ตอนที่ 567. กลศึกหุบเขาน้ำเต้า
ในขณะที่ด้านตำบลเขากิสาน กองทัพจ๊กก๊กกำลังคุกคามวุยก๊กอยู่นั้น ง่อก๊กก็ได้กรีฑาทัพถึงสามทางรุกเข้าตีวุยก๊กทางด้านใต้ แต่เมื่อกองทัพเรือของง่อก๊กถูกลอบโจมตีและวางเพลิงแล้วง่อก๊กก็ตกอยู่ใน สภาพร่นถอย จูกัดกิ๋นแม่ทัพสายเมืองกังแฮทราบว่าลกซุนมิได้คิดรบพุ่ง เอาแต่ปลูกถั่ว ปลูกมัน ปลูกผักและร่ายรำกระบี่ก็ตกใจ
จูกัดกิ๋นจึงกล่าวกับแม่ทัพนายกองทั้งปวงว่า ลกซุนวางแผนจะสู้รบกับกองทัพวุยก๊กแล้วไฉนจะมามัวทำการมโนสาเร่อยู่ดังนี้ ทหารทั้งปวงมิรู้เบื้องลึกความลับประการใดก็ได้แต่งุนงงสงสัย จูกัดกิ๋นจึงรีบเดินทางไปหาลกซุนอีกครั้งหนึ่ง แล้วสอบถามเหตุผลต้นปลายที่ลกซุนกระทำอยู่นั้น
ลกซุนจึงกล่าวว่า ซึ่งข้าพเจ้ามีฎีกาไปกราบบังคมทูลให้พระเจ้าซุนกวนยกกองทัพมาตีกระหนาบกอง ทัพของพระเจ้าโจยอยนั้น ม้าเร็วที่ถือฎีกาบังเอิญถูกทหารวุยก๊กจับตัวได้ อุบายของข้าพเจ้าจึงเสียไป ก่อนหน้าที่ท่านจะมาถึงข้าพเจ้าได้แต่งฎีกาส่งไปถวายพระเจ้าซุนกวน ขอพระบรมราชานุญาตเลิกทัพกลับไปเมืองกังตั๋งแล้ว คาดว่าจะมีพระบรมราชานุญาต
จูกัดกิ๋นจึงว่า เมื่อท่านมั่นใจดังนี้ก็ชอบที่จะเลิกทัพกลับไปเมืองกังตั๋งก่อน
ลกซุน จึงว่า การจะเลิกทัพแล้วถอยกลับนั้นมิใช่เรื่องง่าย ด้วยกองทัพข้าพเจ้าอยู่ใกล้กับกองทัพของวุยก๊ก หากทหารวุยก๊กรู้ก็จะยกมาไล่ตามตี จำจะคิดอุบายถอยทัพให้แยบยล กองทัพจึงไม่เป็นอันตราย
จูกัดกิ๋นจึงถามว่า ท่านแม่ทัพจะคิดอ่านประการใด
ลกซุน จึงตอบว่าท่านจงรีบกลับไปที่ค่าย แต่งทัพเรือให้พร้อมไว้ ทำทีเป็นเตรียมการจะยกพลขึ้นบกบุกแดนวุยก๊กอีกครั้งหนึ่ง ทหารวุยก๊กรู้ดังนั้นก็จะสำคัญว่าเราเตรียมกองทัพจะเข้าตี เห็นจะตั้งมั่นคอยรับมือ เป็นทีแล้วจึงค่อยเลิกทัพถอยกลับเข้าเมืองกังตั๋ง ข้าพเจ้าก็จะถือโอกาสนั้นเลิกทัพกลับคืนเมืองกังตั๋งต่อไป
จูกัดกิ๋นได้ฟังดังนั้นก็เห็นด้วย จึงลาลกซุนเดินทางกลับไปค่าย จัดแจงเรือรบและกองทัพบกพร้อมไว้ ทำทีเป็นเตรียมพร้อมเพื่อจะรุกรบต่อไป
ฝ่ายพระเจ้าโจยอย ครั้นทราบความเคลื่อนไหวของกองทัพลกซุนและกองทัพของจูกัดกิ๋น ก็ทรงหวั่นพระทัยว่าซึ่งกองทัพง่อก๊กจัดแจงดังนี้ หรือเป็นการเตรียมรุกแดนวุยก๊กครั้งใหญ่ ทรงคิดดังนั้นแล้วจึงตรัสสั่งให้กองทัพทุกกองตั้งมั่นระมัดระวังป้องกันกอง ทัพง่อก๊กซึ่งจะยกมาโจมตี
หลังจากนั้นห้า วันหน่วยสอดแนมได้นำความเข้ามากราบบังคมทูลว่า บัดนี้กองทัพเมืองกังตั๋งทุกกองทัพได้เลิกทัพถอยกลับไปแล้ว พระเจ้าโจยอยได้ทราบรายงานดังนั้นก็สำคัญว่าเป็นกลอุบายของลกซุน จึงตรัสกำชับให้หน่วยลาดตระเวนและหน่วยสอดแนมเร่งกวดขันสืบทราบข่าวคราวข้าง กองทัพเมืองกังตั๋ง และตรัสสั่งทหารทั้งปวงให้ตั้งมั่นอยู่ในค่าย คอยฟังท่วงทีให้แน่ชัดก่อนว่ากองทัพเมืองกังตั๋งถอยทัพจริงหรือไม่ประการใด
พระพุทธศาสนายุกาลล่วงแล้วได้เจ็ดร้อยเจ็ดสิบเจ็ดพรรษา เดือนแปด กองทัพของขงเบ้งยังคงตั้งประจัญอยู่กับกองทัพของสุมาอี้ที่ตำบลเขากิสาน ขงเบ้งเห็นวันเวลาผ่านมาหลายวันแต่กองทัพของสุมาอี้ยังคงตั้งมั่นอยู่แต่ใน ค่าย มิได้มีท่าทีจะยกมารบพุ่ง ก็คิดว่าชะรอยจะมีเหตุการณ์ประการใดเกิดขึ้นข้างกองทัพวุยก๊ก ครั้นได้ทราบข่าวจากหน่วยสอดแนมว่า ขณะนี้กองทัพของพระเจ้าซุนกวนได้กรีฑาทัพบุกวุยก๊กทางด้านใต้ถึงสามสาย พระเจ้าโจยอยได้คุมกองทัพหลวงยกไปต้านทานกองทัพของง่อก๊กด้วยพระองค์เอง ขงเบ้งก็ดีใจคิดว่าซึ่งสุมาอี้ทำการดังนี้ก็เพียงเพื่อตั้งมั่นป้องกันมิให้ เรายกรุกล่วงเข้าไปจนกลายเป็นศึกกระหนาบเหนือใต้เท่านั้น หากสุมาอี้ไม่ยอมรบพุ่งดังนี้ การศึกก็จะยืดเยื้อยาวนานต่อไป ครั้นจะยกกองทัพรุกข้ามแม่น้ำอุยโหก็เป็นอันตรายอย่างยิ่งเพราะกองทัพวุยก๊ก ตั้งมั่นควบคุมสถานการณ์อยู่ทั้งสองฝั่งแม่น้ำ
ขงเบ้ง คำนึงต่อไปว่าปัญหาเฉพาะหน้าที่สำคัญที่สุดที่คุกคามกองทัพจ๊กก๊กคือปัญหา เสบียงอาหาร ซึ่งขณะนี้ได้กำหนดมาตรการแก้ไขให้ผ่อนคลายลงไปได้แล้ว โดยให้ทหารที่ตั้งค่ายรายเรียงอยู่ตั้งแต่ด่านเกี้ยมโก๊ะถึงเขากิสานยี่สิบ สี่ยี่สิบห้าค่ายร่วมทำนา ปลูกถั่วปลูกมันกับชาวเมืองวุยก๊ก ตกลงกับชาวนาชาวไร่ทั้งปวงว่า กองทัพจ๊กก๊กจะขอแบ่งผลผลิตหนึ่งส่วนในสามส่วน อีกสองส่วนให้เป็นของชาวนาชาวไร่ ทำให้ชาวนาชาวไร่ทั้งปวงมีความยินดี ตกลงให้ทหารจ๊กก๊กตลอดเส้นทางเดินทัพร่วมทำนาทำไร่และแบ่งพืชผลตามข้อตกลง ดังกล่าว นอกจากนี้ยังได้กำชับทหารทั้งปวงให้ปรับทุกข์ผูกมิตรสนิทสนมกับราษฎร มิให้เบียดเบียนข่มเหง ชาวเมืองวุยก๊กตลอด เส้นทางจึงยินดีรักใคร่ทหารของขงเบ้งเป็นอันมาก ทำให้ทหารจ๊กก๊กและราษฎรวุยก๊กสนิทสนมเป็นปึกแผ่นราวกับว่าเป็นชาวแคว้น เดียวกัน กิตติศัพท์ได้เลื่องลือไปทั่ว แต่การซึ่งจะตั้งกองทัพยันกันอยู่ไม่มีที่สิ้นสุดดังนี้ผิดวิสัยการสงคราม
ดังนั้นขงเบ้งจึงจำต้องคิดอ่านเผด็จศึก และเห็นว่าซึ่งจะเผด็จศึกวุยก๊กให้ราบคาบได้นั้น เบื้องแรกจะต้องตัดศีรษะคือสุมาอี้อันเป็นมันสมองของกองทัพวุยก๊กให้ได้ก่อน จึงจะทำการให้สำเร็จได้โดยสะดวก หากสุมาอี้ยังมีชีวิตอยู่ตราบใดซึ่งจะรุกลึกเข้าไปยิ่งกว่านี้ขัดสนนัก ขงเบ้งตัดสินใจดังนั้นแล้วจึงคิดอ่านแผนการที่จะกำจัดสุมาอี้ให้ได้ก่อน
ฝ่าย สุมาสูซึ่งเป็นบุตรของสุมาอี้และได้รับมอบหมายให้ทำหน้าที่คุมกองลาดตระเวน และสอดแนมอีกหน้าที่หนึ่ง ได้ยินกิตติศัพท์ซึ่งกองทัพขงเบ้งอุดมสมบูรณ์ด้วยเสบียงอาหาร มิได้ขาดแคลนเหมือนดังที่คาดคิดไว้ เพราะดำเนินนโยบายร่วม ทำนาทำไร่กับชาวเมืองวุยก๊ก และยังใช้โคกลลำเลียงเสบียงจากเมืองฮันต๋งมาสมทบอีก มิหนำซ้ำชาวเมืองวุยก๊ก ตลอดเส้นทางตั้งแต่ปลายแดนจนถึงตำบลเขากิสานล้วนรักใคร่ชอบใจทหารของขงเบ้ง ไปทั้งสิ้น จึงเกรงว่าหากสถานการณ์เป็นไปเช่นนี้ราษฎรวุยก๊กก็จะพากันไปเข้ากับกองทัพ ของขงเบ้ง การณ์จะกลับกลายเป็นว่าขงเบ้งจะใช้ทั้งคนและเสบียงอาหารของวุยก๊กเป็นกำลัง บุกเข้ายึดวุยก๊กเสียเอง จึงมีความวิตกเป็นอันมาก
ดังนั้นสุมาสูจึงเข้าไปหาสุมาอี้ผู้บิดาแล้วปรารภความวิตกให้ผู้พ่อฟัง สุมาอี้ได้ยินคำบุตรก็กล่าวว่า ขณะนี้กองทัพเมืองกังตั๋งกำลังยกรุกเข้าตีทางด้านใต้ ฮ่องเต้ต้องเสด็จนำทัพไปต้านทานข้าศึกด้วยพระองค์เองและมีหมายรับสั่งมา กำชับให้เราตั้งมั่นรับมือขงเบ้ง อย่าให้ออกรบพุ่ง หากแม้นไม่ทำตามรับสั่งก็จะเป็นโทษถึงประหารชีวิต
ในขณะนั้นทหารรักษาการณ์ได้วิ่งเข้ามารายงานสุมาอี้ว่า อุยเอี๋ยนได้คุมทหารยกมาท้ารบที่ข้างหน้าค่าย และอุยเอี๋ยนได้เอาหมวกเกราะทองของท่านสวมปลายไม้เอามาชู เยาะเย้ยถากถางประจานท่านแม่ทัพให้ได้อายอีกด้วย
สุ มาอี้ได้ฟังดังนั้นก็ทำเป็นนิ่งเฉย แม่ทัพนายกองทั้งปวงทราบความก็พากันโกรธแค้น เร่งเร้าให้สุมาอี้ยกทหารออกไปรบกับอุยเอี๋ยน แต่สุมาอี้กลับกล่าวว่าฮ่องเต้มีหมายรับสั่งห้ามออกไปรบพุ่ง ดังนั้นแม้เรามีน้ำใจใคร่ยกออกไปรบก็ไม่อาจขัดรับสั่งได้
แม่ทัพนายกองทั้งปวงได้ฟังคำสุมาอี้ก็โกรธ นึกดูหมิ่นว่าสุมาอี้นี้เป็นคนขี้ขลาดตาขาว ข้าศึกเอาหมวกเกราะยศซึ่งได้รับพระราชทานมาประจานให้ได้อาย และกระทบต่อพระเกียรติยศของพระเจ้าโจยอยถึงเพียงนี้แล้วก็ยังทนนิ่งเฉยอยู่ ได้ ดังนั้นต่างคนต่างฮึดฮัดลุกขึ้นฉวยอาวุธจะออกไปรบกับอุยเอี๋ยน
สุมาอี้เห็นดังนั้นก็โกรธ ตวาดด้วยเสียงอันดังว่า ตัวเราเป็นแม่ทัพถืออาญาสิทธิ์ของฮ่องเต้ ได้ห้ามปรามพวกท่านก็ไม่ฟัง ถ้าแม้นผู้ใดฝ่าฝืนเราจำเป็นต้องตัดศีรษะเสีย แม่ทัพนายกองทั้งปวงได้ยินสุมาอี้อ้างอำนาจแห่งกระบี่อาญาสิทธิ์ก็พากันอึ้ง แล้วกลับมานั่งในที่เดิมด้วยท่าทีที่ฮึดฮัดไม่พอใจอย่างรุนแรง
สุมาอี้เห็นดังนั้นจึงกล่าวว่า “อันโบราณกล่าวไว้ว่าเหตุการณ์นิดหนึ่งจะพาให้เสียการใหญ่” พวกท่านจำไม่ได้แล้วหรือว่าก่อนจะออกเดินทัพ ฮ่องเต้ก็ได้มีพระบรมราชโองการกำหนดยุทธวิธีในการสู้รบกับกองทัพขงเบ้งว่า ให้ใช้วิธีตั้งรับ อย่ายกออกไปรบพุ่ง แม้กองทัพขงเบ้งทำกลล่าถอยก็อย่าได้ยกไปไล่ตามตี ไว้แน่แก่ใจแล้วว่าขงเบ้งถอยทัพจริงจึงยกโจมตีก็จะได้ชัยชนะ
แม่ ทัพนายกองทั้งปวงได้ฟังดังนั้นก็ท้วงว่า พระบรมราชโองการของฮ่องเต้เป็นเพียงการกำหนดแนวทางกว้าง ๆ เพื่อเป็นเกณฑ์ในการตัดสินใจเท่านั้น คัมภีร์พิชัยสงครามก็บ่งบอกว่าอันแม่ทัพซึ่งอยู่หน้าศึก ให้พิเคราะห์การสงครามอย่างพลิกแพลงตามสถานการณ์ แม้นได้ทีรบพุ่ง ถึงฮ่องเต้จะสั่งห้ามก็ไม่จำต้องทำตาม แม้นเสียทีสู้รบมิได้ ถึงมีหมายรับสั่งให้รบก็อย่าให้ออกไปรบ ด้วยฮ่องเต้นั้นอยู่ไกลจากสมรภูมิ ให้ถือเอากระบี่อาญาสิทธิ์พระราชทานเป็นเด็ดขาดแทนพระองค์ทุกเมื่อ
สุมาอี้ได้ยินแม่ทัพนายกองกล่าวดังนั้นก็ยังคงนิ่งเฉย ปล่อยให้อุยเอี๋ยนด่าว่าเยาะเย้ยอยู่จนถึงเวลาเย็นแล้วกลับไปค่ายเอง ตั้งแต่วันนั้นมาบรรดาแม่ทัพนายกองทั้งปวงก็ฮึดฮัดดูหมิ่นสุมาอี้ว่าขี้ขลาด ตาขาวเป็นอันมาก
ฝ่ายขงเบ้งหลังจากสุมาอี้ไม่ ยกออกมารบพุ่ง ก็ตั้งหน้าคิดอ่านแผนการเผด็จศึกอยู่หลายวัน บางวันได้ออกไปตรวจตราดูภูมิประเทศด้วยตนเอง และเห็นภูมิประเทศในหุบเขาน้ำเต้าเป็นที่ชอบกลตรงกับแผนการที่คิดไว้ ขงเบ้งก็มีความยินดี รำพึงว่ากลโคกลของเราจะทำลายสุมาอี้เป็นผุยผงก็ในครั้งนี้
แผน การใช้โคกลเพื่อบรรลุภารกิจสำคัญในประการที่สามได้ก่อรูปร่างขึ้นในแผน ยุทธการสำคัญของขงเบ้งแล้ว และเป็นแผนการที่มั่นใจว่ากลอุบายในครั้งนี้จะสังหารผลาญชีวิตสุมาอี้ให้ กลายเป็นผุยผงได้เป็นแน่แท้
ขงเบ้งจึงเริ่มการด้วยการสั่งให้ม้าต้ายคุมทหารไปตัดไม้ แล้วทำเป็นค่ายขึ้นที่ปากทางหุบเขาน้ำเต้า และให้สร้างโรงเหมือนโรงเก็บเสบียงไว้กลางหุบเขาเป็นอันมาก ห่างจากโรงเก็บเสบียงทำเป็นค่ายพักทหารขนาดเล็กตั้งไว้โดยรอบ ในโรงเก็บเสบียงและค่ายพักทหารนั้นให้เอาเชื้อเพลิง ดินประสิวสุพรรณถันใส่ไว้จนเต็ม ต่อฝักแคสายชนวนออกไปที่ด้านข้างใกล้เชิงเขา และห่างออกมาจากค่ายพักทหารใกล้เชิงเขาให้ขุดหลุมลึกวาเศษเป็นจำนวนมาก เอาไม้ไผ่ขัดแตะปิดปากหลุม เอาดินประสิวสุพรรณถันโรยไว้โดยทั่ว แล้วเอาดินและใบไม้แห้งกลบปิดไว้ไม่ให้เห็นร่องรอย ต่อสายชนวนฝักแคโยงต่อกับสายชนวนที่ล่ามโยงมาจากโรงเสบียงและค่ายพัก และยังต่อสายชนวนโยงออกไปยังจุดต่าง ๆ ในหุบเขาอีกหลายจุดอย่างทั่วถึง
ครั้นทำการทั้งปวงเสร็จแล้ว ขงเบ้งจึงสั่งให้ม้าต้ายเอาโคมไฟเจ็ดดวงไปแขวนห้อยไว้ที่ปากทางเข้าหุบเขา และสั่งอุยเอี๋ยนให้ออกไปท้ารบกับสุมาอี้อีก กำชับว่าครั้งนี้หากสุมาอี้ให้ทหารออกมาสู้รบ ก็ให้รบถ่วงเวลาไว้จนเวลาพลบค่ำ แล้วแสร้งถอยมาที่โคมไฟเจ็ดดวงซึ่งจุดไว้ที่ปากทางหุบเขาน้ำเต้านั้น
ขงเบ้งได้สั่งการต่อไปให้โกเสียงซึ่งคุมกองเสบียงลำเลียงมาจากเมืองฮันต๋ง จัดขบวนการลำเลียงเสบียงอาหารเสียใหม่ ให้จัดทหารคุมโคกลแบ่งเป็นกอง ๆ กองละห้าตัวบ้าง สิบตัวบ้าง สี่สิบตัวบ้าง ห้าสิบตัวบ้าง แล้วทยอยกันขนเสบียงไปที่หุบเขาน้ำเต้าอย่าให้ขาดสายทุกวัน หากแม้นสุมาอี้ให้ทหารมาโจมตีก็แสร้งวิ่งหนีทิ้งโคกลเสีย เว้นแต่สุมาอี้ยกมาเองก็ให้รุมตีกระหนาบจับตัวสุมาอี้ให้จงได้
สั่งการแล้วขงเบ้งจึงจัดทหารอีกกองหนึ่งยกขึ้นไปตั้งอยู่บนเนินเขาต้นลม คอยสังเกตการณ์ความเคลื่อนไหวของกองทัพสุมาอี้ ฝ่ายแฮหัวโฮและแฮหัวฮุยได้ทราบข่าวจากหน่วยสอดแนมว่า ทหารจ๊กก๊กลำเลียงเสบียงอาหารไปที่หุบเขาน้ำเต้ามิได้ขาด และข้างในหุบเขาก็มีคลังเสบียงใหญ่ มีทหารตั้งค่ายเล็กๆ ดูแลอยู่หลายค่าย ครั้นตกกลางคืนเห็นแต่โคมไฟเจ็ดดวงปักอยู่ปากทางเข้าหุบเขาเท่านั้น จึงนำความไปรายงานแก่สุมาอี้ว่า ขงเบ้งสั่งสมเสบียงมากมายดังนี้ เห็นทีเป็นแผนการทำสงครามยืดเยื้อ หากนานไปราษฎรวุยก๊กเป็นใจเข้าด้วยแล้วจะรับมือกับกองทัพของขงเบ้งได้โดยยาก ชอบที่ท่านแม่ทัพจะคิดอ่านตัดไฟเสียแต่ต้นลม
สุมาอี้ได้ฟังสองแม่ทัพจึงกล่าวว่า เหตุการณ์ประหลาดดังนี้เห็นจะเป็นกลอุบายของขงเบ้งไม่ประการใดก็ประการหนึ่ง ท่านอย่าเพิ่งวู่วาม
สองแม่ทัพยังไม่เคยกล ขงเบ้ง ได้ยินคำสุมาอี้จึงกล่าวว่า ขงเบ้งจะมีกลอุบายแยบยลอะไรหนักหนา สภาพพื้นที่ภูมิประเทศเราก็แจ้งอยู่ ไม่เห็นจะคิดกลศึกประการใดที่ลึกซึ้งได้เลย ข้าพเจ้าสองพี่น้องจะขออาสายกทหารไปยึดเอาเสบียงขงเบ้งเอง.
จูกัดกิ๋นจึงกล่าวกับแม่ทัพนายกองทั้งปวงว่า ลกซุนวางแผนจะสู้รบกับกองทัพวุยก๊กแล้วไฉนจะมามัวทำการมโนสาเร่อยู่ดังนี้ ทหารทั้งปวงมิรู้เบื้องลึกความลับประการใดก็ได้แต่งุนงงสงสัย จูกัดกิ๋นจึงรีบเดินทางไปหาลกซุนอีกครั้งหนึ่ง แล้วสอบถามเหตุผลต้นปลายที่ลกซุนกระทำอยู่นั้น
ลกซุนจึงกล่าวว่า ซึ่งข้าพเจ้ามีฎีกาไปกราบบังคมทูลให้พระเจ้าซุนกวนยกกองทัพมาตีกระหนาบกอง ทัพของพระเจ้าโจยอยนั้น ม้าเร็วที่ถือฎีกาบังเอิญถูกทหารวุยก๊กจับตัวได้ อุบายของข้าพเจ้าจึงเสียไป ก่อนหน้าที่ท่านจะมาถึงข้าพเจ้าได้แต่งฎีกาส่งไปถวายพระเจ้าซุนกวน ขอพระบรมราชานุญาตเลิกทัพกลับไปเมืองกังตั๋งแล้ว คาดว่าจะมีพระบรมราชานุญาต
จูกัดกิ๋นจึงว่า เมื่อท่านมั่นใจดังนี้ก็ชอบที่จะเลิกทัพกลับไปเมืองกังตั๋งก่อน
ลกซุน จึงว่า การจะเลิกทัพแล้วถอยกลับนั้นมิใช่เรื่องง่าย ด้วยกองทัพข้าพเจ้าอยู่ใกล้กับกองทัพของวุยก๊ก หากทหารวุยก๊กรู้ก็จะยกมาไล่ตามตี จำจะคิดอุบายถอยทัพให้แยบยล กองทัพจึงไม่เป็นอันตราย
จูกัดกิ๋นจึงถามว่า ท่านแม่ทัพจะคิดอ่านประการใด
ลกซุน จึงตอบว่าท่านจงรีบกลับไปที่ค่าย แต่งทัพเรือให้พร้อมไว้ ทำทีเป็นเตรียมการจะยกพลขึ้นบกบุกแดนวุยก๊กอีกครั้งหนึ่ง ทหารวุยก๊กรู้ดังนั้นก็จะสำคัญว่าเราเตรียมกองทัพจะเข้าตี เห็นจะตั้งมั่นคอยรับมือ เป็นทีแล้วจึงค่อยเลิกทัพถอยกลับเข้าเมืองกังตั๋ง ข้าพเจ้าก็จะถือโอกาสนั้นเลิกทัพกลับคืนเมืองกังตั๋งต่อไป
จูกัดกิ๋นได้ฟังดังนั้นก็เห็นด้วย จึงลาลกซุนเดินทางกลับไปค่าย จัดแจงเรือรบและกองทัพบกพร้อมไว้ ทำทีเป็นเตรียมพร้อมเพื่อจะรุกรบต่อไป
ฝ่ายพระเจ้าโจยอย ครั้นทราบความเคลื่อนไหวของกองทัพลกซุนและกองทัพของจูกัดกิ๋น ก็ทรงหวั่นพระทัยว่าซึ่งกองทัพง่อก๊กจัดแจงดังนี้ หรือเป็นการเตรียมรุกแดนวุยก๊กครั้งใหญ่ ทรงคิดดังนั้นแล้วจึงตรัสสั่งให้กองทัพทุกกองตั้งมั่นระมัดระวังป้องกันกอง ทัพง่อก๊กซึ่งจะยกมาโจมตี
หลังจากนั้นห้า วันหน่วยสอดแนมได้นำความเข้ามากราบบังคมทูลว่า บัดนี้กองทัพเมืองกังตั๋งทุกกองทัพได้เลิกทัพถอยกลับไปแล้ว พระเจ้าโจยอยได้ทราบรายงานดังนั้นก็สำคัญว่าเป็นกลอุบายของลกซุน จึงตรัสกำชับให้หน่วยลาดตระเวนและหน่วยสอดแนมเร่งกวดขันสืบทราบข่าวคราวข้าง กองทัพเมืองกังตั๋ง และตรัสสั่งทหารทั้งปวงให้ตั้งมั่นอยู่ในค่าย คอยฟังท่วงทีให้แน่ชัดก่อนว่ากองทัพเมืองกังตั๋งถอยทัพจริงหรือไม่ประการใด
พระพุทธศาสนายุกาลล่วงแล้วได้เจ็ดร้อยเจ็ดสิบเจ็ดพรรษา เดือนแปด กองทัพของขงเบ้งยังคงตั้งประจัญอยู่กับกองทัพของสุมาอี้ที่ตำบลเขากิสาน ขงเบ้งเห็นวันเวลาผ่านมาหลายวันแต่กองทัพของสุมาอี้ยังคงตั้งมั่นอยู่แต่ใน ค่าย มิได้มีท่าทีจะยกมารบพุ่ง ก็คิดว่าชะรอยจะมีเหตุการณ์ประการใดเกิดขึ้นข้างกองทัพวุยก๊ก ครั้นได้ทราบข่าวจากหน่วยสอดแนมว่า ขณะนี้กองทัพของพระเจ้าซุนกวนได้กรีฑาทัพบุกวุยก๊กทางด้านใต้ถึงสามสาย พระเจ้าโจยอยได้คุมกองทัพหลวงยกไปต้านทานกองทัพของง่อก๊กด้วยพระองค์เอง ขงเบ้งก็ดีใจคิดว่าซึ่งสุมาอี้ทำการดังนี้ก็เพียงเพื่อตั้งมั่นป้องกันมิให้ เรายกรุกล่วงเข้าไปจนกลายเป็นศึกกระหนาบเหนือใต้เท่านั้น หากสุมาอี้ไม่ยอมรบพุ่งดังนี้ การศึกก็จะยืดเยื้อยาวนานต่อไป ครั้นจะยกกองทัพรุกข้ามแม่น้ำอุยโหก็เป็นอันตรายอย่างยิ่งเพราะกองทัพวุยก๊ก ตั้งมั่นควบคุมสถานการณ์อยู่ทั้งสองฝั่งแม่น้ำ
ขงเบ้ง คำนึงต่อไปว่าปัญหาเฉพาะหน้าที่สำคัญที่สุดที่คุกคามกองทัพจ๊กก๊กคือปัญหา เสบียงอาหาร ซึ่งขณะนี้ได้กำหนดมาตรการแก้ไขให้ผ่อนคลายลงไปได้แล้ว โดยให้ทหารที่ตั้งค่ายรายเรียงอยู่ตั้งแต่ด่านเกี้ยมโก๊ะถึงเขากิสานยี่สิบ สี่ยี่สิบห้าค่ายร่วมทำนา ปลูกถั่วปลูกมันกับชาวเมืองวุยก๊ก ตกลงกับชาวนาชาวไร่ทั้งปวงว่า กองทัพจ๊กก๊กจะขอแบ่งผลผลิตหนึ่งส่วนในสามส่วน อีกสองส่วนให้เป็นของชาวนาชาวไร่ ทำให้ชาวนาชาวไร่ทั้งปวงมีความยินดี ตกลงให้ทหารจ๊กก๊กตลอดเส้นทางเดินทัพร่วมทำนาทำไร่และแบ่งพืชผลตามข้อตกลง ดังกล่าว นอกจากนี้ยังได้กำชับทหารทั้งปวงให้ปรับทุกข์ผูกมิตรสนิทสนมกับราษฎร มิให้เบียดเบียนข่มเหง ชาวเมืองวุยก๊กตลอด เส้นทางจึงยินดีรักใคร่ทหารของขงเบ้งเป็นอันมาก ทำให้ทหารจ๊กก๊กและราษฎรวุยก๊กสนิทสนมเป็นปึกแผ่นราวกับว่าเป็นชาวแคว้น เดียวกัน กิตติศัพท์ได้เลื่องลือไปทั่ว แต่การซึ่งจะตั้งกองทัพยันกันอยู่ไม่มีที่สิ้นสุดดังนี้ผิดวิสัยการสงคราม
ดังนั้นขงเบ้งจึงจำต้องคิดอ่านเผด็จศึก และเห็นว่าซึ่งจะเผด็จศึกวุยก๊กให้ราบคาบได้นั้น เบื้องแรกจะต้องตัดศีรษะคือสุมาอี้อันเป็นมันสมองของกองทัพวุยก๊กให้ได้ก่อน จึงจะทำการให้สำเร็จได้โดยสะดวก หากสุมาอี้ยังมีชีวิตอยู่ตราบใดซึ่งจะรุกลึกเข้าไปยิ่งกว่านี้ขัดสนนัก ขงเบ้งตัดสินใจดังนั้นแล้วจึงคิดอ่านแผนการที่จะกำจัดสุมาอี้ให้ได้ก่อน
ฝ่าย สุมาสูซึ่งเป็นบุตรของสุมาอี้และได้รับมอบหมายให้ทำหน้าที่คุมกองลาดตระเวน และสอดแนมอีกหน้าที่หนึ่ง ได้ยินกิตติศัพท์ซึ่งกองทัพขงเบ้งอุดมสมบูรณ์ด้วยเสบียงอาหาร มิได้ขาดแคลนเหมือนดังที่คาดคิดไว้ เพราะดำเนินนโยบายร่วม ทำนาทำไร่กับชาวเมืองวุยก๊ก และยังใช้โคกลลำเลียงเสบียงจากเมืองฮันต๋งมาสมทบอีก มิหนำซ้ำชาวเมืองวุยก๊ก ตลอดเส้นทางตั้งแต่ปลายแดนจนถึงตำบลเขากิสานล้วนรักใคร่ชอบใจทหารของขงเบ้ง ไปทั้งสิ้น จึงเกรงว่าหากสถานการณ์เป็นไปเช่นนี้ราษฎรวุยก๊กก็จะพากันไปเข้ากับกองทัพ ของขงเบ้ง การณ์จะกลับกลายเป็นว่าขงเบ้งจะใช้ทั้งคนและเสบียงอาหารของวุยก๊กเป็นกำลัง บุกเข้ายึดวุยก๊กเสียเอง จึงมีความวิตกเป็นอันมาก
ดังนั้นสุมาสูจึงเข้าไปหาสุมาอี้ผู้บิดาแล้วปรารภความวิตกให้ผู้พ่อฟัง สุมาอี้ได้ยินคำบุตรก็กล่าวว่า ขณะนี้กองทัพเมืองกังตั๋งกำลังยกรุกเข้าตีทางด้านใต้ ฮ่องเต้ต้องเสด็จนำทัพไปต้านทานข้าศึกด้วยพระองค์เองและมีหมายรับสั่งมา กำชับให้เราตั้งมั่นรับมือขงเบ้ง อย่าให้ออกรบพุ่ง หากแม้นไม่ทำตามรับสั่งก็จะเป็นโทษถึงประหารชีวิต
ในขณะนั้นทหารรักษาการณ์ได้วิ่งเข้ามารายงานสุมาอี้ว่า อุยเอี๋ยนได้คุมทหารยกมาท้ารบที่ข้างหน้าค่าย และอุยเอี๋ยนได้เอาหมวกเกราะทองของท่านสวมปลายไม้เอามาชู เยาะเย้ยถากถางประจานท่านแม่ทัพให้ได้อายอีกด้วย
สุ มาอี้ได้ฟังดังนั้นก็ทำเป็นนิ่งเฉย แม่ทัพนายกองทั้งปวงทราบความก็พากันโกรธแค้น เร่งเร้าให้สุมาอี้ยกทหารออกไปรบกับอุยเอี๋ยน แต่สุมาอี้กลับกล่าวว่าฮ่องเต้มีหมายรับสั่งห้ามออกไปรบพุ่ง ดังนั้นแม้เรามีน้ำใจใคร่ยกออกไปรบก็ไม่อาจขัดรับสั่งได้
แม่ทัพนายกองทั้งปวงได้ฟังคำสุมาอี้ก็โกรธ นึกดูหมิ่นว่าสุมาอี้นี้เป็นคนขี้ขลาดตาขาว ข้าศึกเอาหมวกเกราะยศซึ่งได้รับพระราชทานมาประจานให้ได้อาย และกระทบต่อพระเกียรติยศของพระเจ้าโจยอยถึงเพียงนี้แล้วก็ยังทนนิ่งเฉยอยู่ ได้ ดังนั้นต่างคนต่างฮึดฮัดลุกขึ้นฉวยอาวุธจะออกไปรบกับอุยเอี๋ยน
สุมาอี้เห็นดังนั้นก็โกรธ ตวาดด้วยเสียงอันดังว่า ตัวเราเป็นแม่ทัพถืออาญาสิทธิ์ของฮ่องเต้ ได้ห้ามปรามพวกท่านก็ไม่ฟัง ถ้าแม้นผู้ใดฝ่าฝืนเราจำเป็นต้องตัดศีรษะเสีย แม่ทัพนายกองทั้งปวงได้ยินสุมาอี้อ้างอำนาจแห่งกระบี่อาญาสิทธิ์ก็พากันอึ้ง แล้วกลับมานั่งในที่เดิมด้วยท่าทีที่ฮึดฮัดไม่พอใจอย่างรุนแรง
สุมาอี้เห็นดังนั้นจึงกล่าวว่า “อันโบราณกล่าวไว้ว่าเหตุการณ์นิดหนึ่งจะพาให้เสียการใหญ่” พวกท่านจำไม่ได้แล้วหรือว่าก่อนจะออกเดินทัพ ฮ่องเต้ก็ได้มีพระบรมราชโองการกำหนดยุทธวิธีในการสู้รบกับกองทัพขงเบ้งว่า ให้ใช้วิธีตั้งรับ อย่ายกออกไปรบพุ่ง แม้กองทัพขงเบ้งทำกลล่าถอยก็อย่าได้ยกไปไล่ตามตี ไว้แน่แก่ใจแล้วว่าขงเบ้งถอยทัพจริงจึงยกโจมตีก็จะได้ชัยชนะ
แม่ ทัพนายกองทั้งปวงได้ฟังดังนั้นก็ท้วงว่า พระบรมราชโองการของฮ่องเต้เป็นเพียงการกำหนดแนวทางกว้าง ๆ เพื่อเป็นเกณฑ์ในการตัดสินใจเท่านั้น คัมภีร์พิชัยสงครามก็บ่งบอกว่าอันแม่ทัพซึ่งอยู่หน้าศึก ให้พิเคราะห์การสงครามอย่างพลิกแพลงตามสถานการณ์ แม้นได้ทีรบพุ่ง ถึงฮ่องเต้จะสั่งห้ามก็ไม่จำต้องทำตาม แม้นเสียทีสู้รบมิได้ ถึงมีหมายรับสั่งให้รบก็อย่าให้ออกไปรบ ด้วยฮ่องเต้นั้นอยู่ไกลจากสมรภูมิ ให้ถือเอากระบี่อาญาสิทธิ์พระราชทานเป็นเด็ดขาดแทนพระองค์ทุกเมื่อ
สุมาอี้ได้ยินแม่ทัพนายกองกล่าวดังนั้นก็ยังคงนิ่งเฉย ปล่อยให้อุยเอี๋ยนด่าว่าเยาะเย้ยอยู่จนถึงเวลาเย็นแล้วกลับไปค่ายเอง ตั้งแต่วันนั้นมาบรรดาแม่ทัพนายกองทั้งปวงก็ฮึดฮัดดูหมิ่นสุมาอี้ว่าขี้ขลาด ตาขาวเป็นอันมาก
ฝ่ายขงเบ้งหลังจากสุมาอี้ไม่ ยกออกมารบพุ่ง ก็ตั้งหน้าคิดอ่านแผนการเผด็จศึกอยู่หลายวัน บางวันได้ออกไปตรวจตราดูภูมิประเทศด้วยตนเอง และเห็นภูมิประเทศในหุบเขาน้ำเต้าเป็นที่ชอบกลตรงกับแผนการที่คิดไว้ ขงเบ้งก็มีความยินดี รำพึงว่ากลโคกลของเราจะทำลายสุมาอี้เป็นผุยผงก็ในครั้งนี้
แผน การใช้โคกลเพื่อบรรลุภารกิจสำคัญในประการที่สามได้ก่อรูปร่างขึ้นในแผน ยุทธการสำคัญของขงเบ้งแล้ว และเป็นแผนการที่มั่นใจว่ากลอุบายในครั้งนี้จะสังหารผลาญชีวิตสุมาอี้ให้ กลายเป็นผุยผงได้เป็นแน่แท้
ขงเบ้งจึงเริ่มการด้วยการสั่งให้ม้าต้ายคุมทหารไปตัดไม้ แล้วทำเป็นค่ายขึ้นที่ปากทางหุบเขาน้ำเต้า และให้สร้างโรงเหมือนโรงเก็บเสบียงไว้กลางหุบเขาเป็นอันมาก ห่างจากโรงเก็บเสบียงทำเป็นค่ายพักทหารขนาดเล็กตั้งไว้โดยรอบ ในโรงเก็บเสบียงและค่ายพักทหารนั้นให้เอาเชื้อเพลิง ดินประสิวสุพรรณถันใส่ไว้จนเต็ม ต่อฝักแคสายชนวนออกไปที่ด้านข้างใกล้เชิงเขา และห่างออกมาจากค่ายพักทหารใกล้เชิงเขาให้ขุดหลุมลึกวาเศษเป็นจำนวนมาก เอาไม้ไผ่ขัดแตะปิดปากหลุม เอาดินประสิวสุพรรณถันโรยไว้โดยทั่ว แล้วเอาดินและใบไม้แห้งกลบปิดไว้ไม่ให้เห็นร่องรอย ต่อสายชนวนฝักแคโยงต่อกับสายชนวนที่ล่ามโยงมาจากโรงเสบียงและค่ายพัก และยังต่อสายชนวนโยงออกไปยังจุดต่าง ๆ ในหุบเขาอีกหลายจุดอย่างทั่วถึง
ครั้นทำการทั้งปวงเสร็จแล้ว ขงเบ้งจึงสั่งให้ม้าต้ายเอาโคมไฟเจ็ดดวงไปแขวนห้อยไว้ที่ปากทางเข้าหุบเขา และสั่งอุยเอี๋ยนให้ออกไปท้ารบกับสุมาอี้อีก กำชับว่าครั้งนี้หากสุมาอี้ให้ทหารออกมาสู้รบ ก็ให้รบถ่วงเวลาไว้จนเวลาพลบค่ำ แล้วแสร้งถอยมาที่โคมไฟเจ็ดดวงซึ่งจุดไว้ที่ปากทางหุบเขาน้ำเต้านั้น
ขงเบ้งได้สั่งการต่อไปให้โกเสียงซึ่งคุมกองเสบียงลำเลียงมาจากเมืองฮันต๋ง จัดขบวนการลำเลียงเสบียงอาหารเสียใหม่ ให้จัดทหารคุมโคกลแบ่งเป็นกอง ๆ กองละห้าตัวบ้าง สิบตัวบ้าง สี่สิบตัวบ้าง ห้าสิบตัวบ้าง แล้วทยอยกันขนเสบียงไปที่หุบเขาน้ำเต้าอย่าให้ขาดสายทุกวัน หากแม้นสุมาอี้ให้ทหารมาโจมตีก็แสร้งวิ่งหนีทิ้งโคกลเสีย เว้นแต่สุมาอี้ยกมาเองก็ให้รุมตีกระหนาบจับตัวสุมาอี้ให้จงได้
สั่งการแล้วขงเบ้งจึงจัดทหารอีกกองหนึ่งยกขึ้นไปตั้งอยู่บนเนินเขาต้นลม คอยสังเกตการณ์ความเคลื่อนไหวของกองทัพสุมาอี้ ฝ่ายแฮหัวโฮและแฮหัวฮุยได้ทราบข่าวจากหน่วยสอดแนมว่า ทหารจ๊กก๊กลำเลียงเสบียงอาหารไปที่หุบเขาน้ำเต้ามิได้ขาด และข้างในหุบเขาก็มีคลังเสบียงใหญ่ มีทหารตั้งค่ายเล็กๆ ดูแลอยู่หลายค่าย ครั้นตกกลางคืนเห็นแต่โคมไฟเจ็ดดวงปักอยู่ปากทางเข้าหุบเขาเท่านั้น จึงนำความไปรายงานแก่สุมาอี้ว่า ขงเบ้งสั่งสมเสบียงมากมายดังนี้ เห็นทีเป็นแผนการทำสงครามยืดเยื้อ หากนานไปราษฎรวุยก๊กเป็นใจเข้าด้วยแล้วจะรับมือกับกองทัพของขงเบ้งได้โดยยาก ชอบที่ท่านแม่ทัพจะคิดอ่านตัดไฟเสียแต่ต้นลม
สุมาอี้ได้ฟังสองแม่ทัพจึงกล่าวว่า เหตุการณ์ประหลาดดังนี้เห็นจะเป็นกลอุบายของขงเบ้งไม่ประการใดก็ประการหนึ่ง ท่านอย่าเพิ่งวู่วาม
สองแม่ทัพยังไม่เคยกล ขงเบ้ง ได้ยินคำสุมาอี้จึงกล่าวว่า ขงเบ้งจะมีกลอุบายแยบยลอะไรหนักหนา สภาพพื้นที่ภูมิประเทศเราก็แจ้งอยู่ ไม่เห็นจะคิดกลศึกประการใดที่ลึกซึ้งได้เลย ข้าพเจ้าสองพี่น้องจะขออาสายกทหารไปยึดเอาเสบียงขงเบ้งเอง.