ตอนที่ 568. สวรรค์บันดาล

ขงเบ้งคิดอ่านแผนการเผด็จศึกวุยก๊กและคิดกำจัดสุมาอี้เสียก่อน จึงวางกลอุบายอันแยบยลไว้ที่หุบเขาน้ำเต้า แฮหัวโฮและแฮหัวฮุยเห็นกองทัพจ๊กก๊กลำเลียงเสบียงอาหารไปที่หุบเขาน้ำเต้า ไม่ขาดสาย จึงไปรายงานความแก่สุมาอี้และขออาสาไปตีชิงเอาเสบียง สุมาอี้จะทักท้วงห้ามปรามก็ไม่ฟัง ยืนยันขออาสาไปทำการตามความคิดเดิม

            สุมาอี้ขัดไม่ได้จึงกล่าวว่า เมื่อท่านทั้งสองมุ่งมั่นจะอาสาไปทำการให้จงได้เราก็ขอบใจ แต่ให้ระมัดระวังให้จงหนัก มิฉะนั้นอาจพลาดท่าหลงกลของขงเบ้งได้โดยง่าย ให้พวกท่านคุมทหารคนละพัน แยกเข้าตีเป็นสองกอง แม้นยึดเสบียงได้พอสมควรแล้วก็ให้รีบยกกองทัพกลับ

            แฮหัวโฮกับแฮหัวฮุยได้รับอนุญาตจากแม่ทัพใหญ่ดังนั้นก็มีความยินดี คำนับลาสุมาอี้ออกไปจัดแจงทหารแล้วยกไปบรรจบกองทัพกันใกล้เส้นทางลำเลียง เสบียงที่จะไปยังหุบเขาน้ำเต้า

            ทหารจ๊กก๊กเห็นทหารวุยก๊กบุกเข้าจู่โจมก็พากันวิ่งหนีตามคำสั่งของขงเบ้ง ทหารวุยก๊กจึงยึดได้โคกลเกือบร้อยตัว แล้วพากลับไปที่ค่าย และนำความไปรายงานแก่สุมาอี้ทุกประการ

            วันรุ่ง ขึ้นแฮหัวโฮและแฮหัวฮุยก็ยกทหารไปตีชิงเสบียงอีก แต่ครั้งนี้เห็นทหารซึ่งคุมเสบียงร้อยกว่าคนยกออกมาตั้งสกัดขวางทางไว้ แฮหัวโฮและแฮหัวฮุยจึงสั่งทหารให้ปิดล้อมแล้วจับกุมตัวทหารทั้งร้อยคนนั้น กลับไปค่าย และนำความเข้าไปรายงานแก่สุมาอี้

            สุมาอี้ได้ทราบดังนั้นก็มีความยินดีและใคร่จะรู้ความข้างกองทัพของขงเบ้ง จึงสั่งให้เอาเชลยศึกทั้งร้อยคนมาทำการไต่สวนว่าขงเบ้งคิดอ่านจัดแจงกองทัพ ประการใด

            เชลยศึกเหล่านั้นได้ตอบเป็นเสียง เดียวกันว่า ขงเบ้งเห็นท่านไม่ยกออกไปรบพุ่งก็สั่งทหารให้เตรียมการทำสงครามยืดเยื้อ ให้ทหารทำไร่นาร่วมกับชาวเมืองวุยก๊ก แล้วลำเลียงเสบียงอาหารมาซ่องสุมไว้ที่หุบเขาน้ำเต้า

            สุมาอี้ไต่สวนความเป็นที่พอใจแล้วจึงสั่งให้ปล่อยเชลยศึกเหล่านั้นกลับไป แฮหัวโฮเห็นดังนั้นก็สงสัยจึงถามสุมาอี้ว่า ไฉนท่านแม่ทัพจึงให้ปล่อยเชลยศึกเหล่านี้เสียเล่า

            สุมาอี้หัวเราะแล้วตอบว่า “ท่าน หนุ่มแก่ความนักจึงไม่ล่วงรู้ความคิดเรา ซึ่งเราให้ปล่อยทหารขงเบ้งเสียนั้น หวังจะให้เลื่องลือว่าใจเรานี้มิได้พยาบาทแก่ทหารเลว ถึงมาตรว่าทำการศึกก็ คิดเอาแต่นายทัพนายกองซึ่งเป็นตัวการ ซึ่งเราทำทั้งนี้เป็นกลอุบายเหมือนครั้งลิบองรบกวนอู ณ เมืองเกงจิ๋ว ลิบองจับทหารกวนอูได้ก็ให้ปล่อยเสีย”

            แฮหัวโฮได้ยินดังนั้นก็สรรเสริญสุมาอี้ว่ามีแผนการอุบายครองใจเชลยศึกอย่าง ลึกล้ำ นานไปวันข้างหน้าข้างในกองทัพของขงเบ้งคงจะเรรวนปั่นป่วนเป็นมั่นคง

            สุมาอี้ได้ยินคำชมของแฮหัวโฮก็ได้ใจ รีบออกคำสั่งสนามไปยังทุกกองทหารว่านับแต่วันนี้เป็นต้นไป ถ้าหากจับเชลยศึกได้ก็ให้ปล่อยตัวเสียให้สิ้น และสั่งให้ทุกค่ายเตรียมพร้อมป้องกันระวังตัวอย่าได้ประมาท

            วันรุ่งขึ้นแฮหัวโฮก็คุมทหารไปปล้นชิงโคกลเสบียงของขงเบ้งอีก ได้โคกลไปอีกสามสิบตัว และจับเชลยศึกได้อีกห้าสิบคน จึงนำความเข้าไปรายงานแก่สุมาอี้

            สุมาอี้ทราบรายงานแล้วจึงให้คุมตัวเชลยเข้ามาไต่สวนว่าตัวขงเบ้งตั้งค่ายอยู่ที่ค่ายไหน และลำเลียงเสบียงไปที่ไหนบ้าง

            เชลย ศึกทั้งห้าสิบคนตอบเหมือนกันว่าขงเบ้งตั้งค่ายพักอยู่ที่ค่ายเนินเขาเซียม ก๊กในเขตเทือกเขากิสาน และให้สร้างคลังเสบียงใหม่ไว้ในหุบเขาน้ำเต้า ทุกวันจะลำเลียงเสบียงไปเก็บตุนไว้ที่คลังเสบียงใหญ่ในหุบเขาน้ำเต้าทั้ง สิ้น

            สุมาอี้ไต่สวนความเชลยศึกกลุ่มนี้แล้ว เห็นความตรงกันกับเชลยศึกกลุ่มก่อน ก็เชื่อว่าความซึ่งไต่สวนนั้นเป็นความจริง จึงสั่งให้ปล่อยตัวเชลยศึกทั้งห้าสิบคนเสีย แล้วเรียกประชุมแม่ทัพนายกองทั้งปวง

            สุมาอี้ได้ปรารภแก่บรรดาแม่ทัพนายกองทั้งปวงว่า เราดำเนินยุทธวิธีตั้งรับ หวังให้กองทัพขงเบ้งสิ้นเสบียงแล้วเลิกทัพกลับไปเอง แต่ขงเบ้งนี้มีสติปัญญาเป็นอันมาก คิดอ่านแก้ไขปัญหาเสบียงได้แล้ว ยังสร้างความศรัทธารักใคร่กับบรรดาชาวเมืองอีก นานไปเบื้องหน้าหากชาวเมืองเข้าด้วยกองทัพขงเบ้งสิ้นแล้ว วุยก๊กเราก็จะเป็นอันตราย

            กล่าวแล้วสุมาอี้จึงสั่งให้จัดทหารเป็นสองกอง  กองหน้าให้ยกไปตีค่ายใหญ่ของขงเบ้งที่ภูเขากิสาน สุมาอี้จะคุมกองทัพหลังยกหนุนตามไป

            สุมาสูผู้บุตรสุมาอี้ได้ยินคำสั่งสุมาอี้ดังนั้นจึงท้วงว่า ค่ายใหญ่ของขงเบ้งอยู่ทางด้านหลังเขากิสาน ส่วนค่ายที่อยู่บนเนินเขาเซียมก๊กนั้นเป็นค่ายเล็ก และเป็นค่ายส่วนหน้า เหตุไฉนท่านพ่อจึงไม่บุกเข้าโจมตีค่ายเล็กที่เนินเขาเซียมก๊กก่อน แล้วค่อยยกไปตีค่ายใหญ่ที่เขากิสานเล่า หากท่านพ่อยกไปตีค่ายใหญ่ที่ตำบลเขากิสาน ขงเบ้งคุมทหารอยู่ที่เนินเขาเซียมก๊กก็อาจยกหนุนไปช่วยได้ กองทัพเราถูกตีกระหนาบเข้ามาทั้งสองด้าน จะไม่เสียทีแก่ขงเบ้งดอกหรือ

            สุ มาอี้จึงว่าค่ายที่ตำบลเขากิสานนั้นเป็นค่ายใหญ่ตั้งมั่นคง ถ้าหากเรายกกองทัพไปตีค่ายใหญ่แล้ว เห็นขงเบ้งจะพาทหารจากทุกค่ายยกไปช่วยค่ายใหญ่ และหากขงเบ้งยกไปก็จะต้องด้วยกลของเรา เราจะนำกองทัพแยกไปตีเอาคลังเสบียงใหญ่ของขงเบ้งที่หุบเขาน้ำเต้าเสีย แล้วจะให้เผาเสบียงข้าวปลาอาหารของกองทัพขงเบ้งที่คลังเสบียงใหญ่นั้นให้วาย วอด กองทัพของขงเบ้งก็จะสิ้นขวัญกำลังใจเลิกทัพกลับไปเอง

            สุมาสูและแม่ทัพนายกองทั้งปวงได้ยินคำอธิบายของสุมาอี้ชัดเจนว่า ซึ่งจะยกไปตีค่ายใหญ่ที่ตำบลเขากิสานนั้นเป็นแต่เพียงการตีลวง เป็นกลอุบายให้ขงเบ้งระดมทหารยกไปช่วยค่ายใหญ่ แล้วสุมาอี้จะฉวยเอาโอกาสนั้นแยกกองทัพไปทำลายคลังเสบียงใหญ่ของขงเบ้งที่ หุบเขาน้ำเต้าเสียให้วายวอด จึงพากันสรรเสริญความคิดของสุมาอี้ว่าแยบยลล้ำลึกเสมอด้วยเทพยดา

            พอ วันรุ่งขึ้นสุมาอี้จึงจัดแจงกองทัพเป็นสามกอง ให้เตียวฮองและงักหลิมคุมทหารห้าพันเป็นกองคอยระวังหลัง และให้จัดทหารอีกสองหมื่นเป็นกองทัพหน้ายก ล่วงหน้าไปทางค่ายใหญ่ของขงเบ้งที่ตำบลเขากิสานก่อน สุมาอี้คุมทหารอีกห้าหมื่นเป็นกองทัพหลวงยกตามไปแต่ห่าง ๆ

            ฝ่ายขงเบ้งคุมทหารตั้งสังเกตการณ์อยู่บนยอดเขาเป็นเวลาหลายวัน แต่ละวันเห็นทหารสุมาอี้เข้าตีชิงกองเสบียงและจับเชลยศึกไปสมดังแผนการที่ วางไว้ก็มีความยินดี ตั้งตาคอยว่าในที่สุดสุมาอี้จะต้องนำทัพยกออกมาปล้นเอาคลังเสบียงเป็นมั่นคง ครั้นเห็นแต่ไกลลิบ ๆ ว่าสุมาอี้จัดแจงกองทัพยกมา โดยกองทัพหน้ายกล่วงมาก่อนแต่กองทัพหลวงของสุมาอี้ยกตามมาทีหลังห่าง ๆ และเคลื่อนทัพอย่างอ้อยอิ่ง ขงเบ้งก็ยิ่งมีความยินดี แจ้งในความคิดของสุมาอี้ว่าสุมาอี้ทำกลทั้งนี้เพียงเพื่อหวังจะลวง แล้วจะแยกยกทหารไปปล้นคลังเสบียงที่หุบเขาน้ำเต้า

            ขงเบ้งจึงเรียกแม่ทัพนายกองเข้ามาพร้อมกัน แล้วสั่งว่า “ถ้า เห็นกองทัพสุมาอี้ยกไปตีค่ายใหญ่เรา ณ เขากิสาน ท่านทั้งปวงจงลงไปทำเป็นจะไปช่วยป้องกันค่ายใหญ่ แล้วให้แยกวกตลบหลังกลับไปโจมตียึดเอาค่ายสุมาอี้ให้จงได้ ทางหุบเขาน้ำเต้าและค่ายทั้งปวงที่ตำบลเขากิสานนั้น ไว้เป็นธุระเราจัดการเอง”

            แม่ทัพนายกองทั้งปวงได้ฟังคำของขงเบ้งดังนั้น จึงคำนับลาลงไปจัดแจงทหารตามแผนการของขงเบ้งทุกประการ

            ฝ่าย สุมาอี้คุมกองทัพหลวงยกหนุนตามกองทัพหน้ามาห่าง ๆ ครั้นถึงเนินเขาแห่งหนึ่งจึงขี่ม้าขึ้นไปสังเกตการณ์ เห็นกองทัพหน้ายกเข้าไปใกล้อาณาเขตค่ายใหญ่ของขงเบ้งที่ตำบลเขากิสาน และเห็นทหารจากค่ายต่าง ๆ ของขงเบ้งกำลังเคลื่อนพลเป็นกอง ๆ จะไปช่วยป้องกันรักษาค่ายใหญ่ที่ตำบลเขากิสานก็มีความยินดี สั่งให้  กองทัพหลวงเบนทิศทางการเดินทัพตรงไปยังหุบเขาน้ำเต้าในทันที

            สุมาอี้ขี่ม้านำหน้าทหารเร่งรุดจะให้เดินทางไปถึงหุบเขาน้ำเต้าโดยไว ด้วยสำคัญว่าขงเบ้งหลงกลระดมไพร่พลไปป้องกันรักษาค่ายใหญ่ที่ตำบลเขากิสาน แต่พอยกเข้าไปใกล้ปากทางเข้าหุบเขาน้ำเต้า ก็เห็นอุยเอี๋ยนขี่ม้าถือทวนคุมทหารสองร้อยกว่าคนออกมาสกัดขวางทางไว้และรุก โจมตีเข้ามาอย่างรวดเร็ว อุยเอี๋ยนร้องตวาดขึ้นด้วยเสียงอันดังว่า สุมาอี้วันนี้ไม่พ้นมือกูเป็นแน่นอน

            สุมาอี้เห็นอุยเอี๋ยนคุมทหารออกมาสกัดแต่น้อยตัวก็สำคัญว่าอุยเอี๋ยนเป็นแต่ เพียงกองคุ้มกันคลังเสบียง ไหนเลยจะต้านทานกองทัพที่ยกมาได้ ใจหนึ่งก็โกรธอุยเอี๋ยนที่ด่าว่าเป็นหยาบคายแต่แสร้งทำเป็นหัวเราะ แล้วขี่ม้ารุดไปข้างหน้าทหารเข้ารบกับอุยเอี๋ยนตัวต่อตัว และขับทหารให้โจมตีเข้าไปในหุบเขา

            อุยเอี๋ยน ขี่ม้ากรายทวนรบกับสุมาอี้ทำทีประหนึ่งจะสู้ตายเพื่อป้องกันหุบเขาน้ำเต้า ไว้ให้ได้ แต่พอรบกันได้สามเพลงเห็นทหารวุยก๊กหนุนเนื่องมาเป็นอันมากก็ทำทีเป็นตกใจ กลัว รีบพาทหารหนีเข้าไปทางโคมไฟเจ็ดดวงที่จุดไว้หน้าปากทางหุบเขานั้น แล้วลับหายเข้าไปข้างในหุบเขา

            สุมาอี้ขี่ม้าไล่ตามอุยเอี๋ยน ในขณะที่สุมาสูและสุมาเจียวบุตรทั้งสองขี่ม้าตามบิดาไปอย่างใกล้ชิด แต่ทหารวุยก๊กนั้นยกล่วงเข้าไปในหุบเขาได้เพียงพันเศษ เพราะจำกัดด้วยภูมิประเทศปากทางซึ่งคับแคบ และภายในหุบเขาก็แออัดด้วยทหารวุยก๊กที่ยกเข้าไปถึงก่อน

            สุมาอี้เข้าไปในหุบเขาแล้วไม่เห็นทหารขงเบ้งแม้แต่สักคนเดียว พบแต่ความเงียบวังเวง เห็นแต่คลังเสบียง ค่ายทหารตั้งอยู่ในหุบเขาเท่านั้น สุมาอี้ไม่ทราบภูมิประเทศในหุบเขามาก่อน ก็สำคัญว่าอุยเอี๋ยนพาทหารซึ่งคุ้มกันรักษาคลังเสบียงล่าถอยออกไปทางด้าน หลังหุบเขาแล้ว จึงหัวเราะด้วยความยินดีแล้วว่าขงเบ้งคิดซ่องสุมเสบียงอาหารเป็นคลังใหญ่ไว้ ทำศึกยืดยาว แต่เดชะบุญที่เรามาถึงทำลายคลังเสบียงของขงเบ้งเสียได้ ศึกครั้งนี้ขงเบ้งจะต้องพ่ายแพ้เป็นมั่นคง

            สุ มาอี้กล่าวสิ้นคำลง ทหารก็วิ่งมารายงานว่าที่เห็นเป็นคลังเสบียงและค่ายทหารนั้น ข้างในมีแต่ฟางและฟืนเต็มไปหมด และที่ปลายหุบเขามีเพียงซอกเล็ก ๆ ลำพังขี่ม้าตัวเดียวออกไปได้เท่านั้น

            สุมาอี้ได้ฟังดังนั้นก็ตกใจ กล่าวขึ้นอย่างลืมตัวว่าหุบเขานี้เป็นมรณะภูมิคับขันนัก ปากทางเข้าแคบและปลายทางออกก็เกือบจะตัน หากข้าศึกปิดทางเข้าออกแล้วโจมตีด้วยเพลิงเห็นจะเสียทีเป็นมั่นคง 

            สุมาอี้กล่าวสิ้นคำลง ก็ได้ยินเสียงประทัดสัญญาณดังขึ้นบนยอดเขาโดยรอบหุบเขาทุกด้าน และได้ยินเสียงทหารโห่ร้องดังอื้ออึง คบไฟจำนวนมากสว่างพรึบขึ้นบนยอดเขาจนละลานตา ในพลันนั้นคบเพลิงและธนูเพลิงถูกทิ้งและถูกยิงลงมาเบื้องล่างดุจห่าฝนดาวตก

            ชั่วพริบตาเดียวที่ธนูเพลิงและคบไฟตกถึงพื้นก็ไหม้ลามสายชนวนบังเกิดเพลิง ไหม้ขึ้นทั้งหุบเขา ลามไหม้ค่ายและโรงเสบียงลุกโชติช่วงจับท้องฟ้าสีแดงฉานราวฟ้าเลือด สว่างไสวดุจเวลากลางวัน ทหารวุยก๊กที่อยู่ข้างในหุบเขาพากันร้องไห้กลัวความตายด้วยความร้อนแรงแห่ง เพลิงที่ไหม้ลามอยู่นั้น

            สุมาอี้เห็นดังนั้นก็ ตกใจจนคุมสติไม่ได้ ร้องขึ้นด้วยเสียงอันดังว่า ชีวิตเราดับสิ้นแน่แล้วในวันนี้ พลันสายลมแรงพัดวูบมา เปลวไฟต้องสุมาอี้พลัดตกลงจากหลังม้า พร้อม ๆ กับสุมาสูและสุมาเจียว สุมาอี้ขณะที่กำลังจะใกล้สิ้นสติก็กอดบุตรทั้งสองไว้กับอก ร้องไห้แล้วกล่าวว่า “ครั้งนี้ชีวิตเราพ่อลูกจะตายในที่นี้เป็นมั่นคง”

            แม้แสงเพลิงจะลุกขึ้นทั่วทั้งหุบเขาไม่เห็นทางรอด ได้ยินแต่เสียงทหารวุยก๊กร้องไห้โหยหวนด้วยความปวดร้อนจากไฟกาฬ สุมาอี้ก็พยายามคุมสติ ตะกายจะขึ้นม้าถึงสองสามครั้งก็พลัดตกร่วงลงมาทุกครั้ง สุมาอี้และบุตรทั้งสองคนได้แต่กอดกันตัวกลม ร้องไห้หมดอาลัยตายอยาก พริ้มตาเตรียมรับความตาย

            ในขณะที่สุมาอี้พริ้ม ตารอความตายนั้นท้องฟ้าพลันมืดครึ้ม อสุนีบาตฟาดเปรี้ยงลงมาดังสนั่นหวั่นไหว ฝนห่าใหญ่ได้ตกลงมาโดยไร้เค้าฝนมาแต่ก่อน สายฝนเมล็ดโตเท่าถั่วเขียวเทกระหน่ำลงมาไม่ขาดสาย เพลิงที่กำลังไหม้ก็มอดดับไปสิ้น ชั่วพริบตาน้ำในหุบเขาก็ท่วมถึงเกือบศอก สุมาอี้เห็นดังนั้นก็ดีใจ ร้องขึ้นด้วยอาราม ดีใจสุดขีดว่า “บุญของเรามีอยู่เป็นอันมาก เทพยดาจึงบันดาลให้ฝนตกลงมาช่วยเรา”.

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

ตัวอย่างกระทู้ธรรม ธรรมศึกษาชั้นตรี 5

I miss you all กับ I miss all of you ต่างกันอย่างไร

ปัญหาและเฉลยวิชาธรรม นักธรรมชั้นโท สอบในสนามหลวง วันเสาร์ ที่ ๑๙ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๔๘