ตอนที่ 566. อุบาย "ดุลกำลังสามก๊ก
ขงเบ้งสร้างโคกลขึ้นเป็นครั้งแรกในโลก เพื่อแก้ไขปัญหาการลำเลียงเสบียงอาหาร แล้วแสร้งทำกลให้สุมาอี้แย่งชิงตัวอย่างโคกลไปเป็นต้นแบบและสร้างขึ้นใช้ใน การลำเลียงเสบียงอาหารด้วย จากนั้นจึงวางแผนปล้นชิงทั้งโคกล ทั้งเสบียง และทำลายกองทหารของสุมาอี้เป็นจำนวนมาก ในขณะนั้นพระเจ้าโจยอยก็มีหมายรับสั่งแจ้งให้สุมาอี้ทราบว่า พระเจ้าซุนกวนยกกองทัพบุกวุยก๊กเป็นสามทาง
สุมาอี้รับหมายรับสั่งจากข้าหลวงมาอ่านดู ปรากฏความว่าขณะนี้กองทัพเมืองกังตั๋งได้กรีฑาทัพรุกเข้าตีวุยก๊กเป็นสามทาง ทางหนึ่งยกมาตั้งอยู่ที่เมืองกังแฮ ทางหนึ่งจะยกเข้าตีเมืองซงหยง และอีกทางหนึ่งกำลังจะเข้าตีเมืองหับป๋า แต่อย่าให้สุมาอี้วิตกด้วยการศึกทางด้านเมืองกังตั๋ง ไว้เป็นธุระของพระเจ้าโจยอยที่จะยกไปป้องกันและตีโต้กองทัพของง่อก๊กเอง
ในหมายรับสั่งนั้นได้กำชับสุมาอี้เป็นสำคัญว่า “ให้สุมาอี้ตั้งค่ายมั่นไว้ อย่าออกรบพุ่งกับขงเบ้ง เราจะจัดแจงกองทัพยกไปต้านทานซุนกวนไว้ให้ได้”
สุ มาอี้แจ้งความในหมายรับสั่งแล้วก็รู้สึกเป็นทุกข์ใจ ปรากฏว่าสามก๊กทุกฉบับ มิได้ระบุว่าสุมาอี้เป็นทุกข์ใจด้วยเหตุกังวลว่าวุยก๊กจะเป็นอันตราย หรือว่าด้วยเหตุอันใด แต่สามก๊กฉบับวิจารณ์บางฉบับได้ระบุว่า ในน้ำใจลึกของสุมาอี้ที่วิตกทุกข์ใจในครั้งนี้ เพราะรู้ว่าการที่พระเจ้าโจยอยทรงเข้าบัญชาการทหารด้วยพระองค์เอง และยกทหารไปต้านทานกับง่อก๊กในครั้งนี้ จะทำให้พระบารมีของพระเจ้าโจยอยในวงการทหารเกริกก้องเสมอด้วยพระเจ้าวุยอ๋อง โจโฉ และทรงหลุดพ้นจากฐานะที่เป็นฮ่องเต้ซึ่งเอาแต่เสพสุขในราชสำนักแต่อย่าง เดียว ทั้งจะบังเกิดแม่ทัพนายกองที่มีความสามารถประจักษ์ขึ้นในการสงคราม ดังคติโบราณที่ว่าสงครามย่อมสร้างวีรชน และวีรชนย่อมปรากฏตนขึ้นท่ามกลางสถานการณ์วิกฤต ทำให้ฐานอำนาจของสุมาอี้มีคู่แข่งมากขึ้น ยากแก่การสถาปนาอำนาจทางการเมืองอย่างเบ็ดเสร็จในอนาคต ทั้งนี้เพราะสุมาอี้รู้ดีว่าตนเองยังเป็นที่ระแวงพระทัยของพระเจ้าโจยอย อันเป็นผลมาแต่คำตรัสของพระเจ้าวุยอ๋องโจโฉในอดีตซึ่งเปรียบประดุจดังคำสาป ที่ว่า สุมาอี้นี้อย่าให้มีอำนาจทางการทหาร ถ้าหากมีอำนาจทางการทหารขึ้นเมื่อใดแล้วก็จะเป็นขบถต่อแผ่นดิน สุมาอี้ตระหนักดีว่าอำนาจทางการทหารที่มีอยู่ล้วนเป็นผลพวงจากสงครามกับจ๊ก ก๊ก เสร็จสงครามคราวใดอำนาจบัญชาทหารก็จะถูกเรียกกลับคืนทุกครั้งไป ครั้นเกิดสงครามครั้งใหม่ก็จะโปรดเกล้าแต่งตั้งเป็นครั้งคราว เป็นความเจ็บช้ำน้ำใจและความน้อยเนื้อต่ำใจดุจดังหนองที่กลัดอยู่ในอกของสุ มาอี้ และไม่อาจบ่งให้หายโดยเด็ดขาดได้
สุมาอี้เป็นทุกข์ใจแต่มิรู้ที่จะทำประการใดด้วยเป็นหมายรับสั่ง และคาดว่าเวลานี้พระเจ้าโจยอยคงกรีฑาทัพยกไปรับศึกเมืองกังตั๋งแล้ว สุมาอี้จึงได้แต่กำชับทหารให้ตรวจตราระมัดระวังเวรยามป้องกันรักษาค่ายคูและ มิให้ออกรบกับกองทัพของขงเบ้ง
ฝ่ายพระเจ้าโจยอ ย ครั้นได้รับทราบข่าวศึกเมืองกังตั๋งว่ายกกองทัพจะรุกเข้าตีวุยก๊กถึงสามทาง จึงตรัสสั่งให้จัดแจงกองทัพหลวงยกไปต้านทานศึกเมืองกังตั๋งด้วยพระองค์เอง รับสั่งให้จัดกองทัพเป็นสามสาย สายแรกทรงตั้งให้เล่าเซียวเป็นแม่ทัพยกไปต้านทานกองทัพเมืองกังตั๋งทางด้าน เมืองกังแฮ ให้เตียวอี้เป็นแม่ทัพยกทหารไปป้องกันเมืองซงหยง ส่วนพระเจ้าโจยอยเองยกเป็นทัพกษัตริย์ไปป้องกันเมืองหับป๋า และโปรดให้หมันทองเป็นปลัดทัพ ให้มีหน้าที่ตรวจตราลาดตระเวนตามชายทะเล
ครั้นกองทัพของพระเจ้าโจยอยทั้งสามสายยาตราทัพออกไปต้านทานกองทัพเมืองกัง ตั๋งตามพระบัญชา และกองทัพหลวงยกไปถึงเมืองหับป๋าแล้ว พระเจ้าโจยอยจึงตรัสสั่งให้หมันทองออกไปตรวจตราสภาพภูมิประเทศและการข้างกอง ทัพเรือของเมืองกังตั๋ง
ต่อมาหมันทองได้กลับเข้ามาเฝ้าพระเจ้าโจยอยแล้วกราบบังคมทูลว่า ข้าพระองค์ได้พาทหารออกไปลาดตระเวนและสังเกตการณ์กองทัพเรือเมืองกังตั๋ง แล้ว เห็นกองทัพเรือเมืองกังตั๋งเป็นอันมากจอดเรียงรายประดับธงรบอยู่ในทะเลสาป เป็นอันมาก แต่ยังมิได้เตรียมรบ ประหนึ่งว่ากองทัพของเมืองกังตั๋งยกมาถึงก่อน ยังไม่รู้ว่ากองทัพของพระองค์ได้ยกมาถึงแล้ว จึงยังประมาทมิได้กวดขันระมัดระวังเตรียมการรบ
หมัน ทองได้กราบบังคมทูลต่อไปว่า ชอบที่พระองค์จะฉวยเอาโอกาสที่ชาวเมืองกังตั๋งประมาทมิได้เตรียมพร้อมแต่ง กองทัพบก กองทัพเรือ รุกเข้าโจมตีทำลายกองทัพเรือเมืองกังตั๋งเสียให้สิ้น เห็นจะกำจัดศึกทางด้านเมืองหับป๋าได้เป็นมั่นคง
พระ เจ้าโจยอยได้ฟังคำกราบบังคมทูลของหมันทองก็ทรงดีพระทัยและเห็นชอบกับแผนการ ที่หมันทองเสนอ จึงตรัสสั่งให้เตียวกิ๋วจัดทหารเรือห้าพัน นำคบเพลิงดินประสิวสุพรรณถันและเชื้อเพลิงลงเรือเร็วห้าร้อยลำบุกเข้าโจมตี วางเพลิงเผากองทัพเรือเมืองกังตั๋งให้ราบเรียบในเวลาสองยามวันนี้ และตรัสสั่งให้หมันทองจัดแจงทหารสองหมื่นคนยกไปโดยทางบก เข้าปล้นตีค่ายของทหารเมืองกังตั๋งพร้อมกัน
หมันทองและเตียวกิ๋วรับพระบัญชาของพระเจ้าโจยอยแล้วถวายบังคมลาออกไป จัดแจงทหาร และตระเตรียมกองทัพบก กองทัพเรือ พร้อมเชื้อเพลิงฟืนไฟไว้พร้อมสรรพ คอยท่าเวลาตามที่ทรงกำหนด แล้วจะยกเข้าปฏิบัติการพร้อมกัน
ขณะนั้นเป็นช่วงพ้นฤดูฝนย่างเข้าเทศกาลหน้าแล้ง สายลมทะเลเวลาใกล้สองยามค่อย ๆ แรงขึ้นโดยลำดับ กองทัพบก กองทัพเรือของเตียวกิ๋วและหมันทองได้เคลื่อนออกจากที่ตั้งอย่างเงียบกริบ เข้าประชิดกองทัพเรือและค่ายของทหารเมืองกังตั๋ง โดยที่ฝ่ายง่อก๊กมิได้รู้ตัวเลยแม้แต่น้อย
พอเวลาสองยามเตียวกิ๋วก็สั่งให้จุดประทัดสัญญาณขึ้น ทหารเรือทั้งห้าร้อยลำก็ระดมยิงธนูเพลิงใส่กองทัพเรือของเมืองกังตั๋งดังห่า ฝนแล้วจุดไฟขึ้นบนเรือเพลิงทั้งห้าร้อยลำ ปล่อยให้ล่องตามลมเข้าชนกองเรือรบของเมืองกังตั๋งอย่างพร้อมเพรียงกัน บรรดาทหารเรือของวุยก๊กเมื่อจุดเพลิงขึ้นในเรือแล้วก็รีบหนีเพลิงลงเรือใหญ่ แจวถอยไปยกพลขึ้นบกยกไปสมทบกับกองทัพบก
เพลิง จากธนูเพลิงและจากเรือเพลิงลุกไหม้กองเรือรบของเมืองกังตั๋งพร้อม ๆ กันทุกลำ พอไฟลุกขึ้นลมก็ยิ่งแรง ไฟก็ยิ่งกล้า ลมก็ยิ่งกล้าตามขึ้นไป เพียงครู่เดียวแสงเพลิงลุกโชติช่วงท่วมกองเรือเมืองกังตั๋ง แสงสีแดงฉานจับท้องฟ้าดุจเวลากลางวันสว่างไสวไปทั่วทั้งอ่าว ทหารเรือเมืองกังตั๋งไม่ทันรู้เนื้อรู้ตัว แสงเพลิงก็ไหม้ลามมาถึงตัว คิดจะดับเพลิงก็ไม่ทัน จึงพากันกระโดดลงน้ำว่ายกลับเข้าฝั่ง แต่จมน้ำตายและถูกเพลิงไหม้เสียเป็นจำนวนมาก
ฝ่ายกองทัพบกของหมันทอง ครั้นเห็นแสงเพลิงลุกขึ้นทางกองทัพเรือก็สั่งทหารให้ระดมยิงธนูเพลิงเข้าไป ในค่ายของทหารเมืองกังตั๋ง และสั่งทหารให้หักเข้าตีค่ายพร้อมกันทุกค่าย แสงเพลิงที่ลุกขึ้นในค่ายประสานกับเสียงโห่ร้อง เสียงประทัด ฆ้องกลองของทหารวุยก๊กดังลั่นสนั่นไปทั่ว ทหารเมืองกังตั๋งกำลังหลับนอนพักผ่อนด้วยความสุขสบาย ไม่ทันได้รู้ตัวก็พากันแตกตื่นวิ่งหนี ถูกทหารวุยก๊กฆ่าฟันบาดเจ็บล้มตายลงเป็นอันมาก ทหารวุยก๊กได้ยึดศาสตราวุธและจับทหารง่อก๊กเป็นเชลยนับไม่ถ้วน กองทัพง่อก๊กด้านที่ยกจะมาตีเมืองหับป๋าจึงต้องแตกหนีไปอย่างไม่เป็นท่า
ฝ่าย จูกัดกิ๋นซึ่งคุมกองทัพง่อก๊กยกไปทางด้านเมืองกังแฮ ครั้นทราบข่าวว่า กองทัพสายที่ยกไปตีเมืองหับป๋าเสียทีแก่กองทัพวุยก๊กแตก ถอยกลับสิ้นแล้วก็ตกใจ ไม่กล้ายกกองทัพรุดหน้าต่อไป สั่งให้ตั้งมั่นระวังตัวแล้วรีบเดินทางไปหาลกซุนซึ่งคุมกองทัพสายที่จะยกไป ตีเมืองซงหยง
ในขณะนั้นลกซุนตั้ง กองทัพอยู่ที่ตำบลแฮเค้า มิได้ยกกองทัพคืบหน้าไป เพราะในน้ำใจลกซุนนั้นไม่ประสงค์ที่จะยกกองทัพไปตีวุยก๊กตามที่ขงเบ้งได้ ร้องขอมายัง พระเจ้าซุนกวน ด้วยตระหนักว่าถ้ามาตรแม้นขงเบ้งทำการสำเร็จ ทั้งจ๊กก๊กและง่อก๊กร่วมกันตีวุยก๊กแตกสลายไปแล้ว จ๊กก๊กซึ่งเป็นก๊กใหญ่ มีทหารซึ่งมีสติปัญญาและฝีมือเป็นอันมากก็จะตั้งตนเป็นใหญ่แต่ก๊กเดียว ง่อก๊กซึ่งมีกำลังน้อยกว่าไหนเลยจะต้านทานอำนาจของจ๊กก๊กได้ เห็นจะต้องยอมสวามิภักดิ์หรือโอนอ่อนตามจ๊กก๊ก ดุจดังเมื่อครั้งที่พระเจ้าซุนกวนเคยอ่อนน้อมต่อพระเจ้าวุยอ๋องโจโฉ ถึงวันนั้นแล้วสัญญาที่ ขงเบ้งให้ไว้ว่าจะแบ่งแผ่นดินวุยก๊กให้ครึ่งหนึ่งก็ย่อมไม่มีผลบังคับแต่ ประการใด การดำรงสถานการณ์ที่เป็นสามก๊กให้ต่างก๊กต่างคานกัน ไม่ขึ้นต่อกันดังที่เป็นอยู่นี้จะเป็นประโยชน์แก่ง่อก๊กยิ่งกว่า ดังนั้นแม้ได้รับรับสั่งให้คุมกองทัพไปตีเมืองซงหยง แต่ ลกซุนก็แสร้งหน่วงเหนี่ยวเดินทัพอย่างเชื่องช้า หาได้ตั้งใจตีเมืองซงหยงจริง ๆ ไม่ และหวังว่าวันเวลาที่ผ่านไปเมื่อกองทัพจ๊กก๊กที่ตำบลเขากิสานขาดเสบียงลง แล้ว ขงเบ้งก็ย่อมต้องถอยทัพ ถึงเวลานั้นก็จะอ้างเป็นเหตุยกทัพกลับคืนเมืองกังตั๋งบ้าง
ครั้นลกซุนทราบว่าจูกัดกิ๋นมาหาถึงค่ายก็ออกไปต้อนรับคำนับทักทายตามประเพณี แล้วเชิญจูกัดกิ๋นเข้ามาสนทนากันในค่ายหลวง ลกซุนได้ฟังข่าวคราวด้านเมืองหับป๋าจากจูกัดกิ๋นแล้ว ในน้ำใจลึกของลกซุนก็มีความยินดี แล้วคิดว่าแผนการบุกวุยก๊กของง่อก๊กครั้งนี้ได้ล้มครืนลงมาแล้ว แต่เพื่อริดรอนกำลังทหารของวุยก๊กก็ชอบที่จะทำลายกองทัพวุยก๊กบางส่วนเสีย ก่อนที่จะถอยทัพ
ดังนั้นลกซุนจึงกล่าวกับ จูกัดกิ๋นว่า ข้าพเจ้าเห็นว่าซึ่งจะตีกองทัพวุยก๊กที่ยกมา สกัดกองทัพง่อก๊กในครั้งนี้ ชอบที่จะรวมศูนย์กำลังเข้าตีกองทัพพระเจ้าโจยอย เพราะเมื่อกองทัพหลวงของวุยก๊กต้องแตกพ่ายไปแล้วก็จะทำการต่อไปได้โดยสะดวก ข้าพเจ้าจะแต่งฎีกากราบทูลพระเจ้าซุนกวนซึ่งตั้งอยู่ ณ เมืองซินเสียให้ยกกองทัพอ้อมไปสกัดเส้นทางถอยของกองทัพพระเจ้าโจยอยทางด้าน หลัง ข้าพเจ้าจะยกกองทัพตีกระหนาบเข้าไปทางด้านหน้า กองทัพของพระเจ้าโจยอยเห็นจะแตกพ่ายไปเป็นมั่นคง
จูกัดกิ๋นและแม่ทัพนายกองทั้งปวงได้ฟังแผนการของลกซุนก็เห็นชอบพร้อมกัน ลกซุนจึงแต่งฎีกาและใช้ให้ม้าเร็วถือไปส่งแก่กองทัพของพระเจ้าซุนกวนซึ่ง ตั้งอยู่ที่เมืองซินเสีย
แต่สวรรค์ไม่เข้าข้างง่อก๊ก ครั้นม้าเร็วถือฎีกาของลกซุนใกล้จะถึงเมืองซินเสีย ก็เผชิญหน้ากับกองทหารลาดตระเวนระยะไกลของวุยก๊ก กองลาดตระเวนเห็นเป็นพิรุธจึงจับตัวม้าเร็วไว้ เมื่อค้นตัวก็พบฎีกาของลกซุน จึงคุมตัวม้าเร็วกลับไปที่เมืองหับป๋า แล้วนำฎีกานั้นเข้าไปทูลเกล้าถวายพระเจ้าโจยอย
พระเจ้าโจยอยทอดพระเนตรฎีกาของลกซุนแล้วตกพระทัย ตรัสว่าสติปัญญาความคิดอ่านของลกซุนลึกซึ้งหลักแหลมนัก เดชะบุญที่จับตัวม้าเร็วได้ทำให้เราล่วงรู้ความลับก่อน หาไม่แล้วกองทัพเราเห็นจะเป็นอันตรายเป็นมั่นคง ตรัสแล้วจึงรับสั่งให้จำขังม้าเร็วเอาไว้ก่อน
ครั้น ทหารคุมตัวม้าเร็วออกไปแล้ว พระเจ้าโจยอยจึงมีหมายรับสั่งให้ม้าเร็วนำไปมอบแก่เล่าเซียวซึ่งยกไปสกัดกอง ทัพจ๊กก๊กทางด้านเมืองกังแฮ ให้ยกกองทัพไปตั้งสกัดทางกองทัพลกซุนไว้ อย่าให้กองทัพเมืองกังตั๋งยกอ้อมไปทางด้านหลังกองทัพของพระเจ้าโจยอยได้
ฝ่ายจูกัดกิ๋นหลังจากปรึกษากับลกซุนแล้วจึงเดินทางกลับไปที่ค่ายเมืองกังแฮ ครั้นได้ทราบว่าทหารวุยก๊กสายที่ยกมาเมืองกังแฮได้ล่าถอยกลับไปแล้ว จึงสั่งให้ล่าทัพถอยมาตั้งค่ายห่างจากที่เดิมสองร้อยเส้น แต่ขณะนั้นเป็นเทศกาลแล้งจัด ทั้งการลำเลียงเสบียงอาหารขาดความเป็นระบบ ทหารเมืองกังตั๋งขาดแคลนเสบียงอาหาร อดข้าวอดน้ำ อิดโรยป่วยเจ็บล้มตายลงเป็นอันมาก จูกัดกิ๋นจึงแต่งหนังสือให้ม้าเร็วถือไปให้แก่ลกซุนที่ค่ายแฮเค้าว่า สภาพการณ์บัดนี้เห็นทีจะยกเข้าตีวุยก๊กไม่สำเร็จ อย่าให้ได้ยากแก่ไพร่พลสืบไป ชอบที่ท่านแม่ทัพจะขอรับพระบรมราชานุญาตจากพระเจ้าซุนกวนเลิกทัพกลับไปเมือง กังตั๋ง
ลกซุนได้รับหนังสือของจูกัดกิ๋นแล้ว ทำทีเป็นทองไม่รู้ร้อน แสร้งบอกกับม้าเร็วให้กลับไปบอกแก่จูกัดกิ๋นว่า อย่าเพ่อยกทัพกลับเมืองกังตั๋ง ให้ตั้งมั่นอยู่ในที่เดิมก่อน การทั้งปวงนั้นเราได้เตรียมไว้พร้อมแล้ว
จูกัด กิ๋นทราบความก็ประหลาดใจ จึงซักไซร้ไล่เลียงกับม้าเร็วว่าเจ้าเห็นลกซุนทำการประการใดบ้าง ม้าเร็วได้แจ้งว่ามิได้เห็นลกซุนทำการประการใด เห็นแต่ให้ทหารปลูกถั่วปลูกมันและผักไว้ริมค่ายเป็นอันมาก ตัวลกซุนเองแต่ละวันเอาแต่ออกกำลังกายร่ายรำเพลงกระบี่กับทหารอยู่ที่ด้าน หน้าค่าย.
สุมาอี้รับหมายรับสั่งจากข้าหลวงมาอ่านดู ปรากฏความว่าขณะนี้กองทัพเมืองกังตั๋งได้กรีฑาทัพรุกเข้าตีวุยก๊กเป็นสามทาง ทางหนึ่งยกมาตั้งอยู่ที่เมืองกังแฮ ทางหนึ่งจะยกเข้าตีเมืองซงหยง และอีกทางหนึ่งกำลังจะเข้าตีเมืองหับป๋า แต่อย่าให้สุมาอี้วิตกด้วยการศึกทางด้านเมืองกังตั๋ง ไว้เป็นธุระของพระเจ้าโจยอยที่จะยกไปป้องกันและตีโต้กองทัพของง่อก๊กเอง
ในหมายรับสั่งนั้นได้กำชับสุมาอี้เป็นสำคัญว่า “ให้สุมาอี้ตั้งค่ายมั่นไว้ อย่าออกรบพุ่งกับขงเบ้ง เราจะจัดแจงกองทัพยกไปต้านทานซุนกวนไว้ให้ได้”
สุ มาอี้แจ้งความในหมายรับสั่งแล้วก็รู้สึกเป็นทุกข์ใจ ปรากฏว่าสามก๊กทุกฉบับ มิได้ระบุว่าสุมาอี้เป็นทุกข์ใจด้วยเหตุกังวลว่าวุยก๊กจะเป็นอันตราย หรือว่าด้วยเหตุอันใด แต่สามก๊กฉบับวิจารณ์บางฉบับได้ระบุว่า ในน้ำใจลึกของสุมาอี้ที่วิตกทุกข์ใจในครั้งนี้ เพราะรู้ว่าการที่พระเจ้าโจยอยทรงเข้าบัญชาการทหารด้วยพระองค์เอง และยกทหารไปต้านทานกับง่อก๊กในครั้งนี้ จะทำให้พระบารมีของพระเจ้าโจยอยในวงการทหารเกริกก้องเสมอด้วยพระเจ้าวุยอ๋อง โจโฉ และทรงหลุดพ้นจากฐานะที่เป็นฮ่องเต้ซึ่งเอาแต่เสพสุขในราชสำนักแต่อย่าง เดียว ทั้งจะบังเกิดแม่ทัพนายกองที่มีความสามารถประจักษ์ขึ้นในการสงคราม ดังคติโบราณที่ว่าสงครามย่อมสร้างวีรชน และวีรชนย่อมปรากฏตนขึ้นท่ามกลางสถานการณ์วิกฤต ทำให้ฐานอำนาจของสุมาอี้มีคู่แข่งมากขึ้น ยากแก่การสถาปนาอำนาจทางการเมืองอย่างเบ็ดเสร็จในอนาคต ทั้งนี้เพราะสุมาอี้รู้ดีว่าตนเองยังเป็นที่ระแวงพระทัยของพระเจ้าโจยอย อันเป็นผลมาแต่คำตรัสของพระเจ้าวุยอ๋องโจโฉในอดีตซึ่งเปรียบประดุจดังคำสาป ที่ว่า สุมาอี้นี้อย่าให้มีอำนาจทางการทหาร ถ้าหากมีอำนาจทางการทหารขึ้นเมื่อใดแล้วก็จะเป็นขบถต่อแผ่นดิน สุมาอี้ตระหนักดีว่าอำนาจทางการทหารที่มีอยู่ล้วนเป็นผลพวงจากสงครามกับจ๊ก ก๊ก เสร็จสงครามคราวใดอำนาจบัญชาทหารก็จะถูกเรียกกลับคืนทุกครั้งไป ครั้นเกิดสงครามครั้งใหม่ก็จะโปรดเกล้าแต่งตั้งเป็นครั้งคราว เป็นความเจ็บช้ำน้ำใจและความน้อยเนื้อต่ำใจดุจดังหนองที่กลัดอยู่ในอกของสุ มาอี้ และไม่อาจบ่งให้หายโดยเด็ดขาดได้
สุมาอี้เป็นทุกข์ใจแต่มิรู้ที่จะทำประการใดด้วยเป็นหมายรับสั่ง และคาดว่าเวลานี้พระเจ้าโจยอยคงกรีฑาทัพยกไปรับศึกเมืองกังตั๋งแล้ว สุมาอี้จึงได้แต่กำชับทหารให้ตรวจตราระมัดระวังเวรยามป้องกันรักษาค่ายคูและ มิให้ออกรบกับกองทัพของขงเบ้ง
ฝ่ายพระเจ้าโจยอ ย ครั้นได้รับทราบข่าวศึกเมืองกังตั๋งว่ายกกองทัพจะรุกเข้าตีวุยก๊กถึงสามทาง จึงตรัสสั่งให้จัดแจงกองทัพหลวงยกไปต้านทานศึกเมืองกังตั๋งด้วยพระองค์เอง รับสั่งให้จัดกองทัพเป็นสามสาย สายแรกทรงตั้งให้เล่าเซียวเป็นแม่ทัพยกไปต้านทานกองทัพเมืองกังตั๋งทางด้าน เมืองกังแฮ ให้เตียวอี้เป็นแม่ทัพยกทหารไปป้องกันเมืองซงหยง ส่วนพระเจ้าโจยอยเองยกเป็นทัพกษัตริย์ไปป้องกันเมืองหับป๋า และโปรดให้หมันทองเป็นปลัดทัพ ให้มีหน้าที่ตรวจตราลาดตระเวนตามชายทะเล
ครั้นกองทัพของพระเจ้าโจยอยทั้งสามสายยาตราทัพออกไปต้านทานกองทัพเมืองกัง ตั๋งตามพระบัญชา และกองทัพหลวงยกไปถึงเมืองหับป๋าแล้ว พระเจ้าโจยอยจึงตรัสสั่งให้หมันทองออกไปตรวจตราสภาพภูมิประเทศและการข้างกอง ทัพเรือของเมืองกังตั๋ง
ต่อมาหมันทองได้กลับเข้ามาเฝ้าพระเจ้าโจยอยแล้วกราบบังคมทูลว่า ข้าพระองค์ได้พาทหารออกไปลาดตระเวนและสังเกตการณ์กองทัพเรือเมืองกังตั๋ง แล้ว เห็นกองทัพเรือเมืองกังตั๋งเป็นอันมากจอดเรียงรายประดับธงรบอยู่ในทะเลสาป เป็นอันมาก แต่ยังมิได้เตรียมรบ ประหนึ่งว่ากองทัพของเมืองกังตั๋งยกมาถึงก่อน ยังไม่รู้ว่ากองทัพของพระองค์ได้ยกมาถึงแล้ว จึงยังประมาทมิได้กวดขันระมัดระวังเตรียมการรบ
หมัน ทองได้กราบบังคมทูลต่อไปว่า ชอบที่พระองค์จะฉวยเอาโอกาสที่ชาวเมืองกังตั๋งประมาทมิได้เตรียมพร้อมแต่ง กองทัพบก กองทัพเรือ รุกเข้าโจมตีทำลายกองทัพเรือเมืองกังตั๋งเสียให้สิ้น เห็นจะกำจัดศึกทางด้านเมืองหับป๋าได้เป็นมั่นคง
พระ เจ้าโจยอยได้ฟังคำกราบบังคมทูลของหมันทองก็ทรงดีพระทัยและเห็นชอบกับแผนการ ที่หมันทองเสนอ จึงตรัสสั่งให้เตียวกิ๋วจัดทหารเรือห้าพัน นำคบเพลิงดินประสิวสุพรรณถันและเชื้อเพลิงลงเรือเร็วห้าร้อยลำบุกเข้าโจมตี วางเพลิงเผากองทัพเรือเมืองกังตั๋งให้ราบเรียบในเวลาสองยามวันนี้ และตรัสสั่งให้หมันทองจัดแจงทหารสองหมื่นคนยกไปโดยทางบก เข้าปล้นตีค่ายของทหารเมืองกังตั๋งพร้อมกัน
หมันทองและเตียวกิ๋วรับพระบัญชาของพระเจ้าโจยอยแล้วถวายบังคมลาออกไป จัดแจงทหาร และตระเตรียมกองทัพบก กองทัพเรือ พร้อมเชื้อเพลิงฟืนไฟไว้พร้อมสรรพ คอยท่าเวลาตามที่ทรงกำหนด แล้วจะยกเข้าปฏิบัติการพร้อมกัน
ขณะนั้นเป็นช่วงพ้นฤดูฝนย่างเข้าเทศกาลหน้าแล้ง สายลมทะเลเวลาใกล้สองยามค่อย ๆ แรงขึ้นโดยลำดับ กองทัพบก กองทัพเรือของเตียวกิ๋วและหมันทองได้เคลื่อนออกจากที่ตั้งอย่างเงียบกริบ เข้าประชิดกองทัพเรือและค่ายของทหารเมืองกังตั๋ง โดยที่ฝ่ายง่อก๊กมิได้รู้ตัวเลยแม้แต่น้อย
พอเวลาสองยามเตียวกิ๋วก็สั่งให้จุดประทัดสัญญาณขึ้น ทหารเรือทั้งห้าร้อยลำก็ระดมยิงธนูเพลิงใส่กองทัพเรือของเมืองกังตั๋งดังห่า ฝนแล้วจุดไฟขึ้นบนเรือเพลิงทั้งห้าร้อยลำ ปล่อยให้ล่องตามลมเข้าชนกองเรือรบของเมืองกังตั๋งอย่างพร้อมเพรียงกัน บรรดาทหารเรือของวุยก๊กเมื่อจุดเพลิงขึ้นในเรือแล้วก็รีบหนีเพลิงลงเรือใหญ่ แจวถอยไปยกพลขึ้นบกยกไปสมทบกับกองทัพบก
เพลิง จากธนูเพลิงและจากเรือเพลิงลุกไหม้กองเรือรบของเมืองกังตั๋งพร้อม ๆ กันทุกลำ พอไฟลุกขึ้นลมก็ยิ่งแรง ไฟก็ยิ่งกล้า ลมก็ยิ่งกล้าตามขึ้นไป เพียงครู่เดียวแสงเพลิงลุกโชติช่วงท่วมกองเรือเมืองกังตั๋ง แสงสีแดงฉานจับท้องฟ้าดุจเวลากลางวันสว่างไสวไปทั่วทั้งอ่าว ทหารเรือเมืองกังตั๋งไม่ทันรู้เนื้อรู้ตัว แสงเพลิงก็ไหม้ลามมาถึงตัว คิดจะดับเพลิงก็ไม่ทัน จึงพากันกระโดดลงน้ำว่ายกลับเข้าฝั่ง แต่จมน้ำตายและถูกเพลิงไหม้เสียเป็นจำนวนมาก
ฝ่ายกองทัพบกของหมันทอง ครั้นเห็นแสงเพลิงลุกขึ้นทางกองทัพเรือก็สั่งทหารให้ระดมยิงธนูเพลิงเข้าไป ในค่ายของทหารเมืองกังตั๋ง และสั่งทหารให้หักเข้าตีค่ายพร้อมกันทุกค่าย แสงเพลิงที่ลุกขึ้นในค่ายประสานกับเสียงโห่ร้อง เสียงประทัด ฆ้องกลองของทหารวุยก๊กดังลั่นสนั่นไปทั่ว ทหารเมืองกังตั๋งกำลังหลับนอนพักผ่อนด้วยความสุขสบาย ไม่ทันได้รู้ตัวก็พากันแตกตื่นวิ่งหนี ถูกทหารวุยก๊กฆ่าฟันบาดเจ็บล้มตายลงเป็นอันมาก ทหารวุยก๊กได้ยึดศาสตราวุธและจับทหารง่อก๊กเป็นเชลยนับไม่ถ้วน กองทัพง่อก๊กด้านที่ยกจะมาตีเมืองหับป๋าจึงต้องแตกหนีไปอย่างไม่เป็นท่า
ฝ่าย จูกัดกิ๋นซึ่งคุมกองทัพง่อก๊กยกไปทางด้านเมืองกังแฮ ครั้นทราบข่าวว่า กองทัพสายที่ยกไปตีเมืองหับป๋าเสียทีแก่กองทัพวุยก๊กแตก ถอยกลับสิ้นแล้วก็ตกใจ ไม่กล้ายกกองทัพรุดหน้าต่อไป สั่งให้ตั้งมั่นระวังตัวแล้วรีบเดินทางไปหาลกซุนซึ่งคุมกองทัพสายที่จะยกไป ตีเมืองซงหยง
ในขณะนั้นลกซุนตั้ง กองทัพอยู่ที่ตำบลแฮเค้า มิได้ยกกองทัพคืบหน้าไป เพราะในน้ำใจลกซุนนั้นไม่ประสงค์ที่จะยกกองทัพไปตีวุยก๊กตามที่ขงเบ้งได้ ร้องขอมายัง พระเจ้าซุนกวน ด้วยตระหนักว่าถ้ามาตรแม้นขงเบ้งทำการสำเร็จ ทั้งจ๊กก๊กและง่อก๊กร่วมกันตีวุยก๊กแตกสลายไปแล้ว จ๊กก๊กซึ่งเป็นก๊กใหญ่ มีทหารซึ่งมีสติปัญญาและฝีมือเป็นอันมากก็จะตั้งตนเป็นใหญ่แต่ก๊กเดียว ง่อก๊กซึ่งมีกำลังน้อยกว่าไหนเลยจะต้านทานอำนาจของจ๊กก๊กได้ เห็นจะต้องยอมสวามิภักดิ์หรือโอนอ่อนตามจ๊กก๊ก ดุจดังเมื่อครั้งที่พระเจ้าซุนกวนเคยอ่อนน้อมต่อพระเจ้าวุยอ๋องโจโฉ ถึงวันนั้นแล้วสัญญาที่ ขงเบ้งให้ไว้ว่าจะแบ่งแผ่นดินวุยก๊กให้ครึ่งหนึ่งก็ย่อมไม่มีผลบังคับแต่ ประการใด การดำรงสถานการณ์ที่เป็นสามก๊กให้ต่างก๊กต่างคานกัน ไม่ขึ้นต่อกันดังที่เป็นอยู่นี้จะเป็นประโยชน์แก่ง่อก๊กยิ่งกว่า ดังนั้นแม้ได้รับรับสั่งให้คุมกองทัพไปตีเมืองซงหยง แต่ ลกซุนก็แสร้งหน่วงเหนี่ยวเดินทัพอย่างเชื่องช้า หาได้ตั้งใจตีเมืองซงหยงจริง ๆ ไม่ และหวังว่าวันเวลาที่ผ่านไปเมื่อกองทัพจ๊กก๊กที่ตำบลเขากิสานขาดเสบียงลง แล้ว ขงเบ้งก็ย่อมต้องถอยทัพ ถึงเวลานั้นก็จะอ้างเป็นเหตุยกทัพกลับคืนเมืองกังตั๋งบ้าง
ครั้นลกซุนทราบว่าจูกัดกิ๋นมาหาถึงค่ายก็ออกไปต้อนรับคำนับทักทายตามประเพณี แล้วเชิญจูกัดกิ๋นเข้ามาสนทนากันในค่ายหลวง ลกซุนได้ฟังข่าวคราวด้านเมืองหับป๋าจากจูกัดกิ๋นแล้ว ในน้ำใจลึกของลกซุนก็มีความยินดี แล้วคิดว่าแผนการบุกวุยก๊กของง่อก๊กครั้งนี้ได้ล้มครืนลงมาแล้ว แต่เพื่อริดรอนกำลังทหารของวุยก๊กก็ชอบที่จะทำลายกองทัพวุยก๊กบางส่วนเสีย ก่อนที่จะถอยทัพ
ดังนั้นลกซุนจึงกล่าวกับ จูกัดกิ๋นว่า ข้าพเจ้าเห็นว่าซึ่งจะตีกองทัพวุยก๊กที่ยกมา สกัดกองทัพง่อก๊กในครั้งนี้ ชอบที่จะรวมศูนย์กำลังเข้าตีกองทัพพระเจ้าโจยอย เพราะเมื่อกองทัพหลวงของวุยก๊กต้องแตกพ่ายไปแล้วก็จะทำการต่อไปได้โดยสะดวก ข้าพเจ้าจะแต่งฎีกากราบทูลพระเจ้าซุนกวนซึ่งตั้งอยู่ ณ เมืองซินเสียให้ยกกองทัพอ้อมไปสกัดเส้นทางถอยของกองทัพพระเจ้าโจยอยทางด้าน หลัง ข้าพเจ้าจะยกกองทัพตีกระหนาบเข้าไปทางด้านหน้า กองทัพของพระเจ้าโจยอยเห็นจะแตกพ่ายไปเป็นมั่นคง
จูกัดกิ๋นและแม่ทัพนายกองทั้งปวงได้ฟังแผนการของลกซุนก็เห็นชอบพร้อมกัน ลกซุนจึงแต่งฎีกาและใช้ให้ม้าเร็วถือไปส่งแก่กองทัพของพระเจ้าซุนกวนซึ่ง ตั้งอยู่ที่เมืองซินเสีย
แต่สวรรค์ไม่เข้าข้างง่อก๊ก ครั้นม้าเร็วถือฎีกาของลกซุนใกล้จะถึงเมืองซินเสีย ก็เผชิญหน้ากับกองทหารลาดตระเวนระยะไกลของวุยก๊ก กองลาดตระเวนเห็นเป็นพิรุธจึงจับตัวม้าเร็วไว้ เมื่อค้นตัวก็พบฎีกาของลกซุน จึงคุมตัวม้าเร็วกลับไปที่เมืองหับป๋า แล้วนำฎีกานั้นเข้าไปทูลเกล้าถวายพระเจ้าโจยอย
พระเจ้าโจยอยทอดพระเนตรฎีกาของลกซุนแล้วตกพระทัย ตรัสว่าสติปัญญาความคิดอ่านของลกซุนลึกซึ้งหลักแหลมนัก เดชะบุญที่จับตัวม้าเร็วได้ทำให้เราล่วงรู้ความลับก่อน หาไม่แล้วกองทัพเราเห็นจะเป็นอันตรายเป็นมั่นคง ตรัสแล้วจึงรับสั่งให้จำขังม้าเร็วเอาไว้ก่อน
ครั้น ทหารคุมตัวม้าเร็วออกไปแล้ว พระเจ้าโจยอยจึงมีหมายรับสั่งให้ม้าเร็วนำไปมอบแก่เล่าเซียวซึ่งยกไปสกัดกอง ทัพจ๊กก๊กทางด้านเมืองกังแฮ ให้ยกกองทัพไปตั้งสกัดทางกองทัพลกซุนไว้ อย่าให้กองทัพเมืองกังตั๋งยกอ้อมไปทางด้านหลังกองทัพของพระเจ้าโจยอยได้
ฝ่ายจูกัดกิ๋นหลังจากปรึกษากับลกซุนแล้วจึงเดินทางกลับไปที่ค่ายเมืองกังแฮ ครั้นได้ทราบว่าทหารวุยก๊กสายที่ยกมาเมืองกังแฮได้ล่าถอยกลับไปแล้ว จึงสั่งให้ล่าทัพถอยมาตั้งค่ายห่างจากที่เดิมสองร้อยเส้น แต่ขณะนั้นเป็นเทศกาลแล้งจัด ทั้งการลำเลียงเสบียงอาหารขาดความเป็นระบบ ทหารเมืองกังตั๋งขาดแคลนเสบียงอาหาร อดข้าวอดน้ำ อิดโรยป่วยเจ็บล้มตายลงเป็นอันมาก จูกัดกิ๋นจึงแต่งหนังสือให้ม้าเร็วถือไปให้แก่ลกซุนที่ค่ายแฮเค้าว่า สภาพการณ์บัดนี้เห็นทีจะยกเข้าตีวุยก๊กไม่สำเร็จ อย่าให้ได้ยากแก่ไพร่พลสืบไป ชอบที่ท่านแม่ทัพจะขอรับพระบรมราชานุญาตจากพระเจ้าซุนกวนเลิกทัพกลับไปเมือง กังตั๋ง
ลกซุนได้รับหนังสือของจูกัดกิ๋นแล้ว ทำทีเป็นทองไม่รู้ร้อน แสร้งบอกกับม้าเร็วให้กลับไปบอกแก่จูกัดกิ๋นว่า อย่าเพ่อยกทัพกลับเมืองกังตั๋ง ให้ตั้งมั่นอยู่ในที่เดิมก่อน การทั้งปวงนั้นเราได้เตรียมไว้พร้อมแล้ว
จูกัด กิ๋นทราบความก็ประหลาดใจ จึงซักไซร้ไล่เลียงกับม้าเร็วว่าเจ้าเห็นลกซุนทำการประการใดบ้าง ม้าเร็วได้แจ้งว่ามิได้เห็นลกซุนทำการประการใด เห็นแต่ให้ทหารปลูกถั่วปลูกมันและผักไว้ริมค่ายเป็นอันมาก ตัวลกซุนเองแต่ละวันเอาแต่ออกกำลังกายร่ายรำเพลงกระบี่กับทหารอยู่ที่ด้าน หน้าค่าย.