ตอนที่ 560. แผนการยุทธวิธีศึกครั้งที่หก
ขงเบ้งขอรับพระบรมราชานุญาตยกกองทัพไปปราบวุยก๊กครั้งที่หก ด้วยความเชื่อมั่นว่าสติปัญญาคนจะสามารถพลิกผันลิขิตสวรรค์ได้ ก่อนกลับไปเมืองฮันต๋ง ขงเบ้งได้ขอพระบรมราชานุญาตเปิดสุสานพระบรมศพพระเจ้าเล่าปี่ เข้าไปรำพันร่ำไห้ทำพิธีสักการะพระบรมศพแล้วถวายบังคมลา
เสร็จพิธีบวงสรวงเซ่นไหว้พระบรมศพพระเจ้าเล่าปี่แล้ว ขงเบ้งได้กลับเข้าไปถวายบังคมลาพระเจ้าเล่าเสี้ยนและเดินทางกลับไปเมืองฮันต๋ง ระดมกำลังพลสามสิบสี่หมื่นและศาสตราวุธทั้งปวง รอวันฤกษ์ดีจะยกทัพไปตีวุยก๊ก
ขณะที่กำลังรอคอยวันฤกษ์ดีนั้น วันหนึ่งทหารรักษาการณ์เข้ามารายงานขงเบ้งว่า เมื่อค่ำคืนนี้กวนหินได้ป่วยด้วยโรคปัจจุบันถึงแก่กรรมแล้ว
ขงเบ้งทราบข่าวกวนหินตายโดยไม่ทันตั้งตัวก็ตกใจ ร้องไห้รักกวนหินเป็นอันมากจนสลบสิ้นสติสมประดี แม่ทัพนายกองพากันตกใจ และช่วยกันแก้ไขจนขงเบ้งฟื้นคืนสติดังเดิม
พลันที่ฟื้นคืนสติ ขงเบ้งได้รำพึงรำพันด้วยความเศร้าสลดว่า “กวนหินนี้เป็นทหารเอก ทั้งมีใจสัตย์ซื่อเหมือนกวนอูผู้บิดา ควรที่จะช่วยทำนุบำรุงแผ่นดินสืบไป ซึ่งกวนหินมาถึงแก่ความตายครั้งนี้ เหมือนเราเสียกำลังไปแก่ข้าศึกกึ่งหนึ่ง”
แต่การสงครามนั้นเป็นการใหญ่ ขงเบ้งจึงไม่อาจรั้งรอกองทัพร่วมพิธีศพของกวนหินได้ จึงสั่งให้ทหารคนสนิทเข้าร่วมพิธีการศพของกวนหินแทนตัว และจัดแจงเตรียมการที่จะเคลื่อนทัพตามวันเวลาฤกษ์
วันรุ่งขึ้นเวลาเก้านาฬิกา ขงเบ้งสั่งให้ลั่นม้าล่อฆ้องกลองเอาฤกษ์เอาชัย กรีฑาทัพใหญ่สามสิบสี่หมื่นออกจากเมืองฮันต๋ง ตั้งให้เกียงอุยและอุยเอี๋ยนเป็นกองทัพหน้าซ้ายขวา ให้ลิอิ๋นคุมกองเสบียง ขงเบ้งคุมกองทัพหลวงยกไปที่ตำบลเขากิสาน
ในระหว่างเดินทัพตั้งแต่ด่านเกี้ยมโก๊ะจนถึงหุบเขาจำก๊ก ขงเบ้งสั่งให้ตั้งค่ายรายเรียงเป็นระยะถึงยี่สิบสี่ค่าย แต่ละค่ายจัดกำลังทหารสามพันคนระมัดระวังรักษาค่าย ท่ามกลางความแปลกใจของเหล่าทหารว่าขงเบ้งคิดทำการครั้งนี้แปลกประหลาดกว่าแต่ก่อนมา แต่ไม่มีผู้ใดกล้าไต่ถามความว่ามีเหตุผลต้นปลายประการใด
ครั้นถึงตำบลเขากิสานแล้วขงเบ้งได้สั่งให้ตั้งค่ายใหญ่เป็นห้าค่าย ด้านหน้ามีสองค่ายซ้ายขวา ด้านหลังมีสองค่ายซ้ายขวา ขงเบ้งตั้งค่ายหลวงอยู่ตรงกลาง แล้วสั่งให้ทหารลาดตระเวนออกลาดตระเวนระยะใกล้ไกลมิได้ประมาท
ในระหว่างที่ขงเบ้งกำลังเคลื่อนทัพไปตำบลเขากิสานนั้น หน่วยสอดแนมของวุยก๊กได้ทราบความจึงส่งรายงานเข้าไปกราบบังคมทูลพระเจ้าโจยอยให้ทรงทราบ
พระเจ้าโจยอยทราบรายงานแล้วก็ตกพระทัย รับสั่งให้หาสุมาอี้เข้ามาเฝ้า แล้วมีพระราชปรารภว่าสามปีที่ผ่านมา จ๊กก๊กมิได้ยกกองทัพมารุกรานเมืองเรา อาณาประชาราษฎรได้รับความร่มเย็นเป็นสุข บัดนี้ขงเบ้งได้ยกกองทัพใหญ่ มีข่าวเล่าลือว่ามีกำลังพลถึงสี่สิบหมื่นกำลังยกมาที่ตำบลเขากิสานอีก ท่านจะคิดอ่านประการใด
สุมาอี้จึงกราบทูลว่า “ข้าพเจ้าดูดาวแลตำราเห็นว่าฝ่ายเมืองเรารุ่งเรืองสุกใสอยู่ อันดาวสำหรับเมืองเสฉวนนั้นเศร้าหมองนัก ซึ่งขงเบ้งยกมาครั้งนี้เหมือนหนึ่งหาภัยใส่ตัว พระองค์อย่าคิดวิตกเลย ไว้ข้าพเจ้าจะอาสาไปต้านทานเอาชัยชนะให้ได้”
สามก๊กฉบับภาษาจีนระบุว่า เมื่อสุมาอี้ได้ยินพระราชปรารภของพระเจ้าโจยอยแล้วได้กราบบังคมทูลว่า ข้าพระองค์ได้พิเคราะห์ดูการในอากาศ เห็นดาวประจำเมืองของวุยก๊กสว่างไสวรุ่งโรจน์ ดาวกุยแชได้โคจรเป็นเชิงมุมคุ้มกันดาวประจำเมือง พลังธาตุของวุยก๊กเรืองกฤษดานุภาพยิ่งนัก ส่วนเมืองเสฉวนเล่าดาวประจำตัวขุนนางผู้ใหญ่เศร้าหมอง ขงเบ้งยกกองทัพมาครั้งนี้เห็นจะเป็นอันตรายเป็นมั่นคง พระองค์อย่าได้ทรงพระวิตกสืบไปเลย ข้าพระองค์ขออาสายกกองทัพไปรับศึกครั้งนี้ จะคิดอ่านเอาชัยชนะขงเบ้งให้จงได้
พระเจ้าโจยอยได้ฟังคำกราบทูลของสุมาอี้ก็ทรงดีพระทัย มีพระบรมราชานุญาตให้สุมาอี้ยกกองทัพไปรับศึกขงเบ้ง และโปรดเกล้าตั้งให้สุมาอี้เป็นแม่ทัพใหญ่ พระราชทานตราและหมายรับสั่งให้สุมาอี้บังคับบัญชาทหารและพลเรือนตลอดทั้งแคว้นเพื่อทำศึกในครั้งนี้
สุมาอี้ถวายบังคมขอบพระทัยพระเจ้าโจยอยแล้วกราบทูลต่อไปว่า เป็นพระมหากรุณาธิคุณที่ทรงไว้วางพระราชหฤทัย ในการศึกครั้งนี้ข้าพระองค์ขอพระราชทานพระราชานุญาตให้บุตรของแฮหัวเอี๋ยนสี่คน คือแฮหัวป๋า แฮหัวหุย แฮหัวฮุย และแฮหัวสี่ ไปช่วยราชการในกองทัพด้วย ทั้งจะถือโอกาสแก้แค้นแทนแฮหัวเอี๋ยนที่ถูกฮองตงสังหารที่ภูเขาเตงกุนสันในอดีต
พระเจ้าโจยอยได้ฟังคำสุมาอี้ดังนั้นจึงตรัสว่า ในศึกครั้งก่อนแฮหัวหลิมราชบุตรเขยในพระเจ้าวุยอ๋องซึ่งเป็นบุตรของแฮหัวตุ้นเป็นแม่ทัพยกทหารไปสู้รบกับจ๊กก๊กแล้วพ่ายแพ้เสียที มีความอัปยศแก่ผู้คนทั้งปวง ไม่กล้าเข้ามาในเมืองหลวงถึงบัดนี้ ครั้งนี้ท่านจะขอเอาบุตรแฮหัวเอี๋ยนทั้งสี่คนไปอีกเล่า เกรงว่าเหตุการณ์จะซ้ำรอยเหมือนเมื่อครั้งแฮหัวหลิม ท่านจงไตร่ตรองให้จงดี
สุมาอี้จึงกราบทูลว่า บุตรแฮหัวเอี๋ยนทั้งสี่คนนี้แตกต่างจากแฮหัวหลิมราวฟ้าแลดิน เพราะมีฝีมือรบพุ่งกล้าหาญ มีความรอบรู้ในกลสงครามทั้งปวง ทั้งมีความพยาบาทหมายจะล้างแค้นจ๊กก๊กแทนบิดา เห็นจะทำศึกโดยเต็มกำลัง
พระเจ้าโจยอยจึงตรัสว่า เมื่อท่านแม่ทัพยืนยันดังนี้เราก็มิได้ขัด ยิ่งกว่านั้นหากท่านเห็นผู้หนึ่งผู้ใดมีสติปัญญาแลฝีมือที่จะช่วยการศึกได้ ก็ให้อำนาจแก่ท่านแต่งตั้งเป็นขุนนางตามที่เห็นสมควรเถิด
สุมาอี้ได้รับพระราชานุญาตดังนั้นก็มีความยินดี ถวายบังคมพระเจ้าโจยอยแล้วกราบทูลว่าการศึกครั้งนี้ใหญ่หลวงนัก ข้าพเจ้าได้คิดอุบายให้ขงเบ้งถอยกลับไปเมืองฮันต๋งให้จงได้ แต่เกรงว่าจะบังคับบัญชาทหารไม่คล่องตัว จึงจำต้องขอพระบารมีของพระองค์ทรงโปรดสนับสนุนตามแผนอุบายซึ่งข้าพระองค์ได้ทำเป็นฎีกาไว้แล้ว
กราบทูลแล้วสุมาอี้จึงลุกขึ้นเอาฎีกาลับขึ้นทูลเกล้าถวายพระเจ้าโจยอยเป็นการเฉพาะพระองค์ พระเจ้าโจยอยเปิดฎีกาของสุมาอี้ออกทอดพระเนตรแล้วทรงพยักหน้าเป็นทีเห็นด้วย แต่มิได้ตรัสประการใด
สุมาอี้เห็นดังนั้นจึงมีความยินดี ถวายบังคมขอบพระทัยพระเจ้าโจยอยแล้วกลับออกไป เรียกบุตรของแฮหัวเอี๋ยนทั้งสี่คนเข้ามาพบ แจ้งความตามที่มีพระบรมราชานุญาตให้ทราบทุกประการ ครั้นถึงวันฤกษ์ดีสุมาอี้จึงให้ตั้งการชุมนุมกองทัพไว้ที่หน้าประตูเมือง
ก่อนถึงเวลาเคลื่อนทัพ ทหารรักษาการณ์ได้เข้ามาแจ้งแก่สุมาอี้ว่าบัดนี้มีขบวนข้าหลวงของพระเจ้าโจยอยอัญเชิญพระบรมราชโองการมามอบแก่ท่านแม่ทัพ สุมาอี้ได้ยินดังนั้นก็ดีใจ รู้ว่าซึ่งได้ทูลเกล้าถวายฎีกาลับนั้นพระเจ้าโจยอยทรงโปรดดำเนินการตามแผนการทุกประการ จึงนำแม่ทัพนายกองออกมาตั้งขบวนรับพระบรมราชโองการตามประเพณี
ครั้นข้าหลวงในพระเจ้าโจยอยนำขบวนเชิญพระบรมราชโองการมาถึงหน้าแถวทหารซึ่งสุมาอี้ได้ตั้งเป็นกองเกียรติยศคอยรับ จึงเชิญพระบรมราชโองการมาถือไว้ข้างหน้าแถวทหาร
สุมาอี้และแม่ทัพนายกองทั้งปวงตลอดจนเหล่าทหารถวายบังคมพระบรมราชโองการอย่างพร้อมเพรียง พลางกล่าวพร้อมกันว่าขอจงทรงพระเจริญ
ข้าหลวงของพระเจ้าโจยอยจึงอ่านพระบรมราชโองการ ความว่าพระเจ้าโจยอยพระมหากษัตริย์ผู้ประเสริฐ ตรัสสั่งตั้งให้สุมาอี้เป็นแม่ทัพใหญ่ ยกไปทำสงครามปกป้องพระราชอาณาจักร ให้ทหารทั้งปวงเชื่อฟังคำบัญชาของสุมาอี้ อย่าได้ฝ่าฝืนเป็นอันขาด เมื่อสุมาอี้นำกองทัพไปถึงแม่น้ำอุยโหแล้ว ให้ตั้งมั่นรักษาตัวอย่าได้ประมาท กองทัพเมืองเสฉวนรุกรบล่วงเข้ามาไม่ได้ ก็จะแกล้งแต่งอุบายทำทีเป็นถอยทัพ อย่าได้ไล่ติดตามไปเป็นอันขาด ข้าศึกสิ้นเสบียงอาหารลงแล้วก็จะเลิกทัพกลับไปเอง ถึงเวลานั้นจึงค่อยยกไล่ตามตีเห็นจะได้ชัยชนะโดยมิต้องเปลืองแรงทหารแต่ประการใด ให้ทหารทั้งปวงปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัด
พระบรมราชโองการดังกล่าวแท้จริงคือแผนการของสุมาอี้ที่กำหนดยุทธวิธีตั้งรับกองทัพของขงเบ้ง รอให้กองทัพเมืองเสฉวนสิ้นเสบียงแล้วย่อมจะต้องเลิกทัพกลับไปเอง แต่การศึกที่ผ่านมานั้นสุมาอี้รู้ดีว่าแม่ทัพนายกองจำนวนมากมิได้เคารพเชื่อฟัง ดื้อรั้นจะยกกองทัพไปรบกับขงเบ้ง ซึ่งขัดกับยุทธวิธีตั้งรับ และตัวสุมาอี้เองก็รู้ดีว่าขงเบ้งมากด้วยกลอุบาย ยากแก่การรับมือ หากยกไปรบกับขงเบ้งแล้วโอกาสจะแพ้มีมากกว่าโอกาสชนะ แต่สุมาอี้นั้นได้เห็นจุดอ่อนอันสำคัญของกองทัพเมืองเสฉวนเพราะยกมาจากแดนไกล การลำเลียงเสบียงอาหารขัดสนและไม่พอเพียง จึงไม่มียุทธวิธีอื่นที่ดีกว่าการตั้งรับ แต่เกรงว่าแม่ทัพนายกองทั้งปวงจะมิฟังคำบัญชา ดื้อรั้นยกกองทัพไปรบกับขงเบ้งให้เสียทีอีก จึงอาศัยพระบารมีของพระเจ้าโจยอยทำเป็นพระบรมราชโองการกำชับทหารทั้งปวง ด้านหนึ่งก็เพื่อแสดงให้เห็นว่าแผนการยุทธวิธีตั้งรับนั้นเป็นพระราชดำริของพระเจ้าโจยอย อีกด้านหนึ่งก็เพื่อป้องกันมิให้ถูกแม่ทัพนายกองครหาว่าสุมาอี้ขี้ขลาดตาขาว ไม่กล้าต่อสู้กับขงเบ้ง
ดังนั้นสงครามครั้งที่หกระหว่างจ๊กก๊กกับวุยก๊กต่างฝ่ายจึงต่างกำหนดยุทธวิธีที่แน่นอนตั้งแต่ก่อนเผชิญหน้ากัน วุยก๊กนั้นสุมาอี้ลงทุนถึงขนาดขอพระบารมีของพระเจ้าโจยอยให้มีพระบัญชากำหนดยุทธวิธีตั้งรับทำสงครามยืดเยื้อยาวนาน รอให้กองทัพขงเบ้งสิ้นเสบียงแล้วต้องเลิกทัพกลับไปเอง จากนั้นจึงค่อยไล่ตามตี ซึ่งยุทธวิธีนี้ได้ตั้งอยู่บนพื้นฐานจุดอ่อนของกองทัพจ๊กก๊กที่การลำเลียงเสบียงอาหารลำบากขัดสน ไม่เพียงพอต่อการบำรุงเลี้ยงกองทัพ แต่ในขณะเดียวกันนั้นขงเบ้งก็คาดการณ์ถึงยุทธวิธีนี้ได้อยู่ก่อนแล้ว ดังนั้นก่อนเคลื่อนทัพจึงกำหนดยุทธวิธีทำสงครามยืดเยื้อและแก้ไขปัญหาเสบียงอาหารโดยจะจัดหาจากแดนของข้าศึกเอง เหตุนี้ขงเบ้งจึงให้ตั้งค่ายรายเรียงตลอดทางถึงยี่สิบสี่ค่าย เพื่อป้องกันเส้นทางลำเลียงและทำการแสวงหาเสบียงอาหารในเขตแดนข้าศึกอยู่ในแนวหลัง ในขณะที่กองทัพหลวงของขงเบ้งก็เตรียมการแก้ไขปัญหาขาดแคลนเสบียงไว้พร้อมสรรพ ต่างฝ่ายต่างรู้จุดอ่อนและป้องกันแก้ไขจุดอ่อนดังนี้ สงครามครั้งที่หกระหว่างจ๊กก๊กกับวุยก๊กจึงเข้มข้นยิ่งนัก
ครั้นข้าหลวงอ่านพระบรมราชโองการจบแล้ว สุมาอี้และทหารทั้งปวงพากันถวายบังคมและถวายพระพรให้พระเจ้าโจยอยทรงพระเจริญอีกครั้งหนึ่ง สุมาอี้ได้ลุกขึ้นรับพระบรมราชโองการจากมือของข้าหลวง แล้วหันไปประกาศแก่แม่ทัพนายกองทั้งปวงว่าฮ่องเต้ตรัสสั่งกำหนดแผนการรบไว้ดังนี้แล้ว หากผู้ใดฝ่าฝืนไม่เชื่อฟัง เราจำต้องประหารชีวิตตามวินัยศึก
กล่าวแล้วสุมาอี้จึงสั่งให้เคลื่อนทัพยกทหารออกจากเมืองลกเอี๋ยงไปที่เมืองเตียงอันและให้หมายเกณฑ์ทหารจากหัวเมืองต่าง ๆ รวมเป็นกำลังพลสี่สิบหมื่นยกไปบรรจบพร้อมกันที่เมืองเตียงอัน
สุมาอี้ยกกองทัพไปถึงเมืองเตียงอันบรรจบกับกองทัพหัวเมืองทั้งปวงพร้อมแล้ว จึงเคลื่อนทัพไปที่ริมแม่น้ำอุยโห ตั้งค่ายรายเรียงตามแนวแม่น้ำ จากนั้นจึงให้แฮหัวป๋าและแฮหัวฮุยเป็นกองทัพหน้า ยกทหารห้าหมื่นข้ามแม่น้ำไปตั้งค่ายอยู่อีกฟากหนึ่ง และสั่งให้แม่ทัพหน้าตั้งค่ายใหญ่สองค่ายขึ้นที่ทุ่งราบริมแม่น้ำอุยโห ให้ทำสะพานลอยข้ามแม่น้ำอุยโหมาเชื่อมกับกองทัพหลวงรวมเก้าตำบล หน้าค่ายใหญ่ทั้งสองแห่งให้ก่อแนวกำแพงป้องกันทหารขงเบ้งมิให้บุกรุกเข้าโจมตีค่ายได้โดยสะดวก
แฮหัวป๋าและแฮหัวฮุยรับคำสั่งสุมาอี้แล้ว คำนับลาออกไปจัดแจงทหารยกข้ามแม่น้ำอุยโหไปตั้งค่าย ก่อกำแพง และสร้างสะพานลอยตามคำสั่งของสุมาอี้ทุกประการ
วันหนึ่งโกฉุยและซุนเล้ได้เข้าไปหาสุมาอี้ แล้วกล่าวว่า “กองทัพเมืองเสฉวนมาอยู่ ณ เขากิสาน ข้าพเจ้าคิดเกรงว่าขงเบ้งจะลอบยกไปตีเอาหัวเมืองหลงเส แม้เสียเมืองหลงเสข้าศึกก็จะมีกำลังมากขึ้น ท่านจงคิดป้องกันไว้ให้ได้”.
เสร็จพิธีบวงสรวงเซ่นไหว้พระบรมศพพระเจ้าเล่าปี่แล้ว ขงเบ้งได้กลับเข้าไปถวายบังคมลาพระเจ้าเล่าเสี้ยนและเดินทางกลับไปเมืองฮันต๋ง ระดมกำลังพลสามสิบสี่หมื่นและศาสตราวุธทั้งปวง รอวันฤกษ์ดีจะยกทัพไปตีวุยก๊ก
ขณะที่กำลังรอคอยวันฤกษ์ดีนั้น วันหนึ่งทหารรักษาการณ์เข้ามารายงานขงเบ้งว่า เมื่อค่ำคืนนี้กวนหินได้ป่วยด้วยโรคปัจจุบันถึงแก่กรรมแล้ว
ขงเบ้งทราบข่าวกวนหินตายโดยไม่ทันตั้งตัวก็ตกใจ ร้องไห้รักกวนหินเป็นอันมากจนสลบสิ้นสติสมประดี แม่ทัพนายกองพากันตกใจ และช่วยกันแก้ไขจนขงเบ้งฟื้นคืนสติดังเดิม
พลันที่ฟื้นคืนสติ ขงเบ้งได้รำพึงรำพันด้วยความเศร้าสลดว่า “กวนหินนี้เป็นทหารเอก ทั้งมีใจสัตย์ซื่อเหมือนกวนอูผู้บิดา ควรที่จะช่วยทำนุบำรุงแผ่นดินสืบไป ซึ่งกวนหินมาถึงแก่ความตายครั้งนี้ เหมือนเราเสียกำลังไปแก่ข้าศึกกึ่งหนึ่ง”
แต่การสงครามนั้นเป็นการใหญ่ ขงเบ้งจึงไม่อาจรั้งรอกองทัพร่วมพิธีศพของกวนหินได้ จึงสั่งให้ทหารคนสนิทเข้าร่วมพิธีการศพของกวนหินแทนตัว และจัดแจงเตรียมการที่จะเคลื่อนทัพตามวันเวลาฤกษ์
วันรุ่งขึ้นเวลาเก้านาฬิกา ขงเบ้งสั่งให้ลั่นม้าล่อฆ้องกลองเอาฤกษ์เอาชัย กรีฑาทัพใหญ่สามสิบสี่หมื่นออกจากเมืองฮันต๋ง ตั้งให้เกียงอุยและอุยเอี๋ยนเป็นกองทัพหน้าซ้ายขวา ให้ลิอิ๋นคุมกองเสบียง ขงเบ้งคุมกองทัพหลวงยกไปที่ตำบลเขากิสาน
ในระหว่างเดินทัพตั้งแต่ด่านเกี้ยมโก๊ะจนถึงหุบเขาจำก๊ก ขงเบ้งสั่งให้ตั้งค่ายรายเรียงเป็นระยะถึงยี่สิบสี่ค่าย แต่ละค่ายจัดกำลังทหารสามพันคนระมัดระวังรักษาค่าย ท่ามกลางความแปลกใจของเหล่าทหารว่าขงเบ้งคิดทำการครั้งนี้แปลกประหลาดกว่าแต่ก่อนมา แต่ไม่มีผู้ใดกล้าไต่ถามความว่ามีเหตุผลต้นปลายประการใด
ครั้นถึงตำบลเขากิสานแล้วขงเบ้งได้สั่งให้ตั้งค่ายใหญ่เป็นห้าค่าย ด้านหน้ามีสองค่ายซ้ายขวา ด้านหลังมีสองค่ายซ้ายขวา ขงเบ้งตั้งค่ายหลวงอยู่ตรงกลาง แล้วสั่งให้ทหารลาดตระเวนออกลาดตระเวนระยะใกล้ไกลมิได้ประมาท
ในระหว่างที่ขงเบ้งกำลังเคลื่อนทัพไปตำบลเขากิสานนั้น หน่วยสอดแนมของวุยก๊กได้ทราบความจึงส่งรายงานเข้าไปกราบบังคมทูลพระเจ้าโจยอยให้ทรงทราบ
พระเจ้าโจยอยทราบรายงานแล้วก็ตกพระทัย รับสั่งให้หาสุมาอี้เข้ามาเฝ้า แล้วมีพระราชปรารภว่าสามปีที่ผ่านมา จ๊กก๊กมิได้ยกกองทัพมารุกรานเมืองเรา อาณาประชาราษฎรได้รับความร่มเย็นเป็นสุข บัดนี้ขงเบ้งได้ยกกองทัพใหญ่ มีข่าวเล่าลือว่ามีกำลังพลถึงสี่สิบหมื่นกำลังยกมาที่ตำบลเขากิสานอีก ท่านจะคิดอ่านประการใด
สุมาอี้จึงกราบทูลว่า “ข้าพเจ้าดูดาวแลตำราเห็นว่าฝ่ายเมืองเรารุ่งเรืองสุกใสอยู่ อันดาวสำหรับเมืองเสฉวนนั้นเศร้าหมองนัก ซึ่งขงเบ้งยกมาครั้งนี้เหมือนหนึ่งหาภัยใส่ตัว พระองค์อย่าคิดวิตกเลย ไว้ข้าพเจ้าจะอาสาไปต้านทานเอาชัยชนะให้ได้”
สามก๊กฉบับภาษาจีนระบุว่า เมื่อสุมาอี้ได้ยินพระราชปรารภของพระเจ้าโจยอยแล้วได้กราบบังคมทูลว่า ข้าพระองค์ได้พิเคราะห์ดูการในอากาศ เห็นดาวประจำเมืองของวุยก๊กสว่างไสวรุ่งโรจน์ ดาวกุยแชได้โคจรเป็นเชิงมุมคุ้มกันดาวประจำเมือง พลังธาตุของวุยก๊กเรืองกฤษดานุภาพยิ่งนัก ส่วนเมืองเสฉวนเล่าดาวประจำตัวขุนนางผู้ใหญ่เศร้าหมอง ขงเบ้งยกกองทัพมาครั้งนี้เห็นจะเป็นอันตรายเป็นมั่นคง พระองค์อย่าได้ทรงพระวิตกสืบไปเลย ข้าพระองค์ขออาสายกกองทัพไปรับศึกครั้งนี้ จะคิดอ่านเอาชัยชนะขงเบ้งให้จงได้
พระเจ้าโจยอยได้ฟังคำกราบทูลของสุมาอี้ก็ทรงดีพระทัย มีพระบรมราชานุญาตให้สุมาอี้ยกกองทัพไปรับศึกขงเบ้ง และโปรดเกล้าตั้งให้สุมาอี้เป็นแม่ทัพใหญ่ พระราชทานตราและหมายรับสั่งให้สุมาอี้บังคับบัญชาทหารและพลเรือนตลอดทั้งแคว้นเพื่อทำศึกในครั้งนี้
สุมาอี้ถวายบังคมขอบพระทัยพระเจ้าโจยอยแล้วกราบทูลต่อไปว่า เป็นพระมหากรุณาธิคุณที่ทรงไว้วางพระราชหฤทัย ในการศึกครั้งนี้ข้าพระองค์ขอพระราชทานพระราชานุญาตให้บุตรของแฮหัวเอี๋ยนสี่คน คือแฮหัวป๋า แฮหัวหุย แฮหัวฮุย และแฮหัวสี่ ไปช่วยราชการในกองทัพด้วย ทั้งจะถือโอกาสแก้แค้นแทนแฮหัวเอี๋ยนที่ถูกฮองตงสังหารที่ภูเขาเตงกุนสันในอดีต
พระเจ้าโจยอยได้ฟังคำสุมาอี้ดังนั้นจึงตรัสว่า ในศึกครั้งก่อนแฮหัวหลิมราชบุตรเขยในพระเจ้าวุยอ๋องซึ่งเป็นบุตรของแฮหัวตุ้นเป็นแม่ทัพยกทหารไปสู้รบกับจ๊กก๊กแล้วพ่ายแพ้เสียที มีความอัปยศแก่ผู้คนทั้งปวง ไม่กล้าเข้ามาในเมืองหลวงถึงบัดนี้ ครั้งนี้ท่านจะขอเอาบุตรแฮหัวเอี๋ยนทั้งสี่คนไปอีกเล่า เกรงว่าเหตุการณ์จะซ้ำรอยเหมือนเมื่อครั้งแฮหัวหลิม ท่านจงไตร่ตรองให้จงดี
สุมาอี้จึงกราบทูลว่า บุตรแฮหัวเอี๋ยนทั้งสี่คนนี้แตกต่างจากแฮหัวหลิมราวฟ้าแลดิน เพราะมีฝีมือรบพุ่งกล้าหาญ มีความรอบรู้ในกลสงครามทั้งปวง ทั้งมีความพยาบาทหมายจะล้างแค้นจ๊กก๊กแทนบิดา เห็นจะทำศึกโดยเต็มกำลัง
พระเจ้าโจยอยจึงตรัสว่า เมื่อท่านแม่ทัพยืนยันดังนี้เราก็มิได้ขัด ยิ่งกว่านั้นหากท่านเห็นผู้หนึ่งผู้ใดมีสติปัญญาแลฝีมือที่จะช่วยการศึกได้ ก็ให้อำนาจแก่ท่านแต่งตั้งเป็นขุนนางตามที่เห็นสมควรเถิด
สุมาอี้ได้รับพระราชานุญาตดังนั้นก็มีความยินดี ถวายบังคมพระเจ้าโจยอยแล้วกราบทูลว่าการศึกครั้งนี้ใหญ่หลวงนัก ข้าพเจ้าได้คิดอุบายให้ขงเบ้งถอยกลับไปเมืองฮันต๋งให้จงได้ แต่เกรงว่าจะบังคับบัญชาทหารไม่คล่องตัว จึงจำต้องขอพระบารมีของพระองค์ทรงโปรดสนับสนุนตามแผนอุบายซึ่งข้าพระองค์ได้ทำเป็นฎีกาไว้แล้ว
กราบทูลแล้วสุมาอี้จึงลุกขึ้นเอาฎีกาลับขึ้นทูลเกล้าถวายพระเจ้าโจยอยเป็นการเฉพาะพระองค์ พระเจ้าโจยอยเปิดฎีกาของสุมาอี้ออกทอดพระเนตรแล้วทรงพยักหน้าเป็นทีเห็นด้วย แต่มิได้ตรัสประการใด
สุมาอี้เห็นดังนั้นจึงมีความยินดี ถวายบังคมขอบพระทัยพระเจ้าโจยอยแล้วกลับออกไป เรียกบุตรของแฮหัวเอี๋ยนทั้งสี่คนเข้ามาพบ แจ้งความตามที่มีพระบรมราชานุญาตให้ทราบทุกประการ ครั้นถึงวันฤกษ์ดีสุมาอี้จึงให้ตั้งการชุมนุมกองทัพไว้ที่หน้าประตูเมือง
ก่อนถึงเวลาเคลื่อนทัพ ทหารรักษาการณ์ได้เข้ามาแจ้งแก่สุมาอี้ว่าบัดนี้มีขบวนข้าหลวงของพระเจ้าโจยอยอัญเชิญพระบรมราชโองการมามอบแก่ท่านแม่ทัพ สุมาอี้ได้ยินดังนั้นก็ดีใจ รู้ว่าซึ่งได้ทูลเกล้าถวายฎีกาลับนั้นพระเจ้าโจยอยทรงโปรดดำเนินการตามแผนการทุกประการ จึงนำแม่ทัพนายกองออกมาตั้งขบวนรับพระบรมราชโองการตามประเพณี
ครั้นข้าหลวงในพระเจ้าโจยอยนำขบวนเชิญพระบรมราชโองการมาถึงหน้าแถวทหารซึ่งสุมาอี้ได้ตั้งเป็นกองเกียรติยศคอยรับ จึงเชิญพระบรมราชโองการมาถือไว้ข้างหน้าแถวทหาร
สุมาอี้และแม่ทัพนายกองทั้งปวงตลอดจนเหล่าทหารถวายบังคมพระบรมราชโองการอย่างพร้อมเพรียง พลางกล่าวพร้อมกันว่าขอจงทรงพระเจริญ
ข้าหลวงของพระเจ้าโจยอยจึงอ่านพระบรมราชโองการ ความว่าพระเจ้าโจยอยพระมหากษัตริย์ผู้ประเสริฐ ตรัสสั่งตั้งให้สุมาอี้เป็นแม่ทัพใหญ่ ยกไปทำสงครามปกป้องพระราชอาณาจักร ให้ทหารทั้งปวงเชื่อฟังคำบัญชาของสุมาอี้ อย่าได้ฝ่าฝืนเป็นอันขาด เมื่อสุมาอี้นำกองทัพไปถึงแม่น้ำอุยโหแล้ว ให้ตั้งมั่นรักษาตัวอย่าได้ประมาท กองทัพเมืองเสฉวนรุกรบล่วงเข้ามาไม่ได้ ก็จะแกล้งแต่งอุบายทำทีเป็นถอยทัพ อย่าได้ไล่ติดตามไปเป็นอันขาด ข้าศึกสิ้นเสบียงอาหารลงแล้วก็จะเลิกทัพกลับไปเอง ถึงเวลานั้นจึงค่อยยกไล่ตามตีเห็นจะได้ชัยชนะโดยมิต้องเปลืองแรงทหารแต่ประการใด ให้ทหารทั้งปวงปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัด
พระบรมราชโองการดังกล่าวแท้จริงคือแผนการของสุมาอี้ที่กำหนดยุทธวิธีตั้งรับกองทัพของขงเบ้ง รอให้กองทัพเมืองเสฉวนสิ้นเสบียงแล้วย่อมจะต้องเลิกทัพกลับไปเอง แต่การศึกที่ผ่านมานั้นสุมาอี้รู้ดีว่าแม่ทัพนายกองจำนวนมากมิได้เคารพเชื่อฟัง ดื้อรั้นจะยกกองทัพไปรบกับขงเบ้ง ซึ่งขัดกับยุทธวิธีตั้งรับ และตัวสุมาอี้เองก็รู้ดีว่าขงเบ้งมากด้วยกลอุบาย ยากแก่การรับมือ หากยกไปรบกับขงเบ้งแล้วโอกาสจะแพ้มีมากกว่าโอกาสชนะ แต่สุมาอี้นั้นได้เห็นจุดอ่อนอันสำคัญของกองทัพเมืองเสฉวนเพราะยกมาจากแดนไกล การลำเลียงเสบียงอาหารขัดสนและไม่พอเพียง จึงไม่มียุทธวิธีอื่นที่ดีกว่าการตั้งรับ แต่เกรงว่าแม่ทัพนายกองทั้งปวงจะมิฟังคำบัญชา ดื้อรั้นยกกองทัพไปรบกับขงเบ้งให้เสียทีอีก จึงอาศัยพระบารมีของพระเจ้าโจยอยทำเป็นพระบรมราชโองการกำชับทหารทั้งปวง ด้านหนึ่งก็เพื่อแสดงให้เห็นว่าแผนการยุทธวิธีตั้งรับนั้นเป็นพระราชดำริของพระเจ้าโจยอย อีกด้านหนึ่งก็เพื่อป้องกันมิให้ถูกแม่ทัพนายกองครหาว่าสุมาอี้ขี้ขลาดตาขาว ไม่กล้าต่อสู้กับขงเบ้ง
ดังนั้นสงครามครั้งที่หกระหว่างจ๊กก๊กกับวุยก๊กต่างฝ่ายจึงต่างกำหนดยุทธวิธีที่แน่นอนตั้งแต่ก่อนเผชิญหน้ากัน วุยก๊กนั้นสุมาอี้ลงทุนถึงขนาดขอพระบารมีของพระเจ้าโจยอยให้มีพระบัญชากำหนดยุทธวิธีตั้งรับทำสงครามยืดเยื้อยาวนาน รอให้กองทัพขงเบ้งสิ้นเสบียงแล้วต้องเลิกทัพกลับไปเอง จากนั้นจึงค่อยไล่ตามตี ซึ่งยุทธวิธีนี้ได้ตั้งอยู่บนพื้นฐานจุดอ่อนของกองทัพจ๊กก๊กที่การลำเลียงเสบียงอาหารลำบากขัดสน ไม่เพียงพอต่อการบำรุงเลี้ยงกองทัพ แต่ในขณะเดียวกันนั้นขงเบ้งก็คาดการณ์ถึงยุทธวิธีนี้ได้อยู่ก่อนแล้ว ดังนั้นก่อนเคลื่อนทัพจึงกำหนดยุทธวิธีทำสงครามยืดเยื้อและแก้ไขปัญหาเสบียงอาหารโดยจะจัดหาจากแดนของข้าศึกเอง เหตุนี้ขงเบ้งจึงให้ตั้งค่ายรายเรียงตลอดทางถึงยี่สิบสี่ค่าย เพื่อป้องกันเส้นทางลำเลียงและทำการแสวงหาเสบียงอาหารในเขตแดนข้าศึกอยู่ในแนวหลัง ในขณะที่กองทัพหลวงของขงเบ้งก็เตรียมการแก้ไขปัญหาขาดแคลนเสบียงไว้พร้อมสรรพ ต่างฝ่ายต่างรู้จุดอ่อนและป้องกันแก้ไขจุดอ่อนดังนี้ สงครามครั้งที่หกระหว่างจ๊กก๊กกับวุยก๊กจึงเข้มข้นยิ่งนัก
ครั้นข้าหลวงอ่านพระบรมราชโองการจบแล้ว สุมาอี้และทหารทั้งปวงพากันถวายบังคมและถวายพระพรให้พระเจ้าโจยอยทรงพระเจริญอีกครั้งหนึ่ง สุมาอี้ได้ลุกขึ้นรับพระบรมราชโองการจากมือของข้าหลวง แล้วหันไปประกาศแก่แม่ทัพนายกองทั้งปวงว่าฮ่องเต้ตรัสสั่งกำหนดแผนการรบไว้ดังนี้แล้ว หากผู้ใดฝ่าฝืนไม่เชื่อฟัง เราจำต้องประหารชีวิตตามวินัยศึก
กล่าวแล้วสุมาอี้จึงสั่งให้เคลื่อนทัพยกทหารออกจากเมืองลกเอี๋ยงไปที่เมืองเตียงอันและให้หมายเกณฑ์ทหารจากหัวเมืองต่าง ๆ รวมเป็นกำลังพลสี่สิบหมื่นยกไปบรรจบพร้อมกันที่เมืองเตียงอัน
สุมาอี้ยกกองทัพไปถึงเมืองเตียงอันบรรจบกับกองทัพหัวเมืองทั้งปวงพร้อมแล้ว จึงเคลื่อนทัพไปที่ริมแม่น้ำอุยโห ตั้งค่ายรายเรียงตามแนวแม่น้ำ จากนั้นจึงให้แฮหัวป๋าและแฮหัวฮุยเป็นกองทัพหน้า ยกทหารห้าหมื่นข้ามแม่น้ำไปตั้งค่ายอยู่อีกฟากหนึ่ง และสั่งให้แม่ทัพหน้าตั้งค่ายใหญ่สองค่ายขึ้นที่ทุ่งราบริมแม่น้ำอุยโห ให้ทำสะพานลอยข้ามแม่น้ำอุยโหมาเชื่อมกับกองทัพหลวงรวมเก้าตำบล หน้าค่ายใหญ่ทั้งสองแห่งให้ก่อแนวกำแพงป้องกันทหารขงเบ้งมิให้บุกรุกเข้าโจมตีค่ายได้โดยสะดวก
แฮหัวป๋าและแฮหัวฮุยรับคำสั่งสุมาอี้แล้ว คำนับลาออกไปจัดแจงทหารยกข้ามแม่น้ำอุยโหไปตั้งค่าย ก่อกำแพง และสร้างสะพานลอยตามคำสั่งของสุมาอี้ทุกประการ
วันหนึ่งโกฉุยและซุนเล้ได้เข้าไปหาสุมาอี้ แล้วกล่าวว่า “กองทัพเมืองเสฉวนมาอยู่ ณ เขากิสาน ข้าพเจ้าคิดเกรงว่าขงเบ้งจะลอบยกไปตีเอาหัวเมืองหลงเส แม้เสียเมืองหลงเสข้าศึกก็จะมีกำลังมากขึ้น ท่านจงคิดป้องกันไว้ให้ได้”.