ตอนที่ 55. สงครามโจรโพกผ้าเหลืองครั้งที่สาม
กองทัพภาคพายัพของม้าเท้งและหันซุยถอยกลับไปแล้ว ทิ้งรอยร้าวภายในคณะสี่ทหารเอก ซึ่งบัดนี้คงเหลืออยู่เพียงสามคนไว้ข้างหลัง แต่ความเคลื่อนไหวลุกขึ้นต่อสู้กู้ชาติของประชาชนกำลังจะเริ่มต้นขึ้นอีกครั้งหนึ่ง
กองทัพภาคพายัพของม้าเท้งและหันซุยถอยกลับไปแล้ว ทิ้งรอยร้าวภายในคณะสี่ทหารเอก ซึ่งบัดนี้คงเหลืออยู่เพียงสามคนไว้ข้างหลัง แต่ความเคลื่อนไหวลุกขึ้นต่อสู้กู้ชาติของประชาชนกำลังจะเริ่มต้นขึ้นอีกครั้งหนึ่ง
จำเดิมแต่การลุกขึ้นสู้ของประชาชนครั้งที่สอง ที่เมืองอ้วนเซียถูกปราบปรามในปลายรัชสมัยของพระเจ้าเลนเต้แล้ว กองกำลังกู้ชาติของประชาชนก็แตกกระสานซ่านเซ็นไปตามทิศต่าง ๆ แต่ทว่าเชื้อไฟปฏิวัติของประชาชนนั้นหาดับมอดสิ้นไปไม่
แกนนำของขบวนการกู้ชาติบางส่วนที่แตกหนีหลบภัยในภาคตะวันออกได้ปักหลักพักฟื้นที่เมืองเซียงจิ๋วแห่งหนึ่ง และอีกส่วนหนึ่งได้หลบราชภัยไปปักหลักพักฟื้นในเขตเมืองปักไฮ และอีกบางท้องที่
ครั้นเกิดการจลาจลขึ้นในเมืองหลวงและมีการเปลี่ยนแปลงรัฐบาลจากโฮจิ๋นเป็นรัฐบาลของตั๋งโต๊ะ จากรัฐบาลของตั๋งโต๊ะเป็นรัฐบาลของอ้องอุ้น จนกระทั่งถึงรัฐบาลของลิฉุย กุยกี ทุก ๆ รัฐบาลต่างมิได้เหลียวแลเอาใจใส่ทุกข์สุขของราษฎร บางรัฐบาลยังกดขี่ข่มเหงรังแกประชาชนอย่างโหดร้ายทารุณ จึงสร้างความโกรธแค้นชิงชังในหมู่ประชาชนอย่างกว้างขวาง
ข้าราชการขุนนางในหัวเมืองได้ถือโอกาสที่อำนาจรัฐส่วนกลางอ่อนแอ ขาดการกำกับตรวจสอบ ทำการกดขี่ข่มเหงราษฎรมากขึ้น ดังนั้นจึงเป็นธรรมดาที่ประชาชนต้องลุกขึ้นต่อสู้เพื่อไปตายเอาดาบหน้า ดังที่วิสา คัญทัพ กวีของประชาชนได้รจนาไว้ว่า
“เมื่อลุกขึ้นต่อสู้ผู้กดขี่
ประชาชนย่อมมีชีวิตใหม่
เมื่อท้องฟ้าสีทองผ่องอำไพ
ประชาชนย่อมเป็นใหญ่ในแผ่นดิน”
ในสถานการณ์เช่นนี้ขบวนการต่อสู้กู้ชาติของประชาชนที่มอดลงจากการถูกปราบปรามครั้งที่สองจึงเริ่มคุโชนขึ้น แกนนำในพื้นที่ต่าง ๆ จึงทำการจัดตั้งมวลชนขึ้นมาใหม่ เคลื่อนไหวความคิดทางการเมืองในหมู่ประชาชนกว้างขวางยิ่งขึ้นทุกวัน ชี้ให้ประชาชนได้เข้าใจถึงต้นเหตุของความยากจนข้นแค้นและความยากไร้ทั้งปวงว่า ไม่ใช่เกิดจากบาปกรรมในชาติปางก่อน หากเกิดจากการถูกชนชั้นปกครองเอาเปรียบขูดรีดด้วยประการต่าง ๆ ในชาตินี้ต่างหาก
มิหนำซ้ำยังสมคบกับต่างชาติให้เข้ามาทำลายระบบเศรษฐกิจของประเทศจนย่อยยับ บังคับราษฎรให้จำต้องขายทรัพย์สมบัติแก่ต่างชาติในราคาถูก ทำตัวเป็นสมุนของต่างชาติ ยึดกิจการของราษฎรแล้วบรรณาการแก่ต่างชาติในราคาต่ำเกือบจะเป็นการยกให้เปล่า ๆ แม้ทรัพย์สมบัติของชาติที่บรรพบุรุษได้สร้างสมมานานเกือบร้อยปี ก็แอบมุบมิบขายให้แก่ต่างชาติ ออกกฎหมายและระเบียบต่าง ๆ ให้สิทธิประโยชน์แก่ต่างชาติในการยึดครองเศรษฐกิจของประเทศ ตลอดจนการถือครองที่ดิน ซึ่งบรรพบุรุษได้พลีเลือดเนื้อและชีวิต พิทักษ์รักษาไว้อย่างไม่ใยดี
เพราะเหตุนี้ประเทศจึงมีหนี้สินล้นพ้นตัว ราษฎรถูกสูบเลือดสูบเนื้ออย่างเลือดเย็น ทั้งการกิน การอยู่ การจับจ่ายใช้สอยก็ต้องจ่ายค่าความคิดหรือลิขสิทธิ์ให้กับต่างชาติจนแทบจะเหลือเพียงอากาศหายใจเท่านั้นที่ราษฎรยังไม่ต้องจ่ายเงินซื้อหา
ความยากจนของราษฎรและประเทศชาติจึงเกิดจากการขายชาติ เกิดจากการยอมตัวเป็นขี้ข้าของต่างชาติแล้วช่วยกันปล้นสดมภ์ราษฎรและประเทศชาติของตนเอง
ราษฎรสัมผัสความจริงได้ด้วยตนเองเช่นนี้แล้ว จึงพากันต่อต้านรัฐบาล และเข้าร่วมกับขบวนการกู้ชาติมากขึ้นทุกวัน จนสามารถก่อตั้งเขตจรยุทธ์ เขตที่มั่น และฐานที่มั่นขึ้นได้สำเร็จอย่างเป็นขั้นตอนตามหลักการพัฒนาของสรรพสิ่งที่พัฒนา “จากไม่มีสู่มี จากเล็กสู่ใหญ่ และจากอ่อนสู่แข็ง” ทำให้ฐานที่มั่นของกองกำลังอาวุธของประชาชนมีความมั่นคงและขยายตัวออกไปอย่างกว้างขวาง
บรรดาชายฉกรรจ์ในเขตเคลื่อนไหวได้อาสาเข้าร่วมในกองกำลังอาวุธอย่างต่อเนื่อง จนกองกำลังติดอาวุธของประชาชนเพิ่มจำนวนขึ้นถึงสี่สิบหมื่น ในขณะที่เขตเคลื่อนไหวได้ขยายตัวครอบคลุมพื้นที่หลายเมือง มีราษฎรอยู่ในเขตเคลื่อนไหวถึงร้อยหมื่น
อำนาจรัฐของประชาชนได้ก่อตัวขึ้น เติบโตและเข้มแข็งขึ้นโดยลำดับ ผลักดันให้เขตอำนาจรัฐของรัฐบาลถอยร่นหดแคบลง จนคุกคามความปลอดภัยของบรรดาขุนนางข้าราชการทั้งเมืองเชียงจิ๋วและเมืองปักไฮ ดังนั้นหัวเมืองเหล่านี้จึงมีใบบอกเข้าไปยังเมืองหลวงว่าบัดนี้โจรโพกผ้าเหลืองก่อการกำเริบขึ้นอีกแล้ว ทำการปล้นฆ่ารังแกราษฎร ขอให้ทางเมืองหลวงส่งกองทัพมาช่วยปราบปราม
ถ้าหากจะตำหนิคนแต่งหนังสือสามก๊กว่าเป็นพวกเล่าปี่ตามทัศนะของหม่อมราชวงศ์คึกฤทธิ์ ปราโมช แล้ว การตำหนิเช่นนั้นยังคงคลาดเคลื่อนจากความเป็นจริง และถ้าจะให้ถูกต้องตรงกับข้อเท็จจริงก็ต้องตำหนิว่าคนเขียนสามก๊กเป็นพวกขุนนางต่างหาก
ในกรณีของพวกขุนนางด้วยกัน แม้หากจะทำชั่วช้าสารเลว หรือทำตนไร้ค่าและความหมายใด ๆ ก็ยังคงให้เกียรติยกย่อง อย่างน้อยก็ยังเอ่ยอ้างชื่อเสียงเรียงนามไว้ในสามก๊ก แต่ครั้นถึงทีของประชาชนกลับยัดเยียดว่าเป็นโจร และไม่ยอมเอ่ยอ้างชื่อเสียงเรียงนาม ทำให้ผู้อ่านสามก๊กในชั้นหลังไม่รู้จักชื่อเสียงของนักต่อสู้ของประชาชนในครั้งกระโน้น
การลุกขึ้นสู้ของประชาชนในครั้งที่สามนี้ เฉพาะด้านเมืองเชียงจิ๋วด้านเดียว สามก๊กฉบับเจ้าพระยาพระคลัง (หน) ก็ยังระบุว่า “โจรโพกผ้าเหลืองประมาณสามสิบ สี่สิบหมื่น” และ “บรรดาหญิงชายชาวเมืองที่โจรจับไว้นั้นประมาณร้อยหมื่น”
กำลังพลสามสิบ สี่สิบหมื่น มีขนาดใหญ่กว่ากำลังพลของกองทัพไทย กองทัพกัมพูชา ลาว มาเลเซีย สิงคโปร์ และบรูไนรวมกัน เช่นนี้แล้วยังจะเรียกว่าเป็นโจร จึงออกจะเป็นการบิดเบือนความจริงที่ชัดเจนเกินไป
ส่วนราษฎรที่ว่าโจรจับกุมไว้ถึงร้อยหมื่นหรือหนึ่งล้านคนนั้น ย่อมเป็นไปไม่ได้ที่คนนับล้านคนจะถูกโจรจับ หรือหากว่าจะจับกันจริง ๆ แล้ว จะจับไว้ได้สักกี่วัน จะเลี้ยงดูทำมาหากินกันอย่างไร นี่คือการบิดเบือนที่ไร้ความยุติธรรม กรณีจึงเป็นเรื่องที่ราษฎรเหล่านั้นปฏิเสธอำนาจรัฐ และเข้าร่วมกับกองกำลังติดอาวุธของประชาชน
ในบรรดากระบวนการบิดเบือนทางการเมืองต้องยกให้พวกถือลัทธิขุนนาง ศักดินาเป็นเลิศในโลก ภาพพจน์การต่อสู้กู้ชาติของประชาชนทุกหนแห่งในโลกล้วนถูกลัทธิขุนนางศักดินานี่เองที่ทำการบิดเบือนจนกลายเป็นยักษ์มาร
การเปลี่ยนแปลงการปกครองของประเทศไทยในปีพุทธศักราช 2475 ถูกบิดเบือนว่าเป็น “การปฏิวัติ” คือการทำให้แย่ลง ทั้ง ๆ ที่เป็น “การอภิวัฒน์” คือการทำให้ก้าวหน้าและดียิ่งขึ้น การต่อสู้กับเผด็จการขายชาติในสมัยหนึ่งที่เรียกชื่อว่า “พรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย” ก็ถูกเรียกว่า “ผู้ก่อการร้าย” แต่การค้ายาเสพติด และการขายชาติซึ่งมีเพทภัยร้ายแรงยิ่งกว่ากลับไม่ประณามหรือทำลายให้สิ้นซาก
แม้ว่าจะบิดเบือนประการใด ความจริงก็ย่อมปรากฏตัวให้คนรุ่นหลังรับรู้จนได้เหมือนกับสามก๊กตอนนี้ก็ได้เห็นกันแล้วว่า ทีกองทัพภาคพายัพเพียงสิบสองหมื่นยกเข้าตีเมืองหลวงก็เรียกว่า “กองทัพ” เอ่ยอ้างชื่อแม่ทัพคือม้าเท้งและหันซุย แต่ครั้นประชาชนลุกขึ้นสู้และมิได้ยกเข้ามาโจมตีเมืองหลวง มีกำลังพลมากกว่ากองทัพภาคพายัพถึงกว่าสามเท่ากลับเรียกว่าเป็น “โจร”
ลิฉุย กุยกี ได้ทราบความจากใบบอกของหัวเมืองแล้ว จึงเรียกประชุมขุนนางข้าราชการปรึกษาว่า จะปราบปรามโจรโพกผ้าเหลืองนี้ได้อย่างไร จูฮีอดีตรองแม่ทัพใหญ่ปราบโจรโพกผ้าเหลืองในยุคแรกๆ ซึ่งบัดนี้เป็นที่ปรึกษาของผู้สำเร็จราชการแผ่นดิน และมีความรู้ประสบการณ์เกี่ยวกับกรณีของโจรโพกผ้าเหลืองมากกว่าใคร จึงได้เสนอว่าการครั้งนี้ควรให้โจโฉเป็นผู้ไปปราบ
ลิฉุย กุยกี ไม่รู้จักโจโฉมาก่อนจึงถามว่าโจโฉเป็นใคร และขณะนี้อยู่ที่ไหน
จูฮีจึงว่า เดิมโจโฉเคยร่วมกับพวกข้าพเจ้าปราบโจรโพกผ้าเหลืองในยุคสมัยของพระเจ้าเลนเต้ ต่อมาโจโฉได้เข้าร่วมกับอ้วนเสี้ยวก่อตั้งกองทัพปฏิวัติยกมารบด้วยตั๋งโต๊ะ ครั้นกองทัพปฏิวัติสลายตัวแล้ว โจโฉจึงยกไปตั้งอยู่ที่เมืองเอ๊งจิ๋ว มีกำลังทหารอยู่เป็นจำนวนมาก สามารถปราบโจรทางภาคตะวันออกได้สำเร็จ ทั้งจะเกิดผลดีทางการเมืองเพราะเท่ากับเป็นการนิรโทษกรรมให้กับโจโฉ และจะทำให้โจโฉกลับมาอยู่ในอำนาจของเมืองหลวงต่อไป
ลิฉุย กุยกี จึงปรึกษาต่อไปว่าจะทำอย่างไรโจโฉจึงจะยอมยกกองทัพไปปราบโจรโพกผ้าเหลืองในครั้งนี้ เพราะบัดนี้ฐานะทางกฎหมายของโจโฉคือผู้ขบถต่อทางราชการ จูฮีจึงแนะนำว่าขอให้ท่านมีหมายรับสั่งของพระเจ้าเหี้ยนเต้ไปถึงโจโฉ ดังนี้แล้วโจโฉก็คงจะยอมปฏิบัติตามเพราะโจโฉยังคงยอมรับนับถือพระราชวงศ์ฮั่นอยู่ และเพื่อให้การปราบโจรครั้งนี้ราบคาบไปโดยเร็ว สมควรมีหมายรับสั่งเป็นสองฉบับคือถึงโจโฉฉบับหนึ่ง และถึงเปาสิ้นเจ้าเมืองเจปักให้ยกกองทัพไปช่วยโจโฉอีกกองหนึ่ง
ลิฉุย กุยกีเห็นด้วยกับแผนการของจูฮี จึงให้ทำหมายรับสั่งตามคำของจูฮีทุกประการ
โจโฉนั้นนับแต่ชูธง “ตงหงี” จัดตั้งกองทัพปฏิวัติขึ้นแล้วกลายเป็นกบฏต่อแผ่นดินของรัฐบาลกลาง และจุดยืนทางการเมืองนั้น โจโฉปฏิเสธไม่ยอมรับอำนาจของรัฐบาลกลาง แต่ยังคงยอมรับอำนาจของราชสำนักอยู่ ครั้นได้รับพระบรมราชโองการของพระเจ้าเหี้ยนเต้ก็มีความยินดี จึงสั่งให้จัดการเตรียมกองทัพเพื่อยกไปตามหมายรับสั่ง
ในขณะเดียวกันนั้น เปาสิ้นเจ้าเมืองเจปักก็ได้รับหมายรับสั่งให้ยกไปช่วยโจโฉปราบโจรโพกผ้าเหลือง ก็มีความยินดีเช่นเดียวกัน เพราะเปาสิ้นก็มีฐานะเป็นกบฎเนื่องจากได้เข้าร่วมในกองทัพปฏิวัติ การได้รับหมายรับสั่งก็คือการได้รับนิรโทษกรรมโดยอัตโนมัติ ประกอบทั้งเป็นคนอยากดังและเป็นเจ้าเมืองที่ซ่าส์มากที่สุดตั้งแต่ครั้งที่เข้าร่วมในกองทัพปฏิวัติ จึงรีบสั่งเตรียมกองทัพยกไปสมทบกับโจโฉที่เมืองเอ๊งจิ๋ว
ครั้นโจโฉได้ทราบว่าเปาสิ้นยกกองทัพมาสมทบด้วยก็มีความยินดี จึงสั่งให้เคลื่อนทัพจากเมืองเอ๊งจิ๋วยกไปเมืองเชียงจิ๋ว ครั้นเคลื่อนทัพมาถึงตำบลซิวสุน ซึ่งเป็นเขตชายแดนเมืองเชียงจิ๋ว ก็เผชิญหน้ากับกองทัพหน้าของโจรโพกผ้าเหลือง เปาสิ้นจึงอาสายกเป็นกองหน้าเข้ารบ
ในขณะที่กองหน้าของเปาสิ้นเข้าปะทะกับกองหน้าของโจรโพกผ้าเหลืองนั้น โจรโพกผ้าเหลืองได้จัดกองทัพอีกกองหนึ่งวกอ้อมเข้าตีตลบด้านหลังของกองทัพเปาสิ้นอีกทางหนึ่ง ทั้งสองกองตีกระหนาบกองทัพหน้าของเปาสิ้นไว้ระหว่างกลาง กองทัพของเปาสิ้นจึงเกิดการพะวงหน้าพะวงหลัง และพากันแตกตื่นด้วยคิดว่าต้องกลของโจรโพกผ้าเหลือง
กองหน้าของโจรโพกผ้าเหลืองทั้งสองด้านได้ตีฝ่าเข้ามาถึงตัวของเปาสิ้น แล้วเข้าล้อมไว้ ฆ่าฟันทหารติดตามเปาสิ้นจนไม่มีเหลือ แล้วใช้หอกแทงเปาสิ้นถึงแก่ความตาย
ในขณะนั้นโจโฉซึ่งเป็นกองทัพหลวงเห็นกองทัพของโจรโพกผ้าเหลืองเข้าตีกระหนาบกองทัพของเปาสิ้น จึงสั่งให้ทหารเคลื่อนพลเข้าโจมตีกระหนาบหลังกองทัพโจรโพกผ้าเหลืองกองที่วกมาทางด้านหลังของกองทัพเปาสิ้นนั้น กองทัพโจรโพกผ้าเหลืองไม่ทันระวังตัวจึงพากันแตกพล่าน
ทหารของเปาสิ้นที่เหลือรอดอยู่เห็นกองทัพโจโฉยกเข้าตีประดาหน้าเข้ามาก็ฮึดสู้อีกครั้งหนึ่งจึงรวมตัวกันหันเข้ามาตีกระทบกระหนาบกองทัพโจรโพกผ้าเหลือง ดังนั้นกองทัพของโจรโพกผ้าเหลืองจึงตกอยู่ในสภาพถูกตีกระหนาบทั้งสองด้าน ถูกสังหารล้มตายลงเป็นอันมาก ทหารโจรที่เหลืออยู่จึงพากันแตกหนีไปทางด้านเมืองเจปัก
ส่วนกองหน้าของโจรโพกผ้าเหลืองที่ตีกระหนาบในขณะเผชิญหน้ากับกองทัพของเปาสิ้นอยู่ทางข้างหน้านั้น เห็นกองทัพที่ยกตีกระหนาบแตกพ่ายก็พากันแตกพ่ายตามไปด้วยแล้วยกหนีไปทางด้านเมืองเจปักเช่นเดียวกัน.
กองทัพภาคพายัพของม้าเท้งและหันซุยถอยกลับไปแล้ว ทิ้งรอยร้าวภายในคณะสี่ทหารเอก ซึ่งบัดนี้คงเหลืออยู่เพียงสามคนไว้ข้างหลัง แต่ความเคลื่อนไหวลุกขึ้นต่อสู้กู้ชาติของประชาชนกำลังจะเริ่มต้นขึ้นอีกครั้งหนึ่ง
จำเดิมแต่การลุกขึ้นสู้ของประชาชนครั้งที่สอง ที่เมืองอ้วนเซียถูกปราบปรามในปลายรัชสมัยของพระเจ้าเลนเต้แล้ว กองกำลังกู้ชาติของประชาชนก็แตกกระสานซ่านเซ็นไปตามทิศต่าง ๆ แต่ทว่าเชื้อไฟปฏิวัติของประชาชนนั้นหาดับมอดสิ้นไปไม่
แกนนำของขบวนการกู้ชาติบางส่วนที่แตกหนีหลบภัยในภาคตะวันออกได้ปักหลักพักฟื้นที่เมืองเซียงจิ๋วแห่งหนึ่ง และอีกส่วนหนึ่งได้หลบราชภัยไปปักหลักพักฟื้นในเขตเมืองปักไฮ และอีกบางท้องที่
ครั้นเกิดการจลาจลขึ้นในเมืองหลวงและมีการเปลี่ยนแปลงรัฐบาลจากโฮจิ๋นเป็นรัฐบาลของตั๋งโต๊ะ จากรัฐบาลของตั๋งโต๊ะเป็นรัฐบาลของอ้องอุ้น จนกระทั่งถึงรัฐบาลของลิฉุย กุยกี ทุก ๆ รัฐบาลต่างมิได้เหลียวแลเอาใจใส่ทุกข์สุขของราษฎร บางรัฐบาลยังกดขี่ข่มเหงรังแกประชาชนอย่างโหดร้ายทารุณ จึงสร้างความโกรธแค้นชิงชังในหมู่ประชาชนอย่างกว้างขวาง
ข้าราชการขุนนางในหัวเมืองได้ถือโอกาสที่อำนาจรัฐส่วนกลางอ่อนแอ ขาดการกำกับตรวจสอบ ทำการกดขี่ข่มเหงราษฎรมากขึ้น ดังนั้นจึงเป็นธรรมดาที่ประชาชนต้องลุกขึ้นต่อสู้เพื่อไปตายเอาดาบหน้า ดังที่วิสา คัญทัพ กวีของประชาชนได้รจนาไว้ว่า
“เมื่อลุกขึ้นต่อสู้ผู้กดขี่
ประชาชนย่อมมีชีวิตใหม่
เมื่อท้องฟ้าสีทองผ่องอำไพ
ประชาชนย่อมเป็นใหญ่ในแผ่นดิน”
ในสถานการณ์เช่นนี้ขบวนการต่อสู้กู้ชาติของประชาชนที่มอดลงจากการถูกปราบปรามครั้งที่สองจึงเริ่มคุโชนขึ้น แกนนำในพื้นที่ต่าง ๆ จึงทำการจัดตั้งมวลชนขึ้นมาใหม่ เคลื่อนไหวความคิดทางการเมืองในหมู่ประชาชนกว้างขวางยิ่งขึ้นทุกวัน ชี้ให้ประชาชนได้เข้าใจถึงต้นเหตุของความยากจนข้นแค้นและความยากไร้ทั้งปวงว่า ไม่ใช่เกิดจากบาปกรรมในชาติปางก่อน หากเกิดจากการถูกชนชั้นปกครองเอาเปรียบขูดรีดด้วยประการต่าง ๆ ในชาตินี้ต่างหาก
มิหนำซ้ำยังสมคบกับต่างชาติให้เข้ามาทำลายระบบเศรษฐกิจของประเทศจนย่อยยับ บังคับราษฎรให้จำต้องขายทรัพย์สมบัติแก่ต่างชาติในราคาถูก ทำตัวเป็นสมุนของต่างชาติ ยึดกิจการของราษฎรแล้วบรรณาการแก่ต่างชาติในราคาต่ำเกือบจะเป็นการยกให้เปล่า ๆ แม้ทรัพย์สมบัติของชาติที่บรรพบุรุษได้สร้างสมมานานเกือบร้อยปี ก็แอบมุบมิบขายให้แก่ต่างชาติ ออกกฎหมายและระเบียบต่าง ๆ ให้สิทธิประโยชน์แก่ต่างชาติในการยึดครองเศรษฐกิจของประเทศ ตลอดจนการถือครองที่ดิน ซึ่งบรรพบุรุษได้พลีเลือดเนื้อและชีวิต พิทักษ์รักษาไว้อย่างไม่ใยดี
เพราะเหตุนี้ประเทศจึงมีหนี้สินล้นพ้นตัว ราษฎรถูกสูบเลือดสูบเนื้ออย่างเลือดเย็น ทั้งการกิน การอยู่ การจับจ่ายใช้สอยก็ต้องจ่ายค่าความคิดหรือลิขสิทธิ์ให้กับต่างชาติจนแทบจะเหลือเพียงอากาศหายใจเท่านั้นที่ราษฎรยังไม่ต้องจ่ายเงินซื้อหา
ความยากจนของราษฎรและประเทศชาติจึงเกิดจากการขายชาติ เกิดจากการยอมตัวเป็นขี้ข้าของต่างชาติแล้วช่วยกันปล้นสดมภ์ราษฎรและประเทศชาติของตนเอง
ราษฎรสัมผัสความจริงได้ด้วยตนเองเช่นนี้แล้ว จึงพากันต่อต้านรัฐบาล และเข้าร่วมกับขบวนการกู้ชาติมากขึ้นทุกวัน จนสามารถก่อตั้งเขตจรยุทธ์ เขตที่มั่น และฐานที่มั่นขึ้นได้สำเร็จอย่างเป็นขั้นตอนตามหลักการพัฒนาของสรรพสิ่งที่พัฒนา “จากไม่มีสู่มี จากเล็กสู่ใหญ่ และจากอ่อนสู่แข็ง” ทำให้ฐานที่มั่นของกองกำลังอาวุธของประชาชนมีความมั่นคงและขยายตัวออกไปอย่างกว้างขวาง
บรรดาชายฉกรรจ์ในเขตเคลื่อนไหวได้อาสาเข้าร่วมในกองกำลังอาวุธอย่างต่อเนื่อง จนกองกำลังติดอาวุธของประชาชนเพิ่มจำนวนขึ้นถึงสี่สิบหมื่น ในขณะที่เขตเคลื่อนไหวได้ขยายตัวครอบคลุมพื้นที่หลายเมือง มีราษฎรอยู่ในเขตเคลื่อนไหวถึงร้อยหมื่น
อำนาจรัฐของประชาชนได้ก่อตัวขึ้น เติบโตและเข้มแข็งขึ้นโดยลำดับ ผลักดันให้เขตอำนาจรัฐของรัฐบาลถอยร่นหดแคบลง จนคุกคามความปลอดภัยของบรรดาขุนนางข้าราชการทั้งเมืองเชียงจิ๋วและเมืองปักไฮ ดังนั้นหัวเมืองเหล่านี้จึงมีใบบอกเข้าไปยังเมืองหลวงว่าบัดนี้โจรโพกผ้าเหลืองก่อการกำเริบขึ้นอีกแล้ว ทำการปล้นฆ่ารังแกราษฎร ขอให้ทางเมืองหลวงส่งกองทัพมาช่วยปราบปราม
ถ้าหากจะตำหนิคนแต่งหนังสือสามก๊กว่าเป็นพวกเล่าปี่ตามทัศนะของหม่อมราชวงศ์คึกฤทธิ์ ปราโมช แล้ว การตำหนิเช่นนั้นยังคงคลาดเคลื่อนจากความเป็นจริง และถ้าจะให้ถูกต้องตรงกับข้อเท็จจริงก็ต้องตำหนิว่าคนเขียนสามก๊กเป็นพวกขุนนางต่างหาก
ในกรณีของพวกขุนนางด้วยกัน แม้หากจะทำชั่วช้าสารเลว หรือทำตนไร้ค่าและความหมายใด ๆ ก็ยังคงให้เกียรติยกย่อง อย่างน้อยก็ยังเอ่ยอ้างชื่อเสียงเรียงนามไว้ในสามก๊ก แต่ครั้นถึงทีของประชาชนกลับยัดเยียดว่าเป็นโจร และไม่ยอมเอ่ยอ้างชื่อเสียงเรียงนาม ทำให้ผู้อ่านสามก๊กในชั้นหลังไม่รู้จักชื่อเสียงของนักต่อสู้ของประชาชนในครั้งกระโน้น
การลุกขึ้นสู้ของประชาชนในครั้งที่สามนี้ เฉพาะด้านเมืองเชียงจิ๋วด้านเดียว สามก๊กฉบับเจ้าพระยาพระคลัง (หน) ก็ยังระบุว่า “โจรโพกผ้าเหลืองประมาณสามสิบ สี่สิบหมื่น” และ “บรรดาหญิงชายชาวเมืองที่โจรจับไว้นั้นประมาณร้อยหมื่น”
กำลังพลสามสิบ สี่สิบหมื่น มีขนาดใหญ่กว่ากำลังพลของกองทัพไทย กองทัพกัมพูชา ลาว มาเลเซีย สิงคโปร์ และบรูไนรวมกัน เช่นนี้แล้วยังจะเรียกว่าเป็นโจร จึงออกจะเป็นการบิดเบือนความจริงที่ชัดเจนเกินไป
ส่วนราษฎรที่ว่าโจรจับกุมไว้ถึงร้อยหมื่นหรือหนึ่งล้านคนนั้น ย่อมเป็นไปไม่ได้ที่คนนับล้านคนจะถูกโจรจับ หรือหากว่าจะจับกันจริง ๆ แล้ว จะจับไว้ได้สักกี่วัน จะเลี้ยงดูทำมาหากินกันอย่างไร นี่คือการบิดเบือนที่ไร้ความยุติธรรม กรณีจึงเป็นเรื่องที่ราษฎรเหล่านั้นปฏิเสธอำนาจรัฐ และเข้าร่วมกับกองกำลังติดอาวุธของประชาชน
ในบรรดากระบวนการบิดเบือนทางการเมืองต้องยกให้พวกถือลัทธิขุนนาง ศักดินาเป็นเลิศในโลก ภาพพจน์การต่อสู้กู้ชาติของประชาชนทุกหนแห่งในโลกล้วนถูกลัทธิขุนนางศักดินานี่เองที่ทำการบิดเบือนจนกลายเป็นยักษ์มาร
การเปลี่ยนแปลงการปกครองของประเทศไทยในปีพุทธศักราช 2475 ถูกบิดเบือนว่าเป็น “การปฏิวัติ” คือการทำให้แย่ลง ทั้ง ๆ ที่เป็น “การอภิวัฒน์” คือการทำให้ก้าวหน้าและดียิ่งขึ้น การต่อสู้กับเผด็จการขายชาติในสมัยหนึ่งที่เรียกชื่อว่า “พรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย” ก็ถูกเรียกว่า “ผู้ก่อการร้าย” แต่การค้ายาเสพติด และการขายชาติซึ่งมีเพทภัยร้ายแรงยิ่งกว่ากลับไม่ประณามหรือทำลายให้สิ้นซาก
แม้ว่าจะบิดเบือนประการใด ความจริงก็ย่อมปรากฏตัวให้คนรุ่นหลังรับรู้จนได้เหมือนกับสามก๊กตอนนี้ก็ได้เห็นกันแล้วว่า ทีกองทัพภาคพายัพเพียงสิบสองหมื่นยกเข้าตีเมืองหลวงก็เรียกว่า “กองทัพ” เอ่ยอ้างชื่อแม่ทัพคือม้าเท้งและหันซุย แต่ครั้นประชาชนลุกขึ้นสู้และมิได้ยกเข้ามาโจมตีเมืองหลวง มีกำลังพลมากกว่ากองทัพภาคพายัพถึงกว่าสามเท่ากลับเรียกว่าเป็น “โจร”
ลิฉุย กุยกี ได้ทราบความจากใบบอกของหัวเมืองแล้ว จึงเรียกประชุมขุนนางข้าราชการปรึกษาว่า จะปราบปรามโจรโพกผ้าเหลืองนี้ได้อย่างไร จูฮีอดีตรองแม่ทัพใหญ่ปราบโจรโพกผ้าเหลืองในยุคแรกๆ ซึ่งบัดนี้เป็นที่ปรึกษาของผู้สำเร็จราชการแผ่นดิน และมีความรู้ประสบการณ์เกี่ยวกับกรณีของโจรโพกผ้าเหลืองมากกว่าใคร จึงได้เสนอว่าการครั้งนี้ควรให้โจโฉเป็นผู้ไปปราบ
ลิฉุย กุยกี ไม่รู้จักโจโฉมาก่อนจึงถามว่าโจโฉเป็นใคร และขณะนี้อยู่ที่ไหน
จูฮีจึงว่า เดิมโจโฉเคยร่วมกับพวกข้าพเจ้าปราบโจรโพกผ้าเหลืองในยุคสมัยของพระเจ้าเลนเต้ ต่อมาโจโฉได้เข้าร่วมกับอ้วนเสี้ยวก่อตั้งกองทัพปฏิวัติยกมารบด้วยตั๋งโต๊ะ ครั้นกองทัพปฏิวัติสลายตัวแล้ว โจโฉจึงยกไปตั้งอยู่ที่เมืองเอ๊งจิ๋ว มีกำลังทหารอยู่เป็นจำนวนมาก สามารถปราบโจรทางภาคตะวันออกได้สำเร็จ ทั้งจะเกิดผลดีทางการเมืองเพราะเท่ากับเป็นการนิรโทษกรรมให้กับโจโฉ และจะทำให้โจโฉกลับมาอยู่ในอำนาจของเมืองหลวงต่อไป
ลิฉุย กุยกี จึงปรึกษาต่อไปว่าจะทำอย่างไรโจโฉจึงจะยอมยกกองทัพไปปราบโจรโพกผ้าเหลืองในครั้งนี้ เพราะบัดนี้ฐานะทางกฎหมายของโจโฉคือผู้ขบถต่อทางราชการ จูฮีจึงแนะนำว่าขอให้ท่านมีหมายรับสั่งของพระเจ้าเหี้ยนเต้ไปถึงโจโฉ ดังนี้แล้วโจโฉก็คงจะยอมปฏิบัติตามเพราะโจโฉยังคงยอมรับนับถือพระราชวงศ์ฮั่นอยู่ และเพื่อให้การปราบโจรครั้งนี้ราบคาบไปโดยเร็ว สมควรมีหมายรับสั่งเป็นสองฉบับคือถึงโจโฉฉบับหนึ่ง และถึงเปาสิ้นเจ้าเมืองเจปักให้ยกกองทัพไปช่วยโจโฉอีกกองหนึ่ง
ลิฉุย กุยกีเห็นด้วยกับแผนการของจูฮี จึงให้ทำหมายรับสั่งตามคำของจูฮีทุกประการ
โจโฉนั้นนับแต่ชูธง “ตงหงี” จัดตั้งกองทัพปฏิวัติขึ้นแล้วกลายเป็นกบฏต่อแผ่นดินของรัฐบาลกลาง และจุดยืนทางการเมืองนั้น โจโฉปฏิเสธไม่ยอมรับอำนาจของรัฐบาลกลาง แต่ยังคงยอมรับอำนาจของราชสำนักอยู่ ครั้นได้รับพระบรมราชโองการของพระเจ้าเหี้ยนเต้ก็มีความยินดี จึงสั่งให้จัดการเตรียมกองทัพเพื่อยกไปตามหมายรับสั่ง
ในขณะเดียวกันนั้น เปาสิ้นเจ้าเมืองเจปักก็ได้รับหมายรับสั่งให้ยกไปช่วยโจโฉปราบโจรโพกผ้าเหลือง ก็มีความยินดีเช่นเดียวกัน เพราะเปาสิ้นก็มีฐานะเป็นกบฎเนื่องจากได้เข้าร่วมในกองทัพปฏิวัติ การได้รับหมายรับสั่งก็คือการได้รับนิรโทษกรรมโดยอัตโนมัติ ประกอบทั้งเป็นคนอยากดังและเป็นเจ้าเมืองที่ซ่าส์มากที่สุดตั้งแต่ครั้งที่เข้าร่วมในกองทัพปฏิวัติ จึงรีบสั่งเตรียมกองทัพยกไปสมทบกับโจโฉที่เมืองเอ๊งจิ๋ว
ครั้นโจโฉได้ทราบว่าเปาสิ้นยกกองทัพมาสมทบด้วยก็มีความยินดี จึงสั่งให้เคลื่อนทัพจากเมืองเอ๊งจิ๋วยกไปเมืองเชียงจิ๋ว ครั้นเคลื่อนทัพมาถึงตำบลซิวสุน ซึ่งเป็นเขตชายแดนเมืองเชียงจิ๋ว ก็เผชิญหน้ากับกองทัพหน้าของโจรโพกผ้าเหลือง เปาสิ้นจึงอาสายกเป็นกองหน้าเข้ารบ
ในขณะที่กองหน้าของเปาสิ้นเข้าปะทะกับกองหน้าของโจรโพกผ้าเหลืองนั้น โจรโพกผ้าเหลืองได้จัดกองทัพอีกกองหนึ่งวกอ้อมเข้าตีตลบด้านหลังของกองทัพเปาสิ้นอีกทางหนึ่ง ทั้งสองกองตีกระหนาบกองทัพหน้าของเปาสิ้นไว้ระหว่างกลาง กองทัพของเปาสิ้นจึงเกิดการพะวงหน้าพะวงหลัง และพากันแตกตื่นด้วยคิดว่าต้องกลของโจรโพกผ้าเหลือง
กองหน้าของโจรโพกผ้าเหลืองทั้งสองด้านได้ตีฝ่าเข้ามาถึงตัวของเปาสิ้น แล้วเข้าล้อมไว้ ฆ่าฟันทหารติดตามเปาสิ้นจนไม่มีเหลือ แล้วใช้หอกแทงเปาสิ้นถึงแก่ความตาย
ในขณะนั้นโจโฉซึ่งเป็นกองทัพหลวงเห็นกองทัพของโจรโพกผ้าเหลืองเข้าตีกระหนาบกองทัพของเปาสิ้น จึงสั่งให้ทหารเคลื่อนพลเข้าโจมตีกระหนาบหลังกองทัพโจรโพกผ้าเหลืองกองที่วกมาทางด้านหลังของกองทัพเปาสิ้นนั้น กองทัพโจรโพกผ้าเหลืองไม่ทันระวังตัวจึงพากันแตกพล่าน
ทหารของเปาสิ้นที่เหลือรอดอยู่เห็นกองทัพโจโฉยกเข้าตีประดาหน้าเข้ามาก็ฮึดสู้อีกครั้งหนึ่งจึงรวมตัวกันหันเข้ามาตีกระทบกระหนาบกองทัพโจรโพกผ้าเหลือง ดังนั้นกองทัพของโจรโพกผ้าเหลืองจึงตกอยู่ในสภาพถูกตีกระหนาบทั้งสองด้าน ถูกสังหารล้มตายลงเป็นอันมาก ทหารโจรที่เหลืออยู่จึงพากันแตกหนีไปทางด้านเมืองเจปัก
ส่วนกองหน้าของโจรโพกผ้าเหลืองที่ตีกระหนาบในขณะเผชิญหน้ากับกองทัพของเปาสิ้นอยู่ทางข้างหน้านั้น เห็นกองทัพที่ยกตีกระหนาบแตกพ่ายก็พากันแตกพ่ายตามไปด้วยแล้วยกหนีไปทางด้านเมืองเจปักเช่นเดียวกัน.