี่นั้นมีพระคุณชุบเลี้ยงข้าพเจ้าถึงขนาด เมื่อพระองค์จะสวรรคตก็ได้สั่งการทั้งปวงไว้แก่ข้าพเจ้า แลข้าพเจ้าก็ได้คิดอ่านทำการสงคราม หวังจะกำจัดศัตรูแผ่นดิน แลการทั้งนี้ก็ไม่สำเร็จ บัดนี้เห็นดาวสำหรับตัวข้าพเจ้าเศร้าหมองจะถึงกำหนดอายุอยู่แล้ว ตัวข้าพเจ้าตั้งใจจะทำการบำรุงพระมหากษัตริย์ก็ยังไม่สำเร็จ ขอเทพยดาทั้งปวงจงให้กำลังแลชีวิตข้าพเจ้าไว้ก่อน จะช่วยป้องกันดับร้อนอาณาประชาราษฎรสืบไป แล้วนั่งอ่านมนต์ไปจนรุ่ง”
สามก๊กฉบับสมบูรณ์ได้พรรณนาความตอนนี้ว่า ขงเบ้งกราบไหว้พลางอธิษฐานวิงวอนว่า “เหลียงเกิดมาในยุคจลาจล ปลงใจที่จะแก่เฒ่าอยู่ในดงไม้ลำธาร ด้วยเดชะพระบารมีปกเกล้าปกกระหม่อมแห่งพระเจ้าเล่าปี่ทรงมีพระมหากรุณาธิคุณ โปรดเยี่ยมเยือนกระท่อมสามครา ทรงฝากฝังรัชทายาทกำพร้าอันสำคัญ มิกล้าที่จะมิพยายามสุดแรง ยอมเหนื่อยยากลำบากประดุจสุนัขหรืออาชา ขอให้สัตย์ปฏิญาณที่จะปราบโจรกบฏ คาดมิถึงดาวขุนพลจวนจะร่วงหล่น อายุขัยในโลกมนุษย์ใกล้จะอวสาน ขอเคารพนบนอบด้วยหนังสือนี้ กล่าวต่อฟ้าคราม ณ เบื้องบนก้มหมอบคารวะหวังในความกรุณาแห่งสวรรค์ กรุณาหย่อนยานตรวจตรารับฟัง คดเคี้ยวประวิงเวลาตามที่ ข้าพระพุทธเจ้าคำนวณเอาไว้ ณ เบื้องบนจะได้ทดแทนในพระมหากรุณาธิคุณแห่งเจ้าเหนือหัว ณ เบื้องล่างได้ช่วยชีวิตประชาราษฎร์ ได้กอบกู้ของเก่าคืนมา ได้บูชาราชวงศ์อยู่ตลอดกาล หามิใช่กล้าที่จะวิงวอนอย่างมุสา แท้จริงโดยเหตุจำเป็น ครั้นไหว้คารวะอธิษฐานวิงวอนจบก็ก้มหมอบอยู่ในกระโจมเพื่อรอให้ฟ้าสว่าง”
พิธีบวงสรวงเทพโลกบาลประจำทิศอุดรดำเนินไปอย่างราบรื่นตลอดคืนวันแรก โคมไฟเสี่ยงทายชะตาชีวิตยังคงลุกโชติช่วง พอฟ้าสว่างขงเบ้งก็ออกว่าราชการทั้งที่ยังมีอาการอ่อนเพลีย กำชับทแกล้วทหารให้กวดขันระมัดระวังรักษาค่ายอย่าได้ประมาท ในระหว่างนั้นขงเบ้งได้อาเจียนออกมาเป็นโลหิตอีกหลายครั้ง แม่ทัพนายกองทั้งปวงได้ช่วยกันนวดคลึงเฟ้น หมอประจำกองทัพก็เอายาระงับลมมาให้ขงเบ้งกิน
กลางวันขงเบ้งออกว่าราชการ ตกกลางคืนก็เข้ากระโจมกระทำพิธีบวงสรวงบูชาเทพยดา ร่ายมนต์วิเศษในคัมภีร์ลี้ลับแห่งลัทธิเต๋าไปจนสว่าง จนเหตุการณ์ผ่านพ้นไปด้วยดีถึงหกวัน ดาวขุนพลประจำตัวของขงเบ้งบนอากาศที่ริบหรี่ใกล้ดับแสงก็รุ่งเรืองขึ้นกว่าก่อน ในขณะที่โคมเสี่ยงทายอายุในกระโจมก็ลุกโชติช่วง ขงเบ้งเห็นดังนั้นก็มีความยินดี รำพึงว่าฤาสวรรค์จะเมตตาให้ชีวิตเรายืนยาวไปได้อีกสิบสองปี โคมไฟชีวิตจึงโชติช่วงไม่ติดขัดวูบวาบแม้แต่น้อย
ฝ่ายสุมาอี้ตั้งมั่นรักษาค่ายตามปกติ ครั้นเห็นหลายวันผ่านไปทหารขงเบ้งมิได้ยกออกมาท้ารบก็สงสัย ในค่ำวันที่หกนั้นสุมาอี้จึงเดินออกไปนอกค่าย มองตรวจตราดูดาราบนอากาศ เห็นดาวขุนพลประจำตัวของขงเบ้งวิปริตเศร้าหมองไม่ผ่องใสก็ดีใจ กล่าวกับแฮหัวป๋าว่า “เห็นดาวมหาอุปราชเมืองเสฉวนนั้นเศร้าหมอง เห็นอายุขงเบ้งจะถึงกำหนดอยู่แล้ว ท่านจงคุมทหารพันหนึ่งไป ณ ค่ายขงเบ้ง แม้เห็นทหารในค่ายนั้นสงบอยู่ ขงเบ้งจะป่วยลงเป็นมั่นคง ท่านจึงร้องท้าทายให้ทหารขงเบ้งยกออกมารบ แม้เรารู้ประจักษ์ว่าขงเบ้งเป็นประการใด จะได้คิดการต่อไป”
แฮหัวป๋ารับคำสั่งสุมาอี้แล้ว เวลาเช้าตรู่จึงคุมทหารหนึ่งพันยกไปที่หน้าค่ายของขงเบ้ง แล้วให้ทหารร้องด่าท้าทายให้ฝ่ายจ๊กก๊กยกออกมารบกัน
ในขณะนั้นเกียงอุยเข้าไปในค่ายพักของขงเบ้ง เห็นขงเบ้งสยายผมชูกระบี่ร่ายมนต์ก้าวเท้าไปตามตำแหน่งดาวเหนือซึ่งได้จุดโคมไว้ข้างในค่ายพัก ได้ยินเสียงทหารวุยก๊กโห่ร้องด่าว่าท้าทายอยู่ข้างนอกค่าย จึงเดินออกไปข้างนอกเพื่อจะตรวจตราดูให้รู้ความแน่ชัด
ขณะเดียวกันนั้นอุยเอี๋ยนคุมทหารรักษาการณ์อยู่ด้านนอกค่าย ได้ยินเสียงทหารวุยก๊กมาร้องด่าท้าทายก็โกรธ รำพึงด่าแต่ในใจว่าไอ้พวกลูกเต่า ขี้ขลาดตาขาว หลายวันก่อนเรายกทหารออกไปร้องด่าท้าทายกลับหดหัวอยู่แต่ในค่าย มาวันนี้ริอ่านจะมาท้าทายให้เรายกออกไปรบ
อุยเอี๋ยนรำพึงดังนั้นแล้วก็ระลึกได้ว่าขงเบ้งได้กำชับทหารให้ตั้งมั่นรักษาค่าย แต่เพราะแรงแห่งโทสะอุยเอี๋ยนจึงวิ่งเข้าไปในค่ายพักของขงเบ้งเพื่อจะขออนุญาตนำทหารยกออกไปรบกับทหารของสุมาอี้ พลางปากก็กล่าวขึ้นด้วยเสียงอันดังว่า ไอ้พวกขี้ขลาดวุยก๊กยกมาท้าทาย สิ้นคำอุยเอี๋ยนก็ก้าวล้ำเข้าไปในค่ายพักของขงเบ้ง สะดุดโคมไฟเสี่ยงทายชีวิตของขงเบ้งล้มลง ไฟประจำโคมก็ดับลงในบัดดล
อุยเอี๋ยนเห็นดังนั้นก็ตกตะลึงยืนนิ่งขึงอยู่กับที่ ขงเบ้งเห็นดังนั้นก็ตกใจ ทิ้งกระบี่ลงกับพื้น พลางทอดถอนใจว่าอายุเราสิ้นแล้ว
สามก๊กฉบับเจ้าพระยาพระคลัง (หน) ระบุว่า “อุยเอี๋ยนได้ยินทหารสุมาอี้ร้องท้าทายดังนั้นก็โกรธ มิได้รู้ว่าขงเบ้งทำการอยู่ข้างใน จึงทะลวงเข้าไปหวังจะบอกขงเบ้ง พอสะดุดโคมสำหรับเสี่ยงทายอายุขงเบ้งนั้นดับไป ขงเบ้งเห็นดังนั้นก็ตกใจทิ้งกระบี่เสีย ร้องขึ้นด้วยเสียงอันดังว่าความตายนี้เป็นบุราณกรรม ถึงมาตรว่าจะคิดอ่านแก้ไขประการใดก็ไม่พ้น ตัวเราครั้งนี้จะถึงความตายเป็นมั่นคง”
ฝ่ายเกียงอุยเห็นอุยเอี๋ยนวิ่งสวนพรวดเข้าไปในค่ายพักของขงเบ้งก็ตกใจ รีบสาวเท้าตามเข้าไป เห็นโคมไฟเสี่ยงทายชีวิตของขงเบ้งล้มดับลงกับพื้น เกียงอุยทั้งโกรธ ทั้งตกใจ ชักกระบี่ออกจากฝักจะฟันอุยเอี๋ยน
ขงเบ้งเหลือบมองเห็นดังนั้นจึงเข้ายุดเอากระบี่ของเกียงอุยไว้ แล้วกล่าวว่าซึ่งท่านจะฆ่าอุยเอี๋ยนเสียนั้นไม่สมควร เหตุทั้งนี้หาใช่ความผิดของอุยเอี๋ยนไม่ แต่เป็นเพราะเหตุที่อายุเราถึงกาลดับสูญแล้ว กรรมจึงบันดาลให้เป็นไป
ขงเบ้งกล่าวสิ้นคำลงก็ไออย่างรุนแรง โลหิตสด ๆ ไหลออกจากปาก ขงเบ้งทรุดตัวล้มลงกับพื้นสิ้นสติสมประดี
เกียงอุยและอุยเอี๋ยนเห็นดังนั้นก็ตกใจ รีบเข้าไปประคองขงเบ้งพาไปที่เตียงนอน แล้วช่วยกันแก้ไขจนขงเบ้งฟื้นคืนสติ
ขงเบ้งพอลืมตาได้สติก็กล่าวกับอุยเอี๋ยนว่า สุมาอี้ทำการทั้งนี้เพราะคาดว่าเราป่วยหนัก จึงให้ทหารมายั่วยุหวังจะทราบความจริงว่าเป็นประการใด ท่านจงคุมทหารออกไปรบพุ่งกับทหารสุมาอี้ อย่าให้รู้ร่องรอยได้ว่าเราป่วยอยู่.
ขงเบ้งได้ฟังคำบิฮุยว่ากองทัพเมืองกังตั๋งได้เลิกทัพกลับไปหมดแล้วก็ตกใจ แผนการที่คิดไว้เป็นอันพังทลายลงอย่างสิ้นเชิง ลมในอกอัดแน่นขึ้นถึงหัวใจ ขงเบ้งร้องขึ้นได้คำเดียวว่าสวรรค์นะสวรรค์ช่างไร้ความยุติธรรม แล้วอาเจียนออกมาเป็นโลหิต สิ้นสติสมประดีพับอยู่ที่เก้าอี้ว่าราชการนั้น
สามก๊กฉบับเจ้าพระยาพระคลัง (หน) ระบุว่าขงเบ้งได้ฟังข่าวกองทัพเมืองกังตั๋งถอยทัพแล้ว “ก็ตกใจ ร้องหวีดขึ้นด้วยเสียงอันดัง ก็ทอดใจใหญ่ พอลมปะทะขึ้นมาก็ล้มสลบลงกับที่”
บิฮุยและแม่ทัพนายกองทั้งปวงเห็นดังนั้นก็ตกใจ เข้าช่วยกันนวดเฟ้นแก้ไขขงเบ้งจนฟื้นคืนสติ และพลันที่ได้สติลืมตาขึ้นขงเบ้งได้รำพึงขึ้นด้วยน้ำเสียงอันอ่อนล้าว่า โรคเก่าของเรากำเริบขึ้นอีกครั้งหนึ่งแล้ว หนักกว่าเก่าเป็นอันมาก เห็นชีวิตเราจะไม่ยั่งยืนสืบไป
พอค่ำลงพระจันทร์ยังไม่ทันทอแสงทาบขอบฟ้าตามเวลาแรมต้น ๆ ขงเบ้งทั้งที่ป่วยและอ่อนล้าอิดโรย ให้ทหารพยุงไปนั่งบนเกวียนแล้วเข็นออกไปนอกค่ายบัญชาการ สายลมหนาวในต้นยามแรกยังแผ่วเบา แม้ว่าจะเป็นที่สบายแต่ก็หนาวจับเข้าไปถึงหัวใจ ขงเบ้งแหงนหน้ามองขึ้นไปบนฟ้าเบื้องทิศอีสานก็ตกใจเป็นอันมาก รีบสั่งทหารให้เข็นเกวียนกลับเข้าไปในค่ายหลวง และให้ทหารพยุงไปนั่งที่เตียง พลางเรียกเกียงอุยมาที่ข้างหน้าเตียงแล้วกล่าวว่า ชีวิตเราเห็นจะเหลืออยู่เพียงที่พระจันทร์โคจรอยู่บนฟ้าค่ำคืนนี้ หรืออย่างช้าก็ชั่วพระสุริยาลับเหลี่ยมเขาด้านทิศตะวันตกในวันพรุ่งเท่านั้น
สามก๊กฉบับเจ้าพระยาพระคลัง (หน) ระบุว่า “ครั้นเวลาค่ำขงเบ้งอุตส่าห์เดินออกไปดูอากาศ เห็นดาวสำหรับตัวนั้นเศร้าหมองกว่าแต่ก่อนก็ยิ่งตกใจเป็นอันมาก จึงพาเกียงอุยเข้าไปที่ข้างในแล้วว่า ชีวิตเรานี้เห็นจะตายในวันพรุ่งนี้แล้ว”
เกียงอุยได้ยินดังนั้นก็ตกใจ รีบกล่าวว่ามหาอุปราชป่วยแต่เพียงเล็กน้อย ไฉนจึงกล่าวความฉกรรจ์ฉะนี้
ขงเบ้งจึงว่า เราป่วยครั้งนี้อาการหนักวิกฤตกว่าทุกครั้ง จึงได้สำรวจตรวจตราดาวขุนพลประจำตัวซึ่งสถิตอยู่เบื้องทิศอีสาน เห็นดวงดาวบริวารยังคงส่องแสงสุกใส แต่ดาวขุนพลดวงใหญ่อันเป็นดาวประจำตัวเรานั้นรัศมีหม่นหมองแดงริบหรี่ วิปริตกว่าแต่ก่อน เราจึงรู้ว่าชะตาชีวิตเราจะสิ้นแล้ว
เกียงอุยจึงว่า ถึงมาตรแม้นว่าเป็นคราฆาต มหาอุปราชก็รู้วิชาสืบชะตาชีวิต ไฉนจึงไม่แต่งการบูชาบวงสรวงเทพยดา สะเดาะพระเคราะห์ ให้สืบชะตาต่อไปเล่า
ขงเบ้งจึงว่าวิชาบวงสรวงพระเคราะห์สืบชะตาชีวิตนี้เราก็แจ้งอยู่ แลบัดนี้เทพโลกบาลประจำทิศอุดรซึ่งทำหน้าที่จดบัญชีเป็นตายของมนุษย์มิได้อยู่ในแดนมนุษย์แล้ว หากกลับขึ้นไปบนสรวงสวรรค์ สถิตอยู่ในวิมานในกลุ่มดาวเหนือตั้งแต่วันเพ็ญเดือนเก้า การจะสำเร็จประการใดหรือไม่นั้น ย่อมขึ้นกับสวรรค์ลิขิตว่ากำหนดอายุเราจะยืนยาวต่อไปได้อีกหรือไม่ แต่กระนั้นก็จะลองทำพิธีกรรมตามคำท่านเพื่อทราบเจตนาสวรรค์ว่าเป็นประการใด
กล่าวดังนั้นแล้วขงเบ้งจึงสั่งให้เกียงอุยจัดทหารใส่เสื้อเกราะคลุมด้วยเสื้อคลุมสีดำจำนวนสี่สิบเก้าคนถือธงดำประดับภาพกลุ่มดาวเหนือ ทำหน้าที่รักษาการณ์อยู่โดยรอบค่ายพักของขงเบ้ง ภายในค่ายให้จัดโคมไฟสี่สิบเก้าดวงวางเรียงรายเป็นรูปวงกลมเหมือนจักรวาล ตรงกลางวงกลมจุดโคมไฟอีกเจ็ดดวงวางตามตำแหน่งของดาวเหนือ ด้านหน้าไฟตำแหน่งดาวเหนือจุดโคมใหญ่เป็นโคมเสี่ยงทายชะตาชีวิต
ขงเบ้งได้สั่งกำชับเกียงอุยว่า ในชั่วเวลาเจ็ดวันนี้ห้ามคนนอกเข้ามาในค่ายพักของเราโดยเด็ดขาด ถ้ามาตรแม้นมีกิจด่วนสิ่งใดให้เกียงอุยตัดสินใจแก้ไขสั่งการได้ตามที่เห็นสมควร สำหรับอาหารการกินให้ศิษย์รับใช้ของเรานำเอาเข้ามาข้างในค่ายพัก เราจะทำพิธีสืบชะตาชีวิตเป็นเวลาเจ็ดวัน หากครบเจ็ดวันแล้วโคมเสี่ยงทายอายุเรายังคงรุ่งเรืองสว่างไสว อายุเราก็จะยืนยาวไปอีกสิบสองปี แต่ถ้าหากโคมไฟต้องดับลงในกลางคัน อายุเราก็จะสิ้นเป็นแน่แท้ ให้เกียงอุยท่านกวดขันระมัดระวังตามที่เราสั่งการโดยเคร่งครัด
เกียงอุยคำนับรับคำขงเบ้งแล้วกล่าวว่า ด้วยอำนาจแห่งความซื่อตรง จงรักภักดีของมหาอุปราช จงดลบันดาลให้โคมชีวิตได้ประสิทธิ์รุ่งโรจน์ดังปรารถนาเถิด กล่าวดังนั้นแล้วเกียงอุยจึงคำนับออกไปรักษาการอยู่ด้านนอกค่ายพักของขงเบ้ง
พอเกียงอุยออกไปแล้วขงเบ้งจึงจุดธูปเทียนบูชาเทพยดาประจำดาวเหนือคือเทพโลกบาลทิศอุดรผู้คุมบัญชีตายของมนุษย์ แล้วตั้งสัตยาธิษฐานว่าข้าพเจ้า จูกัดเหลียง-ขงเบ้ง ได้ถือรับสั่งของพระเจ้าเล่าปี่ให้ทำการปราบปรามศัตรูราชสมบัติ รวบรวมแผ่นดินเข้าเป็นหนึ่ง ฟื้นฟูเชิดชูราชวงศ์ฮั่นให้รุ่งเรืองดังแต่ก่อน ข้าพเจ้าได้ยกทหารมาทำการถึงหกครั้งแล้วก็ยังไม่สำเร็จ บัดนี้ชะตาชีวิตใกล้ดับสูญ หากสิ้นบุญข้าพเจ้าแล้วศัตรูราชสมบัติก็จะฮึกเหิมก่อการกำเริบ ไม่อาจปราบปรามได้อีกต่อไป ขออำนาจแห่งความจงรักภักดีที่ข้าพเจ้ามีต่อพระราชวงศ์ฮั่นและพระเจ้าเล่าปี่เป็นที่ตั้งแห่งสัตยาธิษฐาน ขอให้เทพโลกบาลประจำทิศอุดรได้เมตตา ยืดเวลาอายุข้าพเจ้าออกไปอีกสิบสองปีด้วยเทอญ
สามก๊กฉบับเจ้าพระยาพระคลัง (หน) พรรณนาความสัตยาธิษฐานของขงเบ้งว่า ขงเบ้งได้อาราธนาเทพยดาว่า “ตัวข้าพเจ้าชื่อจูกัดเหลียงคือขงเบ้ง เอากำเนิดมาในระหว่างแผ่นดินจลาจล พระเจ้าเล่าปี่อุตส่าห์ไปหาข้าพเจ้าถึงสามครั้ง ก็ได้มาช่วยทำการทำนุบำรุงแผ่นดิน พระเจ้าเล่าปี่นั้นมีพระคุณชุบเลี้ยงข้าพเจ้าถึงขนาด เมื่อพระองค์จะสวรรคตก็ได้สั่งการทั้งปวงไว้แก่ข้าพเจ้า แลข้าพเจ้าก็ได้คิดอ่านทำการสงคราม หวังจะกำจัดศัตรูแผ่นดิน แลการทั้งนี้ก็ไม่สำเร็จ บัดนี้เห็นดาวสำหรับตัวข้าพเจ้าเศร้าหมองจะถึงกำหนดอายุอยู่แล้ว ตัวข้าพเจ้าตั้งใจจะทำการบำรุงพระมหากษัตริย์ก็ยังไม่สำเร็จ ขอเทพยดาทั้งปวงจงให้กำลังแลชีวิตข้าพเจ้าไว้ก่อน จะช่วยป้องกันดับร้อนอาณาประชาราษฎรสืบไป แล้วนั่งอ่านมนต์ไปจนรุ่ง”
สามก๊กฉบับสมบูรณ์ได้พรรณนาความตอนนี้ว่า ขงเบ้งกราบไหว้พลางอธิษฐานวิงวอนว่า “เหลียงเกิดมาในยุคจลาจล ปลงใจที่จะแก่เฒ่าอยู่ในดงไม้ลำธาร ด้วยเดชะพระบารมีปกเกล้าปกกระหม่อมแห่งพระเจ้าเล่าปี่ทรงมีพระมหากรุณาธิคุณ โปรดเยี่ยมเยือนกระท่อมสามครา ทรงฝากฝังรัชทายาทกำพร้าอันสำคัญ มิกล้าที่จะมิพยายามสุดแรง ยอมเหนื่อยยากลำบากประดุจสุนัขหรืออาชา ขอให้สัตย์ปฏิญาณที่จะปราบโจรกบฏ คาดมิถึงดาวขุนพลจวนจะร่วงหล่น อายุขัยในโลกมนุษย์ใกล้จะอวสาน ขอเคารพนบนอบด้วยหนังสือนี้ กล่าวต่อฟ้าคราม ณ เบื้องบนก้มหมอบคารวะหวังในความกรุณาแห่งสวรรค์ กรุณาหย่อนยานตรวจตรารับฟัง คดเคี้ยวประวิงเวลาตามที่ ข้าพระพุทธเจ้าคำนวณเอาไว้ ณ เบื้องบนจะได้ทดแทนในพระมหากรุณาธิคุณแห่งเจ้าเหนือหัว ณ เบื้องล่างได้ช่วยชีวิตประชาราษฎร์ ได้กอบกู้ของเก่าคืนมา ได้บูชาราชวงศ์อยู่ตลอดกาล หามิใช่กล้าที่จะวิงวอนอย่างมุสา แท้จริงโดยเหตุจำเป็น ครั้นไหว้คารวะอธิษฐานวิงวอนจบก็ก้มหมอบอยู่ในกระโจมเพื่อรอให้ฟ้าสว่าง”
พิธีบวงสรวงเทพโลกบาลประจำทิศอุดรดำเนินไปอย่างราบรื่นตลอดคืนวันแรก โคมไฟเสี่ยงทายชะตาชีวิตยังคงลุกโชติช่วง พอฟ้าสว่างขงเบ้งก็ออกว่าราชการทั้งที่ยังมีอาการอ่อนเพลีย กำชับทแกล้วทหารให้กวดขันระมัดระวังรักษาค่ายอย่าได้ประมาท ในระหว่างนั้นขงเบ้งได้อาเจียนออกมาเป็นโลหิตอีกหลายครั้ง แม่ทัพนายกองทั้งปวงได้ช่วยกันนวดคลึงเฟ้น หมอประจำกองทัพก็เอายาระงับลมมาให้ขงเบ้งกิน
กลางวันขงเบ้งออกว่าราชการ ตกกลางคืนก็เข้ากระโจมกระทำพิธีบวงสรวงบูชาเทพยดา ร่ายมนต์วิเศษในคัมภีร์ลี้ลับแห่งลัทธิเต๋าไปจนสว่าง จนเหตุการณ์ผ่านพ้นไปด้วยดีถึงหกวัน ดาวขุนพลประจำตัวของขงเบ้งบนอากาศที่ริบหรี่ใกล้ดับแสงก็รุ่งเรืองขึ้นกว่าก่อน ในขณะที่โคมเสี่ยงทายอายุในกระโจมก็ลุกโชติช่วง ขงเบ้งเห็นดังนั้นก็มีความยินดี รำพึงว่าฤาสวรรค์จะเมตตาให้ชีวิตเรายืนยาวไปได้อีกสิบสองปี โคมไฟชีวิตจึงโชติช่วงไม่ติดขัดวูบวาบแม้แต่น้อย
ฝ่ายสุมาอี้ตั้งมั่นรักษาค่ายตามปกติ ครั้นเห็นหลายวันผ่านไปทหารขงเบ้งมิได้ยกออกมาท้ารบก็สงสัย ในค่ำวันที่หกนั้นสุมาอี้จึงเดินออกไปนอกค่าย มองตรวจตราดูดาราบนอากาศ เห็นดาวขุนพลประจำตัวของขงเบ้งวิปริตเศร้าหมองไม่ผ่องใสก็ดีใจ กล่าวกับแฮหัวป๋าว่า “เห็นดาวมหาอุปราชเมืองเสฉวนนั้นเศร้าหมอง เห็นอายุขงเบ้งจะถึงกำหนดอยู่แล้ว ท่านจงคุมทหารพันหนึ่งไป ณ ค่ายขงเบ้ง แม้เห็นทหารในค่ายนั้นสงบอยู่ ขงเบ้งจะป่วยลงเป็นมั่นคง ท่านจึงร้องท้าทายให้ทหารขงเบ้งยกออกมารบ แม้เรารู้ประจักษ์ว่าขงเบ้งเป็นประการใด จะได้คิดการต่อไป”
แฮหัวป๋ารับคำสั่งสุมาอี้แล้ว เวลาเช้าตรู่จึงคุมทหารหนึ่งพันยกไปที่หน้าค่ายของขงเบ้ง แล้วให้ทหารร้องด่าท้าทายให้ฝ่ายจ๊กก๊กยกออกมารบกัน
ในขณะนั้นเกียงอุยเข้าไปในค่ายพักของขงเบ้ง เห็นขงเบ้งสยายผมชูกระบี่ร่ายมนต์ก้าวเท้าไปตามตำแหน่งดาวเหนือซึ่งได้จุดโคมไว้ข้างในค่ายพัก ได้ยินเสียงทหารวุยก๊กโห่ร้องด่าว่าท้าทายอยู่ข้างนอกค่าย จึงเดินออกไปข้างนอกเพื่อจะตรวจตราดูให้รู้ความแน่ชัด
ขณะเดียวกันนั้นอุยเอี๋ยนคุมทหารรักษาการณ์อยู่ด้านนอกค่าย ได้ยินเสียงทหารวุยก๊กมาร้องด่าท้าทายก็โกรธ รำพึงด่าแต่ในใจว่าไอ้พวกลูกเต่า ขี้ขลาดตาขาว หลายวันก่อนเรายกทหารออกไปร้องด่าท้าทายกลับหดหัวอยู่แต่ในค่าย มาวันนี้ริอ่านจะมาท้าทายให้เรายกออกไปรบ
อุยเอี๋ยนรำพึงดังนั้นแล้วก็ระลึกได้ว่าขงเบ้งได้กำชับทหารให้ตั้งมั่นรักษาค่าย แต่เพราะแรงแห่งโทสะอุยเอี๋ยนจึงวิ่งเข้าไปในค่ายพักของขงเบ้งเพื่อจะขออนุญาตนำทหารยกออกไปรบกับทหารของสุมาอี้ พลางปากก็กล่าวขึ้นด้วยเสียงอันดังว่า ไอ้พวกขี้ขลาดวุยก๊กยกมาท้าทาย สิ้นคำอุยเอี๋ยนก็ก้าวล้ำเข้าไปในค่ายพักของขงเบ้ง สะดุดโคมไฟเสี่ยงทายชีวิตของขงเบ้งล้มลง ไฟประจำโคมก็ดับลงในบัดดล
อุยเอี๋ยนเห็นดังนั้นก็ตกตะลึงยืนนิ่งขึงอยู่กับที่ ขงเบ้งเห็นดังนั้นก็ตกใจ ทิ้งกระบี่ลงกับพื้น พลางทอดถอนใจว่าอายุเราสิ้นแล้ว
สามก๊กฉบับเจ้าพระยาพระคลัง (หน) ระบุว่า “อุยเอี๋ยนได้ยินทหารสุมาอี้ร้องท้าทายดังนั้นก็โกรธ มิได้รู้ว่าขงเบ้งทำการอยู่ข้างใน จึงทะลวงเข้าไปหวังจะบอกขงเบ้ง พอสะดุดโคมสำหรับเสี่ยงทายอายุขงเบ้งนั้นดับไป ขงเบ้งเห็นดังนั้นก็ตกใจทิ้งกระบี่เสีย ร้องขึ้นด้วยเสียงอันดังว่าความตายนี้เป็นบุราณกรรม ถึงมาตรว่าจะคิดอ่านแก้ไขประการใดก็ไม่พ้น ตัวเราครั้งนี้จะถึงความตายเป็นมั่นคง”
ฝ่ายเกียงอุยเห็นอุยเอี๋ยนวิ่งสวนพรวดเข้าไปในค่ายพักของขงเบ้งก็ตกใจ รีบสาวเท้าตามเข้าไป เห็นโคมไฟเสี่ยงทายชีวิตของขงเบ้งล้มดับลงกับพื้น เกียงอุยทั้งโกรธ ทั้งตกใจ ชักกระบี่ออกจากฝักจะฟันอุยเอี๋ยน
ขงเบ้งเหลือบมองเห็นดังนั้นจึงเข้ายุดเอากระบี่ของเกียงอุยไว้ แล้วกล่าวว่าซึ่งท่านจะฆ่าอุยเอี๋ยนเสียนั้นไม่สมควร เหตุทั้งนี้หาใช่ความผิดของอุยเอี๋ยนไม่ แต่เป็นเพราะเหตุที่อายุเราถึงกาลดับสูญแล้ว กรรมจึงบันดาลให้เป็นไป
ขงเบ้งกล่าวสิ้นคำลงก็ไออย่างรุนแรง โลหิตสด ๆ ไหลออกจากปาก ขงเบ้งทรุดตัวล้มลงกับพื้นสิ้นสติสมประดี
เกียงอุยและอุยเอี๋ยนเห็นดังนั้นก็ตกใจ รีบเข้าไปประคองขงเบ้งพาไปที่เตียงนอน แล้วช่วยกันแก้ไขจนขงเบ้งฟื้นคืนสติ
ขงเบ้งพอลืมตาได้สติก็กล่าวกับอุยเอี๋ยนว่า สุมาอี้ทำการทั้งนี้เพราะคาดว่าเราป่วยหนัก จึงให้ทหารมายั่วยุหวังจะทราบความจริงว่าเป็นประการใด ท่านจงคุมทหารออกไปรบพุ่งกับทหารสุมาอี้ อย่าให้รู้ร่องรอยได้ว่าเราป่วยอยู่.