ตอนที่ 562. ร่องรอยจากฝีมือรบพุ่ง
กองทัพของขงเบ้งเลินเล่อเผยร่องรอยการตัดไม้ไผ่ทำแพให้สุมาอี้ล่วงรู้ จึงถูก สุมาอี้วางแผนโจมตีเสียทีอย่างยับเยิน พอดีบิฮุยเดินทางไปตรวจเยี่ยมกองทัพ ขงเบ้งจึงใช้ให้ไปชวนพระเจ้าซุนกวนให้ยกกองทัพเมืองกังตั๋งขึ้นไปตีวุยก๊ก
พระเจ้าซุนกวนรับหนังสือของขงเบ้งมาอ่านดู ปรากฏความว่า “ข้าพเจ้าขงเบ้งคำนับถึงพระเจ้าซุนกวน ด้วยเมืองลกเอี๋ยงร่วงโรยมาแต่ครั้งพระเจ้าเหี้ยนเต้ เพราะโจโฉเป็นศัตรูแผ่นดิน คิดทำร้ายให้ได้ความเดือดร้อน อันโจโฉนั้นก็ตายแล้ว แลลูกหลานว่านเครือมันทำจลาจลต่อ ๆ มา แลตัวข้าพเจ้านี้ได้รับสั่งพระเจ้าเล่าปี่ไว้ ให้กำจัดเหล่าศัตรูแผ่นดินเสีย ข้าพเจ้าก็ได้ยกกองทัพไปทำสงครามเป็นหลายครั้งแล้ว ครั้งนี้ข้าพเจ้ายกไปทำการศึกอีก ก็เสียทแกล้วทหารเป็นอันมาก อันเมืองกังตั๋งกับเมืองเสฉวนก็เป็นไมตรีกันมาแต่ครั้งพระเจ้าเล่าปี่ ให้พระเจ้าซุนกวนเห็นแก่พระเจ้าเล่าปี่ซึ่งเป็นเชื้อพระวงศ์ ขอกองทัพเมืองกังตั๋งมาช่วยรบเมืองลกเอี๋ยงเป็นทัพกระหนาบ แม้สำเร็จราชการสงครามแล้วจะแบ่งเมืองลกเอี๋ยงให้กึ่งหนึ่ง”
พระเจ้าซุนกวนทราบความตามหนังสือของขงเบ้งแล้ว จึงตรัสตอบไปตามทางไมตรีว่า เมื่อครั้งโจโฉและโจผีได้ยกกองทัพมารุกรานเมืองกังตั๋ง เราต้องเสียทหารแลทรัพย์สินเป็นอันมาก ความแค้นยังกรุ่นอยู่ในหัวใจเรา คิดจะยกกองทัพไปแก้แค้น ซึ่งขงเบ้งมีหนังสือมาทั้งนี้ต้องด้วยความคิดของเรานัก ท่านจงกลับไปบอกขงเบ้งตามคำเรา อย่าได้ปรารมภ์สืบไป เราจะยกกองทัพเมืองกังตั๋งไปตีเอาเมืองลกเอี๋ยงตามหนังสือของขงเบ้งต่อไป
ตรัสกับบิฮุยดังนั้นแล้วจึงตรัสสั่งตั้งให้ลกซุนเป็นแม่ทัพใหญ่ ให้จูกัดกิ๋นเป็นปลัดทัพ เกณฑ์ทหารสามสิบหมื่นให้ยกไปตั้งชุมนุมพลพรรคกันที่เมืองกังแฮ
บิฮุยได้ยินกระแสพระราชดำรัสของพระเจ้าซุนกวนดังนั้นก็มีความยินดี คุกเข่าถวายบังคมลาไปพักที่ตึกรับรองแขกเมือง ครั้นรุ่งขึ้นพระเจ้าซุนกวนได้จัดงานสโมสรสันนิบาตเลี้ยงรับรองเพื่อเป็นเกียรติแก่บิฮุยในท้องพระโรงใหญ่เมืองกังตั๋ง เชิญขุนนางชั้นผู้ใหญ่และแม่ทัพนายกองทั้งปวงมาร่วมงานโดยพร้อมเพรียงกัน
ในระหว่างกินโต๊ะพระเจ้าซุนกวนได้ตรัสถามบิฮุยว่า ซึ่งขงเบ้งยกกองทัพไปรบเมืองลกเอี๋ยงนี้ได้ตั้งแต่งผู้ใดเป็นแม่ทัพกองทัพหน้า
บิฮุยจึงกราบทูลว่า ขงเบ้งได้ตั้งให้อุยเอี๋ยนเป็นกองทัพหน้า พระเจ้าซุนกวนได้ยินดังนั้นก็ทรงพระสรวลแล้วตรัสว่า “อุยเอี๋ยนนั้นมีกำลังกล้าหาญก็จริง แต่น้ำใจมิได้สัตย์ซื่อ มักคิดทรยศ แม้หาบุญขงเบ้งไม่แล้ววันใด อุยเอี๋ยนก็จะเอาใจออกหากเล่าเสี้ยน เมื่อนั้นแลตัวเราจะยกไปช่วยขงเบ้งเอง”
บิฮุยได้ยินพระราชดำรัสของพระเจ้าซุนกวนแบบไม่มีปี่มีขลุ่ยดังนั้นก็มิรู้ที่จะกราบทูลประการใด เพราะหากปฏิเสธหรือแก้ต่างให้กับอุยเอี๋ยนก็ย่อมไม่ต้องพระทัย แต่หากจะรับเอาเล่าก็จะกลับกลายเป็นว่ามีคนทรยศอยู่ในกองทัพเมืองเสฉวน เป็นการเสื่อมเสียพระบรมเดชานุภาพของพระเจ้าเล่าเสี้ยนและเกียรติยศของขงเบ้ง บิฮุยจึงกราบทูลว่าความซึ่งพระองค์ได้ตรัสทั้งนี้ ข้าพระองค์จะนำความไปแจ้งให้ขงเบ้งทราบ
พระเจ้าซุนกวนได้ตรัสถามสารทุกข์สุขดิบของขงเบ้งจากบิฮุยหลายประการ แล้วตรัสว่าเมื่อครั้งทำสงครามเซ็กเพ็กกับโจโฉ เราได้คุ้นเคยเห็นความคิดแลอุบายของขงเบ้งเป็นอันมาก เป็นบุญของพระเจ้าเล่าเสี้ยนที่ได้ขงเบ้งช่วยทำนุบำรุง ตัวเราไม่ได้พบขงเบ้งเป็นเวลาช้านานแล้ว มีความรำลึกถึงเป็นอันมาก ท่านกลับไปพบขงเบ้งแล้วให้นำความรำลึกของเราแจ้งแก่ขงเบ้งด้วย
เสร็จงานเลี้ยงราชทูตตามประเพณีแล้ว บิฮุยจึงถวายบังคมลาพระเจ้าซุนกวนเดินทางกลับไปตำบลเขากิสาน รายงานความซึ่งได้ไปเจรจาความเมืองกับพระเจ้าซุนกวน และแจ้งพระราชดำรัสของพระเจ้าซุนกวนเกี่ยวกับอุยเอี๋ยนให้ขงเบ้งทราบทุกประการ
ขงเบ้งได้ฟังความตลอดแล้วก็มีความยินดี กล่าวความสรรเสริญพระเจ้าซุนกวนว่ามีสติปัญญาหลักแหลมลึกซึ้งสมควรเป็นใหญ่ในแดนกังตั๋ง แล้วกล่าวว่า “แลตัวเราทุกวันนี้ใช่จะไม่เล็งเห็นใจแลพยศอุยเอี๋ยนหามิได้ เพราะเห็นแก่ฝีมือกล้าหาญจึงเลี้ยงไว้แต่พอเป็นเพื่อนทหารเลว”
บิฮุยจึงว่า ก็แลเมื่อมหาอุปราชแจ้งว่าอุยเอี๋ยนเป็นคนคิดคดกบฏต่อแผ่นดิน จะเลี้ยงไว้สืบไปก็ป่วยการเปล่า มิหนำอาจทำอันตรายต่อท่านและกองทัพโดยไม่รู้เนื้อรู้ตัวก็เป็นได้ “ท่านจงคิดอ่านกำจัดเสีย อย่าให้มีราคีในกองทัพดีกว่า”
ขงเบ้งได้ยินดังนั้นก็หัวเราะ พลางกล่าวว่าบิฮุยท่านอย่าได้วิตกเกินไปเลย เรื่องของอุยเอี๋ยนนั้นข้าพเจ้าได้คิดอ่านเอาไว้แล้ว เมื่อถึงเวลาท่านจะรู้เอง
เสร็จธุระแล้วบิฮุยจึงคำนับลาขงเบ้งแล้วเดินทางกลับไปเมืองเสฉวน
วันหนึ่งในขณะที่ขงเบ้งออกนั่งว่าราชการตามปกติ ทหารรักษาการณ์ได้เข้ามารายงานว่ามีทหารหนีทัพมาจากกองทัพของสุมาอี้ แจ้งความจำนงจะขอเข้ามาสวามิภักดิ์และประสงค์จะขอพบกับมหาอุปราช
ขงเบ้งได้ฟังดังนั้นก็รู้สึกประหลาดใจ จึงสั่งให้นำทหารแปรพักตร์เข้ามาพบ แล้วถามว่าตัวเจ้าเป็นนายทหารชั้นยศใด อยู่ในสังกัดหน่วยใดในกองทัพของสุมาอี้ แล้วเหตุใดจึงหนีทัพมาเข้านบนอบด้วยเราเล่า
ทหารนั้นคำนับขงเบ้งแล้วกล่าวว่า ข้าพเจ้าชื่อแต้บุ๋น เป็นรองนายกองของกองทัพหน้าของกองทัพสุมาอี้ ในกองทัพหน้ามีรองนายกองสองคน คือข้าพเจ้ากับจีนล่ง ข้าพเจ้าตั้งหน้าทำราชการ ไม่เคยคิดถึงชีวิต แต่สุมาอี้มีความลำเอียงไม่ปกครองทหารโดยยุติธรรม ยกย่องจีนล่งให้เสียความยุติธรรมไป ตั้งให้จีนล่งเป็นนายกอง เมื่อจีนล่งเป็นนายกองแล้ว ลุแก่อำนาจ ข่มเหงย่ำยีน้ำใจข้าพเจ้าเป็นอันมาก แสร้งกล่าวหาความเพื่อจะลงโทษข้าพเจ้าเป็นหลายครั้ง แต่โชคดีที่ข้าพเจ้าไม่ได้กระทำความผิดจึงรอดตายมาได้ เหตุนี้ข้าพเจ้าจึงคิดว่าขืนอยู่กับสุมาอี้ต่อไป วันหนึ่งก็อาจต้องถูกลงโทษประหารชีวิต จึงหลบหนีมาขอนบนอบต่อท่าน หวังพึ่งใบบุญท่านสืบไป
ขงเบ้งได้ฟังดังนั้นก็ผงกศีรษะ ในทันใดนั้นทหารรักษาการณ์ได้วิ่งเข้ามารายงานขงเบ้งว่า ขณะนี้กองทัพวุยก๊กได้ยกตรงมาที่ค่าย มีธงประจำตัวนายทัพชื่อจีนล่งเป็นสำคัญ และเรียกร้องให้มหาอุปราชรีบส่งตัวแต้บุ๋นคืนให้กับจีนล่ง
ขงเบ้งได้ยินรายงานดังนั้นจึงถามแต้บุ๋นว่า ฝีมือรบพุ่งของท่านกับจีนล่งนั้น ถ้าเปรียบเทียบกันแล้วจะเป็นประการใด แต้บุ๋นได้ตอบขงเบ้งในทันทีว่า ฝีมือรบพุ่งข้าพเจ้าดีกว่าจีนล่ง ซึ่งจีนล่งยกทหารตามข้าพเจ้ามานี้ ข้าพเจ้าขออาสานำทหารออกไปตัดศีรษะจีนล่งมามอบแก่ท่าน ให้เห็นความสุจริตของข้าพเจ้าให้จงได้
ขงเบ้งจึงกล่าวว่า เจ้าอาสาดังนี้ชอบใจนัก หากทำการสำเร็จดังปากว่าเราก็จะสิ้นสงสัย กล่าวแล้วขงเบ้งจึงสั่งจัดทหารหนึ่งพันคน และสั่งให้แต้บุ๋นยกออกไปรบกับจีนล่ง
แต้บุ๋นคำนับขงเบ้งแล้วออกไปรับมอบทหาร แล้วยกออกไปนอกค่าย พอจีนล่งออกไปแล้ว ขงเบ้งได้พาทหารองครักษ์ตามไปสังเกตการณ์ดูการรบพุ่งอยู่ใกล้ประตูค่าย
ฝ่ายจีนล่งครั้นยกทหารมาถึงหน้าค่ายของขงเบ้ง เห็นแต้บุ๋นคุมทหารออกมารบดังนั้นจึงด่าว่าแต้บุ๋นเป็นข้อหยาบช้าว่า ไอ้คนทรยศต่อเจ้า ลืมข้าวแดงแกงร้อนของเจ้ากูที่เลี้ยงดูมึงมา มิหนำซ้ำยังลักม้าของกูหนีมาอีกเล่า จงมามอบตัวและส่งมอบม้าให้แก่กูเสียโดยดี
แต้บุ๋นไม่ตอบคำของจีนล่ง ขี่ม้าพุ่งออกไปรบกับจีนล่ง ทั้งสองฝ่ายต่อสู้กันเพียงเพลงเดียวแต้บุ๋นก็เอาง้าวฟันถูกจีนล่งตกม้าตาย ทหารของจีนล่งก็พากันแตกหนีถอยกลับไป แต้บุ๋นจึงตัดเอาศีรษะของจีนล่งกลับเข้าค่ายแล้วนำไปมอบแก่ขงเบ้ง
ขงเบ้งเห็นแต้บุ๋นเอาศีรษะจีนล่งมามอบให้ก็ทำทีเป็นโกรธ ตวาดใส่แต้บุ๋นว่าต่อหน้าเราเจ้ายังบังอาจมาหลอกลวงเราหรือ
แต้บุ๋นได้ยินดังนั้นก็ตกใจ ขงเบ้งจึงกล่าวสืบไปว่าอันจีนล่งนั้นเรารู้จักอยู่ ศีรษะซึ่งเจ้าตัดมามอบแก่เรานี้ไม่ใช่ศีรษะของจีนล่ง ไฉนเจ้าจึงบังอาจมาลวงเราดังนี้
ขงเบ้งเห็นแต้บุ๋นมีท่าทีอึกอักตกใจ จึงสำทับต่อไปว่าสุมาอี้คิดกลอุบายใช้เจ้าให้เข้ามาเป็นไส้ศึกในกองทัพเรา แล้วแสร้งแต่งคนปลอมตัวเป็นจีนล่งยกทหารตามมาให้เจ้าฆ่าเสีย หวังจะลวงให้เราตายใจ อุบายแต่เพียงเท่านี้มีหรือจะลวงเราได้ กล่าวแล้วขงเบ้งจึงสั่งทหารว่าอ้ายแต้บุ๋นนี้เป็นไส้ศึก ให้คุมตัวไปตัดศีรษะเสีย
แต้บุ๋นได้ยินดังนั้นก็ตกใจ คุกเข่าลงคำนับขงเบ้งแล้วว่า ข้าพเจ้าเป็นแต่ทหารผู้น้อย ไม่อาจขัดคำสั่งของสุมาอี้ผู้เป็นแม่ทัพได้ เมื่อมหาอุปราชแจ้งกลศึกดังนี้แล้ว ข้าพเจ้าก็จำต้องรับสารภาพตามความเป็นจริงว่า สุมาอี้ได้ใช้ให้ข้าพเจ้ามาเป็นไส้ศึกสมดังที่มหาอุปราชได้คาดรู้นั้นแล้ว คนซึ่งข้าพเจ้าสังหารคือจีนเบ้งน้องชายจีนล่ง ขอให้มหาอุปราชไว้ชีวิตข้าพเจ้าเอาบุญด้วยเถิด ข้าพเจ้าจะขออาสาทำการแทนคุณท่านไปจนตลอดชีวิต
ขงเบ้งได้ยินดังนั้นก็มีความยินดี จึงว่าเมื่อเจ้าร้องขอชีวิต เราก็จะเว้นชีวิตให้เอาบุญ แต่เจ้าต้องทำการเอาความชอบไว้ในราชการจึงจะควร แต้บุ๋นจึงถามว่ามหาอุปราชมีสิ่งใดจะใช้สอยก็ขอได้โปรดบัญชา ข้าพเจ้าจะทำการอาสาดังประสงค์ทุกประการ
ขงเบ้งได้ยินดังนั้นจึงสั่งทหารให้เอากระดาษและพู่กันมาให้แต้บุ๋น แล้วบอกความให้แต้บุ๋นเขียนตามเป็นเนื้อความว่า ข้าพเจ้าแต้บุ๋นรายงานความมาถึงท่านแม่ทัพสุมาอี้ ด้วยข้าพเจ้าได้ตัดศีรษะจีนเบ้งน้องชายจีนล่ง ขงเบ้งสำคัญว่าข้าพเจ้าฆ่าจีนล่งเสียแล้วมีความชอบ จึงเชื่อถือในความสุจริตของข้าพเจ้า ไว้วางใจตั้งให้เป็นนายทหาร ขอให้ท่านแม่ทัพยกกองทัพมาปล้นเอาค่ายของขงเบ้งในวันพรุ่งนี้เวลาสองยาม ข้าพเจ้าจะจุดเพลิงขึ้นในค่ายของขงเบ้ง และจะชักชวนทหารซึ่งแปรพักตร์ให้ตีกระหนาบออกไปพร้อมกัน
แต้บุ๋นเขียนถ้อยคำตามความที่ขงเบ้งสั่งทุกประการ แล้วมอบหนังสือนั้นแก่ขงเบ้ง ขงเบ้งรับเอาหนังสือมาอ่านดู เห็นตัวหนังสือเรียบร้อยเป็นปกติมิได้มีลักษณะเป็นการกลั่นแกล้งเขียนให้จับได้ก็พอใจ
ขงเบ้งอ่านและพิเคราะห์ความที่แต้บุ๋นเขียนจบแล้วจึงกล่าวกับแต้บุ๋นว่า เรากำลังทำการสำคัญ จำจะต้องคุมขังเจ้าไว้ชั่วคราวก่อน อย่าได้น้อยใจเลย สิ้นคำขงเบ้งทหารก็คุมตัวแต้บุ๋นไปจำขังไว้
อ้วนเกี๋ยนขุนนางฝ่ายทหารเห็นดังนั้นจึงถามขงเบ้งว่า เพราะเหตุใดมหาอุปราชจึงรู้ว่าแต้บุ๋นเป็นไส้ศึก และบังคับให้แต้บุ๋นเขียนหนังสือดังนี้เล่า
ขงเบ้งจึงว่า ความจริงเรามิได้รู้จักตัวจีนล่ง แต่เมื่อสังเกตการรบพุ่งระหว่าง แต้บุ๋นกับจีนล่งแล้ว เพียงชั่วเพลงเดียวแต้บุ๋นก็สังหารจีนล่งได้ผิดวิสัยนัก ด้วยสุมาอี้นั้นเป็นคนรอบคอบลึกซึ้งหลักแหลม มักใช้คนดีมีฝีมือมาทำการ ซึ่งสุมาอี้ตั้งแต่งให้จีนล่งเป็นแม่กองของกองทัพหน้า จีนล่งย่อมมีฝีมือเป็นอันมาก ไหนเลยแต้บุ๋นจะสังหารจีนล่งภายในเพลงรบเดียวได้ เราเห็นร่องรอยพิรุธจากฝีมือรบพุ่งดังนี้รู้ว่าเป็นอุบาย จึงคิดซ้อนกลสุมาอี้ฉะนี้
อ้วนเกี๋ยนและทหารทั้งปวงได้ฟังดังนั้น ต่างพากันสรรเสริญขงเบ้งว่ามีสติปัญญาหลักแหลมคมกล้า มองฝ่าทะลุถึงแผนการอุบายของสุมาอี้ได้กระจ่างแจ้งเสมอด้วยเทพยดา
ขงเบ้งจึงเรียกกิตุ้นซึ่งเป็นนายทหารประจำกองเสนาธิการ มีสติปัญญาเฉลียวฉลาดในเชิงชั้นเจรจา และมีความจงรักภักดีในราชวงศ์ฮั่นอย่างมั่นคงเข้ามาใกล้ กระซิบสั่งความอยู่ครู่หนึ่งแล้วจึงมอบหนังสือของแต้บุ๋นแก่กิตุ้น
กิตุ้นรับหนังสือแล้วคุกเข่าลงคำนับขงเบ้ง ครั้นเวลาค่ำจึงทำทีลอบหนีออกจากค่ายไปที่ค่ายของสุมาอี้ ทหารลาดตระเวนของวุยก๊กเห็นกิตุ้นจึงเข้าควบคุมตัว ครั้นไต่ถามได้ความว่ามีเรื่องราวความลับต้องการพบกับสุมาอี้ จึงนำตัวกิตุ้นไปมอบให้แก่ทหารรักษาการณ์
ครั้นสุมาอี้ได้ทราบความจึงให้ทหารรักษาการณ์พาตัวกิตุ้นมาพบข้างในค่าย แล้วถามว่าตัวเจ้าเป็นใคร มีความลับอันใดจะบอกแก่เรา
กิตุ้นคำนับสุมาอี้แล้วกล่าวว่า ข้าพเจ้ากับแต้บุ๋นเป็นชาวเมืองลกเอี๋ยง เล่าเรียนหนังสือด้วยกันมาแต่น้อย พอโตขึ้นข้าพเจ้าพลัดเข้าไปทำราชการอยู่ในเมืองเสฉวนและเป็นทหารเลวในกองทัพของขงเบ้ง ครั้นพบกับแต้บุ๋น แต้บุ๋นจึงไหว้วานให้ข้าพเจ้าถือหนังสือมาให้ท่าน.
พระเจ้าซุนกวนรับหนังสือของขงเบ้งมาอ่านดู ปรากฏความว่า “ข้าพเจ้าขงเบ้งคำนับถึงพระเจ้าซุนกวน ด้วยเมืองลกเอี๋ยงร่วงโรยมาแต่ครั้งพระเจ้าเหี้ยนเต้ เพราะโจโฉเป็นศัตรูแผ่นดิน คิดทำร้ายให้ได้ความเดือดร้อน อันโจโฉนั้นก็ตายแล้ว แลลูกหลานว่านเครือมันทำจลาจลต่อ ๆ มา แลตัวข้าพเจ้านี้ได้รับสั่งพระเจ้าเล่าปี่ไว้ ให้กำจัดเหล่าศัตรูแผ่นดินเสีย ข้าพเจ้าก็ได้ยกกองทัพไปทำสงครามเป็นหลายครั้งแล้ว ครั้งนี้ข้าพเจ้ายกไปทำการศึกอีก ก็เสียทแกล้วทหารเป็นอันมาก อันเมืองกังตั๋งกับเมืองเสฉวนก็เป็นไมตรีกันมาแต่ครั้งพระเจ้าเล่าปี่ ให้พระเจ้าซุนกวนเห็นแก่พระเจ้าเล่าปี่ซึ่งเป็นเชื้อพระวงศ์ ขอกองทัพเมืองกังตั๋งมาช่วยรบเมืองลกเอี๋ยงเป็นทัพกระหนาบ แม้สำเร็จราชการสงครามแล้วจะแบ่งเมืองลกเอี๋ยงให้กึ่งหนึ่ง”
พระเจ้าซุนกวนทราบความตามหนังสือของขงเบ้งแล้ว จึงตรัสตอบไปตามทางไมตรีว่า เมื่อครั้งโจโฉและโจผีได้ยกกองทัพมารุกรานเมืองกังตั๋ง เราต้องเสียทหารแลทรัพย์สินเป็นอันมาก ความแค้นยังกรุ่นอยู่ในหัวใจเรา คิดจะยกกองทัพไปแก้แค้น ซึ่งขงเบ้งมีหนังสือมาทั้งนี้ต้องด้วยความคิดของเรานัก ท่านจงกลับไปบอกขงเบ้งตามคำเรา อย่าได้ปรารมภ์สืบไป เราจะยกกองทัพเมืองกังตั๋งไปตีเอาเมืองลกเอี๋ยงตามหนังสือของขงเบ้งต่อไป
ตรัสกับบิฮุยดังนั้นแล้วจึงตรัสสั่งตั้งให้ลกซุนเป็นแม่ทัพใหญ่ ให้จูกัดกิ๋นเป็นปลัดทัพ เกณฑ์ทหารสามสิบหมื่นให้ยกไปตั้งชุมนุมพลพรรคกันที่เมืองกังแฮ
บิฮุยได้ยินกระแสพระราชดำรัสของพระเจ้าซุนกวนดังนั้นก็มีความยินดี คุกเข่าถวายบังคมลาไปพักที่ตึกรับรองแขกเมือง ครั้นรุ่งขึ้นพระเจ้าซุนกวนได้จัดงานสโมสรสันนิบาตเลี้ยงรับรองเพื่อเป็นเกียรติแก่บิฮุยในท้องพระโรงใหญ่เมืองกังตั๋ง เชิญขุนนางชั้นผู้ใหญ่และแม่ทัพนายกองทั้งปวงมาร่วมงานโดยพร้อมเพรียงกัน
ในระหว่างกินโต๊ะพระเจ้าซุนกวนได้ตรัสถามบิฮุยว่า ซึ่งขงเบ้งยกกองทัพไปรบเมืองลกเอี๋ยงนี้ได้ตั้งแต่งผู้ใดเป็นแม่ทัพกองทัพหน้า
บิฮุยจึงกราบทูลว่า ขงเบ้งได้ตั้งให้อุยเอี๋ยนเป็นกองทัพหน้า พระเจ้าซุนกวนได้ยินดังนั้นก็ทรงพระสรวลแล้วตรัสว่า “อุยเอี๋ยนนั้นมีกำลังกล้าหาญก็จริง แต่น้ำใจมิได้สัตย์ซื่อ มักคิดทรยศ แม้หาบุญขงเบ้งไม่แล้ววันใด อุยเอี๋ยนก็จะเอาใจออกหากเล่าเสี้ยน เมื่อนั้นแลตัวเราจะยกไปช่วยขงเบ้งเอง”
บิฮุยได้ยินพระราชดำรัสของพระเจ้าซุนกวนแบบไม่มีปี่มีขลุ่ยดังนั้นก็มิรู้ที่จะกราบทูลประการใด เพราะหากปฏิเสธหรือแก้ต่างให้กับอุยเอี๋ยนก็ย่อมไม่ต้องพระทัย แต่หากจะรับเอาเล่าก็จะกลับกลายเป็นว่ามีคนทรยศอยู่ในกองทัพเมืองเสฉวน เป็นการเสื่อมเสียพระบรมเดชานุภาพของพระเจ้าเล่าเสี้ยนและเกียรติยศของขงเบ้ง บิฮุยจึงกราบทูลว่าความซึ่งพระองค์ได้ตรัสทั้งนี้ ข้าพระองค์จะนำความไปแจ้งให้ขงเบ้งทราบ
พระเจ้าซุนกวนได้ตรัสถามสารทุกข์สุขดิบของขงเบ้งจากบิฮุยหลายประการ แล้วตรัสว่าเมื่อครั้งทำสงครามเซ็กเพ็กกับโจโฉ เราได้คุ้นเคยเห็นความคิดแลอุบายของขงเบ้งเป็นอันมาก เป็นบุญของพระเจ้าเล่าเสี้ยนที่ได้ขงเบ้งช่วยทำนุบำรุง ตัวเราไม่ได้พบขงเบ้งเป็นเวลาช้านานแล้ว มีความรำลึกถึงเป็นอันมาก ท่านกลับไปพบขงเบ้งแล้วให้นำความรำลึกของเราแจ้งแก่ขงเบ้งด้วย
เสร็จงานเลี้ยงราชทูตตามประเพณีแล้ว บิฮุยจึงถวายบังคมลาพระเจ้าซุนกวนเดินทางกลับไปตำบลเขากิสาน รายงานความซึ่งได้ไปเจรจาความเมืองกับพระเจ้าซุนกวน และแจ้งพระราชดำรัสของพระเจ้าซุนกวนเกี่ยวกับอุยเอี๋ยนให้ขงเบ้งทราบทุกประการ
ขงเบ้งได้ฟังความตลอดแล้วก็มีความยินดี กล่าวความสรรเสริญพระเจ้าซุนกวนว่ามีสติปัญญาหลักแหลมลึกซึ้งสมควรเป็นใหญ่ในแดนกังตั๋ง แล้วกล่าวว่า “แลตัวเราทุกวันนี้ใช่จะไม่เล็งเห็นใจแลพยศอุยเอี๋ยนหามิได้ เพราะเห็นแก่ฝีมือกล้าหาญจึงเลี้ยงไว้แต่พอเป็นเพื่อนทหารเลว”
บิฮุยจึงว่า ก็แลเมื่อมหาอุปราชแจ้งว่าอุยเอี๋ยนเป็นคนคิดคดกบฏต่อแผ่นดิน จะเลี้ยงไว้สืบไปก็ป่วยการเปล่า มิหนำอาจทำอันตรายต่อท่านและกองทัพโดยไม่รู้เนื้อรู้ตัวก็เป็นได้ “ท่านจงคิดอ่านกำจัดเสีย อย่าให้มีราคีในกองทัพดีกว่า”
ขงเบ้งได้ยินดังนั้นก็หัวเราะ พลางกล่าวว่าบิฮุยท่านอย่าได้วิตกเกินไปเลย เรื่องของอุยเอี๋ยนนั้นข้าพเจ้าได้คิดอ่านเอาไว้แล้ว เมื่อถึงเวลาท่านจะรู้เอง
เสร็จธุระแล้วบิฮุยจึงคำนับลาขงเบ้งแล้วเดินทางกลับไปเมืองเสฉวน
วันหนึ่งในขณะที่ขงเบ้งออกนั่งว่าราชการตามปกติ ทหารรักษาการณ์ได้เข้ามารายงานว่ามีทหารหนีทัพมาจากกองทัพของสุมาอี้ แจ้งความจำนงจะขอเข้ามาสวามิภักดิ์และประสงค์จะขอพบกับมหาอุปราช
ขงเบ้งได้ฟังดังนั้นก็รู้สึกประหลาดใจ จึงสั่งให้นำทหารแปรพักตร์เข้ามาพบ แล้วถามว่าตัวเจ้าเป็นนายทหารชั้นยศใด อยู่ในสังกัดหน่วยใดในกองทัพของสุมาอี้ แล้วเหตุใดจึงหนีทัพมาเข้านบนอบด้วยเราเล่า
ทหารนั้นคำนับขงเบ้งแล้วกล่าวว่า ข้าพเจ้าชื่อแต้บุ๋น เป็นรองนายกองของกองทัพหน้าของกองทัพสุมาอี้ ในกองทัพหน้ามีรองนายกองสองคน คือข้าพเจ้ากับจีนล่ง ข้าพเจ้าตั้งหน้าทำราชการ ไม่เคยคิดถึงชีวิต แต่สุมาอี้มีความลำเอียงไม่ปกครองทหารโดยยุติธรรม ยกย่องจีนล่งให้เสียความยุติธรรมไป ตั้งให้จีนล่งเป็นนายกอง เมื่อจีนล่งเป็นนายกองแล้ว ลุแก่อำนาจ ข่มเหงย่ำยีน้ำใจข้าพเจ้าเป็นอันมาก แสร้งกล่าวหาความเพื่อจะลงโทษข้าพเจ้าเป็นหลายครั้ง แต่โชคดีที่ข้าพเจ้าไม่ได้กระทำความผิดจึงรอดตายมาได้ เหตุนี้ข้าพเจ้าจึงคิดว่าขืนอยู่กับสุมาอี้ต่อไป วันหนึ่งก็อาจต้องถูกลงโทษประหารชีวิต จึงหลบหนีมาขอนบนอบต่อท่าน หวังพึ่งใบบุญท่านสืบไป
ขงเบ้งได้ฟังดังนั้นก็ผงกศีรษะ ในทันใดนั้นทหารรักษาการณ์ได้วิ่งเข้ามารายงานขงเบ้งว่า ขณะนี้กองทัพวุยก๊กได้ยกตรงมาที่ค่าย มีธงประจำตัวนายทัพชื่อจีนล่งเป็นสำคัญ และเรียกร้องให้มหาอุปราชรีบส่งตัวแต้บุ๋นคืนให้กับจีนล่ง
ขงเบ้งได้ยินรายงานดังนั้นจึงถามแต้บุ๋นว่า ฝีมือรบพุ่งของท่านกับจีนล่งนั้น ถ้าเปรียบเทียบกันแล้วจะเป็นประการใด แต้บุ๋นได้ตอบขงเบ้งในทันทีว่า ฝีมือรบพุ่งข้าพเจ้าดีกว่าจีนล่ง ซึ่งจีนล่งยกทหารตามข้าพเจ้ามานี้ ข้าพเจ้าขออาสานำทหารออกไปตัดศีรษะจีนล่งมามอบแก่ท่าน ให้เห็นความสุจริตของข้าพเจ้าให้จงได้
ขงเบ้งจึงกล่าวว่า เจ้าอาสาดังนี้ชอบใจนัก หากทำการสำเร็จดังปากว่าเราก็จะสิ้นสงสัย กล่าวแล้วขงเบ้งจึงสั่งจัดทหารหนึ่งพันคน และสั่งให้แต้บุ๋นยกออกไปรบกับจีนล่ง
แต้บุ๋นคำนับขงเบ้งแล้วออกไปรับมอบทหาร แล้วยกออกไปนอกค่าย พอจีนล่งออกไปแล้ว ขงเบ้งได้พาทหารองครักษ์ตามไปสังเกตการณ์ดูการรบพุ่งอยู่ใกล้ประตูค่าย
ฝ่ายจีนล่งครั้นยกทหารมาถึงหน้าค่ายของขงเบ้ง เห็นแต้บุ๋นคุมทหารออกมารบดังนั้นจึงด่าว่าแต้บุ๋นเป็นข้อหยาบช้าว่า ไอ้คนทรยศต่อเจ้า ลืมข้าวแดงแกงร้อนของเจ้ากูที่เลี้ยงดูมึงมา มิหนำซ้ำยังลักม้าของกูหนีมาอีกเล่า จงมามอบตัวและส่งมอบม้าให้แก่กูเสียโดยดี
แต้บุ๋นไม่ตอบคำของจีนล่ง ขี่ม้าพุ่งออกไปรบกับจีนล่ง ทั้งสองฝ่ายต่อสู้กันเพียงเพลงเดียวแต้บุ๋นก็เอาง้าวฟันถูกจีนล่งตกม้าตาย ทหารของจีนล่งก็พากันแตกหนีถอยกลับไป แต้บุ๋นจึงตัดเอาศีรษะของจีนล่งกลับเข้าค่ายแล้วนำไปมอบแก่ขงเบ้ง
ขงเบ้งเห็นแต้บุ๋นเอาศีรษะจีนล่งมามอบให้ก็ทำทีเป็นโกรธ ตวาดใส่แต้บุ๋นว่าต่อหน้าเราเจ้ายังบังอาจมาหลอกลวงเราหรือ
แต้บุ๋นได้ยินดังนั้นก็ตกใจ ขงเบ้งจึงกล่าวสืบไปว่าอันจีนล่งนั้นเรารู้จักอยู่ ศีรษะซึ่งเจ้าตัดมามอบแก่เรานี้ไม่ใช่ศีรษะของจีนล่ง ไฉนเจ้าจึงบังอาจมาลวงเราดังนี้
ขงเบ้งเห็นแต้บุ๋นมีท่าทีอึกอักตกใจ จึงสำทับต่อไปว่าสุมาอี้คิดกลอุบายใช้เจ้าให้เข้ามาเป็นไส้ศึกในกองทัพเรา แล้วแสร้งแต่งคนปลอมตัวเป็นจีนล่งยกทหารตามมาให้เจ้าฆ่าเสีย หวังจะลวงให้เราตายใจ อุบายแต่เพียงเท่านี้มีหรือจะลวงเราได้ กล่าวแล้วขงเบ้งจึงสั่งทหารว่าอ้ายแต้บุ๋นนี้เป็นไส้ศึก ให้คุมตัวไปตัดศีรษะเสีย
แต้บุ๋นได้ยินดังนั้นก็ตกใจ คุกเข่าลงคำนับขงเบ้งแล้วว่า ข้าพเจ้าเป็นแต่ทหารผู้น้อย ไม่อาจขัดคำสั่งของสุมาอี้ผู้เป็นแม่ทัพได้ เมื่อมหาอุปราชแจ้งกลศึกดังนี้แล้ว ข้าพเจ้าก็จำต้องรับสารภาพตามความเป็นจริงว่า สุมาอี้ได้ใช้ให้ข้าพเจ้ามาเป็นไส้ศึกสมดังที่มหาอุปราชได้คาดรู้นั้นแล้ว คนซึ่งข้าพเจ้าสังหารคือจีนเบ้งน้องชายจีนล่ง ขอให้มหาอุปราชไว้ชีวิตข้าพเจ้าเอาบุญด้วยเถิด ข้าพเจ้าจะขออาสาทำการแทนคุณท่านไปจนตลอดชีวิต
ขงเบ้งได้ยินดังนั้นก็มีความยินดี จึงว่าเมื่อเจ้าร้องขอชีวิต เราก็จะเว้นชีวิตให้เอาบุญ แต่เจ้าต้องทำการเอาความชอบไว้ในราชการจึงจะควร แต้บุ๋นจึงถามว่ามหาอุปราชมีสิ่งใดจะใช้สอยก็ขอได้โปรดบัญชา ข้าพเจ้าจะทำการอาสาดังประสงค์ทุกประการ
ขงเบ้งได้ยินดังนั้นจึงสั่งทหารให้เอากระดาษและพู่กันมาให้แต้บุ๋น แล้วบอกความให้แต้บุ๋นเขียนตามเป็นเนื้อความว่า ข้าพเจ้าแต้บุ๋นรายงานความมาถึงท่านแม่ทัพสุมาอี้ ด้วยข้าพเจ้าได้ตัดศีรษะจีนเบ้งน้องชายจีนล่ง ขงเบ้งสำคัญว่าข้าพเจ้าฆ่าจีนล่งเสียแล้วมีความชอบ จึงเชื่อถือในความสุจริตของข้าพเจ้า ไว้วางใจตั้งให้เป็นนายทหาร ขอให้ท่านแม่ทัพยกกองทัพมาปล้นเอาค่ายของขงเบ้งในวันพรุ่งนี้เวลาสองยาม ข้าพเจ้าจะจุดเพลิงขึ้นในค่ายของขงเบ้ง และจะชักชวนทหารซึ่งแปรพักตร์ให้ตีกระหนาบออกไปพร้อมกัน
แต้บุ๋นเขียนถ้อยคำตามความที่ขงเบ้งสั่งทุกประการ แล้วมอบหนังสือนั้นแก่ขงเบ้ง ขงเบ้งรับเอาหนังสือมาอ่านดู เห็นตัวหนังสือเรียบร้อยเป็นปกติมิได้มีลักษณะเป็นการกลั่นแกล้งเขียนให้จับได้ก็พอใจ
ขงเบ้งอ่านและพิเคราะห์ความที่แต้บุ๋นเขียนจบแล้วจึงกล่าวกับแต้บุ๋นว่า เรากำลังทำการสำคัญ จำจะต้องคุมขังเจ้าไว้ชั่วคราวก่อน อย่าได้น้อยใจเลย สิ้นคำขงเบ้งทหารก็คุมตัวแต้บุ๋นไปจำขังไว้
อ้วนเกี๋ยนขุนนางฝ่ายทหารเห็นดังนั้นจึงถามขงเบ้งว่า เพราะเหตุใดมหาอุปราชจึงรู้ว่าแต้บุ๋นเป็นไส้ศึก และบังคับให้แต้บุ๋นเขียนหนังสือดังนี้เล่า
ขงเบ้งจึงว่า ความจริงเรามิได้รู้จักตัวจีนล่ง แต่เมื่อสังเกตการรบพุ่งระหว่าง แต้บุ๋นกับจีนล่งแล้ว เพียงชั่วเพลงเดียวแต้บุ๋นก็สังหารจีนล่งได้ผิดวิสัยนัก ด้วยสุมาอี้นั้นเป็นคนรอบคอบลึกซึ้งหลักแหลม มักใช้คนดีมีฝีมือมาทำการ ซึ่งสุมาอี้ตั้งแต่งให้จีนล่งเป็นแม่กองของกองทัพหน้า จีนล่งย่อมมีฝีมือเป็นอันมาก ไหนเลยแต้บุ๋นจะสังหารจีนล่งภายในเพลงรบเดียวได้ เราเห็นร่องรอยพิรุธจากฝีมือรบพุ่งดังนี้รู้ว่าเป็นอุบาย จึงคิดซ้อนกลสุมาอี้ฉะนี้
อ้วนเกี๋ยนและทหารทั้งปวงได้ฟังดังนั้น ต่างพากันสรรเสริญขงเบ้งว่ามีสติปัญญาหลักแหลมคมกล้า มองฝ่าทะลุถึงแผนการอุบายของสุมาอี้ได้กระจ่างแจ้งเสมอด้วยเทพยดา
ขงเบ้งจึงเรียกกิตุ้นซึ่งเป็นนายทหารประจำกองเสนาธิการ มีสติปัญญาเฉลียวฉลาดในเชิงชั้นเจรจา และมีความจงรักภักดีในราชวงศ์ฮั่นอย่างมั่นคงเข้ามาใกล้ กระซิบสั่งความอยู่ครู่หนึ่งแล้วจึงมอบหนังสือของแต้บุ๋นแก่กิตุ้น
กิตุ้นรับหนังสือแล้วคุกเข่าลงคำนับขงเบ้ง ครั้นเวลาค่ำจึงทำทีลอบหนีออกจากค่ายไปที่ค่ายของสุมาอี้ ทหารลาดตระเวนของวุยก๊กเห็นกิตุ้นจึงเข้าควบคุมตัว ครั้นไต่ถามได้ความว่ามีเรื่องราวความลับต้องการพบกับสุมาอี้ จึงนำตัวกิตุ้นไปมอบให้แก่ทหารรักษาการณ์
ครั้นสุมาอี้ได้ทราบความจึงให้ทหารรักษาการณ์พาตัวกิตุ้นมาพบข้างในค่าย แล้วถามว่าตัวเจ้าเป็นใคร มีความลับอันใดจะบอกแก่เรา
กิตุ้นคำนับสุมาอี้แล้วกล่าวว่า ข้าพเจ้ากับแต้บุ๋นเป็นชาวเมืองลกเอี๋ยง เล่าเรียนหนังสือด้วยกันมาแต่น้อย พอโตขึ้นข้าพเจ้าพลัดเข้าไปทำราชการอยู่ในเมืองเสฉวนและเป็นทหารเลวในกองทัพของขงเบ้ง ครั้นพบกับแต้บุ๋น แต้บุ๋นจึงไหว้วานให้ข้าพเจ้าถือหนังสือมาให้ท่าน.