ตอนที่ 56.วิถีแห่งการก่อร่างตั้งตัวของโจโฉ
โจโฉได้ยกทหารไล่ตามตีโจรโพกผ้าเหลืองไปจนถึงชายแดนเมืองเจปัก จับได้โจรโพกผ้าเหลืองและอาวุธยุทโธปกรณ์ต่าง ๆ เป็นจำนวนมาก พวกโจรบางส่วนที่หลบหนีไปได้ครั้นเห็นว่าสิ้นทางที่จะหนีและไร้หนทางไป จึงพากันกลับเข้ามา สวามิภักดิ์กับโจโฉ
โจโฉได้รีบปรับปรุงกองทัพ จัดสังกัดให้โจรโพกผ้าเหลืองที่ยอมเข้าสวามิภักดิ์ที่มีจำนวนถึงห้าหมื่นให้เป็นกองทัพหน้า และจัดให้ทหารที่มีมาแต่เดิมเป็นกองทัพหลวง แล้วยกไปปราบปรามโจรโพกผ้าเหลืองที่ยังคงตั้งฐานที่มั่นอยู่อีกหลายแห่งในภาคตะวันออก
โจโฉใช้เวลาเกือบสามเดือนก็สามารถปราบปรามโจรโพกผ้าเหลืองทางภาคตะวันออกได้อย่างราบคาบ ได้เกลี้ยกล่อมให้โจรโพกผ้าเหลืองจำนวนมากเข้าสวามิภักดิ์และรับเข้าเป็นทหารในกองทัพ
ส่วนบรรดาราษฎรในเขตยึดครองของโจรโพกผ้าเหลืองนับล้านคนนั้น ถ้าชายฉกรรจ์คนใดยอมเข้าสวามิภักดิ์และสมัครเข้าเป็นทหาร โจโฉก็จะรับเข้าไว้ในกองทัพ ส่วนที่ต้องการทำมาหากินตามปกติก็อนุญาตให้ทำมาหากินได้ตามเดิม
เมื่อโจโฉได้ทหารใหม่จากโจรโพกผ้าเหลืองและบรรดาชายฉกรรจ์ที่เต็มใจเข้ารับราชการทหารด้วย จึงทำให้กองทัพของโจโฉขยายตัวเติบใหญ่มีกำลังพลเพิ่มขึ้นรวมกับของเดิมแล้วมีจำนวนถึงสามสิบหมื่น และได้ปรับปรุงกองทัพใหม่อีกครั้งหนึ่ง โดยกำลังพลที่มีมาแต่เดิมเป็นกองทัพหนึ่ง และกำลังพลใหม่ให้จัดตั้งเป็นอีกกองทัพหนึ่งเรียกว่า “กองทัพเมืองเชียงจิ๋ว” เพื่อเป็นการเอาใจและผูกใจกลุ่มโจรโพกผ้าเหลืองที่เข้าสวามิภักดิ์ใหม่นั้น
เสร็จจากการปราบโจรโพกผ้าเหลืองทางภาคตะวันออกแล้ว โจโฉจึงให้ปลงทัพไว้ที่ชายแดนเมืองเจปัก และทำรายงานการศึกกราบบังคมทูลพระเจ้าเหี้ยนเต้ทรงทราบ แล้วส่งเข้าเมืองหลวง
ฝ่ายลิฉุย กุยกี ครั้นได้รับรายงานการศึกจากโจโฉแล้ว จึงเข้าเฝ้าพระเจ้าเหี้ยนเต้นำความขึ้นกราบบังคมทูลให้ทรงทราบ พระเจ้าเหี้ยนเต้ทราบความศึกตามคำกราบบังคมทูลแล้วจึงตรัสว่า การศึกครั้งนี้โจโฉทำความชอบมาก และโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งให้โจโฉเป็นแม่ทัพใหญ่ภาคตะวันออก
ลิฉุย กุยกี ไม่ทันคิดและไม่เฉลียวใจว่าเหตุใดพระเจ้าเหี้ยนเต้จึงมีพระบรมราชโองการตั้งโจโฉด้วยพระองค์เอง ซึ่งถ้าว่าโดยปกตินับแต่ลิฉุย กุยกี ได้ยึดอำนาจการปกครองมาจากอ้องอุ้นแล้ว จะเป็นฝ่ายที่เสนอแต่งตั้งข้าราชการและขุนนางต่าง ๆ ไม่มีสักครั้งเดียวที่พระเจ้าเหี้ยนเต้จะแต่งตั้งด้วยพระองค์เอง
แต่กระนั้นลิฉุย กุยกี ก็ยอมรับพระบรมราชโองการดังกล่าว และทำเป็นพระราชโองการแต่งตั้งโจโฉตามรับสั่ง แล้วส่งพระบรมราชโองการนั้นแก่โจโฉ
โจโฉในวันนี้จึงนับว่าพ้นจากข้อหากบฏจากกรณีที่เข้าร่วมกับกองทัพปฏิวัติและกลายเป็นแม่ทัพใหญ่ภาคตะวันออก ซึ่งมีกำลังทหารอยู่ในมือถึงสามสิบหมื่น นับเป็นการขยายฐานกำลังอำนาจทางทหารครั้งสำคัญและครั้งใหญ่ของโจโฉ
กองทัพสามสิบหมื่นของโจโฉในวันนี้ยังมีแม่ทัพนายกองระดับทหารเอกอยู่ถึงหกคนคือแฮหัวตุ้น, แฮหัวเอี๋ยน, โจหยิน, โจหอง, ลิเตียน และงักจิ้น ดังนั้นกองทัพของโจโฉจึงเป็นกองทัพที่พร้อมรบ ทั้งโดยวิธีต่อสู้กันด้วยฝีมือทหารเอก หรือด้วยกำลังทหาร ยังคงขาดอยู่ก็แต่เพียงนักยุทธศาสตร์ที่สามารถวางแผนการยุทธ์ในเชิงกลอุบายหรือเชิงกลพยุหะ และการใช้พลังจักรวาล และยังคงขาดอยู่สำหรับด้านการเมือง การปกครอง และการทูต
ตัวโจโฉเองนั้นแม้จะเชี่ยวชาญทางพิชัยสงคราม และมีประสบการณ์ทางด้านการบริหารการปกครองมาก่อน แต่โจโฉก็รู้ดีว่าลำพังตัวคนเดียวนั้นย่อมไม่อาจทำการใหญ่ได้สำเร็จ ซึ่งเป็นธรรมดาของ “ป่าใหญ่ย่อมไม่อาจมีแต่ไม้ใหญ่เพียงต้นเดียว หากต้องมีทั้งไม้ขนาดใหญ่ ไม้ขนาดกลาง ไม้ขนาดเล็ก ไม้พื้นดิน และไม้พันธุ์ที่มีหัวอยู่ในดิน”
ถึงกระนั้นหากจะเทียบกับซุนเซ็กและเล่าปี่แล้ว ต้องนับว่าโจโฉได้ก้าวไปไกลกว่ากันมาก เพราะในขณะนี้เล่าปี่ยังคงเป็นเพียงเจ้าเมืองเพงง้วนก๋วน ซึ่งเป็นหัวเมืองชั้นจัตวา ขึ้นต่อบังคับของเมืองปักเป๋งที่มีกองซุนจ้านเป็นเจ้าเมือง มีกำลังพลอยู่ในมือเพียงไม่กี่หมื่นคน และมีทหารเอกก็เพียงกวนอูและเตียวหุยเท่านั้น ทั้งยังอยู่ห่างจากอำนาจรัฐจนไกลโพ้น
ฝ่ายซุนเซ็กนั้นเล่า แม้ว่าได้สืบทอดอำนาจจากซุนเกี๋ยนผู้บิดาขึ้นเป็นที่เจ้าเมืองเตียงสาแล้ว และแม้ว่าเมืองเตียงสาจะเป็นศูนย์กลางของแคว้นกังตั๋ง ดินแดนทางภาคใต้ของแม่น้ำแยงซีมีหัวเมืองเอก โท ตรี จัตวา ในสังกัดถึงแปดสิบเอ็ดหัวเมืองก็จริงอยู่ แต่ความสัมพันธ์ระหว่างหัวเมืองเหล่านั้นก็ยังคงอยู่ในลักษณะที่เมืองเตียงสาเป็นเพียงศูนย์กลางในระบบราชการปกติของรัฐบาลกลางเท่านั้น ไม่ได้มีอำนาจบังคับบัญชาเหมือนกับเมืองที่ขึ้นต่อโดยตรง
กำลังทหารของเมืองเตียงสาก็มีอยู่ไม่กี่หมื่นคน ส่วนทหารเอกก็มีเพียงอุยกาย เทียเภา และฮันต๋ง สามสหายร่วมรบของซุนเกี๋ยนเท่านั้น
แต่ซุนเซ็กมีข้อได้เปรียบเล่าปี่ตรงที่ดินแดนภาคใต้ของแม่น้ำแยงซีมีความสงบสันติ ราษฎรรักการทำมาค้าขาย ซึ่งเป็นรากฐานของการพัฒนา และเป็นรากฐานของความเป็นปึกแผ่นในวันข้างหน้า ทั้งหัวเมืองต่างๆ ในภาคใต้ไม่ได้มีความขัดแย้งถึงขนาดจะต้องทำสงครามแก่กัน หากมีข้อพิพาทกันบ้างก็แก้ไขกันภายใต้ระบบราชการ หรือมิฉะนั้นก็แก้ไขกันเองโดยวิถีทางทำนองการค้าขาย
ผิดกันกับโจโฉซึ่งอยู่ทางภาคตะวันออกฝั่งเหนือของแม่น้ำแยงซี ดินแดนในภาคเหนือเป็นดินแดนที่มีขุนศึกอยู่เป็นจำนวนมาก เช่น ม้าเท้ง หันซุย อ้วนเสี้ยว อ้วนสุด หรือกองซุนจ้านเป็นต้น พวกขุนศึกในภาคเหนือล้วนเป็นผู้ใฝ่ในอำนาจ ต่างแก่งแย่งแข่งขันชิงดีแย่งอำนาจซึ่งกันและกัน มีข้อพิพาทกันแต่เพียงเล็กน้อยก็ใช้สงครามเป็นเครื่องมือตัดสิน แม้ยามสงบก็พยายามขยายเขตอำนาจทำสงครามแก่กัน พฤติกรรมเช่นนี้ยังคงสืบทอดตลอดมาแม้กระทั่งทุกวันนี้
ดังนั้นระหว่างโจโฉ เล่าปี่และซุนเซ็กในวันนี้จึงเห็นได้ชัดว่าโจโฉได้สร้างฐานอำนาจทางทหารที่เข้มแข็งเติบใหญ่ที่สุด ในขณะที่เล่าปี่และซุนเซ็กยังคงมีกำลังทหารไม่มากนัก แต่เมื่อประมวลด้านความเป็นปึกแผ่นของดินแดนที่เกี่ยวข้องแล้วก็ต้องนับว่าซุนเซ็กมีความเหนือกว่าเล่าปี่อยู่มาก
แต่ทว่าโจโฉนั้นมีความมักใหญ่ใฝ่สูง คิดตั้งตัวเป็นใหญ่ตั้งแต่ยังเด็ก ครั้นสถานการณ์เป็นใจให้เติบใหญ่ขึ้นในภาคตะวันออก โจโฉจึงอาศัยโอกาสนี้ก่อร่างตั้งตัวเป็นรูปร่างที่ชัดเจนขึ้น
ครั้นโจโฉได้รับพระบรมราชโองการโปรดเกล้าแต่งตั้งให้เป็นแม่ทัพใหญ่ภาคตะวันออกแล้วก็มีความยินดียิ่งนัก ด้วยเห็นว่านี่คือโอกาสอันยิ่งใหญ่ที่สวรรค์ได้ประทานให้แล้ว จึงรีบเคลื่อนกองทัพไปตั้งอยู่ ณ เมืองกุนจิ๋ว ซึ่งเป็นเมืองยุทธศาสตร์ของดินแดนภาคตะวันออก
โจโฉเคยอยู่เมืองหลวงมาก่อน มีความใกล้ชิดกับอำนาจรัฐ ได้รู้เห็นการช่วงชิงอำนาจรัฐ การใช้อำนาจรัฐ และการรักษาอำนาจรัฐ ตั้งแต่ครั้งยุครัฐบาลของโฮจิ๋นมาจนถึงตอนต้นยุครัฐบาลของตั๋งโต๊ะ ดังนั้นโจโฉจึงได้เรียนรู้ทั้งข้อเด่น ข้อด้อย ข้อดี และข้อเสียของรัฐบาลดังกล่าวว่าปมเงื่อนของความสำเร็จหรือความล้มเหลวอยู่ที่คน
เนื่องเพราะการงานทั้งปวงกระทำโดยคน คนจึงเป็นผู้ก่อให้เกิดทั้งความสำเร็จและความล้มเหลว เป็นผู้ก่อให้เกิดความสามัคคีสมานฉันท์ หรือความแตกสามัคคี และยังเป็นผู้ก่อให้เกิดความศรัทธาเชื่อมั่นหรือความเคียดแค้นชิงชัง
โจโฉได้เรียนรู้ว่าเหล่านี้คือวิถีแห่งการก่อร่างตั้งตัว ดังนั้นเมื่อโอกาสเปิดให้แก่การก่อร่างตั้งตัวแล้ว โจโฉจึงมุ่งเน้นในเรื่องของคนเป็นสำคัญ มุ่งมั่นรักษาคนดีมีฝีมือและกำลังพลที่มีอยู่แต่เดิมให้แน่นแฟ้นยิ่งขึ้น ควบคู่ไปกับการแสวงหาคนดีมีสติปัญญาใหม่ ๆ เข้ามาร่วมงาน แล้วมอบหมายการงานที่เหมาะสมแก่แต่ละคนอย่างชัดเจน
โจโฉตั้งทัพที่เมืองกุนจิ๋วแล้ว ตระหนักดีว่าปัจจัยสำคัญแห่งการตั้งตัวเป็นใหญ่นั้นยังคงขาดอยู่คือคณะที่ปรึกษาที่เป็นมันสมองในกิจการด้านต่าง ๆ ดังนั้นกิจกรรมแรกสุดที่โจโฉให้ความสำคัญและเร่งรีบดำเนินการคือทุ่มเทความพยายามอย่างเต็มที่ในการแสวงหาคนดีมีสติปัญญามาเป็นที่ปรึกษา
เพื่อหาสิ่งที่ยังขาดอยู่ให้เต็มบริบูรณ์ โจโฉจึงให้ป่าวประกาศรับสมัครคนดีมีสติปัญญาในทุก ๆ ด้านเข้ามารับราชการในกองทัพภาคตะวันออก กระแสข่าวการรับคนดีมีสติปัญญาของโจโฉในครั้งนี้ได้แพร่ขยายไปทั่วภาคตะวันออกและดินแดนใกล้เคียง
ฝ่ายซุนฮก ซุนสิว สองอาหลานซึ่งรับราชการอยู่กับอ้วนเสี้ยวแต่ไม่เคยได้รับความสนใจให้ความสำคัญหรือเห็นคุณค่า ดังนั้นจึงปรึกษากันแล้วเห็นว่าขืนอยู่กับอ้วนเสี้ยวต่อไปก็ไร้ประโยชน์ จึงพากันไปสมัครเข้ากับโจโฉ โจโฉได้สนทนาสัมภาษณ์แล้วเห็นว่าเป็นคนมีสติปัญญาวาจาหลักแหลมจึงรับไว้ในราชการ แต่งตั้งให้เป็นที่ปรึกษา
เมื่อซุนฮกเป็นที่ปรึกษาแล้วได้เสนอโจโฉว่ามีชาวเมืองตงกุ๋นคนหนึ่งชื่อ เทียหยก เป็นคนมีสติปัญญาความสามารถหลายสถาน ขอให้เชิญมาเป็นที่ปรึกษา โจโฉได้ยินชื่อเทียหยก จึงว่าเราได้ยินกิตติศัพท์คนผู้นี้มานานนักหนาแล้วแต่ไม่รู้จักตัว
ดังนั้นโจโฉจึงให้ทหารไปสืบเสาะหาตัวเทียหยกจนพบ แล้วเชิญมารับราชการด้วย เทียหยกก็รับคำเชิญมารับราชการด้วยโจโฉอีกคนหนึ่ง โจโฉแต่งตั้งให้เป็นที่ปรึกษา
เทียหยกรู้ดีว่าตัวได้เข้ารับราชการด้วยโจโฉเพราะการแนะนำของซุนฮก จึงเคารพนับถือซุนฮกเป็นหัวหน้า แล้วเสนอแก่ซุนฮกว่าคนบ้านเดียวกันกับซุนฮกผู้หนึ่งชื่อกุยแกเป็นคนหนุ่มแต่มีสติปัญญามากกว่าใคร สมควรที่จะเชิญมาทำราชการด้วย ซุนฮกได้ยินชื่อกุยแกก็ดีใจ ระลึกถึงกุยแกได้ จึงไปเสนอโจโฉให้เชิญกุยแกเป็นที่ปรึกษาอีกคนหนึ่ง โจโฉมีความยินดียิ่งนัก แล้วให้เชิญกุยแกมาเป็นที่ปรึกษาอีกคนหนึ่ง
กุยแกมาเป็นที่ปรึกษาแล้วก็แนะนำโจโฉให้เชิญผู้มีสติปัญญาความสามารถอีกสี่คนคือ เล่าหัว, บวนทง, ลิเกียน และมอกายมาเป็นที่ปรึกษา โจโฉก็เชิญทั้งสี่คนมาเป็นที่ปรึกษาตามคำของกุยแก
ในขณะนั้นหัวหน้าโจรชื่ออิกิ๋ม ได้ยินกิตติศัพท์การรับสมัครบุคลากรของโจโฉจึงพาพรรคพวกมาเข้าด้วยกับโจโฉ โจโฉได้แต่งตั้งให้อิกิ๋มเป็นทหารเอก แล้วรับเอาพรรคพวกของอิกิ๋มเป็นทหาร
ช่วงนั้นชาวเมืองตันลิวอีกคนหนึ่งชื่อเตียนอุย มีรูปร่างใหญ่ กำลังกล้าแข็ง เคยอยู่กับเจ้าเมืองตันลิวมาก่อน แต่เกิดวิวาทฆ่าทหารเมืองตันลิวตายหลายคนจึงหนีไปอยู่ป่า ไปพบเข้ากับเสือโคร่งก็ตีเสือโคร่งตาย แฮหัวตุ้นไปพบเข้าจึงพามาทำราชการด้วยโจโฉ
โจโฉเห็นบุคลิกเตียนอุยแล้วเป็นที่ประหลาดนักก็ให้แสดงฝีมือให้ชม เตียนอุยจึงขี่ม้าถือทวนประจำตัว เป็นทวนคู่หนักเล่มละแปดสิบชั่ง ร่ายรำเพลงทวนให้โจโฉดูอย่างแคล่วคล่องว่องไว โจโฉมีความพอใจเป็นอันมากจึงตั้งให้เป็นทหารองครักษ์ประจำตัว พอดีขณะนั้นเกิดพายุใหญ่พัดมาต้องธงชัยประจำกองทัพที่ปักอยู่หน้าค่ายล้มลง ทหารเกือบสามสิบคนวิ่งเข้าไปจะยกให้ตั้งตรงแต่หาเขยื้อนไม่ เตียนอุยเห็นดังนั้นจึงรีบเข้าไปยกธงชัยนั้นตั้งตรงได้ดังเดิม โจโฉมีความพอใจเป็นอันมากจึงมอบเสื้อเกราะอย่างดีเป็นรางวัลแก่เตียนอุย
ดังนั้นในขณะนี้กองทัพของโจโฉจึงประกอบด้วยบุคคลครบครันทั้งฝ่ายบุ๋นและฝ่ายบู๊ โดยฝ่ายบุ๋นนั้นประกอบด้วยคณะที่ปรึกษาครบแทบทุกด้านถึงแปดคนคือ ซุนฮก, ซุนฮิว,เทียหยก, กุยแก, เล่าหัว, บวนทง, ลิเกียน และมอกาย ในบรรดาทั้งแปดคนนี้ต้องนับว่ากุยแกเป็นผู้มีสติปัญญารอบรู้การสงคราม การเมือง และการปกครองมากที่สุด
ในฝ่ายบู๊ โจโฉได้ทหารเอกเพิ่มเติมอีกสองคนคืออิกิ๋มและเตียนอุย โดยเฉพาะเตียนอุยนั้นได้รับความไว้วางใจเชื่อถือจากโจโฉมากถึงขนาดแต่งตั้งให้เป็นองครักษ์ประจำตัว
นี่คือวิถีการก่อร่างตั้งตัวของโจโฉ ซึ่งบัดนี้พร้อมแล้วที่จะเป็นหนึ่งในสามก๊ก.
โจโฉได้รีบปรับปรุงกองทัพ จัดสังกัดให้โจรโพกผ้าเหลืองที่ยอมเข้าสวามิภักดิ์ที่มีจำนวนถึงห้าหมื่นให้เป็นกองทัพหน้า และจัดให้ทหารที่มีมาแต่เดิมเป็นกองทัพหลวง แล้วยกไปปราบปรามโจรโพกผ้าเหลืองที่ยังคงตั้งฐานที่มั่นอยู่อีกหลายแห่งในภาคตะวันออก
โจโฉใช้เวลาเกือบสามเดือนก็สามารถปราบปรามโจรโพกผ้าเหลืองทางภาคตะวันออกได้อย่างราบคาบ ได้เกลี้ยกล่อมให้โจรโพกผ้าเหลืองจำนวนมากเข้าสวามิภักดิ์และรับเข้าเป็นทหารในกองทัพ
ส่วนบรรดาราษฎรในเขตยึดครองของโจรโพกผ้าเหลืองนับล้านคนนั้น ถ้าชายฉกรรจ์คนใดยอมเข้าสวามิภักดิ์และสมัครเข้าเป็นทหาร โจโฉก็จะรับเข้าไว้ในกองทัพ ส่วนที่ต้องการทำมาหากินตามปกติก็อนุญาตให้ทำมาหากินได้ตามเดิม
เมื่อโจโฉได้ทหารใหม่จากโจรโพกผ้าเหลืองและบรรดาชายฉกรรจ์ที่เต็มใจเข้ารับราชการทหารด้วย จึงทำให้กองทัพของโจโฉขยายตัวเติบใหญ่มีกำลังพลเพิ่มขึ้นรวมกับของเดิมแล้วมีจำนวนถึงสามสิบหมื่น และได้ปรับปรุงกองทัพใหม่อีกครั้งหนึ่ง โดยกำลังพลที่มีมาแต่เดิมเป็นกองทัพหนึ่ง และกำลังพลใหม่ให้จัดตั้งเป็นอีกกองทัพหนึ่งเรียกว่า “กองทัพเมืองเชียงจิ๋ว” เพื่อเป็นการเอาใจและผูกใจกลุ่มโจรโพกผ้าเหลืองที่เข้าสวามิภักดิ์ใหม่นั้น
เสร็จจากการปราบโจรโพกผ้าเหลืองทางภาคตะวันออกแล้ว โจโฉจึงให้ปลงทัพไว้ที่ชายแดนเมืองเจปัก และทำรายงานการศึกกราบบังคมทูลพระเจ้าเหี้ยนเต้ทรงทราบ แล้วส่งเข้าเมืองหลวง
ฝ่ายลิฉุย กุยกี ครั้นได้รับรายงานการศึกจากโจโฉแล้ว จึงเข้าเฝ้าพระเจ้าเหี้ยนเต้นำความขึ้นกราบบังคมทูลให้ทรงทราบ พระเจ้าเหี้ยนเต้ทราบความศึกตามคำกราบบังคมทูลแล้วจึงตรัสว่า การศึกครั้งนี้โจโฉทำความชอบมาก และโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งให้โจโฉเป็นแม่ทัพใหญ่ภาคตะวันออก
ลิฉุย กุยกี ไม่ทันคิดและไม่เฉลียวใจว่าเหตุใดพระเจ้าเหี้ยนเต้จึงมีพระบรมราชโองการตั้งโจโฉด้วยพระองค์เอง ซึ่งถ้าว่าโดยปกตินับแต่ลิฉุย กุยกี ได้ยึดอำนาจการปกครองมาจากอ้องอุ้นแล้ว จะเป็นฝ่ายที่เสนอแต่งตั้งข้าราชการและขุนนางต่าง ๆ ไม่มีสักครั้งเดียวที่พระเจ้าเหี้ยนเต้จะแต่งตั้งด้วยพระองค์เอง
แต่กระนั้นลิฉุย กุยกี ก็ยอมรับพระบรมราชโองการดังกล่าว และทำเป็นพระราชโองการแต่งตั้งโจโฉตามรับสั่ง แล้วส่งพระบรมราชโองการนั้นแก่โจโฉ
โจโฉในวันนี้จึงนับว่าพ้นจากข้อหากบฏจากกรณีที่เข้าร่วมกับกองทัพปฏิวัติและกลายเป็นแม่ทัพใหญ่ภาคตะวันออก ซึ่งมีกำลังทหารอยู่ในมือถึงสามสิบหมื่น นับเป็นการขยายฐานกำลังอำนาจทางทหารครั้งสำคัญและครั้งใหญ่ของโจโฉ
กองทัพสามสิบหมื่นของโจโฉในวันนี้ยังมีแม่ทัพนายกองระดับทหารเอกอยู่ถึงหกคนคือแฮหัวตุ้น, แฮหัวเอี๋ยน, โจหยิน, โจหอง, ลิเตียน และงักจิ้น ดังนั้นกองทัพของโจโฉจึงเป็นกองทัพที่พร้อมรบ ทั้งโดยวิธีต่อสู้กันด้วยฝีมือทหารเอก หรือด้วยกำลังทหาร ยังคงขาดอยู่ก็แต่เพียงนักยุทธศาสตร์ที่สามารถวางแผนการยุทธ์ในเชิงกลอุบายหรือเชิงกลพยุหะ และการใช้พลังจักรวาล และยังคงขาดอยู่สำหรับด้านการเมือง การปกครอง และการทูต
ตัวโจโฉเองนั้นแม้จะเชี่ยวชาญทางพิชัยสงคราม และมีประสบการณ์ทางด้านการบริหารการปกครองมาก่อน แต่โจโฉก็รู้ดีว่าลำพังตัวคนเดียวนั้นย่อมไม่อาจทำการใหญ่ได้สำเร็จ ซึ่งเป็นธรรมดาของ “ป่าใหญ่ย่อมไม่อาจมีแต่ไม้ใหญ่เพียงต้นเดียว หากต้องมีทั้งไม้ขนาดใหญ่ ไม้ขนาดกลาง ไม้ขนาดเล็ก ไม้พื้นดิน และไม้พันธุ์ที่มีหัวอยู่ในดิน”
ถึงกระนั้นหากจะเทียบกับซุนเซ็กและเล่าปี่แล้ว ต้องนับว่าโจโฉได้ก้าวไปไกลกว่ากันมาก เพราะในขณะนี้เล่าปี่ยังคงเป็นเพียงเจ้าเมืองเพงง้วนก๋วน ซึ่งเป็นหัวเมืองชั้นจัตวา ขึ้นต่อบังคับของเมืองปักเป๋งที่มีกองซุนจ้านเป็นเจ้าเมือง มีกำลังพลอยู่ในมือเพียงไม่กี่หมื่นคน และมีทหารเอกก็เพียงกวนอูและเตียวหุยเท่านั้น ทั้งยังอยู่ห่างจากอำนาจรัฐจนไกลโพ้น
ฝ่ายซุนเซ็กนั้นเล่า แม้ว่าได้สืบทอดอำนาจจากซุนเกี๋ยนผู้บิดาขึ้นเป็นที่เจ้าเมืองเตียงสาแล้ว และแม้ว่าเมืองเตียงสาจะเป็นศูนย์กลางของแคว้นกังตั๋ง ดินแดนทางภาคใต้ของแม่น้ำแยงซีมีหัวเมืองเอก โท ตรี จัตวา ในสังกัดถึงแปดสิบเอ็ดหัวเมืองก็จริงอยู่ แต่ความสัมพันธ์ระหว่างหัวเมืองเหล่านั้นก็ยังคงอยู่ในลักษณะที่เมืองเตียงสาเป็นเพียงศูนย์กลางในระบบราชการปกติของรัฐบาลกลางเท่านั้น ไม่ได้มีอำนาจบังคับบัญชาเหมือนกับเมืองที่ขึ้นต่อโดยตรง
กำลังทหารของเมืองเตียงสาก็มีอยู่ไม่กี่หมื่นคน ส่วนทหารเอกก็มีเพียงอุยกาย เทียเภา และฮันต๋ง สามสหายร่วมรบของซุนเกี๋ยนเท่านั้น
แต่ซุนเซ็กมีข้อได้เปรียบเล่าปี่ตรงที่ดินแดนภาคใต้ของแม่น้ำแยงซีมีความสงบสันติ ราษฎรรักการทำมาค้าขาย ซึ่งเป็นรากฐานของการพัฒนา และเป็นรากฐานของความเป็นปึกแผ่นในวันข้างหน้า ทั้งหัวเมืองต่างๆ ในภาคใต้ไม่ได้มีความขัดแย้งถึงขนาดจะต้องทำสงครามแก่กัน หากมีข้อพิพาทกันบ้างก็แก้ไขกันภายใต้ระบบราชการ หรือมิฉะนั้นก็แก้ไขกันเองโดยวิถีทางทำนองการค้าขาย
ผิดกันกับโจโฉซึ่งอยู่ทางภาคตะวันออกฝั่งเหนือของแม่น้ำแยงซี ดินแดนในภาคเหนือเป็นดินแดนที่มีขุนศึกอยู่เป็นจำนวนมาก เช่น ม้าเท้ง หันซุย อ้วนเสี้ยว อ้วนสุด หรือกองซุนจ้านเป็นต้น พวกขุนศึกในภาคเหนือล้วนเป็นผู้ใฝ่ในอำนาจ ต่างแก่งแย่งแข่งขันชิงดีแย่งอำนาจซึ่งกันและกัน มีข้อพิพาทกันแต่เพียงเล็กน้อยก็ใช้สงครามเป็นเครื่องมือตัดสิน แม้ยามสงบก็พยายามขยายเขตอำนาจทำสงครามแก่กัน พฤติกรรมเช่นนี้ยังคงสืบทอดตลอดมาแม้กระทั่งทุกวันนี้
ดังนั้นระหว่างโจโฉ เล่าปี่และซุนเซ็กในวันนี้จึงเห็นได้ชัดว่าโจโฉได้สร้างฐานอำนาจทางทหารที่เข้มแข็งเติบใหญ่ที่สุด ในขณะที่เล่าปี่และซุนเซ็กยังคงมีกำลังทหารไม่มากนัก แต่เมื่อประมวลด้านความเป็นปึกแผ่นของดินแดนที่เกี่ยวข้องแล้วก็ต้องนับว่าซุนเซ็กมีความเหนือกว่าเล่าปี่อยู่มาก
แต่ทว่าโจโฉนั้นมีความมักใหญ่ใฝ่สูง คิดตั้งตัวเป็นใหญ่ตั้งแต่ยังเด็ก ครั้นสถานการณ์เป็นใจให้เติบใหญ่ขึ้นในภาคตะวันออก โจโฉจึงอาศัยโอกาสนี้ก่อร่างตั้งตัวเป็นรูปร่างที่ชัดเจนขึ้น
ครั้นโจโฉได้รับพระบรมราชโองการโปรดเกล้าแต่งตั้งให้เป็นแม่ทัพใหญ่ภาคตะวันออกแล้วก็มีความยินดียิ่งนัก ด้วยเห็นว่านี่คือโอกาสอันยิ่งใหญ่ที่สวรรค์ได้ประทานให้แล้ว จึงรีบเคลื่อนกองทัพไปตั้งอยู่ ณ เมืองกุนจิ๋ว ซึ่งเป็นเมืองยุทธศาสตร์ของดินแดนภาคตะวันออก
โจโฉเคยอยู่เมืองหลวงมาก่อน มีความใกล้ชิดกับอำนาจรัฐ ได้รู้เห็นการช่วงชิงอำนาจรัฐ การใช้อำนาจรัฐ และการรักษาอำนาจรัฐ ตั้งแต่ครั้งยุครัฐบาลของโฮจิ๋นมาจนถึงตอนต้นยุครัฐบาลของตั๋งโต๊ะ ดังนั้นโจโฉจึงได้เรียนรู้ทั้งข้อเด่น ข้อด้อย ข้อดี และข้อเสียของรัฐบาลดังกล่าวว่าปมเงื่อนของความสำเร็จหรือความล้มเหลวอยู่ที่คน
เนื่องเพราะการงานทั้งปวงกระทำโดยคน คนจึงเป็นผู้ก่อให้เกิดทั้งความสำเร็จและความล้มเหลว เป็นผู้ก่อให้เกิดความสามัคคีสมานฉันท์ หรือความแตกสามัคคี และยังเป็นผู้ก่อให้เกิดความศรัทธาเชื่อมั่นหรือความเคียดแค้นชิงชัง
โจโฉได้เรียนรู้ว่าเหล่านี้คือวิถีแห่งการก่อร่างตั้งตัว ดังนั้นเมื่อโอกาสเปิดให้แก่การก่อร่างตั้งตัวแล้ว โจโฉจึงมุ่งเน้นในเรื่องของคนเป็นสำคัญ มุ่งมั่นรักษาคนดีมีฝีมือและกำลังพลที่มีอยู่แต่เดิมให้แน่นแฟ้นยิ่งขึ้น ควบคู่ไปกับการแสวงหาคนดีมีสติปัญญาใหม่ ๆ เข้ามาร่วมงาน แล้วมอบหมายการงานที่เหมาะสมแก่แต่ละคนอย่างชัดเจน
โจโฉตั้งทัพที่เมืองกุนจิ๋วแล้ว ตระหนักดีว่าปัจจัยสำคัญแห่งการตั้งตัวเป็นใหญ่นั้นยังคงขาดอยู่คือคณะที่ปรึกษาที่เป็นมันสมองในกิจการด้านต่าง ๆ ดังนั้นกิจกรรมแรกสุดที่โจโฉให้ความสำคัญและเร่งรีบดำเนินการคือทุ่มเทความพยายามอย่างเต็มที่ในการแสวงหาคนดีมีสติปัญญามาเป็นที่ปรึกษา
เพื่อหาสิ่งที่ยังขาดอยู่ให้เต็มบริบูรณ์ โจโฉจึงให้ป่าวประกาศรับสมัครคนดีมีสติปัญญาในทุก ๆ ด้านเข้ามารับราชการในกองทัพภาคตะวันออก กระแสข่าวการรับคนดีมีสติปัญญาของโจโฉในครั้งนี้ได้แพร่ขยายไปทั่วภาคตะวันออกและดินแดนใกล้เคียง
ฝ่ายซุนฮก ซุนสิว สองอาหลานซึ่งรับราชการอยู่กับอ้วนเสี้ยวแต่ไม่เคยได้รับความสนใจให้ความสำคัญหรือเห็นคุณค่า ดังนั้นจึงปรึกษากันแล้วเห็นว่าขืนอยู่กับอ้วนเสี้ยวต่อไปก็ไร้ประโยชน์ จึงพากันไปสมัครเข้ากับโจโฉ โจโฉได้สนทนาสัมภาษณ์แล้วเห็นว่าเป็นคนมีสติปัญญาวาจาหลักแหลมจึงรับไว้ในราชการ แต่งตั้งให้เป็นที่ปรึกษา
เมื่อซุนฮกเป็นที่ปรึกษาแล้วได้เสนอโจโฉว่ามีชาวเมืองตงกุ๋นคนหนึ่งชื่อ เทียหยก เป็นคนมีสติปัญญาความสามารถหลายสถาน ขอให้เชิญมาเป็นที่ปรึกษา โจโฉได้ยินชื่อเทียหยก จึงว่าเราได้ยินกิตติศัพท์คนผู้นี้มานานนักหนาแล้วแต่ไม่รู้จักตัว
ดังนั้นโจโฉจึงให้ทหารไปสืบเสาะหาตัวเทียหยกจนพบ แล้วเชิญมารับราชการด้วย เทียหยกก็รับคำเชิญมารับราชการด้วยโจโฉอีกคนหนึ่ง โจโฉแต่งตั้งให้เป็นที่ปรึกษา
เทียหยกรู้ดีว่าตัวได้เข้ารับราชการด้วยโจโฉเพราะการแนะนำของซุนฮก จึงเคารพนับถือซุนฮกเป็นหัวหน้า แล้วเสนอแก่ซุนฮกว่าคนบ้านเดียวกันกับซุนฮกผู้หนึ่งชื่อกุยแกเป็นคนหนุ่มแต่มีสติปัญญามากกว่าใคร สมควรที่จะเชิญมาทำราชการด้วย ซุนฮกได้ยินชื่อกุยแกก็ดีใจ ระลึกถึงกุยแกได้ จึงไปเสนอโจโฉให้เชิญกุยแกเป็นที่ปรึกษาอีกคนหนึ่ง โจโฉมีความยินดียิ่งนัก แล้วให้เชิญกุยแกมาเป็นที่ปรึกษาอีกคนหนึ่ง
กุยแกมาเป็นที่ปรึกษาแล้วก็แนะนำโจโฉให้เชิญผู้มีสติปัญญาความสามารถอีกสี่คนคือ เล่าหัว, บวนทง, ลิเกียน และมอกายมาเป็นที่ปรึกษา โจโฉก็เชิญทั้งสี่คนมาเป็นที่ปรึกษาตามคำของกุยแก
ในขณะนั้นหัวหน้าโจรชื่ออิกิ๋ม ได้ยินกิตติศัพท์การรับสมัครบุคลากรของโจโฉจึงพาพรรคพวกมาเข้าด้วยกับโจโฉ โจโฉได้แต่งตั้งให้อิกิ๋มเป็นทหารเอก แล้วรับเอาพรรคพวกของอิกิ๋มเป็นทหาร
ช่วงนั้นชาวเมืองตันลิวอีกคนหนึ่งชื่อเตียนอุย มีรูปร่างใหญ่ กำลังกล้าแข็ง เคยอยู่กับเจ้าเมืองตันลิวมาก่อน แต่เกิดวิวาทฆ่าทหารเมืองตันลิวตายหลายคนจึงหนีไปอยู่ป่า ไปพบเข้ากับเสือโคร่งก็ตีเสือโคร่งตาย แฮหัวตุ้นไปพบเข้าจึงพามาทำราชการด้วยโจโฉ
โจโฉเห็นบุคลิกเตียนอุยแล้วเป็นที่ประหลาดนักก็ให้แสดงฝีมือให้ชม เตียนอุยจึงขี่ม้าถือทวนประจำตัว เป็นทวนคู่หนักเล่มละแปดสิบชั่ง ร่ายรำเพลงทวนให้โจโฉดูอย่างแคล่วคล่องว่องไว โจโฉมีความพอใจเป็นอันมากจึงตั้งให้เป็นทหารองครักษ์ประจำตัว พอดีขณะนั้นเกิดพายุใหญ่พัดมาต้องธงชัยประจำกองทัพที่ปักอยู่หน้าค่ายล้มลง ทหารเกือบสามสิบคนวิ่งเข้าไปจะยกให้ตั้งตรงแต่หาเขยื้อนไม่ เตียนอุยเห็นดังนั้นจึงรีบเข้าไปยกธงชัยนั้นตั้งตรงได้ดังเดิม โจโฉมีความพอใจเป็นอันมากจึงมอบเสื้อเกราะอย่างดีเป็นรางวัลแก่เตียนอุย
ดังนั้นในขณะนี้กองทัพของโจโฉจึงประกอบด้วยบุคคลครบครันทั้งฝ่ายบุ๋นและฝ่ายบู๊ โดยฝ่ายบุ๋นนั้นประกอบด้วยคณะที่ปรึกษาครบแทบทุกด้านถึงแปดคนคือ ซุนฮก, ซุนฮิว,เทียหยก, กุยแก, เล่าหัว, บวนทง, ลิเกียน และมอกาย ในบรรดาทั้งแปดคนนี้ต้องนับว่ากุยแกเป็นผู้มีสติปัญญารอบรู้การสงคราม การเมือง และการปกครองมากที่สุด
ในฝ่ายบู๊ โจโฉได้ทหารเอกเพิ่มเติมอีกสองคนคืออิกิ๋มและเตียนอุย โดยเฉพาะเตียนอุยนั้นได้รับความไว้วางใจเชื่อถือจากโจโฉมากถึงขนาดแต่งตั้งให้เป็นองครักษ์ประจำตัว
นี่คือวิถีการก่อร่างตั้งตัวของโจโฉ ซึ่งบัดนี้พร้อมแล้วที่จะเป็นหนึ่งในสามก๊ก.