ตอนที่ 559. ความลับในน้ำใจลึก
พระพุทธศาสนายุกาลล่วงแล้วได้เจ็ดร้อยเจ็ดสิบสี่พรรษา เดือนเก้า พระเจ้าโจยอยเสวยราชย์อยู่ ณ เมืองลกเอี๋ยงราชธานี ในปีนั้นชาวเมืองข้างทิศเหนือของเมืองลกเอี๋ยงได้เห็นมังกรเขียวปรากฏกายขึ้นจากบ่อน้ำใหญ่ แล้วเผ่นโผนโจนทะยานขึ้นไปสำแดงฤทธิ์อยู่บนอากาศ เกิดข่าวเล่าลืออย่างกว้างขวางทั่วทั้งแคว้น
บรรดาขุนนางได้ทราบความจึงพากันเข้าไปกราบทูลพระเจ้าโจยอยว่า ซึ่งมังกรเขียวปรากฏกายขึ้นเบื้องทิศอุดรของราชธานี เป็นนิมิตรหมายว่าวุยก๊กจะเจริญรุ่งเรือง บารมีของพระองค์จะแผ่กฤษดานุภาพไปทั่วสี่คาบมหาสมุทร ชอบที่พระองค์จะได้เปลี่ยนศักราชให้รองรับหนุนเนื่องกับนิมิตมงคลในครั้งนี้
พระเจ้าโจยอยได้ฟังคำกราบบังคมทูลของขุนนางพร้อมกันดังนั้นก็มีพระทัยยินดี ทรงเห็นชอบกับการเปลี่ยนศักราชตามความเห็นของขุนนางทั้งปวง และตรัสสั่งให้ขุนนางผู้ใหญ่แห่งสำนักราชเลขาธิการผู้ชำนาญการดาราศาสตร์และราชพิธีโบราณ ตั้งการพิธีบวงสรวงบูชาเทพยดาฟ้าดิน เพื่อความเป็นสิริมงคลและความอุดมสมบูรณ์แก่ราชอาณาจักร และโปรดเกล้าให้เปลี่ยนศักราชใหม่เป็นศักราชมังกรเขียว หรือศักราชแชเล้งตั้งแต่บัดนั้นมา
เสร็จการพิธีแล้วทรงโปรดให้แต่งโต๊ะเลี้ยงขุนนางข้าราชการทั้งปวง และให้ตั้งการมหรสพเพื่อความบันเทิงเบิกบานของอาณาประชาราษฎร
พระสุริยันยาตรา ดาวเดือนเคลื่อนคล้อยหมุนเวียนเปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว โดยที่มิอาจมีใครเหนี่ยวรั้งหรือผลักดันให้ผันแปรไปแต่ประการใดได้ จนพระพุทธศักราชล่วงแล้วได้เจ็ดร้อยเจ็ดสิบเจ็ดพรรษา เดือนสี่ หลังจากขึ้นปีใหม่แล้วเพียงหนึ่งเดือน ซึ่งเป็นระยะเวลาที่พระเจ้าเล่าเสี้ยนเสวยราชสมบัติได้สิบสามปี ขงเบ้งเห็นไพร่พลและเสบียงอาหารพร้อมแล้ว จึงดำริที่จะยกกองทัพไปตีวุยก๊กครั้งที่หก
ดำริดังนั้นแล้วขงเบ้งจึงเดินทางเข้าไปเมืองเสฉวน เข้าไปเฝ้าพระเจ้าเล่าเสี้ยนแล้วกราบบังคมทูลว่า ซึ่งข้าพระองค์ได้พักทหารซ่องสุมกำลังและเสบียงอยู่ที่เมือง ฮันต๋งมาชั่วสามปีแล้วนั้น บัดนี้การทั้งปวงได้เตรียมพร้อมแล้ว จึงขอรับพระบรม ราชานุญาตยกกองทัพไปปราบปรามวุยก๊ก รวบรวมแผ่นดินให้เป็นหนึ่งตามพระราชปณิธานของพระเจ้าเล่าปี่ ขอได้โปรดพระราชทานพระบรมราชานุญาตแก่ข้าพระองค์ด้วย
พระเจ้าเล่าเสี้ยนไม่ได้ทรงพบขงเบ้งมาสามปี เห็นขงเบ้งเข้ามาเฝ้าในครั้งนี้ปรากฏความชราครอบงำตั้งแต่ศีรษะถึงปลายเท้า ผมและหนวดเป็นสีขาวเกือบทั้งสิ้น มีสีดำแซมบ้างก็แต่เพียงส่วนน้อย ประกายตาที่เคยเจิดจ้าดุจดาวประจำเมืองก็ดูซูบโรยลงไป ใบหน้ามีรอยเหี่ยวย่นโดยทั่วไป กิริยาท่าทางเดินเหินลุกนั่งถวายบังคมก็เชื่องช้าลง จึงรู้สึกสงสารขงเบ้งเป็นอันมากที่กรากกรำราชการโดยไม่เห็นแก่ความสุขส่วนตัว แต่ละวันเท่าที่ทรงทราบขงเบ้งก็หมกมุ่นอยู่กับการฝึกปรือทหาร และตระเตรียมแผนการบุกวุยก๊กมิได้เป็นอันพักผ่อน ทั้งสถานการณ์ปัจจุบันนี้บ้านเมืองก็สงบสันติเป็นที่พอพระราชหฤทัยแล้ว
พระเจ้าเล่าเสี้ยนคำนึงการดังนั้นแล้วจึงตรัสกับขงเบ้งว่า แผ่นดินทุกวันนี้แบ่งออกเป็นสามก๊ก ต่างไม่ขึ้นแก่กันก็จริง แต่ก็หาได้รุกรานทำอันตรายแก่กันไม่ บ้านเมืองและราษฎรเป็นสุขจึงชอบที่ท่านพ่อมหาอุปราชจะได้ยินยอมปล่อยให้สถานการณ์ดำเนินไปในลักษณะเช่นนี้ และเข้ามาพักผ่อนอยู่ในเมืองหลวงเถิด อย่าได้ออกไปตรากตรำให้ยากลำบากกายอีกเลย
ขงเบ้งจึงกราบบังคมทูลว่า ข้าพระองค์ได้รับพระมหากรุณาธิคุณจากพระเจ้าเล่าปี่ ไว้วางพระราชหฤทัยปลงการแผ่นดินไว้ให้ ทรงตั้งพระบรมราชปณิธานให้รวบรวมแผ่นดินเข้าเป็นหนึ่ง ฟื้นฟูเชิดชูพระบรมราชวงศ์ฮั่น บำรุงอาณาประชาราษฎรทั่วแผ่นดินให้เป็นสุขแต่บัดนี้การอันสำคัญนั้นยังไม่สำเร็จลุล่วง ตัวข้าพระองค์ก็ล่วงวัยไปตามกาลเวลา ดังนั้นวันคืนจึงเต็มไปด้วยความทุกข์ใจ อันแผ่นดินซึ่งเป็นสามก๊กในทุกวันนี้ใช่ว่าจะมีสันติภาพอย่างแท้จริงก็หาไม่ วันใดบ้านเมืองเราอ่อนแอ วันนั้นข้าศึกก็จะยกมาทำอันตราย ในวันนี้เมืองเราเข้มแข็งอยู่ข้าศึกจึงไม่กล้ายกมารุกราน ซึ่งจะวางใจปล่อยให้อริราชศัตรูซ่องสุมบำรุงทหารสืบไป อันตรายก็จะเกิดแก่เมืองเรา ขอให้พระองค์ได้พระราชทานพระบรมราชานุญาตเถิด
ขงเบ้งกล่าวขาดคำลง เจาจิ๋วซึ่งเป็นโหรหลวงประจำราชสำนักมาแต่ครั้งพระเจ้า เล่าปี่ได้ออกไปคุกเข่าถวายบังคมพระเจ้าเล่าเสี้ยนแล้วกราบทูลว่า ซึ่งมหาอุปราชจะขอรับพระบรมราชานุญาตยกไปปราบปรามวุยก๊กครั้งนี้ไม่สอดคล้องกับการบนอากาศ
เจาจิ๋วกล่าวแล้วหันไปมองหน้าขงเบ้ง แล้วกราบบังคมทูลต่อไปว่า เมื่อสองสามเดือนก่อนได้ปรากฏฝูงนกหลายหมื่นตัวอพยพมาจากข้างทิศใต้ไปอยู่ที่แม่น้ำหันซุย มิช้านานฝูงนกทั้งหมดก็พากันตายสิ้น นับเป็นลางร้ายเป็นอัปมงคลแก่แผ่นดิน ในยามค่ำคืนเล่าชาวเมืองก็ได้ยินเสียงใบสนต้องลม ดังก้องระงมดุจดั่งเสียงคนร่ำให้ เป็นที่ขยาดหวาดกลัวแก่ชาวเมืองทั้งปวง นับเป็นลางร้ายของแผ่นดินอีกสถานหนึ่ง
เจาจิ๋วกราบบังคมทูลสืบไปว่า ข้าพระองค์ได้พิเคราะห์ปรากฏการณ์บนอากาศก็เห็นอย่างแจ่มแจ้งว่า กลุ่มดาวนักษัตรที่ชื่อว่าดาวกุยแชได้โคจรเกาะกุมเป็นเชิงมุมอยู่กับดาวพระศุกร์ซึ่งเป็นดาวประจำเมืองของวุยก๊ก ทั้งแลเห็นดาวพระศุกร์นั้นสดใสยิ่งนัก เป็นนิมิตหมายว่าวุยก๊กยังเรืองโรจน์ ไม่ถึงกาลดับสูญ ดังนั้นแม้นมหาอุปราชซึ่งมีสติปัญญาเป็นอันมากจะกรีฑาทัพใหญ่ไปในครั้งนี้ เห็นจะไม่อาจกำราบวุยก๊กได้
กราบทูลดังนั้นแล้วเจาจิ๋วจึงหันมาทางขงเบ้ง แล้วกล่าวว่ามหาอุปราชท่านก็รอบรู้ดาราศาสตร์แลการอากาศทั้งปวงมิได้ยิ่งหย่อนไปกว่าข้าพเจ้าแม้แต่น้อย ย่อมรู้ลิขิตสวรรค์เป็นอันดีว่าเป็นเช่นไร แล้วไฉนจึงยังฝืนลิขิตแห่งฟ้าให้ได้ยากลำบากแก่ตัวเองและไพร่พลดังนี้เล่า
ขงเบ้งได้ยินคำเจาจิ๋วดังนั้นก็ส่ายศีรษะ แล้วคุกเข่าลงกราบบังคมทูลพระเจ้าเล่าเสี้ยนว่า การในฟ้าอากาศเป็นเพียงการอันประมาณเท่านั้น จะยึดถือเป็นจริงจังอย่างไรได้ ต่อให้การบนฟ้าแสดงนิมิตว่าวุยก๊กยังรุ่งเรือง แต่ถ้าหากเรายกกองทัพไปตีวุยก๊กจนพ่ายแพ้ยับเยิน ยึดเมืองลกเอี๋ยงได้แล้ว การบนดินต่างหากเล่าจะกำหนดและผันแปรการในอากาศทำให้ดาวประจำเมืองของวุยก๊กล่วงลับดับสูญไปเอง
ขงเบ้งกล่าวดังนั้นแล้วน้ำตาก็ไหลอาบแก้มโดยไม่รู้ตัว เพราะมีหรือการในอากาศดังที่เจาจิ๋วรู้นั้นขงเบ้งจะไม่ล่วงรู้ เป็นแต่ว่ายังมั่นใจในสติปัญญาคนว่าเหนือกว่าลิขิตแห่งสวรรค์ สามารถผันแปรลิขิตแห่งฟ้าให้เปลี่ยนแปลงไปได้ ขงเบ้งจึงกราบทูลต่อไปว่า ข้าพระองค์ได้รับความไว้วางพระราชหฤทัยจากพระเจ้าเล่าปี่ให้อุ้มชูทำนุบำรุงพระองค์ จึงมีหน้าที่ต้องถวายความจงรักภักดีไปกว่าจะสิ้นชีวิต การยกกองทัพไปตีวุยก๊กครั้งนี้แม้นไม่สำเร็จการดังประสงค์ก็ดี เห็นจะป้องกันยับยั้งไม่ให้วุยก๊กหาญกล้ายกกองทัพมารุกรานบ้านเมืองเราไปอีกนานเท่านาน ขอพระองค์อย่าได้ทรงฟังคำทัดทานที่เหลวไหลนั้นเลย
พระเจ้าเล่าเสี้ยนทอดพระเนตรเห็นขงเบ้งยืนยันขันแข็งที่จะยกกองทัพไปปราบปรามวุยก๊กโดยไม่ฟังคำทัดทานของโหรหลวงก็ไม่อาจขัดใจได้ จึงตรัสว่าเมื่อท่านพ่อมหาอุปราชตั้งใจปรารถนาหนักแน่นดังนี้ก็สุดแท้แต่ใจเถิด
สามก๊กฉบับเจ้าพระยาพระคลัง (หน) ได้บรรยายคำทัดทานของเจาจิ๋วว่า “ข้าพเจ้าดูในตำราแล้วเห็นดาวมหาอุปราชเมืองเรานี้เศร้าหมอง อันดาวประจำเมืองฝ่ายเหนือนั้นรุ่งเรือง อนึ่งชาวเมืองเราเลื่องลือกันว่าเวลากลางคืนได้ยินใบสนซึ่งต้องลมนั้นเหมือนเสียงคนร้องไห้อื้ออึงอยู่ ซึ่งมหาอุปราชจะยกไปครั้งนี้ขอให้งดไว้ก่อน” แต่ขงเบ้งไม่ฟังคำของเจาจิ๋ว กล่าวแก้ว่า “ตัวเราได้รับรับสั่งพระเจ้าเล่าปี่ไว้ว่า จะคิดอ่านบำรุงแผ่นดินให้ราบคาบ ซึ่งท่านจะเอานิมิตมโนสาเร่มาขัดไว้นั้นไม่ได้ จำเราจะยกไปทำการตามรับสั่งจึงจะควร”
หลังจากพระเจ้าเล่าเสี้ยนมีพระบรมราชโองการอนุญาตให้ขงเบ้งไปปราบปรามวุยก๊กแล้ว สามก๊กฉบับเจ้าพระยาพระคลัง (หน) ระบุว่า “แล้วขงเบ้งก็เอาธูปเทียนไปจุดบูชาพระศพพระเจ้าเล่าปี่ จึงกราบลงแล้วร้องไห้ร่ำว่า ตัวข้าพเจ้าได้รับสั่งพระองค์ให้ปราบปรามศัตรูราชสมบัติเสียให้ราบคาบ ข้าพเจ้าก็ได้ยกไปทำการกับเหล่าศัตรูแผ่นดิน ณ เขากิสานถึงห้าครั้ง ก็ยังไม่สำเร็จตามรับสั่งก่อน ครั้งนี้ข้าพเจ้าจะยกกองทัพไปอีก แม้ไม่สมความคิดก็จะมิได้กลับมาเลย”
ในขณะที่สามก๊กฉบับสมบูรณ์ระบุว่า ขงเบ้งออกจากที่เฝ้าแล้ว “มีบัญชาให้เจ้าหน้าที่จัดสัตว์สามชนิดคือ สุกร โค แพะ ทำพิธีบวงสรวง ณ ที่ศาลบูชาพระเจ้าเล่าปี่ ขงเบ้งน้ำมูกน้ำตาไหล ถวายสักการะกราบบังคมทูลต่อหน้าศาลบูชาว่า ข้าพระพุทธเจ้าเหลียงได้กรีฑาทัพออกจากภูเขากิสานถึงห้าครั้งแล้ว มิได้เอาดินแดนกลับมาแม้แต่นิ้วเดียว ต้องแบกโทษมิเบา บัดนี้ข้าพระพุทธเจ้ากลับควบคุมกองทัพทั้งหมด ออกศึกทางภูเขากิสานอีกครั้ง ขอถวายคำสัตย์ปฏิญาณจะออกแรงอย่างสุดแรงสุดใจ ปราบปรามโจรขบถต่อฮั่นให้สูญสิ้น ฟื้นฟูดินแดนตงง้วน จะขอโค้งคำนับยอมเหน็ดเหนื่อยจนถึงที่สุด ตายแล้วแล้วกัน”
ส่วนสามก๊กฉบับบริวิทเทเลอร์ของอังกฤษได้ระบุความว่าหลังออกจากที่เฝ้าพระเจ้าเล่าเสี้ยนแล้ว ขงเบ้งเตรียมเดินทางกลับไปเมืองฮันต๋ง แต่ก่อนจะกลับไปนั้นขงเบ้งได้ขอรับพระบรมราชานุญาตเปิดสุสานพระบรมศพของพระเจ้าเล่าปี่ ตั้งการพิธีเซ่นไหว้บวงสรวงเพื่ออำลาพระบรมศพ
ในการบูชาบวงสรวงพระบรมศพพระเจ้าเล่าปี่นั้น ขงเบ้งได้คุกเข่าลงหน้าแท่นบูชาร่ำไห้จนน้ำตานองใบหน้า กราบทูลเบื้องหน้าพระบรมรูปของพระเจ้าเล่าปี่ซึ่งสร้างไว้ประจำสุสานพระบรมศพว่า ข้าพระองค์จูกัดเหลียง-ขงเบ้ง เดิมเป็นชนชาวนาสามัญที่ไม่มีผู้ใดรู้จักหน้าค่าตาแห่งตำบลลำเอี๋ยง ทุกวันคืนซุ่มซ่อนกายศึกษาฝึกฝนวิทยาการต่าง ๆ กับเพื่อนสนิทมิตรสหาย มิได้ปรารถนาลาภยศสุขสรรเสริญ ในท่ามกลางฤดูกาลอันหนาวเหน็บด้วยหิมะและพายุ พระองค์ได้ตรากตรำพระวรกายมิได้ถือพระองค์เสด็จออกไปเยือนข้าพระองค์ถึงกระท่อมน้อยถึงสามครั้งสามหน ทรงมีพระราชปรารภว่าราชวงศ์ฮั่นเสื่อมทรุดใกล้ดับสูญ คนชั่วฮึกห้าวเหิมหาญครองอำนาจบ้านเมืองเป็นกบฏต่อแผ่นดิน อาณาประชาราษฎรเดือดร้อนทุกหย่อมหญ้า ทรงตั้งความปรารถนารวบรวมแผ่นดินให้เป็นหนึ่ง กอบกู้ฟื้นฟูพระราชวงศ์ฮั่นให้รุ่งเรืองสถาพร ทำนุบำรุงอาณาประชาราษฎร์ให้ร่มเย็นเป็นสุข เพื่ออุดมการณ์อันสูงส่งฉะนี้ ทรงมีความไว้วางพระราชหฤทัยชวนเชิญให้ข้าพระองค์ออกจากป่าเขามาช่วยแบ่งเบาพระราชธุระ ด้วยเห็นแก่น้ำพระทัยที่ทุ่มเทและปณิธานอันยิ่งใหญ่ที่หวังเอาความสงบสุขของแผ่นดินและราษฎรเป็นที่ตั้ง ข้าพระองค์จึงยอมละวิเวกสุขออกมารับใช้พระองค์ แต่เสียดายสวรรค์ไม่มีใจกับผู้มีน้ำใจอันประเสริฐ ยังคงปกป้องคนชั่วให้ครองอำนาจในแผ่นดิน ทำให้พระองค์ต้องทอดทิ้งพระราชธุระไว้เบื้องหลัง ฝากฝังให้ข้าพระองค์สืบสานพระราชปณิธาน และทำนุบำรุงพระราชบุตรสืบไป ข้าพระองค์ก็น้อมใจสนองพระราชปณิธานนั้น แต่ห้าครั้งแล้วที่ยกกองทัพไปบุกวุยก๊กก็ไม่สำเร็จดังประสงค์ บัดนี้วันเวลาของข้าพระองค์เหลือน้อยนิด แลสวรรค์ก็ยังบ่งบอกว่าแผ่นดินวุยก๊กคงรุ่งเรืองเฟื่องฟุ้ง หากละไว้สิ้นข้าพระองค์แล้วเมืองเสฉวนย่อมเป็นอันตราย จึงจำต้องยกกองทัพไปปราบปรามวุยก๊กอีกครั้งหนึ่ง ด้วยเชื่อมั่นสติปัญญาตัวว่าจะสามารถผันแปรลิขิตสวรรค์เพื่อความร่มเย็นเป็นสุขของบ้านเมืองและราษฎรได้ หากแม้นการไม่สำเร็จเห็นข้าพระองค์จะไม่มีโอกาสได้กลับมาถวายบังคมอีกแล้ว จึงขอถือวาระอันสำคัญนี้กราบถวายบังคมลา ขอบารมีแห่งพระองค์จงอำนวยชัยให้พรข้าพระองค์ให้ทำการสำคัญสนองพระคุณสำเร็จดังปรารถนาด้วยเถิด
ความอันขงเบ้งกราบบังคมทูลหน้าสุสานพระบรมศพพระเจ้าเล่าปี่นี้ประจักษ์ถึงความคิดทางยุทธศาสตร์และสถานการณ์ทั้งบนฟ้าบนดินอย่างกระจ่าง หาใช่ว่าจะยาตราทัพไปโดยไม่คำนึงถึงการในอากาศดังที่เจาจิ๋วโหรหลวงล่วงรู้แต่ประการใดไม่ แต่ด้วยน้ำใจที่ภักดีมั่นคงต่อผู้เป็นนาย และความทะนงในสติปัญญาว่าจะเปลี่ยนแปลงลิขิตแห่งฟ้าได้ต่างหาก ขงเบ้งจึงจำต้องยาตราทัพไปในครั้งนี้.
บรรดาขุนนางได้ทราบความจึงพากันเข้าไปกราบทูลพระเจ้าโจยอยว่า ซึ่งมังกรเขียวปรากฏกายขึ้นเบื้องทิศอุดรของราชธานี เป็นนิมิตรหมายว่าวุยก๊กจะเจริญรุ่งเรือง บารมีของพระองค์จะแผ่กฤษดานุภาพไปทั่วสี่คาบมหาสมุทร ชอบที่พระองค์จะได้เปลี่ยนศักราชให้รองรับหนุนเนื่องกับนิมิตมงคลในครั้งนี้
พระเจ้าโจยอยได้ฟังคำกราบบังคมทูลของขุนนางพร้อมกันดังนั้นก็มีพระทัยยินดี ทรงเห็นชอบกับการเปลี่ยนศักราชตามความเห็นของขุนนางทั้งปวง และตรัสสั่งให้ขุนนางผู้ใหญ่แห่งสำนักราชเลขาธิการผู้ชำนาญการดาราศาสตร์และราชพิธีโบราณ ตั้งการพิธีบวงสรวงบูชาเทพยดาฟ้าดิน เพื่อความเป็นสิริมงคลและความอุดมสมบูรณ์แก่ราชอาณาจักร และโปรดเกล้าให้เปลี่ยนศักราชใหม่เป็นศักราชมังกรเขียว หรือศักราชแชเล้งตั้งแต่บัดนั้นมา
เสร็จการพิธีแล้วทรงโปรดให้แต่งโต๊ะเลี้ยงขุนนางข้าราชการทั้งปวง และให้ตั้งการมหรสพเพื่อความบันเทิงเบิกบานของอาณาประชาราษฎร
พระสุริยันยาตรา ดาวเดือนเคลื่อนคล้อยหมุนเวียนเปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว โดยที่มิอาจมีใครเหนี่ยวรั้งหรือผลักดันให้ผันแปรไปแต่ประการใดได้ จนพระพุทธศักราชล่วงแล้วได้เจ็ดร้อยเจ็ดสิบเจ็ดพรรษา เดือนสี่ หลังจากขึ้นปีใหม่แล้วเพียงหนึ่งเดือน ซึ่งเป็นระยะเวลาที่พระเจ้าเล่าเสี้ยนเสวยราชสมบัติได้สิบสามปี ขงเบ้งเห็นไพร่พลและเสบียงอาหารพร้อมแล้ว จึงดำริที่จะยกกองทัพไปตีวุยก๊กครั้งที่หก
ดำริดังนั้นแล้วขงเบ้งจึงเดินทางเข้าไปเมืองเสฉวน เข้าไปเฝ้าพระเจ้าเล่าเสี้ยนแล้วกราบบังคมทูลว่า ซึ่งข้าพระองค์ได้พักทหารซ่องสุมกำลังและเสบียงอยู่ที่เมือง ฮันต๋งมาชั่วสามปีแล้วนั้น บัดนี้การทั้งปวงได้เตรียมพร้อมแล้ว จึงขอรับพระบรม ราชานุญาตยกกองทัพไปปราบปรามวุยก๊ก รวบรวมแผ่นดินให้เป็นหนึ่งตามพระราชปณิธานของพระเจ้าเล่าปี่ ขอได้โปรดพระราชทานพระบรมราชานุญาตแก่ข้าพระองค์ด้วย
พระเจ้าเล่าเสี้ยนไม่ได้ทรงพบขงเบ้งมาสามปี เห็นขงเบ้งเข้ามาเฝ้าในครั้งนี้ปรากฏความชราครอบงำตั้งแต่ศีรษะถึงปลายเท้า ผมและหนวดเป็นสีขาวเกือบทั้งสิ้น มีสีดำแซมบ้างก็แต่เพียงส่วนน้อย ประกายตาที่เคยเจิดจ้าดุจดาวประจำเมืองก็ดูซูบโรยลงไป ใบหน้ามีรอยเหี่ยวย่นโดยทั่วไป กิริยาท่าทางเดินเหินลุกนั่งถวายบังคมก็เชื่องช้าลง จึงรู้สึกสงสารขงเบ้งเป็นอันมากที่กรากกรำราชการโดยไม่เห็นแก่ความสุขส่วนตัว แต่ละวันเท่าที่ทรงทราบขงเบ้งก็หมกมุ่นอยู่กับการฝึกปรือทหาร และตระเตรียมแผนการบุกวุยก๊กมิได้เป็นอันพักผ่อน ทั้งสถานการณ์ปัจจุบันนี้บ้านเมืองก็สงบสันติเป็นที่พอพระราชหฤทัยแล้ว
พระเจ้าเล่าเสี้ยนคำนึงการดังนั้นแล้วจึงตรัสกับขงเบ้งว่า แผ่นดินทุกวันนี้แบ่งออกเป็นสามก๊ก ต่างไม่ขึ้นแก่กันก็จริง แต่ก็หาได้รุกรานทำอันตรายแก่กันไม่ บ้านเมืองและราษฎรเป็นสุขจึงชอบที่ท่านพ่อมหาอุปราชจะได้ยินยอมปล่อยให้สถานการณ์ดำเนินไปในลักษณะเช่นนี้ และเข้ามาพักผ่อนอยู่ในเมืองหลวงเถิด อย่าได้ออกไปตรากตรำให้ยากลำบากกายอีกเลย
ขงเบ้งจึงกราบบังคมทูลว่า ข้าพระองค์ได้รับพระมหากรุณาธิคุณจากพระเจ้าเล่าปี่ ไว้วางพระราชหฤทัยปลงการแผ่นดินไว้ให้ ทรงตั้งพระบรมราชปณิธานให้รวบรวมแผ่นดินเข้าเป็นหนึ่ง ฟื้นฟูเชิดชูพระบรมราชวงศ์ฮั่น บำรุงอาณาประชาราษฎรทั่วแผ่นดินให้เป็นสุขแต่บัดนี้การอันสำคัญนั้นยังไม่สำเร็จลุล่วง ตัวข้าพระองค์ก็ล่วงวัยไปตามกาลเวลา ดังนั้นวันคืนจึงเต็มไปด้วยความทุกข์ใจ อันแผ่นดินซึ่งเป็นสามก๊กในทุกวันนี้ใช่ว่าจะมีสันติภาพอย่างแท้จริงก็หาไม่ วันใดบ้านเมืองเราอ่อนแอ วันนั้นข้าศึกก็จะยกมาทำอันตราย ในวันนี้เมืองเราเข้มแข็งอยู่ข้าศึกจึงไม่กล้ายกมารุกราน ซึ่งจะวางใจปล่อยให้อริราชศัตรูซ่องสุมบำรุงทหารสืบไป อันตรายก็จะเกิดแก่เมืองเรา ขอให้พระองค์ได้พระราชทานพระบรมราชานุญาตเถิด
ขงเบ้งกล่าวขาดคำลง เจาจิ๋วซึ่งเป็นโหรหลวงประจำราชสำนักมาแต่ครั้งพระเจ้า เล่าปี่ได้ออกไปคุกเข่าถวายบังคมพระเจ้าเล่าเสี้ยนแล้วกราบทูลว่า ซึ่งมหาอุปราชจะขอรับพระบรมราชานุญาตยกไปปราบปรามวุยก๊กครั้งนี้ไม่สอดคล้องกับการบนอากาศ
เจาจิ๋วกล่าวแล้วหันไปมองหน้าขงเบ้ง แล้วกราบบังคมทูลต่อไปว่า เมื่อสองสามเดือนก่อนได้ปรากฏฝูงนกหลายหมื่นตัวอพยพมาจากข้างทิศใต้ไปอยู่ที่แม่น้ำหันซุย มิช้านานฝูงนกทั้งหมดก็พากันตายสิ้น นับเป็นลางร้ายเป็นอัปมงคลแก่แผ่นดิน ในยามค่ำคืนเล่าชาวเมืองก็ได้ยินเสียงใบสนต้องลม ดังก้องระงมดุจดั่งเสียงคนร่ำให้ เป็นที่ขยาดหวาดกลัวแก่ชาวเมืองทั้งปวง นับเป็นลางร้ายของแผ่นดินอีกสถานหนึ่ง
เจาจิ๋วกราบบังคมทูลสืบไปว่า ข้าพระองค์ได้พิเคราะห์ปรากฏการณ์บนอากาศก็เห็นอย่างแจ่มแจ้งว่า กลุ่มดาวนักษัตรที่ชื่อว่าดาวกุยแชได้โคจรเกาะกุมเป็นเชิงมุมอยู่กับดาวพระศุกร์ซึ่งเป็นดาวประจำเมืองของวุยก๊ก ทั้งแลเห็นดาวพระศุกร์นั้นสดใสยิ่งนัก เป็นนิมิตหมายว่าวุยก๊กยังเรืองโรจน์ ไม่ถึงกาลดับสูญ ดังนั้นแม้นมหาอุปราชซึ่งมีสติปัญญาเป็นอันมากจะกรีฑาทัพใหญ่ไปในครั้งนี้ เห็นจะไม่อาจกำราบวุยก๊กได้
กราบทูลดังนั้นแล้วเจาจิ๋วจึงหันมาทางขงเบ้ง แล้วกล่าวว่ามหาอุปราชท่านก็รอบรู้ดาราศาสตร์แลการอากาศทั้งปวงมิได้ยิ่งหย่อนไปกว่าข้าพเจ้าแม้แต่น้อย ย่อมรู้ลิขิตสวรรค์เป็นอันดีว่าเป็นเช่นไร แล้วไฉนจึงยังฝืนลิขิตแห่งฟ้าให้ได้ยากลำบากแก่ตัวเองและไพร่พลดังนี้เล่า
ขงเบ้งได้ยินคำเจาจิ๋วดังนั้นก็ส่ายศีรษะ แล้วคุกเข่าลงกราบบังคมทูลพระเจ้าเล่าเสี้ยนว่า การในฟ้าอากาศเป็นเพียงการอันประมาณเท่านั้น จะยึดถือเป็นจริงจังอย่างไรได้ ต่อให้การบนฟ้าแสดงนิมิตว่าวุยก๊กยังรุ่งเรือง แต่ถ้าหากเรายกกองทัพไปตีวุยก๊กจนพ่ายแพ้ยับเยิน ยึดเมืองลกเอี๋ยงได้แล้ว การบนดินต่างหากเล่าจะกำหนดและผันแปรการในอากาศทำให้ดาวประจำเมืองของวุยก๊กล่วงลับดับสูญไปเอง
ขงเบ้งกล่าวดังนั้นแล้วน้ำตาก็ไหลอาบแก้มโดยไม่รู้ตัว เพราะมีหรือการในอากาศดังที่เจาจิ๋วรู้นั้นขงเบ้งจะไม่ล่วงรู้ เป็นแต่ว่ายังมั่นใจในสติปัญญาคนว่าเหนือกว่าลิขิตแห่งสวรรค์ สามารถผันแปรลิขิตแห่งฟ้าให้เปลี่ยนแปลงไปได้ ขงเบ้งจึงกราบทูลต่อไปว่า ข้าพระองค์ได้รับความไว้วางพระราชหฤทัยจากพระเจ้าเล่าปี่ให้อุ้มชูทำนุบำรุงพระองค์ จึงมีหน้าที่ต้องถวายความจงรักภักดีไปกว่าจะสิ้นชีวิต การยกกองทัพไปตีวุยก๊กครั้งนี้แม้นไม่สำเร็จการดังประสงค์ก็ดี เห็นจะป้องกันยับยั้งไม่ให้วุยก๊กหาญกล้ายกกองทัพมารุกรานบ้านเมืองเราไปอีกนานเท่านาน ขอพระองค์อย่าได้ทรงฟังคำทัดทานที่เหลวไหลนั้นเลย
พระเจ้าเล่าเสี้ยนทอดพระเนตรเห็นขงเบ้งยืนยันขันแข็งที่จะยกกองทัพไปปราบปรามวุยก๊กโดยไม่ฟังคำทัดทานของโหรหลวงก็ไม่อาจขัดใจได้ จึงตรัสว่าเมื่อท่านพ่อมหาอุปราชตั้งใจปรารถนาหนักแน่นดังนี้ก็สุดแท้แต่ใจเถิด
สามก๊กฉบับเจ้าพระยาพระคลัง (หน) ได้บรรยายคำทัดทานของเจาจิ๋วว่า “ข้าพเจ้าดูในตำราแล้วเห็นดาวมหาอุปราชเมืองเรานี้เศร้าหมอง อันดาวประจำเมืองฝ่ายเหนือนั้นรุ่งเรือง อนึ่งชาวเมืองเราเลื่องลือกันว่าเวลากลางคืนได้ยินใบสนซึ่งต้องลมนั้นเหมือนเสียงคนร้องไห้อื้ออึงอยู่ ซึ่งมหาอุปราชจะยกไปครั้งนี้ขอให้งดไว้ก่อน” แต่ขงเบ้งไม่ฟังคำของเจาจิ๋ว กล่าวแก้ว่า “ตัวเราได้รับรับสั่งพระเจ้าเล่าปี่ไว้ว่า จะคิดอ่านบำรุงแผ่นดินให้ราบคาบ ซึ่งท่านจะเอานิมิตมโนสาเร่มาขัดไว้นั้นไม่ได้ จำเราจะยกไปทำการตามรับสั่งจึงจะควร”
หลังจากพระเจ้าเล่าเสี้ยนมีพระบรมราชโองการอนุญาตให้ขงเบ้งไปปราบปรามวุยก๊กแล้ว สามก๊กฉบับเจ้าพระยาพระคลัง (หน) ระบุว่า “แล้วขงเบ้งก็เอาธูปเทียนไปจุดบูชาพระศพพระเจ้าเล่าปี่ จึงกราบลงแล้วร้องไห้ร่ำว่า ตัวข้าพเจ้าได้รับสั่งพระองค์ให้ปราบปรามศัตรูราชสมบัติเสียให้ราบคาบ ข้าพเจ้าก็ได้ยกไปทำการกับเหล่าศัตรูแผ่นดิน ณ เขากิสานถึงห้าครั้ง ก็ยังไม่สำเร็จตามรับสั่งก่อน ครั้งนี้ข้าพเจ้าจะยกกองทัพไปอีก แม้ไม่สมความคิดก็จะมิได้กลับมาเลย”
ในขณะที่สามก๊กฉบับสมบูรณ์ระบุว่า ขงเบ้งออกจากที่เฝ้าแล้ว “มีบัญชาให้เจ้าหน้าที่จัดสัตว์สามชนิดคือ สุกร โค แพะ ทำพิธีบวงสรวง ณ ที่ศาลบูชาพระเจ้าเล่าปี่ ขงเบ้งน้ำมูกน้ำตาไหล ถวายสักการะกราบบังคมทูลต่อหน้าศาลบูชาว่า ข้าพระพุทธเจ้าเหลียงได้กรีฑาทัพออกจากภูเขากิสานถึงห้าครั้งแล้ว มิได้เอาดินแดนกลับมาแม้แต่นิ้วเดียว ต้องแบกโทษมิเบา บัดนี้ข้าพระพุทธเจ้ากลับควบคุมกองทัพทั้งหมด ออกศึกทางภูเขากิสานอีกครั้ง ขอถวายคำสัตย์ปฏิญาณจะออกแรงอย่างสุดแรงสุดใจ ปราบปรามโจรขบถต่อฮั่นให้สูญสิ้น ฟื้นฟูดินแดนตงง้วน จะขอโค้งคำนับยอมเหน็ดเหนื่อยจนถึงที่สุด ตายแล้วแล้วกัน”
ส่วนสามก๊กฉบับบริวิทเทเลอร์ของอังกฤษได้ระบุความว่าหลังออกจากที่เฝ้าพระเจ้าเล่าเสี้ยนแล้ว ขงเบ้งเตรียมเดินทางกลับไปเมืองฮันต๋ง แต่ก่อนจะกลับไปนั้นขงเบ้งได้ขอรับพระบรมราชานุญาตเปิดสุสานพระบรมศพของพระเจ้าเล่าปี่ ตั้งการพิธีเซ่นไหว้บวงสรวงเพื่ออำลาพระบรมศพ
ในการบูชาบวงสรวงพระบรมศพพระเจ้าเล่าปี่นั้น ขงเบ้งได้คุกเข่าลงหน้าแท่นบูชาร่ำไห้จนน้ำตานองใบหน้า กราบทูลเบื้องหน้าพระบรมรูปของพระเจ้าเล่าปี่ซึ่งสร้างไว้ประจำสุสานพระบรมศพว่า ข้าพระองค์จูกัดเหลียง-ขงเบ้ง เดิมเป็นชนชาวนาสามัญที่ไม่มีผู้ใดรู้จักหน้าค่าตาแห่งตำบลลำเอี๋ยง ทุกวันคืนซุ่มซ่อนกายศึกษาฝึกฝนวิทยาการต่าง ๆ กับเพื่อนสนิทมิตรสหาย มิได้ปรารถนาลาภยศสุขสรรเสริญ ในท่ามกลางฤดูกาลอันหนาวเหน็บด้วยหิมะและพายุ พระองค์ได้ตรากตรำพระวรกายมิได้ถือพระองค์เสด็จออกไปเยือนข้าพระองค์ถึงกระท่อมน้อยถึงสามครั้งสามหน ทรงมีพระราชปรารภว่าราชวงศ์ฮั่นเสื่อมทรุดใกล้ดับสูญ คนชั่วฮึกห้าวเหิมหาญครองอำนาจบ้านเมืองเป็นกบฏต่อแผ่นดิน อาณาประชาราษฎรเดือดร้อนทุกหย่อมหญ้า ทรงตั้งความปรารถนารวบรวมแผ่นดินให้เป็นหนึ่ง กอบกู้ฟื้นฟูพระราชวงศ์ฮั่นให้รุ่งเรืองสถาพร ทำนุบำรุงอาณาประชาราษฎร์ให้ร่มเย็นเป็นสุข เพื่ออุดมการณ์อันสูงส่งฉะนี้ ทรงมีความไว้วางพระราชหฤทัยชวนเชิญให้ข้าพระองค์ออกจากป่าเขามาช่วยแบ่งเบาพระราชธุระ ด้วยเห็นแก่น้ำพระทัยที่ทุ่มเทและปณิธานอันยิ่งใหญ่ที่หวังเอาความสงบสุขของแผ่นดินและราษฎรเป็นที่ตั้ง ข้าพระองค์จึงยอมละวิเวกสุขออกมารับใช้พระองค์ แต่เสียดายสวรรค์ไม่มีใจกับผู้มีน้ำใจอันประเสริฐ ยังคงปกป้องคนชั่วให้ครองอำนาจในแผ่นดิน ทำให้พระองค์ต้องทอดทิ้งพระราชธุระไว้เบื้องหลัง ฝากฝังให้ข้าพระองค์สืบสานพระราชปณิธาน และทำนุบำรุงพระราชบุตรสืบไป ข้าพระองค์ก็น้อมใจสนองพระราชปณิธานนั้น แต่ห้าครั้งแล้วที่ยกกองทัพไปบุกวุยก๊กก็ไม่สำเร็จดังประสงค์ บัดนี้วันเวลาของข้าพระองค์เหลือน้อยนิด แลสวรรค์ก็ยังบ่งบอกว่าแผ่นดินวุยก๊กคงรุ่งเรืองเฟื่องฟุ้ง หากละไว้สิ้นข้าพระองค์แล้วเมืองเสฉวนย่อมเป็นอันตราย จึงจำต้องยกกองทัพไปปราบปรามวุยก๊กอีกครั้งหนึ่ง ด้วยเชื่อมั่นสติปัญญาตัวว่าจะสามารถผันแปรลิขิตสวรรค์เพื่อความร่มเย็นเป็นสุขของบ้านเมืองและราษฎรได้ หากแม้นการไม่สำเร็จเห็นข้าพระองค์จะไม่มีโอกาสได้กลับมาถวายบังคมอีกแล้ว จึงขอถือวาระอันสำคัญนี้กราบถวายบังคมลา ขอบารมีแห่งพระองค์จงอำนวยชัยให้พรข้าพระองค์ให้ทำการสำคัญสนองพระคุณสำเร็จดังปรารถนาด้วยเถิด
ความอันขงเบ้งกราบบังคมทูลหน้าสุสานพระบรมศพพระเจ้าเล่าปี่นี้ประจักษ์ถึงความคิดทางยุทธศาสตร์และสถานการณ์ทั้งบนฟ้าบนดินอย่างกระจ่าง หาใช่ว่าจะยาตราทัพไปโดยไม่คำนึงถึงการในอากาศดังที่เจาจิ๋วโหรหลวงล่วงรู้แต่ประการใดไม่ แต่ด้วยน้ำใจที่ภักดีมั่นคงต่อผู้เป็นนาย และความทะนงในสติปัญญาว่าจะเปลี่ยนแปลงลิขิตแห่งฟ้าได้ต่างหาก ขงเบ้งจึงจำต้องยาตราทัพไปในครั้งนี้.