ตอนที่ 570. อุบาย "อิงฟ้า"

พระพุทธศาสนายุกาลล่วงแล้วได้เจ็ดร้อยเจ็ดสิบเจ็ดพรรษา เดือนเก้า ขงเบ้งใช้สุดยอดวิชาขันทีเยาะเย้ยให้สุมาอี้อัปยศแก่คนทั้งปวง หวังพิฆาตสุมาอี้ แต่สุมาอี้กลับใช้สุดยอดวิชาหน้าด้านต้านทานสุดยอดวิชาของขงเบ้งได้ และยังข่มไปถึงขงเบ้งด้วยว่าหากรับเหมางานไว้แต่ผู้เดียว ตรากตรำภาระอันหนักเช่นนี้ เห็นทีขงเบ้งจะอายุไม่ ยืนยาวสืบไป

            ครั้นกินโต๊ะเสร็จแล้วทหารของขงเบ้งจึงคำนับลาสุมาอี้กลับไปค่ายแล้วรายงานความแก่ขงเบ้งว่า ได้มอบสิ่งของและหนังสือให้แก่สุมาอี้ตามคำสั่งแล้ว ขงเบ้งจึงถามว่าสุมาอี้รับสิ่งของและทราบความในหนังสือแล้วกล่าวสิ่งใดบ้างหรือไม่

            ทหารนั้นจึงเล่าความที่สุมาอี้กระทำและที่กล่าวในขณะกินโต๊ะให้ขงเบ้งทราบทุกประการ

            ขงเบ้งทราบความดังนั้นก็รู้ว่าสุมาอี้แจ้งในกลอุบาย ยอมเสียหน้าแต่ไม่ยอม เสียทีตกเข้ามาในกลอุบาย ขงเบ้งทอดถอนใจใหญ่แล้วกล่าวว่า สุมาอี้นี้มีสติปัญญา  ยิ่งนัก สามารถล่วงรู้ความคิดเรา กล่าวแล้วขงเบ้งก็มีสีหน้าสลดลงด้วยตระหนักว่าที่ตรากตรำทำงานหนักอยู่ในทุกวันนี้ก็ด้วยน้ำใจภักดีต่อพระเจ้าเล่าปี่ แต่ภาระนั้นหนักแสนเข็ญเหลือกำลังนัก คำกล่าวของสุมาอี้ที่ว่าอายุจะไม่ยืนยาวก็ใช่ว่าจะไกลความจริงเท่าใดนัก

            ฝ่ายเอียวหูได้นั่งสังเกตดูท่าทีของขงเบ้งอยู่โดยตลอด เห็นดังนั้นจึงกล่าวว่าซึ่ง  มหาอุปราชตรากตรำทำงานหนักไม่เป็นอันกินอันนอนจนร่างกายผ่ายผอมถึงเพียงนี้ หากไม่แบ่งเบาภาระให้แก่ผู้อื่น ก็เห็นจะเป็นดังคำสุมาอี้ว่า

            ขงเบ้งได้ยินคำเอียวหูก็รู้สึกสะเทือนใจ “ร้องไห้แล้วจึงตอบว่า ทุกวันนี้ใช่เราไม่รู้หรือ ซึ่งเราทำการทั้งปวงนี้เพราะคิดถึงคุณพระเจ้าเล่าปี่ ครั้นจะละเลยก็หาผู้ใดไว้ใจ  มิได้ เราจึงอุตส่าห์มาทำการศึก หวังจะปราบปรามศัตรูแผ่นดิน จะได้บำรุงพระเจ้า เล่าเสี้ยนให้อยู่เย็นเป็นสุข”

            เอียวหูและทหารทั้งปวงได้ยินคำขงเบ้งดังนั้นก็พากันสะเทือนใจโดยถ้วนหน้า ต่างคนต่างร้องไห้รักขงเบ้งเป็นอันมาก สามก๊กฉบับเจ้าพระยาพระคลัง (หน) ระบุว่าหลังจากขงเบ้งกล่าวความอันสะเทือนใจนี้แล้ว “หน้าขงเบ้งก็เศร้าสลดไม่สบาย ให้ป่วยในอกอยู่ดังหนามยอก มิได้คิดออกไปรบพุ่งกับสุมาอี้เป็นหลายวัน”

            ความอันขงเบ้งตรอมใจเหมือนหนึ่งหนามยอกอยู่ในอกนั้น เกิดจากความน้อยอกน้อยใจสวรรค์ที่ไม่ทรงความยุติธรรม ค้ำจุนคนชั่วให้ครองอำนาจบาตรใหญ่ในบ้านเมือง ไม่ค้ำชูคนดีมีคุณธรรมให้ได้มีโอกาสทำนุบำรุงอาณาประชาราษฎร แผ่นดินจึงเดือดร้อนวุ่นวายทุกหย่อมหญ้าประการหนึ่ง และน้อยใจตัวว่าสิ่งที่เคยมั่นใจตลอดมาว่าสติปัญญามนุษย์เมื่อถึงจุดสูงสุดแล้วก็สามารถผันแปรลิขิตสวรรค์ได้นั้น แท้จริงแล้วความคิดและสติปัญญาคนแม้สามารถคิดแผนการอุบายล้ำลึกสักเพียงใด มนุษย์มีสิทธิเพียงแค่คิดได้เท่านั้น แต่ความสำเร็จกลับมิได้ขึ้นอยู่กับเจตนาของมนุษย์ หากอยู่ที่สวรรค์จะบันดาลให้เป็นไปประการใดต่างหาก เมื่อสวรรค์สำแดงฤทธิ์ให้ปรากฏถึงลิขิตดังนี้แล้ว ขงเบ้งก็รู้แจ้งแก่ใจว่าชั่วชีวิตนี้ย่อมไม่อาจรวบรวมแผ่นดินเข้าเป็นหนึ่งสนองพระคุณพระเจ้าเล่าปี่ให้สำเร็จสืบไปได้ ปณิธานอันสูงส่งที่เคยตั้งไว้แต่เดิมทีว่ารวบรวมแผ่นดินเข้าเป็นหนึ่ง ฟื้นฟูเชิดชูราชวงศ์ฮั่นให้รุ่งเรืองดังแต่ก่อน และอาณาประชาราษฎรร่มเย็นเป็นสุขแล้วจะหวนคืนกลับเขาโงลังกั๋ง ปลีกวิเวกทำไร่นาตามประสาชาวบ้านก็เป็นอันพังครืนลงสิ้น ยิ่งเมื่อคำนึงถึงสุขภาพตัวก็รู้ดีแก่ใจว่าเป็นเช่นใด จึงห่วงการในภายหน้าหากชีวิตต้องดับสูญว่าจะล่าถอยทัพโดยไม่เป็นอันตรายประการใด ซึ่งอุยเอี๋ยนม้าพยศที่รอวันคืนก่อการกบฎจะจัดการประการใด และในวันข้างหน้าหากข้าศึกบุกรุกเข้าย่ำยีเมืองเสฉวนที่สู้พลีกายใจสถาปนาขึ้นด้วยความยากลำบากแล้ว จะปกป้องอาณาประชาราษฎร์มิให้ข้าศึกย่ำยีบีทาได้ฉันใด ความหนักใจทั้งสามประการนี้จึงหนักอยู่ในหัวอกของขงเบ้ง แต่ละวันจึงเฝ้าครุ่นคิดถึงปัญหาทั้งสามประการนี้จนมิได้คิดอ่านที่จะออกไปรบพุ่งกับสุมาอี้

            ฝ่ายแม่ทัพนายกองของวุยก๊ก หลังจากได้เห็นสุมาอี้เอากางเกงในสตรีที่ขงเบ้งมอบให้เอามานุ่ง และเอากางเกงสตรีมานุ่งซ้ำอีกก็รู้สึกอับอายขายหน้าแค้นเคืองเป็นอันมาก ต่างคนไม่แจ้งในความคิดของสุมาอี้ จึงพากันเหยียดหยามดูหมิ่นสุมาอี้ว่าไม่สมกับเป็นแม่ทัพใหญ่ ไม่เทิดพระเกียรติของพระเจ้าโจยอย ข้าศึกเหยียดหยามหยาบช้าถึงเพียงนี้ก็ยังไม่คิดอ่านสู้รบ

            แม่ทัพนายกองทั้งปวงได้ปรึกษาหารือกันแล้ว จึงพากันเข้าไปหาสุมาอี้ แล้วกล่าวว่าซึ่งขงเบ้งดูหมิ่นเหยียดหยามท่านแม่ทัพครั้งนี้ เป็นการดูหมิ่นเหยียดหยามให้กระทบไปถึงพระบรมเดชานุภาพในพระเจ้าโจยอยด้วย เหตุไฉนท่านแม่ทัพจึงไม่รู้ร้อนรู้หนาว ไม่รู้เจ็บ รู้แค้น นิ่งเฉยอยู่ได้ฉะนี้ ข้าพเจ้าทั้งปวงให้รู้สึกเจ็บแค้นเป็นอันมาก จะขออาสานำทหารออกไปรบกับขงเบ้งให้รู้แพ้แลชนะ

            สุมาอี้จึงว่า ซึ่งเราตั้งมั่นนิ่งอยู่ดังนี้ใช่จะเป็นเพราะน้ำใจเราเองก็หาไม่ หากเป็นเพราะฮ่องเต้มีพระบรมราชโองการกำชับไว้ตั้งแต่ก่อนออกเดินทัพจากเมืองหลวงว่าให้ใช้ยุทธวิธีตั้งรับ อย่าออกไปรบกับขงเบ้ง แม้เคลื่อนทัพมาตั้งที่ริมแม่น้ำอุยโหนี้แล้วก็ยังทรงมีหมายรับสั่งกำชับซ้ำมาอีก หากขัดขืนพระบรมราชโองการความผิดก็จะอยู่แก่เรา เหตุนี้เราจึงไม่ยกออกไปรบพุ่ง

            แม่ทัพนายกองทั้งปวงได้ฟังดังนั้นจึงว่า ท่านแม่ทัพจะมาถือประเพณีดังนี้ย่อมไม่ชอบ ซึ่งฮ่องเต้มีพระบรมราชโองการแลหมายรับสั่งดังนั้นเพียงเพื่อเป็นแนวทางในการทำศึก ใช่ว่าจะออกไปรบพุ่งไม่ได้เลย เว้นเสียแต่จะเกรงกลัวข้าศึกดุจหนูกลัวแมวเท่านั้น โบราณว่าแม่ทัพรับอาญาสิทธิ์ออกไปทำสงคราม ให้ทำการไปตามสถานการณ์ที่เป็นจริงในสมรภูมิ ท่านแม่ทัพก็แจ้งอยู่ กองทัพขงเบ้งบัดนี้ขัดสนเสบียงอาหาร ทั้งยกล่วงลึกเข้ามาในแดนวุยก๊กช้านานแล้ว เหล่าทหารคิดถึงลูกเมียต้องการกลับบ้าน เสียขวัญกำลังใจรวนเรอยู่แล้ว ชอบที่จะยกกองทัพไปรบพุ่งเห็นจะได้ชัยชนะโดยง่าย

            สุมาอี้จึงว่า เมื่อพวกท่านทั้งปวงปรารถนาจะยกออกไปรบกับขงเบ้งเราก็ไม่ขัด แต่จะยกออกไปโดยพลการนั้นเป็นการขัดกับพระบรมราชโองการ เราจะกราบบังคมทูลฮ่องเต้ให้ทราบความตามความประสงค์ของพวกท่านก่อน แม้โปรดเกล้าประการใดแล้วก็จะทำตามนั้น

            แม่ทัพนายกองทั้งปวงได้ฟังคำสุมาอี้ดังนั้นก็เห็นด้วย สุมาอี้จึงทำฎีกาให้ม้าเร็วถือไปกราบบังคมทูลพระเจ้าโจยอยขอให้ทรงมีพระบรมราชวินิจฉัย

            พระเจ้าโจยอยได้รับฎีกาของสุมาอี้มีใจความว่า “ข้าพเจ้าสุมาอี้ได้ทำการรบพุ่งกับขงเบ้งตามเนื้อความแต่หลัง ข้าพเจ้าก็ตั้งมั่นอยู่ตามรับสั่ง บัดนี้ขงเบ้งให้หนังสือมาเยาะเย้ยเป็นข้อหยาบช้า ข้าพเจ้าแลทหารในเมืองหลวงได้ความอัปยศชาวเมืองเสฉวน จึงปรึกษากันจะออกรบพุ่งกับขงเบ้ง ถ้าจะโปรดประการใดก็จะได้ทำตาม”

            พระเจ้าโจยอยแจ้งในฎีกาของสุมาอี้ดังนั้นจึงปรึกษาด้วยขุนนางและแม่ทัพนายกองทั้งปวงว่า ซึ่งสุมาอี้มีฎีกามาดังนี้ท่านทั้งปวงจะเห็นเป็นประการใด

            ฝ่ายชินขุนซึ่งเป็นขุนนางได้ยินปรารภของพระเจ้าโจยอย จึงกราบบังคมทูลว่าสุมาอี้ยืนหยัดในยุทธวิธีตั้งรับ ด้วยเห็นว่าเป็นยุทธวิธีเดียวที่จะเอาชนะกองทัพขงเบ้งได้ เพราะกองทัพของขงเบ้งนั้นยกล่วงลึกเข้ามาในแดนวุยก๊ก กำลังพลมากก็เหมือนหนึ่งน้อย เสบียงอาหารก็ลำบากขัดสน ทหารทั้งปวงคิดถึงบ้าน ไม่อยากรบพุ่ง หากนานวันไปขงเบ้งก็จะเลิกทัพกลับไปเอง ขงเบ้งจึงแสร้งเยาะเย้ยสุมาอี้ให้ได้อายแก่ทหารทั้งปวง สุมาอี้แจ้งในกลอุบายของขงเบ้งจึงไม่ออกไปรบพุ่ง แต่แม่ทัพนายกองทั้งปวงไม่รู้กลของขงเบ้ง ไม่ทันความคิดสุมาอี้ จึงเร่งจะให้สุมาอี้ยกออกไปรบ ซึ่งขัดต่อพระบรมราชโองการ สุมาอี้จึงคิดกลอุบายอิงฟ้า แต่งฎีกามาทั้งนี้เพื่อขอพระบารมีเป็นที่พึ่ง ให้มีพระบรมราชโองการออกไปว่าอย่าออกไปรบ

            ขุนนางและแม่ทัพนายกองได้ฟังคำชินขุนก็เห็นชอบพร้อมกัน พระเจ้าโจยอยทอดพระเนตรเห็นดังนั้นจึงรับสั่งให้แต่งหมายรับสั่ง แล้วตรัสใช้ให้ชินขุนเชิญหมายรับสั่งเอาไปมอบแก่สุมาอี้ที่ริมแม่น้ำอุยโห กำชับว่าอย่าให้สุมาอี้และทหารทั้งปวงยกออกไปรบพุ่ง ให้ตั้งมั่นรักษาค่ายไว้ให้มั่นคงก็จะได้ชัยชนะแก่กองทัพเมืองเสฉวนเป็นแม่นมั่น

            สุมาอี้ได้รับหมายรับสั่งของพระเจ้าโจยอยแล้วก็มีความยินดี เรียกประชุมบรรดา แม่ทัพนายกองทั้งปวง แล้วประกาศหมายรับสั่งของพระเจ้าโจยอยให้ทราบโดยถ้วนหน้ากัน

            ชินขุนซึ่งเป็นผู้เชิญหมายรับสั่งของพระเจ้าโจยอยได้กล่าวสำทับซ้ำด้วยว่า ฮ่องเต้มีพระบรมราชโองการกำหนดยุทธวิธีตั้งรับ ดังนั้นนับแต่วันนี้หากผู้ใดฝ่าฝืนคิดจะออกไปรบพุ่งกับขงเบ้งอีก ก็จะถือว่าขัดพระบรมราชโองการ

            ทหารวุยก๊กครั้นได้ทราบหมายรับสั่งของพระเจ้าโจยอยแล้วก็ยำเกรงพระบารมี คิดว่าเมื่อฮ่องเต้มีพระราชดำรัสมาดังนี้ชอบที่ต้องปฏิบัติตามโดยเคร่งครัด ดังนั้นหลังจากวันนั้นแล้วต่างคนจึงต่างระมัดระวังกวดขันรักษาค่าย ไม่เร่งรัดให้สุมาอี้ยกกองทัพออกไปรบอีก

            หลังจากแม่ทัพนายกองทั้งปวงได้คำนับลากลับไปแล้ว สุมาอี้จึงแต่งโต๊ะเลี้ยงชินขุนตามประเพณี แล้วสอบถามความเป็นไปข้างในราชสำนักว่า เหตุใดฮ่องเต้จึงมีหมายรับสั่งมาดังนี้ ชินขุนได้เล่าความซึ่งได้กราบบังคมทูลพระเจ้าโจยอยให้สุมาอี้ฟังทุกประการ

            สุมาอี้ได้ฟังความตลอดแล้วจึงกล่าวสรรเสริญชินขุนว่ามีสติปัญญากระจ่างแจ้งนักอยู่ไกลจากแนวหน้าเป็นอันมากยังสามารถล่วงรู้สถานการณ์ได้กระจ่างดังตาเห็น มิหนำซ้ำยังล่วงรู้ความคิดของข้าพเจ้าได้ถ่องแท้ดุจนิ้วในฝ่ามือ

            ฝ่ายหน่วยสอดแนมของขงเบ้ง ครั้นได้ทราบความขัดแย้งภายในกองทัพของสุมาอี้ จนกระทั่งพระเจ้าโจยอยต้องมีหมายรับสั่งมาห้ามทหารมิให้ออกรบพุ่ง จึงนำความเข้าไปรายงานแก่ขงเบ้ง

            ขงเบ้งได้ฟังรายงานก็หัวเราะ พลางกล่าวว่าสุมาอี้ที่แท้จริงเกรงกลัวจนหัวหด ใช้กลยุทธ์ตั้งรับหมายให้กองทัพเราขาดเสบียงแล้วต้องเลิกทัพกลับไปเอง แต่เกรงว่าแม่ทัพนายกองทั้งปวงจะดูหมิ่นว่าขี้ขลาดตาขาว จึงทำกลอุบายอิงฟ้า อาศัยบารมีของพระเจ้าโจยอยห้ามปรามทหารไว้ ทำให้ผู้คนหลงเชื่อว่าเป็นดำริของพระเจ้าโจยอยแล้วจำต้องเชื่อฟัง

            อยู่มาวันหนึ่งบิฮุยได้เดินทางมาจากเมืองเสฉวนเพื่อตรวจราชการกองทัพตามปกติ ครั้นมาถึงค่ายหลวงที่ตำบลเขากิสานจึงเข้าไปคำนับขงเบ้งตามประเพณี แล้วแจ้งความแก่ขงเบ้งว่า พระเจ้าซุนกวนได้แต่งกองทัพเป็นสามทางยกไปตีวุยก๊ก ครั้นพระเจ้าโจยอยทราบความศึกจึงยกกองทัพหลวงไปรับศึกพระเจ้าซุนกวน โดยแยกยกออกไปเป็นสามทาง

            ขงเบ้งได้ฟังดังนั้นก็มีความยินดี บิฮุยจึงกล่าวติงว่ามหาอุปราชอย่าเพิ่งดีใจ เพราะปรากฏว่าพอกองทัพง่อก๊กและวุยก๊กปะทะกัน กองทัพของง่อก๊กก็พลาดท่าเสียที ถูกทหารวุยก๊กวางเพลิงเผาทำลายกองทัพเรือและกองทัพบกจนย่อยยับ เป็นเหตุให้กองทัพของจูกัดกิ๋นซึ่งยกไปตั้งที่เมืองกังแฮต้องเสียขวัญ ประจวบกับทหารป่วยไข้เจ็บตายเป็นอันมาก จึงปรึกษากับลกซุนให้แต่งฎีกาเข้าไปกราบบังคมทูลพระเจ้าซุนกวนขอเลิกทัพกลับเมืองกังตั๋ง  ลกซุนคิดกลอุบายจะตีกระหนาบกองทัพของพระเจ้าโจยอยหวังจะเผด็จศึกเสียในคราวเดียว แต่เผอิญทหารวุยก๊กจับตัวม้าเร็วซึ่งลกซุนใช้ให้ถือฎีกาไปเฝ้าพระเจ้าซุนกวนได้ แผนการตีกระหนาบกองทัพวุยก๊กของลกซุนจึงต้องล้มเลิกไป ลกซุนจึงแต่งฎีกากราบบังคมทูลให้พระเจ้าซุนกวนเลิกทัพกลับคืนเมืองกังตั๋ง พระเจ้าซุนกวนทรงเห็นชอบ ตรัสสั่งให้กองทัพเมืองกังตั๋งทุกสายเลิกทัพ บัดนี้กองทัพเมืองกังตั๋งทั้งสามกองได้เลิกทัพกลับคืนเมืองกังตั๋งสิ้นแล้ว พระเจ้าโจยอยทรงทราบว่ากองทัพเมืองกังตั๋งเลิกทัพล่ากลับไปแล้ว จึงเลิกทัพกลับคืนเมืองลกเอี๋ยง.

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

ตัวอย่างกระทู้ธรรม ธรรมศึกษาชั้นตรี 5

I miss you all กับ I miss all of you ต่างกันอย่างไร

ปัญหาและเฉลยวิชาธรรม นักธรรมชั้นโท สอบในสนามหลวง วันเสาร์ ที่ ๑๙ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๔๘