ตอนที่ 563. เทพแห่งดาวไถ

ยุทธการครั้งแรกในศึกวุยก๊กครั้งที่หก ขงเบ้งต้องปราชัยเพราะฝ่ายจ๊กก๊กพลั้งเผลอเผยร่องรอยของแผนการจากการที่ทหาร ตัดไม้ไผ่ไปทำแพ ทำให้สุมาอี้อ่านแผนการอุบายของขงเบ้งได้ ครั้นจะเริ่มยุทธการครั้งที่สองสุมาอี้แต่งกลอุบายใช้แต้บุ๋นมาเป็นไส้ศึก แต่ร่องรอยกลับปรากฏขึ้นจากฝีมือการรบพุ่งของแต้บุ๋นกับจีนเบ้ง ขงเบ้งจึง คิดซ้อนกลให้กิตุ้นถือหนังสือของแต้บุ๋นไปให้สุมาอี้ 

            สุมาอี้ได้รับหนังสือของแต้บุ๋นจากกิตุ้นแล้ว กริ่งว่าจะเป็นกลอุบายของขงเบ้งซ้อนกลมา จึงซักไซร้ไล่เลียงกิตุ้นว่าพื้นเพเดิมอยู่ในเมืองลกเอี๋ยงตำบลใด คบหาสมาคมกับ  แต้บุ๋นเป็นประการใด แล้วเหตุใดจึงพลัดหลงเข้าไปเป็นทหารเลวอยู่ในเมืองเสฉวน

            กิตุ้นได้รับคำแนะนำกลโต้ตอบกับสุมาอี้จากขงเบ้งมาเป็นอย่างดีแล้ว จึงสามารถตอบโต้คำถามของสุมาอี้ได้อย่างกระจ่างแจ้ง มิหนำซ้ำยังแสร้งทำตีสีหน้าและแววตาชื่นชมยินดีที่ได้มาพบกับสุมาอี้ เป็นทำนองชื่นชมบุญบารมีเป็นยิ่งนัก

            สุมา อี้มีวิสัยรอบคอบถี่ถ้วน ฟังคำให้การไต่สวนถ้วนกระบวนความ แม้ไม่เห็นพิรุธร่องรอยก็ยังไม่วางใจ จับจ้องมองหน้าและสายตาของกิตุ้นวนไปเวียนมาเป็นหลายหน ประดุจสุนัขจิ้งจอกยามระแวงภัยก็ไม่ปาน แต่ครั้นเห็นแววตาและใบหน้าของกิตุ้นแสดงความชื่นชมยินดีที่ได้พบผู้มีบุญ บารมีก็เกิดความอิ่มเอิบขึ้นในใจ ชั่ววูบที่ความระวังตัวขาดห้วงลงเท่านั้น สุมาอี้ก็รู้สึกว่ากิตุ้นผู้นี้เป็นคนมีน้ำใสใจจริง เห็นจะรับการไหว้วานจากแต้บุ๋นมาโดยสุจริต จึงเปิดจดหมายของแต้บุ๋นออกอ่านดู

            ครั้นทราบความตามหนังสือของแต้บุ๋นแล้ว สุมาอี้นยังคงใช้ความรอบคอบรัดกุมตรวจสอบลายมือพู่กันของแต้บุ๋นโดยละเอียด ถี่ถ้วนหลายครั้งหลายรอบ จำได้มั่นคงว่าเป็นลายมือของแต้บุ๋นแน่นอนแล้วก็มีความยินดี

            สุมาอี้จึงกล่าวกับกิตุ้นว่า “ท่าน จงกลับไปบอกแต้บุ๋นให้เตรียมการไว้จงพร้อม พรุ่งนี้เวลาสองยามเราจะยกไปปล้นค่ายขงเบ้งให้ได้ แม้สำเร็จการครั้งนี้เราจะตั้งให้ท่านเป็นนายทหารเอก”

            กิตุ้นได้ยินคำสุมาอี้ดังนั้นก็คำนับรับคำแล้วกล่าวว่า ข้าพเจ้าจะรีบนำความไปบอกแต้บุ๋น และขอถือเอาท่านเป็นที่พึ่งสืบไป ในขณะกล่าวความกิตุ้นก็จ้องมองหน้าสุมาอี้ด้วย สีหน้าและแววตาที่ชื่นชมเป็นล้นพ้น ทำให้สุมาอี้มีความเบิกบานมั่นใจเป็นยิ่งนัก ราวกับสุนัขจิ้งจอกเห็นเหยื่ออยู่ในระยะโจมตีฉะนั้น

            กิตุ้นลาสุมาอี้เดินทางกลับไปค่ายแล้วนำความไปรายงานให้ขงเบ้งทราบทุกประการ

            ขงเบ้งทราบความจากกิตุ้นแล้วก็มีความยินดี ซักไซร้ไล่เลียงถ้อยคำซึ่งสุมาอี้ซักไซร้ไต่ถามกิตุ้นทุกประการ และไต่ถามถึงการตีสีหน้าและแววตาของกิตุ้น ตลอดจนสีหน้าและแววตาของสุมาอี้ที่กิตุ้นได้ประจักษ์ กิตุ้นก็เล่าความโดยละเอียดให้ขงเบ้งทราบทุกประการ แล้วกล่าวกับกิตุ้นว่าความชอบของท่านครั้งนี้ใหญ่หลวงนัก ราชการสำเร็จแล้วเราจะปูนบำเหน็จให้สมแก่ความชอบของท่าน

            วัน รุ่งขึ้นขงเบ้งจึงเรียกอองเป๋ง เตียวหงี ม้าตง ม้าต้าย อุยเอี๋ยนและเกียงอุย เข้ามารับคำสั่ง กำหนดแผนการยุทธ์เป็นการลับ แล้วกำชับให้นายทหารเอกแต่ละคนปฏิบัติตามแผนการที่สั่งไว้อย่างเคร่งครัด นายทหารทั้งหกคนได้รับคำสั่งลับของขงเบ้งแล้วจึงพากันออกไปจัดแจงเตรียมการ ตามคำสั่ง

            ครั้นเวลาใกล้พลบค่ำ ขงเบ้งอาบน้ำชำระกายสยายผม แต่งตัวในชุดนักพรตแห่งลัทธิเต๋า ตั้งการพิธีบวงสรวงพระวายุเทพทั้งหกซึ่งเป็นเจ้าแห่งพายุ ปักธงดาวไถซึ่งเป็นกลุ่มดาวอันเป็นที่สิงสถิตของเทพแห่งวายุทั้งหกองค์ไว้ หน้าแท่นพิธี

            ขงเบ้งเอากระบี่อาญาสิทธิ์ชู ขึ้นฟ้า ก้าวเท้าไปตามตำแหน่งดาวไถ ร่ายมนต์ไปมาเป็นหลายตลบ แล้วบวงสรวงอ้อนวอนขออัญเชิญวายุเทพทั้งหกองค์ได้เห็นแก่ความจงรักภักดีที่ ขงเบ้งมีต่อพระราชวงศ์ฮั่นและพระเจ้าเล่าปี่ ให้ช่วยเหลือดลพายุพัดเมฆและหมอกบังฟ้าในยามราตรีซึ่งกำลังเป็นคืนขึ้นสิบ ห้าค่ำในเวลาสองยามวันนี้ จะได้ปราบปรามแม่ทัพสำคัญของศัตรูแผ่นดินเพื่อความร่มเย็นเป็นสุขของบ้าน เมืองและราษฎรสืบไป

            บวงสรวงอธิษฐานเสร็จแล้วขงเบ้งได้อมสุราพ่นไปที่ปลายกระบี่สู่เปลวไฟใน กระถางบูชา ไฟได้ลุกโชติช่วงขึ้น ควันไฟพวยพุ่งขึ้นไปบนฟ้า ขงเบ้งจึงคุกเข่าลงคำนับเทพแห่งวายุทั้งหกองค์อีกครั้งหนึ่ง เสร็จแล้วจึงพาทหารองครักษ์ห้าสิบคนขึ้นไปอยู่บนเนินเขากิสาน เพื่อดูการกระทำยุทธการตามแผนการที่กำหนด

            อัน ดาวไถนี้มีคติว่าเป็นที่สิงสถิตของเทพแห่งวายุทั้งหกองค์ ที่มีหน้าที่และอิทธิฤทธิ์ในการดลบันดาลให้เกิดลมพายุและเมฆหมอก เนื่องเพราะคืนวันนี้เป็นคืนขึ้นสิบห้าค่ำ เดือนเจ็ด พระจันทร์กระจ่างฟ้า ทอแสงสว่างเจิดจ้าตามวิสัย ในยามกลางคืนจึงสว่างดุจเวลากลางวัน หากมองเห็นกันได้ชัดเจนก็ไม่อาจทำกลอุบายได้ตามแผนการถนัดนัก เหตุนี้ขงเบ้งจึงตั้งการพิธีบวงสรวงวิงวอนเชิญเทพแห่งวายุให้มาช่วยบังฟ้า โดยอ้างเอาความจงรักภักดีเป็นสัตยาธิษฐาน

            วิชา บังฟ้าเป็นวิชาที่คู่กันกับวิชาบังไพร แต่วิชาบังฟ้านั้นมิได้อาศัยต้นไม้หรือก้อนศิลา หรือสิ่งของอย่างอื่นในการบังสายตาคน หรือในการสร้างมายาภาพ แต่เป็นวิชาที่ใช้เวทย์มนต์ในคัมภีร์วิเศษของลัทธิเต๋า อัญเชิญเทพแห่งวายุทั้งหกองค์ให้ดลบันดาลลมพายุพัดเมฆหมอกมารวมตัวกันบังฟ้า ให้มืดมิด ชาวประมงในหลายพื้นที่ก็คุ้นเคยต่อวิชาเช่นว่านี้ แต่ได้นำมาใช้ในการทำมาอาชีพ ร่ายมนต์อ้อนวอนให้เทพแห่งวายุสำแดงนิมิตให้ปรากฏว่าเป็นเทศกาลอันควรแก่ การจับปลาหรือจับกุ้ง หรือว่าไม่พึงออกทำการประมงในทะเล มีคติเชื่อว่าเทพแห่งวายุเมื่อได้รับคำอ้อนวอนแล้วก็จะดลบันดาลเมฆหมอกให้ ปรากฏ ถ้าเป็นเทศกาลจับกุ้งก็จะบันดาลให้เมฆหมอกล่องลอยขึ้นรับแสงพระอาทิตย์ ก็จะปรากฏนิมิตบนท้องฟ้าเป็นสีแดง หรือถ้าเป็นเทศกาลจับปลาก็จะบันดาลให้เมฆหมอกล่องลอยขึ้นรับแสงพระจันทร์ ก็จะปรากฏนิมิตบนท้องฟ้าเป็นสีขาว ชาวประมงจึงกล่าวขานเป็นคติว่า “ฟ้าแดงถูกกุ้ง ฟ้ารุ่งถูกปลา” แต่ถ้าฟ้ามืดก็หมายความว่าอย่าได้ออกทำการประมงเลย

            ฝ่ายสุมาอี้ครั้นค่ำลงก็จัดแจงกองทัพเตรียมจะยกไปปล้นค่ายขงเบ้งตามเวลาที่ กำหนด ให้สุมาสูเป็นปีกซ้าย ให้สุมาเจียวเป็นปีกขวา ตัวสุมาอี้คุมกองทัพหลวงจะไปปล้นค่ายขงเบ้งด้วยตนเอง

            สุมาสูผู้บุตรซึ่งมีความเฉลียวฉลาดเห็นสุมาอี้ผู้บิดาจัดแจงเตรียมการด้วย ความคึกคักและอิ่มเอิบเบิกบาน จึงคิดว่าบิดาเราทำการทั้งนี้ประหนึ่งทุ่มเทจนสุดตัว หากเป็นไปตามแผนการก็จะประสบความสำเร็จใหญ่หลวง หากพลาดพลั้งก็จะเสียหายใหญ่หลวงเช่นเดียวกัน แต่การต่อสู้กับคนแบบขงเบ้งนั้นหากมีโอกาสเป็นไปได้ถึงสองทางแล้ว โอกาสทางร้ายเห็นจะมากกว่าทางดี เมื่อบิดามีความมั่นใจถึงปานนี้ หากขัดขวางก็เห็นจะไม่สำเร็จ จำจะกล่าวเตือนเป็นอนุสติเพื่อป้องกันระวังตนมิให้เป็นอันตรายจึงจะควร 

            สุ มาสูคิดดังนั้นแล้วจึงเข้าไปกล่าวกับสุมาอี้ผู้พ่อว่า ซึ่งแต้บุ๋นมีหนังสือมาหาบิดานัดหมายให้ไปปล้นค่ายขงเบ้งครั้งนี้ แม้จะมั่นใจในความสุจริตของแต้บุ๋น แต่ถ้าบุ่มบ่ามทุ่มเทจนสุดเนื้อสุดตัวแล้ว หากพลาดพลั้งกลับกลายเป็นกลอุบายของขงเบ้งก็จะเสียทียับเยิน ชอบที่บิดาจะได้คิดป้องกันระมัดระวังตน เผื่อทางหนีทีถอยเอาไว้บ้าง ก็ไม่เห็นจะเสียหายแก่แผนการที่ตรงไหน

            สุมาอี้ได้ยินคำเตือนของผู้บุตรก็ได้สติยั้งคิด จึงสั่งเปลี่ยนการจัดขบวนรบใหม่ ให้จีนล่งคุมทหารหนึ่งหมื่นเป็นกองทัพหน้า สุมาอี้เป็นกองทัพหลังจะยกหนุนตามจีนล่งไป

            ครั้นเวลาใกล้สองยาม พระจันทร์คืนเพ็ญทอแสงสว่างกระจ่างกลางเวหา สว่างไสวดุจเวลากลางวัน มองเห็นทิวเขาและแนวป่าตลอดจนเส้นทางได้ถนัดชัดเจน สายลมเย็นพอสบายโชยพลิ้วแผ่วมา สุมาอี้สั่งเคลื่อนพลออกจากที่ตั้ง กองทัพหน้าของจีนล่งได้ยกออกไปก่อน พักหนึ่งสุมาอี้จึงคุมกองทัพหลังยกตามไป

            จีน ล่งคุมกองทัพหน้ายกไปใกล้ค่ายของขงเบ้งห่างเพียงสิบห้าเส้น ในพลันนั้นท้องฟ้าที่สว่างไสวกลับมืดมิด ด้วยมีสายลมแรงพัดมาจากทุกทิศทาง ก้อนเมฆได้รวมตัวกันเป็นม่านดำผืนใหญ่บดบังดวงจันทร์จนหายลับไปจากฟ้า สุมาอี้เห็นปรากฏการณ์ดังนั้นกลับยิ้มด้วยความลำพองใจว่าเทพยดาฟ้าดินเป็นใจ ด้วยเราแล้ว จึงดลเมฆหมอกมาบังจันทร์ บังสายตาทหารลาดตระเวนและทหารรักษาการณ์ในค่ายของขงเบ้งมิให้เห็นกองทัพซึ่ง จะยกไปปล้นค่าย สุมาอี้สำคัญดังนั้นแล้วจึงสูดหายใจลึก ๆ บนหลังม้าด้วยความโล่งอก

            จีนล่งคุมกองทัพหน้าไปใกล้ค่ายของขงเบ้งแล้ว จึงออกคำสั่งให้ทหารทุกกองรุกเข้าจู่โจมปล้นเอาค่ายของขงเบ้งอย่างพร้อม เพรียงกัน แต่เมื่อไปถึงค่ายกลับปรากฏว่าเป็นค่ายร้าง ไม่มีทหารอยู่แม้แต่คนเดียว จีนล่งให้รู้สึกหวาดหวั่นจนขนลุกซู่ เกรงว่ากำลังจะต้องกลอุบายของขงเบ้ง จึงรีบออกคำสั่งให้ทหารถอยทัพกลับไปโดยเร็วที่สุด

            ในพลันนั้นแสงเพลิงได้ลุกสว่างขึ้นข้างนอกค่ายทั้งสี่ด้าน ข้างในค่ายก็มีแสงเพลิงลุกขึ้น ทหารจ๊กก๊กข้างนอกค่ายจากทุกทิศทางได้โห่ร้องประสานเสียงกับทหารข้างในค่าย จุดประทัดสัญญาณดังสนั่นหวั่นไหว แล้วรุกตีกระหนาบกองทัพหน้าของจีนล่งเข้ามาพร้อมกัน

            ทหาร ของจีนล่งเห็นดังนั้นก็พากันตื่นตกใจ ทั้งตกอยู่ในความมืด ไม่รู้กำลังข้าศึกว่ามากแลน้อย จึงถูกทหารจ๊กก๊กในการบังคับบัญชาของอองเป๋ง เตียวหงี ม้าตง ม้าต้าย ระดมยิงด้วยเกาทัณฑ์เข้ามาจากทุกทิศทาง ห่าเกาทัณฑ์ดุจฝูงแมลงเม่าพุ่งว่อนตรงเข้ามาที่กองทัพของจีนล่ง ถูกทหารบาดเจ็บล้มตายดุจใบไม้ร่วง จีนล่งและทหารในกองทัพหน้าทั้งหมื่นคนถูกทหารจ๊กก๊กฆ่าฟันล้มตายจนหมดสิ้น เลือดท่วมนองท้องทุ่งราบหน้าค่ายเขากิสานนั้น

            ฝ่ายสุมาอี้ยกกองทัพหลังหนุนตามจีนล่งมา เห็นแสงเพลิงลุกขึ้นเป็นอันมากและได้ยินเสียงทหารโห่ร้อง ก็สำคัญว่าจีนล่งกำลังปล้นค่ายของขงเบ้ง จึงเร่งทหารให้รีบหนุนตามไปช่วย

            พอกองทัพสุมาอี้เข้าไปใกล้ห่างจากที่จีนล่งถูกล้อมอยู่เพียงห้าเส้น พลันเห็นแสงไฟลุกขึ้นตามทางด้านหลังเป็นอันมาก ได้ยินเสียงทหารโห่ร้องและจุดประทัดตีม้าล่อฆ้องกลองดังสนั่นก็ตกใจ รู้ว่าแสงเพลิงและเสียงโห่ร้องข้างหน้านั้นเป็นสัญญาณบ่งบอกถึงการเสียทีของ จีนล่งแล้ว แม้ตนเองเล่าเบื้องหลังก็ถูกกองทัพของเกียงอุยและอุยเอี๋ยนตีกระหนาบสกัด หลัง แต่ไม่รู้กำลังมากแลน้อยประการใด

            สุมาอี้เห็นดังนั้นก็ตกใจ คิดถึงคำที่ขงเบ้งสั่งฝากมากับทหารว่าจะคิดอ่านจับตัวสุมาอี้ให้จงได้ สุมาอี้ก็รู้สึกหนาวสะท้านขึ้นทั้งตัว รีบออกคำสั่งให้ทหารกลับหลังตีฝ่ากลับไปค่าย

            แต่ ทหารสุมาอี้ยามนี้อยู่ในภาวะตื่นตระหนกตกใจ คุมกันไม่ติด กระจัดกระจายแตกหนี เกียงอุยและอุยเอี๋ยนจึงขับทหารเข้าฆ่าฟันทหารของสุมาอี้บาดเจ็บล้มตายลง เป็นอันมาก สามก๊กฉบับภาษาจีนระบุว่าทหารสุมาอี้ซึ่งยกมาครั้งนี้ตายไปถึงแปดในสิบส่วน

            สุมาอี้ด้วยความกลัวสุดขีด คุมทหารองครักษ์และทหารมีฝีมือตีหักฝ่าวงล้อมกลับไปค่ายได้ พอสุมาอี้พาทหารพ้นออกไปจากแนวสกัดของเกียงอุยและอุยเอี๋ยนเท่านั้น ก้อนเมฆใหญ่ที่บดบังพระจันทร์ก็ลอยเลื่อนเคลื่อนคล้อยออกไปจากรัศมีพระ จันทร์ ท้องฟ้าสว่างไสวในบัดดล เห็นศพของทหารวุยก๊กล้มตายเกลื่อนกลาดดุจใบไม้ที่ร่วงอยู่ในป่ายามหน้าแล้ง เลือดไหลนองท่วมพื้น นับเป็นความปราชัยอย่างใหญ่หลวงยิ่งกว่าความเสียหายของกองทัพขงเบ้งใน ยุทธการครั้งแรกของศึกครั้งที่หกมากนัก

            ฝ่ายขงเบ้งยืนสังเกตการณ์อยู่บนภูเขากิสานพร้อมกับทหารองครักษ์ เห็นทหารจ๊กก๊กทำการสำเร็จลุล่วงตามแผนการก็มีความยินดี ปรารภกับบรรดาทหารองครักษ์ซึ่งเรียงรายอยู่โดยรอบว่าบุญของเจ้าเรายัง มากอยู่ เทพแห่งวายุทั้งหกองค์จึงทรงมีเมตตา ประทานเมฆหมอกตามคำบวงสรวงของเราทุกประการ ปรารภดังนั้นแล้วขงเบ้งจึงพาทหารกลับไปค่าย และให้ปูนบำเหน็จแก่ทหารซึ่งมีความชอบเป็นอันมาก

            ครั้นกลับ ไปถึงค่ายแล้วขงเบ้งจึงสั่งให้เบิกตัวแต้บุ๋นออกจากที่จำ แล้วว่าธรรมเนียมการสงครามนั้น สายลับแบบแต้บุ๋นนี้จะเลี้ยงดูและปล่อยไปมิได้ จึงสั่งให้เอาตัวแต้บุ๋นไปตัดศีรษะเสีย.

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

ตัวอย่างกระทู้ธรรม ธรรมศึกษาชั้นตรี 5

I miss you all กับ I miss all of you ต่างกันอย่างไร

ปัญหาและเฉลยวิชาธรรม นักธรรมชั้นโท สอบในสนามหลวง วันเสาร์ ที่ ๑๙ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๔๘