ตอนที่ 569. ยอดกลยุทธ์หน้าด้าน
สุมาอี้ทำกลอุบายทำทีจะยกไปตีค่ายใหญ่ของขงเบ้งที่เขากิสาน เพื่อให้ขงเบ้งส่งทหารไปป้องกันรักษาค่ายใหญ่ แล้วยกกองทัพวกจะไปเผาทำลายเสบียงของขงเบ้งที่หุบเขาน้ำเต้า โดยหารู้ไม่ว่าการทำกลอุบายเช่นนั้นก็คือการตกเข้าไปในกลของขงเบ้ง เพราะแท้จริงในหุบเขาน้ำเต้าไม่ใช่คลังเสบียง หากเป็นหุบเขาเพลิงที่เตรียมการไว้เผาสุมาอี้โดยเฉพาะ แต่สวรรค์บันดาลให้ฝนตก เพลิงดับไปสิ้น
สุมาอี้รู้ตัวว่ารอดตายก็ดีใจจนตะลึงพรึงเพริด รีบพาบุตรทั้งสองคนขึ้นม้าควบย้อนกลับไปทางปากทาง ซึ่งทหารวุยก๊กยังคงออกันอยู่ด้วยความตื่นตระหนกตกใจ เตียวฮองและงักหลิมซึ่งเป็นกองหลังเห็นแสงเพลิงลุกขึ้นในหุบเขาน้ำเต้า จึงเร่งยกกองทัพมาช่วยและรับเอาสุมาอี้ออกจากปากหุบเขา
ฝ่ายม้าต้ายซึ่งตั้งซุ่มคุมเชิงอยู่ในป่าปากทางหุบเขาน้ำเต้า เห็นกองทัพวุยก๊กยกมาเป็นอันมาก ก็คิดเกรงว่าหากยกเข้าตีก็จะเสียทีแก่ข้าศึกเพราะมีทหารน้อยกว่า จึงพาทหารยกกลับไปค่าย
ครั้นสุมาอี้และ ทหารวุยก๊กยกกลับไปใกล้ค่าย ก็เห็นค่ายทางฝั่งทิศใต้ของแม่น้ำอุยโหประดับประดาด้วยธงของจ๊กก๊ก และมีทหารของขงเบ้งเป็นจำนวนมากป้องกันรักษาค่ายไว้อย่างเข้มแข็ง คงเหลือแต่ค่ายฝั่งข้างทิศเหนือที่ยังสามารถรักษาไว้ได้ สุมาอี้ก็รู้ว่าไม่ เพียงแต่ต้องกลของขงเบ้งแทบถูกเพลิงคลอกตายเท่านั้น ยังถูกขงเบ้งคิดกลตลบหลังให้ทหารยกมายึดเอาค่ายในขณะที่ข้างในค่ายมีทหารแต่ เบาบางอีกด้วย
ในขณะที่สุมาอี้และทหารกำลังตกตะลึงที่เสียค่ายฝั่งทิศใต้ให้แก่ขงเบ้ง ทหารจ๊กก๊กที่ยึดค่ายฝั่งทิศใต้ไว้ได้ก็พากันยกออกมาโจมตีทหารของสุมาอี้ อย่างรวดเร็ว สุมาอี้และทหารกำลังขวัญเสียและไม่มีขวัญสู้รบ ครั้นถูกจู่โจมโดยไม่ทันตั้งตัวก็พากันแตกหนี สุมาอี้ได้นำทหารตีฝ่าไปทางปลายน้ำของแม่น้ำอุยโห ทหารจ๊กก๊กก็ไล่ตามตีต่อไป พบกับโกฉุยและซุนเล้ซึ่งกำลังพาทหารแตกหนีมาเช่นเดียวกัน จึงพากันยกไปทางปลายน้ำเพื่อหาทางข้ามแม่น้ำไปยังฝั่งข้างทิศเหนือ
ทหารจ๊กก๊กไล่ตามตีกองทัพสุมาอี้ไปเป็นระยะทางสองร้อยเส้น เห็นไกลออกมาจากค่ายแล้วจึงพากันล่าถอยกลับไปค่ายดังเก่า
สุ มาอี้พาทหารไปทางปลายน้ำไกลออกไปถึงเจ็ดร้อยเส้น จึงพาทหารข้ามแม่น้ำไปยังฝั่งทิศเหนือ แล้วยกย้อนกลับมายังค่ายด้านเหนือแม่น้ำอุยโห
ฝ่ายกองทัพหน้าของสุมาอี้ที่ยกไปตีค่ายใหญ่ของขงเบ้งที่ตำบลเขากิสานนั้น เมื่อยกไปถึงค่ายใหญ่ก็เห็นทหารจ๊กก๊กเตรียมพร้อมป้องกันระมัดระวังรักษา ค่ายอย่างเข้มแข็งจึงหยุดยั้งไม่กล้าเข้าตี ครั้นได้ทราบว่ากองทัพหลวงของสุมาอี้ที่ยกไปปล้นเสบียงที่หุบเขาน้ำเต้าพ่าย แพ้เสียทีแก่ข้าศึก และค่ายฝั่งทิศใต้ของแม่น้ำอุยโหก็เสียแก่ขงเบ้งสิ้นแล้วก็พากันตกใจเสีย ขวัญ เกิดความวุ่นวายแตกตื่นทั่วทั้งกองทัพหน้า จึงพากันล่าถอยทัพ
ในทันใดนั้นทหารในค่ายใหญ่ตำบลเขากิสานก็พากันกรูไล่ตามตีเข้าไปอย่างรวด เร็ว ทหารของสุมาอี้กำลังล่าถอย ไม่สามารถตั้งตัวต่อสู้กับข้าศึกได้ทัน ต่างคนคิดแต่จะหนีเอาตัวรอด จึงถูกทหารจ๊กก๊กฆ่าฟันบาดเจ็บล้มตายลงเป็นจำนวนมาก สามก๊กฉบับภาษาจีนระบุว่า กองทัพหน้าของสุมาอี้ถูกทหารจ๊กก๊กสังหารถึงแปดในเก้าส่วน พวกที่เหลือตาย พากันหนีข้ามแม่น้ำอุยโหไปยังฝั่งข้างทิศเหนือสมทบกับทหารของสุมาอี้
ฝ่าย ขงเบ้งยืนสังเกตการณ์อยู่บนเนินเขา ครั้นเห็นอุยเอี๋ยนล่อสุมาอี้ล่วงปากหุบเขาน้ำเต้าเข้าไปแล้ว ขงเบ้งก็ถอนหายใจอย่างโล่งอก พลางรำพึงว่า “ครั้งนี้สุมาอี้จะตายอยู่ในเพลิงเป็นมั่นคงแล้ว”
ครั้นขงเบ้งเห็นแสงเพลิงลุกโชนแดงฉานทาบท้องฟ้าเหนือหุบเขาน้ำเต้า ก็ยิ่งมั่นใจว่าแผนการอุบายที่คิดการไว้เป็นอย่างดีนั้นจะผลาญเผาสุมาอี้ให้ เหลือแต่เถ้าถ่าน สุมาอี้ตายแล้วซึ่งจะคิดอ่านปราบปรามวุยก๊กให้ราบคาบก็จะง่ายดายนัก ขงเบ้งจึงมีความยินดีเป็นอันมาก แต่พอแหงนหน้ามองขึ้นไปบนฟ้าขงเบ้งก็ต้องตกตะลึงเพราะเห็นเมฆดำทะมึนลอยมาปก คลุมเหนือหุบเขาน้ำเต้าอย่างไร้ร่องรอย เมื่อได้ยินเสียงอุสนีบาตและเห็นฝนตกราวกับฟ้ารั่ว แล้วสุมาอี้หนีออกมาจากปากหุบเขาได้ ขงเบ้งก็ทรุดตัวลงนั่งกับโขดหินอย่างท้อแท้
ขงเบ้ง รำพันด้วยน้ำเสียงที่แผ่วเบาประหนึ่งพูดตัดพ้อต่อว่ากับเทพเจ้าบนสรวงสวรรค์ ว่า แผนการอุบายเราเอาชีวิตสุมาอี้ได้อยู่แล้ว แต่สวรรค์ท่านไร้ความยุติธรรม ค้ำจุนโจรชั่วกบฏต่อแผ่นดิน จากนั้นขงเบ้งจึงรำพึงกับตัวว่า สติปัญญาของมนุษย์แม้เลิศล้ำลึกซึ้งปานไหน ก็ไม่อาจพลิกผันลิขิตสวรรค์ไปได้เลย
สามก๊กฉบับเจ้าพระยาพระคลัง (หน) ระบุความตอนนี้ว่า “ครั้น ฝนตกลงมาสุมาอี้รอดออกไปจากหุบเขา ขงเบ้งจึงทอดใจใหญ่แล้วว่า ธรรมดาคนทั้งปวงจะทำสิ่งใดก็ย่อมสำเร็จด้วยความคิด แม้การไม่ตลอดก็เพราะผู้นั้นมีกรรมอยู่”
ขงเบ้งลุกขึ้นยืนส่ายศีรษะไปมาอยู่ครู่หนึ่ง หน้าก็จ้องขึ้นไปบนฟ้าประหนึ่งจะต่อว่าเทพยดาเบื้องบน ครู่หนึ่งขงเบ้งก็ถอนหายใจลึก แล้วสั่งทหารให้ถอนกำลังกลับไปค่าย
ฝ่ายสุมาอี้เมื่อกลับไปถึงค่ายฝั่งทิศเหนือของแม่น้ำอุยโหแล้วให้รู้สึก ประหวั่นพรั่นพรึงที่ชีวิตสามพ่อลูกหวุดหวิดจะตายในกองเพลิง แล้วกลับรอดมาได้อย่างปาฏิหาริย์ ทั้งรู้สึกเสียใจที่ไพร่พลทหารบาดเจ็บล้มตายเป็นอันมาก สุมาอี้เห็นทหารเหลืออยู่แต่น้อย ไม่อาจทำสงครามเชิงรุกได้อีกต่อไป จึงให้ออกประกาศคำสั่งสนามไปยังทหารทุกกองว่า “แม้เห็นทหารขงเบ้งยกมาก็อย่าให้ออกรบพุ่ง จงรักษาค่ายไว้ให้มั่นคง ถ้าผู้ใดมิฟังออกสู้รบ เราก็จะให้ตัดศีรษะเสีย”
ฝ่ายขงเบ้งครั้นกลับไปถึงค่ายใหญ่ที่เขากิสานแล้ว ได้สั่งให้กองทัพหน้ายกข้ามแม่น้ำอุยโหไปตามสะพานลอยที่ทหารของสุมาอี้ได้ทำ ไว้ แล้วยกไปตั้งค่ายอยู่ฝั่งทิศเหนือของแม่น้ำอุยโหอีกสองค่าย ให้ทหารใช้สะพานลอยข้ามแม่น้ำไปมาเชื่อมโยงถึงกัน คอยหนุนช่วยกันและกัน เตรียมที่จะรุกเข้าตีค่ายสุมาอี้ต่อไป
ครั้นตั้งค่ายฝั่งเหนือของแม่น้ำอุยโหได้แล้ว ขงเบ้งจึงให้ทหารยกไปท้าสุมาอี้ที่หน้าค่ายของทหารวุยก๊ก ให้ยกทหารออกมารบกันเป็นหลายครั้งหลายหน
ฝ่ายโกฉุยและซุนเล้เห็นทหารจ๊กก๊กมาท้ารบและด่าว่าท้าทายเป็นหยาบช้าก็โกรธ ครั้งแรก ๆ สามารถระงับโทสะเอาไว้ได้ด้วยเกรงคำสั่งของสุมาอี้ที่ไม่ให้ยกออกไปรบ ครั้นหลายหนเข้าโกฉุยและซุนเล้ก็ทนไม่ได้ ทั้งบรรดาแม่ทัพนายกองทั้งปวงพากันโกรธแค้นทหารจ๊กก๊ก ใคร่จะยกออกไปรบกับทหารขงเบ้งอยู่ทุกตัวคน แม่ทัพ นายกองเหล่านั้นได้รุมเร้าชักชวนโกฉุยและซุนเล้ให้ยกออกไปรบกับทหารของ ขงเบ้ง
โกฉุยและซุนเล้จึงพาแม่ทัพนายกองทั้งปวงเข้าไปหาสุมาอี้ที่ค่ายหลวง ขออนุญาตยกทหารออกไปรบกับทหารจ๊กก๊ก แต่สุมาอี้กลับส่ายศีรษะแล้วกล่าวว่า “ให้รักษาค่ายไว้จงมั่นคงเถิด อย่าออกรบพุ่งเลย”
โก ฉุย ซุนเล้ และแม่ทัพนายกองทั้งปวงจึงต้องพากันส่ายศีรษะกลับออกมาด้วยความผิดหวัง และพากันนึกดูหมิ่นสุมาอี้ว่าไม่สมควรที่จะเป็นแม่ทัพ เกรงกลัวขงเบ้งจนกลายเป็นคนสิ้นคิดยิ่งกว่าหนูกลัวแมวเสียอีก
ฝ่ายขงเบ้งให้ทหารออกไปท้าสุมาอี้ให้ยกออกมารบพุ่งเป็นหลายครั้งหลายหน ไม่เห็นสุมาอี้ยกทหารออกมารบ ก็คิดเยาะเย้ยให้สุมาอี้โกรธและได้อายแก่คนทั้งปวง “จึงให้เอาผ้าซับในกางเกงหญิงนั้นมาใส่หีบลง กับหนังสือซึ่งแต่งฉบับหนึ่ง” แล้วสั่งทหารให้เอาไปมอบแก่สุมาอี้
สุมาอี้ทราบรายงานจากทหารรักษาการณ์ว่าขงเบ้งให้ทหารนำสิ่งของมามอบก็รู้สึก ประหลาดใจ จึงให้รับทหารของขงเบ้งเข้าไปในค่าย ทหารนั้นก็เอาหีบและหนังสือมอบแก่ สุมาอี้ตามคำสั่งของขงเบ้ง สุมาอี้รับเอาของทั้งสองสิ่งแล้วก็บอกให้ทหารของขงเบ้งรออยู่ก่อน คิดว่ามีการใดจะโต้ตอบก็จะได้ฝากไปกับทหารของขงเบ้งนั้น
ครั้นสุมาอี้เปิดหีบเห็นของข้างในสีหน้าก็แดงก่ำ แล้วฉีกซองซึ่งผนึกหนังสือขงเบ้ง ออกอ่าน ปรากฏความว่า “สุ มาอี้เป็นขุนนางผู้ใหญ่ในเมืองลกเอี๋ยง ยกกองทัพออกมาจะทำสงครามด้วยเรา เหตุใดจึงนิ่งอยู่ในค่ายช้านาน มิได้ออกรบพุ่งให้รู้จักฝีมือแลความคิดกันไว้ อันธรรมดาเป็นชาติทหารแล้วมิได้ออกจากค่ายฉะนี้ ก็เหมือนหนึ่งผ้าซับในกางเกงของหญิงซึ่งเราให้ไปนั้น แลเราทำการมาให้ทั้งนี้หวังจะให้สุมาอี้อัปยศแก่ทหารทั้งปวง จะได้มีมานะออกรบพุ่งด้วยเรา”
สุมาอี้ตั้งแต่แรกเปิดหีบเห็นสิ่งของที่ขงเบ้งส่งมามอบก็โกรธจนหน้าแดง ยิ่งได้อ่านหนังสือของขงเบ้งก็ยิ่งแค้นเคือง ชำเลืองตามองบรรดาแม่ทัพนายกองที่อยู่พร้อมหน้ากัน ในใจก็รู้สึกอัปยศอดสูเป็นที่ยิ่ง พลันได้คิดว่าซึ่งขงเบ้งทำการทั้งนี้หมายให้เราได้อัปยศแก่ผู้คนทั้งปวง แล้วจะยกทหารออกไปรบพุ่งก็จะต้องด้วยกลของขงเบ้ง กระนั้นเลยจำจะทำในสิ่งที่ตรงกันข้ามกับความปรารถนาของขงเบ้ง ไม่ให้กลของขงเบ้งบรรลุผลในครั้งนี้
สุมา อี้แม้เห็นบรรดาแม่ทัพนายกองพากันโกรธแค้นจนตัวสั่นก็ทำเป็นไม่สนใจ เงยหน้ามองเพดานแล้วหัวเราะดังลั่น พลันหยิบเอาซับในกางเกงสตรีออกมาชูให้แม่ทัพนายกองทั้งปวงดู แล้วหยิบเอากางเกงสตรีที่ใส่มาพร้อมกันในหีบนั้นมานุ่งเดินหัวเราะร่วนไปมา พลางกล่าวว่าเมื่อขงเบ้งมีน้ำใจมอบของทั้งนี้ให้แก่เรา เราก็ต้องสนองน้ำใจของขงเบ้ง กล่าวแล้วก็ยิ่งหัวเราะเดินไปเดินมาอีกหลายรอบ
แม่ทัพนายกองทั้งปวงเห็นสุมาอี้ในลักษณาการดังนั้นก็รู้สึกละอายใจ และอัปยศ อดสูที่ผู้เป็นแม่ทัพมีอาการประหนึ่งคนบ้า ไม่รักหน้าตาศักดิ์ศรีแม่ทัพใหญ่ของวุยก๊กแม้แต่น้อย แม่ทัพนายกองหลายคนอดรนทนไม่ได้จึงเดินกลับออกไปนอกค่าย คงเหลืออยู่ข้างในเพียงไม่กี่คน
สุมาอี้ เห็นดังนั้นจึงหันมากล่าวกับทหารของขงเบ้งว่า เจ้ามีน้ำใจเอาสิ่งของมามอบแก่เรา เราจะเลี้ยงดูเจ้าสักมื้อหนึ่ง ว่าแล้วก็สั่งให้ทหารแต่งโต๊ะเลี้ยงสุราทหารของขงเบ้ง และให้ทหารเบิกเสื้อผ้ามามอบแก่ทหารของขงเบ้งเป็นบำเหน็จความชอบ
ระหว่างกินโต๊ะเสพสุรา สุมาอี้แสร้งถามทหารของขงเบ้งว่า “ทุกวันนี้ขงเบ้งยกมาทำการศึก ยังกินนอนปรกติอยู่หรือ ประการหนึ่งให้กำชับตรวจตราทแกล้วทหารพร้อมมูลอยู่หรือประการใด”
ทหาร ของขงเบ้งไม่ทันความคิดของสุมาอี้ จึงกล่าวตอบความไปตามจริงว่าขงเบ้งแต่ไหนแต่ไรมาเอาใจใส่กิจการทั้งปวงของ กองทัพอย่างละเอียดถี่ถ้วน ไม่เป็นอันกินอันนอน งานเล็กงานน้อยขงเบ้งจะต้องตรวจตรากำชับกำกับด้วยตนเองทั้งสิ้น กว่าจะเข้านอนก็เป็นเวลาล่วงสองยาม แล้วตื่นแต่เช้าตรู่ก่อนไก่ขัน ยามกินก็กินได้ไม่กี่คำก็ต้องวางมือจากชามข้าว ไปสั่งการเรื่องต่าง ๆ มากหลาย บางทีก็ลุกออกไปตรวจตราค่ายต่าง ๆ จนใกล้สว่างจึงจะกลับมาหลับนอน
สุมาอี้ได้ยินดังนั้นจึงกล่าวว่า ขงเบ้งแบกภาระทั้งกองทัพด้วยตัวคนเดียวดังนี้ ย่อมจะมีความทุกข์ตรมหมองไหม้อยู่ในใจ ไหนเลยจะทนทานอยู่ได้นาน เห็นอายุขงเบ้งจะไม่ยืนยาวสืบไปเป็นแน่แท้ ตัวเรานี้ให้วิตกว่าหากขงเบ้งตายเสียแล้ว ซึ่งจะทำสงครามสืบไปก็ไม่เห็นผู้ใดในแผ่นดินเมืองเสฉวนที่จะยกมารบพุ่งให้ สนุกมือเหมือนขงเบ้งนี้เลย
ความจริงอุบาย ของขงเบ้งซึ่งหวังจะยั่วยุสุมาอี้ให้ได้ความอัปยศนั้นเป็นกลอุบายอย่างเดียว กันกับที่เคยทำให้จิวยี่รากเลือดถึงแก่ความตาย ทำให้โจจิ๋นตรอมใจตาย แต่กลับใช้ไม่ได้ผลกับสุมาอี้ เหตุทั้งนี้เนื่องเพราะทั้งจิวยี่และโจจิ๋นมากด้วยน้ำใจมานะ ยึดมั่นถือมั่นในความเป็นตัวตน เทิดทูนเกียรติศักดิ์หน้าตายิ่งกว่าสิ่งอื่นใด ครั้นถูกกลอุบายปรามาสเหยียบย่ำเยาะเย้ยของขงเบ้งจึงไม่อาจทนทานรักษาชีวิต เอาไว้ได้ ส่วนสุมาอี้นั้นเป็นผู้ที่มากด้วยเล่ห์ ชาญฉลาดในกลอุบายทั้งปวง แต่ความรู้ความชำนาญจัดจ้านเชิงอุบายก็หาได้สำคัญเท่ากับสุดยอดวิชาหนึ่ง ซึ่งสุมาอี้มีไม่ นั่นคือสุดยอดวิชาหน้าด้าน ยอมทนด้านหน้าให้ผู้ใต้บังคับบัญชาทั้งปวงดูหมิ่นเหยียดหยาม แต่ไม่ยอมหลงเข้าไปในกลของขงเบ้งจนต้องพ่ายแพ้เสียทีซ้ำอีก ความสามารถในการข่มใจชนิดนี้ถือเป็นตบะชนิดหนึ่งที่จะเผาผลาญกลอุบายซึ่ง กระทำมาให้กลายเป็นผุยผงได้ คนจำนวนมากรู้ทั้งรู้แต่ก็ยังทำความผิดพลาด ก็เพราะไม่สามารถข่มใจ ไม่สามารถทำหน้าด้านเหมือนกับสุมาอี้นี้ได้ เหตุนี้จึงมีภาษิตโบราณว่าคนดีไม่น่ากลัว คนชั่วก็ไม่น่ากลัว แต่ที่น่ากลัวมากที่สุดก็คือคนหน้าด้านดังสุมาอี้นี้แล้ว.
สุมาอี้รู้ตัวว่ารอดตายก็ดีใจจนตะลึงพรึงเพริด รีบพาบุตรทั้งสองคนขึ้นม้าควบย้อนกลับไปทางปากทาง ซึ่งทหารวุยก๊กยังคงออกันอยู่ด้วยความตื่นตระหนกตกใจ เตียวฮองและงักหลิมซึ่งเป็นกองหลังเห็นแสงเพลิงลุกขึ้นในหุบเขาน้ำเต้า จึงเร่งยกกองทัพมาช่วยและรับเอาสุมาอี้ออกจากปากหุบเขา
ฝ่ายม้าต้ายซึ่งตั้งซุ่มคุมเชิงอยู่ในป่าปากทางหุบเขาน้ำเต้า เห็นกองทัพวุยก๊กยกมาเป็นอันมาก ก็คิดเกรงว่าหากยกเข้าตีก็จะเสียทีแก่ข้าศึกเพราะมีทหารน้อยกว่า จึงพาทหารยกกลับไปค่าย
ครั้นสุมาอี้และ ทหารวุยก๊กยกกลับไปใกล้ค่าย ก็เห็นค่ายทางฝั่งทิศใต้ของแม่น้ำอุยโหประดับประดาด้วยธงของจ๊กก๊ก และมีทหารของขงเบ้งเป็นจำนวนมากป้องกันรักษาค่ายไว้อย่างเข้มแข็ง คงเหลือแต่ค่ายฝั่งข้างทิศเหนือที่ยังสามารถรักษาไว้ได้ สุมาอี้ก็รู้ว่าไม่ เพียงแต่ต้องกลของขงเบ้งแทบถูกเพลิงคลอกตายเท่านั้น ยังถูกขงเบ้งคิดกลตลบหลังให้ทหารยกมายึดเอาค่ายในขณะที่ข้างในค่ายมีทหารแต่ เบาบางอีกด้วย
ในขณะที่สุมาอี้และทหารกำลังตกตะลึงที่เสียค่ายฝั่งทิศใต้ให้แก่ขงเบ้ง ทหารจ๊กก๊กที่ยึดค่ายฝั่งทิศใต้ไว้ได้ก็พากันยกออกมาโจมตีทหารของสุมาอี้ อย่างรวดเร็ว สุมาอี้และทหารกำลังขวัญเสียและไม่มีขวัญสู้รบ ครั้นถูกจู่โจมโดยไม่ทันตั้งตัวก็พากันแตกหนี สุมาอี้ได้นำทหารตีฝ่าไปทางปลายน้ำของแม่น้ำอุยโห ทหารจ๊กก๊กก็ไล่ตามตีต่อไป พบกับโกฉุยและซุนเล้ซึ่งกำลังพาทหารแตกหนีมาเช่นเดียวกัน จึงพากันยกไปทางปลายน้ำเพื่อหาทางข้ามแม่น้ำไปยังฝั่งข้างทิศเหนือ
ทหารจ๊กก๊กไล่ตามตีกองทัพสุมาอี้ไปเป็นระยะทางสองร้อยเส้น เห็นไกลออกมาจากค่ายแล้วจึงพากันล่าถอยกลับไปค่ายดังเก่า
สุ มาอี้พาทหารไปทางปลายน้ำไกลออกไปถึงเจ็ดร้อยเส้น จึงพาทหารข้ามแม่น้ำไปยังฝั่งทิศเหนือ แล้วยกย้อนกลับมายังค่ายด้านเหนือแม่น้ำอุยโห
ฝ่ายกองทัพหน้าของสุมาอี้ที่ยกไปตีค่ายใหญ่ของขงเบ้งที่ตำบลเขากิสานนั้น เมื่อยกไปถึงค่ายใหญ่ก็เห็นทหารจ๊กก๊กเตรียมพร้อมป้องกันระมัดระวังรักษา ค่ายอย่างเข้มแข็งจึงหยุดยั้งไม่กล้าเข้าตี ครั้นได้ทราบว่ากองทัพหลวงของสุมาอี้ที่ยกไปปล้นเสบียงที่หุบเขาน้ำเต้าพ่าย แพ้เสียทีแก่ข้าศึก และค่ายฝั่งทิศใต้ของแม่น้ำอุยโหก็เสียแก่ขงเบ้งสิ้นแล้วก็พากันตกใจเสีย ขวัญ เกิดความวุ่นวายแตกตื่นทั่วทั้งกองทัพหน้า จึงพากันล่าถอยทัพ
ในทันใดนั้นทหารในค่ายใหญ่ตำบลเขากิสานก็พากันกรูไล่ตามตีเข้าไปอย่างรวด เร็ว ทหารของสุมาอี้กำลังล่าถอย ไม่สามารถตั้งตัวต่อสู้กับข้าศึกได้ทัน ต่างคนคิดแต่จะหนีเอาตัวรอด จึงถูกทหารจ๊กก๊กฆ่าฟันบาดเจ็บล้มตายลงเป็นจำนวนมาก สามก๊กฉบับภาษาจีนระบุว่า กองทัพหน้าของสุมาอี้ถูกทหารจ๊กก๊กสังหารถึงแปดในเก้าส่วน พวกที่เหลือตาย พากันหนีข้ามแม่น้ำอุยโหไปยังฝั่งข้างทิศเหนือสมทบกับทหารของสุมาอี้
ฝ่าย ขงเบ้งยืนสังเกตการณ์อยู่บนเนินเขา ครั้นเห็นอุยเอี๋ยนล่อสุมาอี้ล่วงปากหุบเขาน้ำเต้าเข้าไปแล้ว ขงเบ้งก็ถอนหายใจอย่างโล่งอก พลางรำพึงว่า “ครั้งนี้สุมาอี้จะตายอยู่ในเพลิงเป็นมั่นคงแล้ว”
ครั้นขงเบ้งเห็นแสงเพลิงลุกโชนแดงฉานทาบท้องฟ้าเหนือหุบเขาน้ำเต้า ก็ยิ่งมั่นใจว่าแผนการอุบายที่คิดการไว้เป็นอย่างดีนั้นจะผลาญเผาสุมาอี้ให้ เหลือแต่เถ้าถ่าน สุมาอี้ตายแล้วซึ่งจะคิดอ่านปราบปรามวุยก๊กให้ราบคาบก็จะง่ายดายนัก ขงเบ้งจึงมีความยินดีเป็นอันมาก แต่พอแหงนหน้ามองขึ้นไปบนฟ้าขงเบ้งก็ต้องตกตะลึงเพราะเห็นเมฆดำทะมึนลอยมาปก คลุมเหนือหุบเขาน้ำเต้าอย่างไร้ร่องรอย เมื่อได้ยินเสียงอุสนีบาตและเห็นฝนตกราวกับฟ้ารั่ว แล้วสุมาอี้หนีออกมาจากปากหุบเขาได้ ขงเบ้งก็ทรุดตัวลงนั่งกับโขดหินอย่างท้อแท้
ขงเบ้ง รำพันด้วยน้ำเสียงที่แผ่วเบาประหนึ่งพูดตัดพ้อต่อว่ากับเทพเจ้าบนสรวงสวรรค์ ว่า แผนการอุบายเราเอาชีวิตสุมาอี้ได้อยู่แล้ว แต่สวรรค์ท่านไร้ความยุติธรรม ค้ำจุนโจรชั่วกบฏต่อแผ่นดิน จากนั้นขงเบ้งจึงรำพึงกับตัวว่า สติปัญญาของมนุษย์แม้เลิศล้ำลึกซึ้งปานไหน ก็ไม่อาจพลิกผันลิขิตสวรรค์ไปได้เลย
สามก๊กฉบับเจ้าพระยาพระคลัง (หน) ระบุความตอนนี้ว่า “ครั้น ฝนตกลงมาสุมาอี้รอดออกไปจากหุบเขา ขงเบ้งจึงทอดใจใหญ่แล้วว่า ธรรมดาคนทั้งปวงจะทำสิ่งใดก็ย่อมสำเร็จด้วยความคิด แม้การไม่ตลอดก็เพราะผู้นั้นมีกรรมอยู่”
ขงเบ้งลุกขึ้นยืนส่ายศีรษะไปมาอยู่ครู่หนึ่ง หน้าก็จ้องขึ้นไปบนฟ้าประหนึ่งจะต่อว่าเทพยดาเบื้องบน ครู่หนึ่งขงเบ้งก็ถอนหายใจลึก แล้วสั่งทหารให้ถอนกำลังกลับไปค่าย
ฝ่ายสุมาอี้เมื่อกลับไปถึงค่ายฝั่งทิศเหนือของแม่น้ำอุยโหแล้วให้รู้สึก ประหวั่นพรั่นพรึงที่ชีวิตสามพ่อลูกหวุดหวิดจะตายในกองเพลิง แล้วกลับรอดมาได้อย่างปาฏิหาริย์ ทั้งรู้สึกเสียใจที่ไพร่พลทหารบาดเจ็บล้มตายเป็นอันมาก สุมาอี้เห็นทหารเหลืออยู่แต่น้อย ไม่อาจทำสงครามเชิงรุกได้อีกต่อไป จึงให้ออกประกาศคำสั่งสนามไปยังทหารทุกกองว่า “แม้เห็นทหารขงเบ้งยกมาก็อย่าให้ออกรบพุ่ง จงรักษาค่ายไว้ให้มั่นคง ถ้าผู้ใดมิฟังออกสู้รบ เราก็จะให้ตัดศีรษะเสีย”
ฝ่ายขงเบ้งครั้นกลับไปถึงค่ายใหญ่ที่เขากิสานแล้ว ได้สั่งให้กองทัพหน้ายกข้ามแม่น้ำอุยโหไปตามสะพานลอยที่ทหารของสุมาอี้ได้ทำ ไว้ แล้วยกไปตั้งค่ายอยู่ฝั่งทิศเหนือของแม่น้ำอุยโหอีกสองค่าย ให้ทหารใช้สะพานลอยข้ามแม่น้ำไปมาเชื่อมโยงถึงกัน คอยหนุนช่วยกันและกัน เตรียมที่จะรุกเข้าตีค่ายสุมาอี้ต่อไป
ครั้นตั้งค่ายฝั่งเหนือของแม่น้ำอุยโหได้แล้ว ขงเบ้งจึงให้ทหารยกไปท้าสุมาอี้ที่หน้าค่ายของทหารวุยก๊ก ให้ยกทหารออกมารบกันเป็นหลายครั้งหลายหน
ฝ่ายโกฉุยและซุนเล้เห็นทหารจ๊กก๊กมาท้ารบและด่าว่าท้าทายเป็นหยาบช้าก็โกรธ ครั้งแรก ๆ สามารถระงับโทสะเอาไว้ได้ด้วยเกรงคำสั่งของสุมาอี้ที่ไม่ให้ยกออกไปรบ ครั้นหลายหนเข้าโกฉุยและซุนเล้ก็ทนไม่ได้ ทั้งบรรดาแม่ทัพนายกองทั้งปวงพากันโกรธแค้นทหารจ๊กก๊ก ใคร่จะยกออกไปรบกับทหารขงเบ้งอยู่ทุกตัวคน แม่ทัพ นายกองเหล่านั้นได้รุมเร้าชักชวนโกฉุยและซุนเล้ให้ยกออกไปรบกับทหารของ ขงเบ้ง
โกฉุยและซุนเล้จึงพาแม่ทัพนายกองทั้งปวงเข้าไปหาสุมาอี้ที่ค่ายหลวง ขออนุญาตยกทหารออกไปรบกับทหารจ๊กก๊ก แต่สุมาอี้กลับส่ายศีรษะแล้วกล่าวว่า “ให้รักษาค่ายไว้จงมั่นคงเถิด อย่าออกรบพุ่งเลย”
โก ฉุย ซุนเล้ และแม่ทัพนายกองทั้งปวงจึงต้องพากันส่ายศีรษะกลับออกมาด้วยความผิดหวัง และพากันนึกดูหมิ่นสุมาอี้ว่าไม่สมควรที่จะเป็นแม่ทัพ เกรงกลัวขงเบ้งจนกลายเป็นคนสิ้นคิดยิ่งกว่าหนูกลัวแมวเสียอีก
ฝ่ายขงเบ้งให้ทหารออกไปท้าสุมาอี้ให้ยกออกมารบพุ่งเป็นหลายครั้งหลายหน ไม่เห็นสุมาอี้ยกทหารออกมารบ ก็คิดเยาะเย้ยให้สุมาอี้โกรธและได้อายแก่คนทั้งปวง “จึงให้เอาผ้าซับในกางเกงหญิงนั้นมาใส่หีบลง กับหนังสือซึ่งแต่งฉบับหนึ่ง” แล้วสั่งทหารให้เอาไปมอบแก่สุมาอี้
สุมาอี้ทราบรายงานจากทหารรักษาการณ์ว่าขงเบ้งให้ทหารนำสิ่งของมามอบก็รู้สึก ประหลาดใจ จึงให้รับทหารของขงเบ้งเข้าไปในค่าย ทหารนั้นก็เอาหีบและหนังสือมอบแก่ สุมาอี้ตามคำสั่งของขงเบ้ง สุมาอี้รับเอาของทั้งสองสิ่งแล้วก็บอกให้ทหารของขงเบ้งรออยู่ก่อน คิดว่ามีการใดจะโต้ตอบก็จะได้ฝากไปกับทหารของขงเบ้งนั้น
ครั้นสุมาอี้เปิดหีบเห็นของข้างในสีหน้าก็แดงก่ำ แล้วฉีกซองซึ่งผนึกหนังสือขงเบ้ง ออกอ่าน ปรากฏความว่า “สุ มาอี้เป็นขุนนางผู้ใหญ่ในเมืองลกเอี๋ยง ยกกองทัพออกมาจะทำสงครามด้วยเรา เหตุใดจึงนิ่งอยู่ในค่ายช้านาน มิได้ออกรบพุ่งให้รู้จักฝีมือแลความคิดกันไว้ อันธรรมดาเป็นชาติทหารแล้วมิได้ออกจากค่ายฉะนี้ ก็เหมือนหนึ่งผ้าซับในกางเกงของหญิงซึ่งเราให้ไปนั้น แลเราทำการมาให้ทั้งนี้หวังจะให้สุมาอี้อัปยศแก่ทหารทั้งปวง จะได้มีมานะออกรบพุ่งด้วยเรา”
สุมาอี้ตั้งแต่แรกเปิดหีบเห็นสิ่งของที่ขงเบ้งส่งมามอบก็โกรธจนหน้าแดง ยิ่งได้อ่านหนังสือของขงเบ้งก็ยิ่งแค้นเคือง ชำเลืองตามองบรรดาแม่ทัพนายกองที่อยู่พร้อมหน้ากัน ในใจก็รู้สึกอัปยศอดสูเป็นที่ยิ่ง พลันได้คิดว่าซึ่งขงเบ้งทำการทั้งนี้หมายให้เราได้อัปยศแก่ผู้คนทั้งปวง แล้วจะยกทหารออกไปรบพุ่งก็จะต้องด้วยกลของขงเบ้ง กระนั้นเลยจำจะทำในสิ่งที่ตรงกันข้ามกับความปรารถนาของขงเบ้ง ไม่ให้กลของขงเบ้งบรรลุผลในครั้งนี้
สุมา อี้แม้เห็นบรรดาแม่ทัพนายกองพากันโกรธแค้นจนตัวสั่นก็ทำเป็นไม่สนใจ เงยหน้ามองเพดานแล้วหัวเราะดังลั่น พลันหยิบเอาซับในกางเกงสตรีออกมาชูให้แม่ทัพนายกองทั้งปวงดู แล้วหยิบเอากางเกงสตรีที่ใส่มาพร้อมกันในหีบนั้นมานุ่งเดินหัวเราะร่วนไปมา พลางกล่าวว่าเมื่อขงเบ้งมีน้ำใจมอบของทั้งนี้ให้แก่เรา เราก็ต้องสนองน้ำใจของขงเบ้ง กล่าวแล้วก็ยิ่งหัวเราะเดินไปเดินมาอีกหลายรอบ
แม่ทัพนายกองทั้งปวงเห็นสุมาอี้ในลักษณาการดังนั้นก็รู้สึกละอายใจ และอัปยศ อดสูที่ผู้เป็นแม่ทัพมีอาการประหนึ่งคนบ้า ไม่รักหน้าตาศักดิ์ศรีแม่ทัพใหญ่ของวุยก๊กแม้แต่น้อย แม่ทัพนายกองหลายคนอดรนทนไม่ได้จึงเดินกลับออกไปนอกค่าย คงเหลืออยู่ข้างในเพียงไม่กี่คน
สุมาอี้ เห็นดังนั้นจึงหันมากล่าวกับทหารของขงเบ้งว่า เจ้ามีน้ำใจเอาสิ่งของมามอบแก่เรา เราจะเลี้ยงดูเจ้าสักมื้อหนึ่ง ว่าแล้วก็สั่งให้ทหารแต่งโต๊ะเลี้ยงสุราทหารของขงเบ้ง และให้ทหารเบิกเสื้อผ้ามามอบแก่ทหารของขงเบ้งเป็นบำเหน็จความชอบ
ระหว่างกินโต๊ะเสพสุรา สุมาอี้แสร้งถามทหารของขงเบ้งว่า “ทุกวันนี้ขงเบ้งยกมาทำการศึก ยังกินนอนปรกติอยู่หรือ ประการหนึ่งให้กำชับตรวจตราทแกล้วทหารพร้อมมูลอยู่หรือประการใด”
ทหาร ของขงเบ้งไม่ทันความคิดของสุมาอี้ จึงกล่าวตอบความไปตามจริงว่าขงเบ้งแต่ไหนแต่ไรมาเอาใจใส่กิจการทั้งปวงของ กองทัพอย่างละเอียดถี่ถ้วน ไม่เป็นอันกินอันนอน งานเล็กงานน้อยขงเบ้งจะต้องตรวจตรากำชับกำกับด้วยตนเองทั้งสิ้น กว่าจะเข้านอนก็เป็นเวลาล่วงสองยาม แล้วตื่นแต่เช้าตรู่ก่อนไก่ขัน ยามกินก็กินได้ไม่กี่คำก็ต้องวางมือจากชามข้าว ไปสั่งการเรื่องต่าง ๆ มากหลาย บางทีก็ลุกออกไปตรวจตราค่ายต่าง ๆ จนใกล้สว่างจึงจะกลับมาหลับนอน
สุมาอี้ได้ยินดังนั้นจึงกล่าวว่า ขงเบ้งแบกภาระทั้งกองทัพด้วยตัวคนเดียวดังนี้ ย่อมจะมีความทุกข์ตรมหมองไหม้อยู่ในใจ ไหนเลยจะทนทานอยู่ได้นาน เห็นอายุขงเบ้งจะไม่ยืนยาวสืบไปเป็นแน่แท้ ตัวเรานี้ให้วิตกว่าหากขงเบ้งตายเสียแล้ว ซึ่งจะทำสงครามสืบไปก็ไม่เห็นผู้ใดในแผ่นดินเมืองเสฉวนที่จะยกมารบพุ่งให้ สนุกมือเหมือนขงเบ้งนี้เลย
ความจริงอุบาย ของขงเบ้งซึ่งหวังจะยั่วยุสุมาอี้ให้ได้ความอัปยศนั้นเป็นกลอุบายอย่างเดียว กันกับที่เคยทำให้จิวยี่รากเลือดถึงแก่ความตาย ทำให้โจจิ๋นตรอมใจตาย แต่กลับใช้ไม่ได้ผลกับสุมาอี้ เหตุทั้งนี้เนื่องเพราะทั้งจิวยี่และโจจิ๋นมากด้วยน้ำใจมานะ ยึดมั่นถือมั่นในความเป็นตัวตน เทิดทูนเกียรติศักดิ์หน้าตายิ่งกว่าสิ่งอื่นใด ครั้นถูกกลอุบายปรามาสเหยียบย่ำเยาะเย้ยของขงเบ้งจึงไม่อาจทนทานรักษาชีวิต เอาไว้ได้ ส่วนสุมาอี้นั้นเป็นผู้ที่มากด้วยเล่ห์ ชาญฉลาดในกลอุบายทั้งปวง แต่ความรู้ความชำนาญจัดจ้านเชิงอุบายก็หาได้สำคัญเท่ากับสุดยอดวิชาหนึ่ง ซึ่งสุมาอี้มีไม่ นั่นคือสุดยอดวิชาหน้าด้าน ยอมทนด้านหน้าให้ผู้ใต้บังคับบัญชาทั้งปวงดูหมิ่นเหยียดหยาม แต่ไม่ยอมหลงเข้าไปในกลของขงเบ้งจนต้องพ่ายแพ้เสียทีซ้ำอีก ความสามารถในการข่มใจชนิดนี้ถือเป็นตบะชนิดหนึ่งที่จะเผาผลาญกลอุบายซึ่ง กระทำมาให้กลายเป็นผุยผงได้ คนจำนวนมากรู้ทั้งรู้แต่ก็ยังทำความผิดพลาด ก็เพราะไม่สามารถข่มใจ ไม่สามารถทำหน้าด้านเหมือนกับสุมาอี้นี้ได้ เหตุนี้จึงมีภาษิตโบราณว่าคนดีไม่น่ากลัว คนชั่วก็ไม่น่ากลัว แต่ที่น่ากลัวมากที่สุดก็คือคนหน้าด้านดังสุมาอี้นี้แล้ว.