ตอนที่ 557. อุบาย "เก็บตกข้างทาง"
ขงเบ้งกำลังรุกลึกเข้าไปในแดนวุยก๊ก แต่ลิเงียมซึ่งทำหน้าที่ส่งเสบียงไม่สามารถลำเลียงเสบียงส่งแก่กองทัพตามกำหนด จึงอ้างเหตุผลกับขงเบ้งว่าเป็นเพราะเมืองกังตั๋งจะยกมาตีเมืองเสฉวน ขงเบ้งจึงจำต้องเลิกทัพกลับ และสั่งให้กองทัพที่ตำบลเขากิสานเลิกทัพกลับไปก่อน
ครั้นกองทัพเมืองเสฉวนที่ตำบลเขากิสานได้ทราบหนังสือของขงเบ้งแล้ว จึงเลิกทัพกลับไปเมืองเสฉวนตามคำสั่งของขงเบ้ง
ฝ่ายเตียวคับครั้นได้ทราบรายงานจากหน่วยลาดตระเวนว่ากองทัพจ๊กก๊กซึ่งตั้งอยู่ที่ตำบลเขากิสานได้เลิกทัพ และกำลังล่าถอยกลับไปเมืองเสฉวน ก็รู้สึกประหลาดใจว่าเป็นการล่าถอยทัพจริงหรือว่าเป็นกลอุบาย ครั้นจะยกไล่ตามตีก็เกรงว่าจะต้องกลของขงเบ้งเหมือนครั้งก่อน ทั้งสุมาอี้ได้สั่งกำชับไว้เป็นมั่นคงว่าให้เตียวคับคุมกำลังตั้งมั่นอยู่ที่ริมฝั่งแม่น้ำอุยโหเพียงเพื่อสกัดกองทัพขงเบ้งมิให้ยกรุกข้ามแม่น้ำไปตีเมืองเตียงอันเท่านั้น ห้ามมิให้ออกรบโดยมิได้รับคำสั่งเป็นอันขาด เตียวคับจึงมิได้ไล่ตามตี และใช้ม้าเร็วให้รีบนำความไปรายงานแก่สุมาอี้ที่เมืองหลงเส
ครั้นสุมาอี้ทราบรายงานของเตียวคับก็เกรงว่าเตียวคับจะยกทหารไล่ตามตี จึงสั่งม้าเร็วให้รีบกลับไปบอกแก่เตียวคับว่าอย่าได้ยกทหารตามตีกองทัพที่ตำบลเขากิสานเป็นอันขาด และให้เร่งระมัดระวังกวดขันเวรยามอย่าได้ประมาท แต่ตัวเตียวคับนั้นให้รีบรุดไปหาสุมาอี้โดยเร็ว เพราะเพียงแค่ตั้งมั่นยันอยู่นั้นก็เห็นเพียงพอจะรับมือได้
ม้าเร็วรับคำสั่งของสุมาอี้แล้วจึงรีบกลับไปแจ้งให้เตียวคับทราบ พอม้าเร็วออกไปแล้วงุยเป๋งซึ่งเป็นนายทหารรองได้เข้าไปทักท้วงกับสุมาอี้ว่า “ข้าศึกถอยไป ท่านมิได้ติดตาม จะมานิ่งอยู่ดังนี้ ไพร่บ้านพลเมืองก็จะหัวเราะเยาะว่าท่านคิดเกรงทหารเมืองเสฉวนเหมือนหนึ่งฝูงเนื้ออันกลัวเสือ ขอให้ยกกองทัพตามตีให้ทหารขงเบ้งระส่ำระสาย จึงจะได้ทีทำการสืบไป”
สุมาอี้พอได้ยินคำท้วงดังนั้นก็โกรธ โบกมือเป็นเชิงไล่นายทหารรองผู้นั้นให้ออกไป พลางกล่าวว่าเจ้าเป็นแต่เพียงทหารรอง อย่าริบังอาจมาสั่งสอนเรา งุยเป๋งถูกสุมาอี้ตำหนิและขับไล่ไสส่งดังนั้นก็รีบคำนับลากลับออกไป
ฝ่ายขงเบ้งครั้นได้ทราบว่ากองทัพที่ตำบลเขากิสานได้เลิกทัพล่าถอยกลับไปเมืองเสฉวนโดยปลอดภัยแล้ว จึงเรียกเอียวหงีและม้าตงมาสั่งว่า เราจะเลิกทัพกลับไปเมืองเสฉวนครั้งนี้ หากจะกลับไปแต่มือเปล่าก็เสียดายนัก จำจะคิดกลอุบายเก็บตกข้างทางกำจัดแม่ทัพนายกองคนสำคัญของสุมาอี้เสียก่อน ให้ท่านทั้งสองคุมพลเกาทัณฑ์หนึ่งหมื่นรีบยกไปซุ่มอยู่ที่แดนต่อแดนตำบลบิตกกับตำบลบอกบุ๋นซึ่งเป็นปากทางจะไปด่านเกี้ยมโก๊ะ ถ้าหากทหารของสุมาอี้ยกตามไป และได้ยินเสียงประทัดสัญญาณแล้ว ก็ให้ทหารขนเอาก้อนศิลาและกิ่งไม้ปิดกั้นปากทางเสีย ให้พลเกาทัณฑ์ทั้งปวงระดมยิงเกาทัณฑ์เข้าไปทั้งสองข้าง สังหารหรือจับตัวแม่ทัพนายกองของสุมาอี้ให้จงได้
เอียวหงีและม้าตงรับคำสั่งแล้วออกไปจัดแจงทหาร รีบยกไปตามคำสั่งของขงเบ้ง ครั้นสองนายทหารออกไปแล้วขงเบ้งจึงสั่งให้เลิกทัพกลับไปเมืองเสฉวนทางด้านตะวันออกตามเส้นทางตำบลเกี้ยมโก๊ะ ให้อุยเอี๋ยนและกวนหินคุมทหารเป็นกองระวังหลัง ขงเบ้งคุมทหารและกองเสบียงสิ้นทั้งเมืองโลเสียยกไปเป็นกองหน้า
ขงเบ้งได้กำชับอุยเอี๋ยนและกวนหินว่า เมื่อเรายกออกจากเมืองโลเสียไปแล้ว ให้พวกท่านเอาเพลิงมาสุมไว้ใจกลางเมืองโลเสียแต่อย่าได้ลดธงทิวประจำกองทัพซึ่งปักไว้ตามกำแพงเมืองเป็นอันขาด จากนั้นจึงค่อยยกตามเราไป
ครั้นอุยเอี๋ยนและกวนหินรับคำแล้ว ขงเบ้งจึงคุมทหารและกองเสบียงออกจากเมืองโลเสีย เลิกทัพกลับไปเมืองเสฉวน
เมื่ออุยเอี๋ยนและกวนหินได้จัดแจงการข้างหลังภายในเมืองโลเสียตามคำสั่งของขงเบ้งแล้ว จึงยกทหารกองหลังติดตามกองทัพของขงเบ้งไป
ฝ่ายสุมาอี้ครั้นได้ทราบรายงานจากหน่วยลาดตระเวนว่ากองทัพเมืองเสฉวนได้เลิกทัพและล่าถอยออกจากเมืองโลเสียแล้ว ก็รู้สึกแปลกประหลาดใจว่าเหตุไฉนกองทัพของ ขงเบ้งซึ่งรบพุ่งได้ทีเป็นหลายครั้ง จู่ ๆ จะเลิกทัพกลับไปเสียดื้อ ๆ สุมาอี้จึงไม่เชื่อโดยสนิทใจว่าขงเบ้งจะเลิกทัพกลับไปจริง จึงพาทหารสองร้อยนายลอบขี่ม้าไปที่ริมกำแพงเมืองโลเสีย
ครั้นไปใกล้กำแพงเมือง สุมาอี้เห็นธงทิวกองทัพจ๊กก๊กยังคงประดับประดาบนกำแพงเมืองเป็นปกติ ทั้งภายในตัวเมืองก็เห็นควันไฟลุกพุ่งอยู่ สุมาอี้หัวเราะแล้วกล่าวว่า ขงเบ้งคิดจะเลิกทัพแล้ว ยังจะแต่งกลอุบายซุ่มทหารไว้ในเมืองเพื่อจะตีกระหนาบหลังกองทัพเราอีก เราจะโจมตีทหารในเมืองโลเสียเสียก่อนจึงจะตามตีขงเบ้งต่อไป กล่าวแล้วสุมาอี้ก็รีบพาทหารกลับไปที่ค่าย
วันรุ่งขึ้นสุมาอี้จึงคุมทหารยกมาที่เมืองโลเสีย เห็นธงทิวบนกำแพงเมืองยังเป็นปกติอยู่ แต่ควันไฟนั้นดับมอดไปแล้ว จึงให้ทหารกองหน้าบุกเข้าไปในตัวเมือง หลังจากนั้นสุมาอี้จึงยกทหารตามเข้าไป เห็นมีแต่เมืองว่างเปล่า สุมาอี้จึงทอดถอนใจใหญ่ แล้วกล่าวว่าขงเบ้งเห็นจะเลิกทัพกลับไปจริง แต่กลับแต่งอุบายลวงถ่วงเวลาเราอีกเล่า
สุมาอี้คิดคำนึงต่อไปว่า ซึ่งขงเบ้งเลิกทัพกลับไปในครั้งนี้ แม้จะยกล่วงหน้าไปแล้ว แต่ระยะทางยังยาวไกล หากใช้กองทัพม้าไล่ตามตีเห็นจะทันกับกองทัพของขงเบ้ง ขณะนั้นเตียวคับซึ่งได้เดินทางมาสมทบกับสุมาอี้แล้ว ได้ทราบว่ากองทัพของขงเบ้งกำลังถอยทัพกลับไปเมืองเสฉวน จึงขออาสายกทหารม้าไล่ตามตีกองทัพของขงเบ้ง
สุมาอี้ได้ยินคำอาสาของเตียวคับจึงว่า “ใจท่านรวดเร็วนัก ซึ่งจะไปนั้นเกรงจะเสียท่วงที”
เตียวคับจึงว่า การศึกครั้งนี้ท่านแม่ทัพได้ตั้งให้ข้าพเจ้าเป็นกองทัพหน้า ตั้งแต่ยกมายังมิได้รบพุ่งให้ประจักษ์ฝีมือ บัดนี้กองทัพเมืองเสฉวนเลิกทัพกลับไปแล้ว ชอบที่จะให้ข้าพเจ้าซึ่งเป็นกองทัพหน้าไล่ตามตี ไฉนท่านจึงกล่าววาจาดังนี้เล่า
สุมาอี้จึงว่า เมื่อข้าศึกถอยทัพเป็นธรรมเนียมให้กองทัพหน้าไล่ตามตีนั้นก็จริงอยู่ แต่หนทางซึ่งจะไล่ตามกองทัพของขงเบ้งเป็นซอกเขาป่าชัฏกันดารอันตรายนัก จึงเกรงว่าหากขงเบ้งแต่งทหารซุ่มดักไว้ก็จะเป็นอันตราย เหตุนี้จึงได้ท้วงติงท่าน
เตียวคับจึงว่า ประเพณีการไล่ตามตีข้าศึกที่กำลังล่าถอยนั้นมีมาแต่โบราณนานช้า การไม่เข้าตีต่างหากเล่าเท่ากับเป็นการเปิดให้ข้าศึกถอยทัพได้โดยสะดวก ซึ่งจะไล่ตามตีกองทัพของขงเบ้งในครั้งนี้อยู่ในแดนเมืองเรา จะวิตกไปไย
สุมาอี้จึงว่า ท่านกล่าวมาก็ชอบด้วยประเพณีการสงคราม ดังนั้นเมื่อท่านขันอาสาจะยกไปตามตีกองทัพของขงเบ้ง ข้าพเจ้าก็มิได้ขัด แต่จงระมัดระวังตนอย่าวู่วามเบาความประมาทแก่ความคิดของขงเบ้ง เพราะหากพลาดพลั้งเสียทีแล้ว ตัวท่านเป็นขุนนางผู้ใหญ่ในพระเจ้าอยู่หัว ก็จะเสื่อมเสียถึงพระเกียรติไปในภายหน้า
เตียวคับเห็นสุมาอี้พูดจาประวิงเวลาดังนั้นก็ขุ่นใจ กล่าวขึ้นด้วยถ้อยคำอันขึงขังว่า “ตัวข้าพเจ้าเป็นชาติทหาร จะอาสาเจ้าโดยสุจริต ถึงมาตรว่าจะตายก็ไม่เสียดายชีวิต”
สุมาอี้ได้ยินคำเตียวคับพูดถึงคำว่าตายก็ประหวั่นใจ แต่เมื่อได้ออกคำอนุญาตให้เตียวคับยกตามตีกองทัพของขงเบ้งแล้ว จึงข่มใจแล้วกล่าวว่า ขออวยพรให้ท่านมีชัยชนะแก่ข้าศึกเถิด กล่าวแล้วสุมาอี้ก็จัดทหารห้าพันให้เตียวคับยกไปเป็นกองหน้า และให้งุยเป๋งคุมทหารสองหมื่นยกหนุนตามไป ตัวสุมาอี้คุมทหารสามพันทำหน้าที่เป็นกองหลัง ยกติดตามกองทัพของขงเบ้ง
กองหน้าของเตียวคับยกไปใกล้ตำบลบิตกและบอกบุ๋น ก็เห็นอุยเอี๋ยนคุมทหารสองสามร้อยคนโห่ร้องยกออกมาจากราวป่าสน แล้วตรงเข้ามาท้าทายด่าว่าเตียวคับเป็นข้อหยาบช้า ว่ากูรับคำสั่งขงเบ้งมาคอยท่ารอมึงอยู่นานแล้ว ครั้งนี้เห็นจะไม่รอดชีวิตกลับไป
เตียวคับเห็นอุยเอี๋ยนมีทหารสองสามร้อยคน ก็นึกประมาทว่าทหารเพียงเท่านี้ ไหนเลยจะรับมือทหารกองทัพหน้าของเราได้ ประกอบทั้งได้ยินคำอุยเอี๋ยนแล้ว เตียวคับก็รู้สึกโกรธเพราะไปกระทบใจที่เคยพ่ายแพ้เสียทีแก่ขงเบ้งอย่างยับเยินมาก่อน จึงขี่ม้าพุ่งออกไปรบกับอุยเอี๋ยน
อุยเอี๋ยนรบกับเตียวคับได้สิบห้าเพลงก็ทำเป็นสู้เตียวคับไม่ได้ ชักม้าหนีออกจากวงรบแล้วพาทหารหนีไป เตียวคับเห็นได้ทีจึงพาทหารไล่ตามตีอุยเอี่ยนไปเป็นระยะทางถึงหกร้อยเส้น อุยเอี๋ยนและทหารก็หนีเข้าป่าไป
เตียวคับรั้งทหารสังเกตการณ์ว่าจะรุดไปข้างหน้าหรือประการใด ในพลันนั้นก็เห็นกวนหินคุมทหารสองร้อยนายโห่ร้องออกมาจากแนวป่า เตียวคับเห็นทหารกวนหินมีน้อยคน ก็ลำพองใจว่าอุบายเอาคนไม่กี่คนมาสกัดกองทัพเราเป็นการหมิ่นน้ำใจเรานัก แล้วเตียวคับจึงขี่ม้าเข้ารบกับกวนหิน
กวนหินเข้ารบกับเตียวคับได้สิบเพลงก็ชักม้าออกจากวงรบ แล้วพาทหารรีบหนีไป เตียวคับไม่รู้กลก็ยกทหารไล่ตามตีไปเป็นระยะทางอีกหกร้อยเส้น เห็นกวนหินพาทหารลับหลืบเขาไป แต่เห็นอุยเอี๋ยนคุมทหารสามร้อยคนยกออกมาจากอีกหลืบเขาหนึ่ง เตียวคับจึงสั่งทหารให้เข้าตีทหารของอุยเอี๋ยน เตียวคับเองขี่ม้าเข้ารบกับอุยเอี๋ยน แต่พอผ่านพ้นไปได้เก้าเพลง อุยเอี๋ยนก็ปลีกตัวชักม้าออกจากการรบกับเตียวคับแล้วพาทหารหนีไปอีกครั้งหนึ่ง
เตียวคับเห็นดังนั้นก็สำคัญว่า ซึ่งขงเบ้งแต่งกลอุบายมาซุ่มโจมตีมีฤทธิ์พิษสงแต่เพียงเท่านี้ก็ลำพองใจ สั่งทหารให้ไล่ตามตีต่อไป จนใกล้ถึงปากทางก็เป็นเวลาพลบค่ำ เตียวคับเห็นอุยเอี๋ยนพาทหารออกมาสกัดขวางทางไว้อีก เตียวคับเห็นดังนั้นก็โกรธ จึงสั่งทหารให้เข้าโจมตีกองทหารของอุยเอี๋ยน
เพียงครู่เดียวอุยเอี๋ยนก็พาทหารล่าหนี เตียวคับก็สั่งทหารให้ไล่ตามตีต่อไป ทันใดนั้นแสงเพลิงได้ลุกขึ้นบนหนทางข้างหน้าและแนวป่าทั้งสองข้าง เตียวคับเห็นดังนั้นก็ตกใจ รีบออกคำสั่งให้ทหารล่าถอย ทหารของเตียวคับรู้ว่าต้องกลข้าศึกก็พากันถอยร่นไปตามเส้นทางเดิม แต่ปรากฏว่าทางด้านหลังก็เกิดเพลิงลุกขึ้น และทหารของขงเบ้งได้ทุ่มก้อนศิลาลงมาปิดทางไว้จนหมดสิ้น
ทหารของเตียวคับในกองทัพหน้าทั้งหมดพากันตื่นตกใจรวนเรอยู่ในซอกเขา สองข้างทางเป็นหน้าผาสูง ทั้งด้านหน้าด้านหลังมีแสงเพลิงลุกพุ่งโชติช่วง เตียวคับเห็นทหารทั้งปวงตกใจรวนเรร้องอื้ออึงไม่เห็นทางหนีรอดออกไปได้ก็ท้อแท้ใจ รำพึงขึ้นโดยไม่รู้สึกตัวว่า “ตัวกูครั้งนี้เสียความคิดแก่ข้าศึกเสียแล้ว”
ในทันใดนั้นห่าเกาทัณฑ์ก็ถูกยิงลงมาจากหน้าผาทั้งสองข้าง ถูกทหารเตียวคับบาดเจ็บล้มตายลงดุจใบไม้ร่วง เตียวคับได้ใช้ทวนกวัดแกว่งป้องกันลูกเกาทัณฑ์เป็นสามารถ แต่ทหารของขงเบ้งได้ยิงเกาทัณฑ์มาแน่นหนาดุจเมล็ดฝน ลูกเกาทัณฑ์ฝ่าม่านทวนของเตียวคับ ถูกตัวเตียวคับเป็นหลายแห่ง เตียวคับก็ยิ่งโกรธแค้นเป็นอันมาก แลเกาทัณฑ์หลายลูกเป็นเกาทัณฑ์อาบยาพิษ พอเตียวคับโกรธพิษก็กำเริบขึ้น เตียวคับจึงพลัดตกลงจากหลังม้าถึงแก่ความตาย
ทหารเมืองเสฉวนยังคงระดมยิงลูกเกาทัณฑ์ลงมาไม่ขาดสายถูกทหารของเตียวคับล้มตายลงจนหมดสิ้น
ฝ่ายกองทัพหนุนของวุยก๊กซึ่งงุยเป๋งยกตามเตียวคับมาถึงซอกเขา เห็นแสงเพลิงลุกขึ้นข้างหน้าก็เกรงว่าเตียวคับจะถูกซุ่มโจมตีจึงรีบรุดจะยกไปช่วย แต่เมื่อมาถึงจุดที่เตียวคับถูกซุ่มโจมตีก็พบว่ามีก้อนศิลาปิดกั้นทางไว้จนหมดสิ้น ต่างพากันคิดว่าเตียวคับต้องกลข้าศึกในครั้งนี้เห็นจะเสียทีแก่ข้าศึกแล้วเป็นมั่นคง ครั้นจะบุกเข้าไปรื้อเอาก้อนศิลาออกก็ไม่รู้ว่าข้าศึกทำกลอุบายประการใด ทหารกองหนุนของวุยก๊กจึงได้แต่อออัดกันอยู่ในซอกเขานั้น ด้วยความตื่นตระหนกตกใจ
ในทันใดนั้นแสงเพลิงได้ลุกสว่างขึ้นบนเขาใกล้ ๆ กับกำแพงศิลาที่กั้นขวางกองทัพของวุยก๊ก และได้ยินเสียงทหารโห่ร้องมาจากบนเขา ทหารวุยก๊กเห็นดังนั้นก็ตกใจ มองขึ้นไปบนภูเขาเห็นขงเบ้งยืนอยู่กับทหารองครักษ์ และร้องลงมาว่า “อ้ายเหล่าทหารเตียวคับอย่าตกใจกลัวเลย กูหาทำอันตรายไม่ มึงจงเร่งพากันกลับไปบอกแก่สุมาอี้เถิดว่ากูคิดอ่านทำการทั้งนี้ หวังจะจับม้าตัวหนึ่งอันมีพยศก็ไม่สมความคิด บัดนี้จับได้แต่เสือร้ายตัวหนึ่ง มึงจงกำชับสุมาอี้ให้ระวังตัว กูจะคิดอ่านจับให้ได้”.
ครั้นกองทัพเมืองเสฉวนที่ตำบลเขากิสานได้ทราบหนังสือของขงเบ้งแล้ว จึงเลิกทัพกลับไปเมืองเสฉวนตามคำสั่งของขงเบ้ง
ฝ่ายเตียวคับครั้นได้ทราบรายงานจากหน่วยลาดตระเวนว่ากองทัพจ๊กก๊กซึ่งตั้งอยู่ที่ตำบลเขากิสานได้เลิกทัพ และกำลังล่าถอยกลับไปเมืองเสฉวน ก็รู้สึกประหลาดใจว่าเป็นการล่าถอยทัพจริงหรือว่าเป็นกลอุบาย ครั้นจะยกไล่ตามตีก็เกรงว่าจะต้องกลของขงเบ้งเหมือนครั้งก่อน ทั้งสุมาอี้ได้สั่งกำชับไว้เป็นมั่นคงว่าให้เตียวคับคุมกำลังตั้งมั่นอยู่ที่ริมฝั่งแม่น้ำอุยโหเพียงเพื่อสกัดกองทัพขงเบ้งมิให้ยกรุกข้ามแม่น้ำไปตีเมืองเตียงอันเท่านั้น ห้ามมิให้ออกรบโดยมิได้รับคำสั่งเป็นอันขาด เตียวคับจึงมิได้ไล่ตามตี และใช้ม้าเร็วให้รีบนำความไปรายงานแก่สุมาอี้ที่เมืองหลงเส
ครั้นสุมาอี้ทราบรายงานของเตียวคับก็เกรงว่าเตียวคับจะยกทหารไล่ตามตี จึงสั่งม้าเร็วให้รีบกลับไปบอกแก่เตียวคับว่าอย่าได้ยกทหารตามตีกองทัพที่ตำบลเขากิสานเป็นอันขาด และให้เร่งระมัดระวังกวดขันเวรยามอย่าได้ประมาท แต่ตัวเตียวคับนั้นให้รีบรุดไปหาสุมาอี้โดยเร็ว เพราะเพียงแค่ตั้งมั่นยันอยู่นั้นก็เห็นเพียงพอจะรับมือได้
ม้าเร็วรับคำสั่งของสุมาอี้แล้วจึงรีบกลับไปแจ้งให้เตียวคับทราบ พอม้าเร็วออกไปแล้วงุยเป๋งซึ่งเป็นนายทหารรองได้เข้าไปทักท้วงกับสุมาอี้ว่า “ข้าศึกถอยไป ท่านมิได้ติดตาม จะมานิ่งอยู่ดังนี้ ไพร่บ้านพลเมืองก็จะหัวเราะเยาะว่าท่านคิดเกรงทหารเมืองเสฉวนเหมือนหนึ่งฝูงเนื้ออันกลัวเสือ ขอให้ยกกองทัพตามตีให้ทหารขงเบ้งระส่ำระสาย จึงจะได้ทีทำการสืบไป”
สุมาอี้พอได้ยินคำท้วงดังนั้นก็โกรธ โบกมือเป็นเชิงไล่นายทหารรองผู้นั้นให้ออกไป พลางกล่าวว่าเจ้าเป็นแต่เพียงทหารรอง อย่าริบังอาจมาสั่งสอนเรา งุยเป๋งถูกสุมาอี้ตำหนิและขับไล่ไสส่งดังนั้นก็รีบคำนับลากลับออกไป
ฝ่ายขงเบ้งครั้นได้ทราบว่ากองทัพที่ตำบลเขากิสานได้เลิกทัพล่าถอยกลับไปเมืองเสฉวนโดยปลอดภัยแล้ว จึงเรียกเอียวหงีและม้าตงมาสั่งว่า เราจะเลิกทัพกลับไปเมืองเสฉวนครั้งนี้ หากจะกลับไปแต่มือเปล่าก็เสียดายนัก จำจะคิดกลอุบายเก็บตกข้างทางกำจัดแม่ทัพนายกองคนสำคัญของสุมาอี้เสียก่อน ให้ท่านทั้งสองคุมพลเกาทัณฑ์หนึ่งหมื่นรีบยกไปซุ่มอยู่ที่แดนต่อแดนตำบลบิตกกับตำบลบอกบุ๋นซึ่งเป็นปากทางจะไปด่านเกี้ยมโก๊ะ ถ้าหากทหารของสุมาอี้ยกตามไป และได้ยินเสียงประทัดสัญญาณแล้ว ก็ให้ทหารขนเอาก้อนศิลาและกิ่งไม้ปิดกั้นปากทางเสีย ให้พลเกาทัณฑ์ทั้งปวงระดมยิงเกาทัณฑ์เข้าไปทั้งสองข้าง สังหารหรือจับตัวแม่ทัพนายกองของสุมาอี้ให้จงได้
เอียวหงีและม้าตงรับคำสั่งแล้วออกไปจัดแจงทหาร รีบยกไปตามคำสั่งของขงเบ้ง ครั้นสองนายทหารออกไปแล้วขงเบ้งจึงสั่งให้เลิกทัพกลับไปเมืองเสฉวนทางด้านตะวันออกตามเส้นทางตำบลเกี้ยมโก๊ะ ให้อุยเอี๋ยนและกวนหินคุมทหารเป็นกองระวังหลัง ขงเบ้งคุมทหารและกองเสบียงสิ้นทั้งเมืองโลเสียยกไปเป็นกองหน้า
ขงเบ้งได้กำชับอุยเอี๋ยนและกวนหินว่า เมื่อเรายกออกจากเมืองโลเสียไปแล้ว ให้พวกท่านเอาเพลิงมาสุมไว้ใจกลางเมืองโลเสียแต่อย่าได้ลดธงทิวประจำกองทัพซึ่งปักไว้ตามกำแพงเมืองเป็นอันขาด จากนั้นจึงค่อยยกตามเราไป
ครั้นอุยเอี๋ยนและกวนหินรับคำแล้ว ขงเบ้งจึงคุมทหารและกองเสบียงออกจากเมืองโลเสีย เลิกทัพกลับไปเมืองเสฉวน
เมื่ออุยเอี๋ยนและกวนหินได้จัดแจงการข้างหลังภายในเมืองโลเสียตามคำสั่งของขงเบ้งแล้ว จึงยกทหารกองหลังติดตามกองทัพของขงเบ้งไป
ฝ่ายสุมาอี้ครั้นได้ทราบรายงานจากหน่วยลาดตระเวนว่ากองทัพเมืองเสฉวนได้เลิกทัพและล่าถอยออกจากเมืองโลเสียแล้ว ก็รู้สึกแปลกประหลาดใจว่าเหตุไฉนกองทัพของ ขงเบ้งซึ่งรบพุ่งได้ทีเป็นหลายครั้ง จู่ ๆ จะเลิกทัพกลับไปเสียดื้อ ๆ สุมาอี้จึงไม่เชื่อโดยสนิทใจว่าขงเบ้งจะเลิกทัพกลับไปจริง จึงพาทหารสองร้อยนายลอบขี่ม้าไปที่ริมกำแพงเมืองโลเสีย
ครั้นไปใกล้กำแพงเมือง สุมาอี้เห็นธงทิวกองทัพจ๊กก๊กยังคงประดับประดาบนกำแพงเมืองเป็นปกติ ทั้งภายในตัวเมืองก็เห็นควันไฟลุกพุ่งอยู่ สุมาอี้หัวเราะแล้วกล่าวว่า ขงเบ้งคิดจะเลิกทัพแล้ว ยังจะแต่งกลอุบายซุ่มทหารไว้ในเมืองเพื่อจะตีกระหนาบหลังกองทัพเราอีก เราจะโจมตีทหารในเมืองโลเสียเสียก่อนจึงจะตามตีขงเบ้งต่อไป กล่าวแล้วสุมาอี้ก็รีบพาทหารกลับไปที่ค่าย
วันรุ่งขึ้นสุมาอี้จึงคุมทหารยกมาที่เมืองโลเสีย เห็นธงทิวบนกำแพงเมืองยังเป็นปกติอยู่ แต่ควันไฟนั้นดับมอดไปแล้ว จึงให้ทหารกองหน้าบุกเข้าไปในตัวเมือง หลังจากนั้นสุมาอี้จึงยกทหารตามเข้าไป เห็นมีแต่เมืองว่างเปล่า สุมาอี้จึงทอดถอนใจใหญ่ แล้วกล่าวว่าขงเบ้งเห็นจะเลิกทัพกลับไปจริง แต่กลับแต่งอุบายลวงถ่วงเวลาเราอีกเล่า
สุมาอี้คิดคำนึงต่อไปว่า ซึ่งขงเบ้งเลิกทัพกลับไปในครั้งนี้ แม้จะยกล่วงหน้าไปแล้ว แต่ระยะทางยังยาวไกล หากใช้กองทัพม้าไล่ตามตีเห็นจะทันกับกองทัพของขงเบ้ง ขณะนั้นเตียวคับซึ่งได้เดินทางมาสมทบกับสุมาอี้แล้ว ได้ทราบว่ากองทัพของขงเบ้งกำลังถอยทัพกลับไปเมืองเสฉวน จึงขออาสายกทหารม้าไล่ตามตีกองทัพของขงเบ้ง
สุมาอี้ได้ยินคำอาสาของเตียวคับจึงว่า “ใจท่านรวดเร็วนัก ซึ่งจะไปนั้นเกรงจะเสียท่วงที”
เตียวคับจึงว่า การศึกครั้งนี้ท่านแม่ทัพได้ตั้งให้ข้าพเจ้าเป็นกองทัพหน้า ตั้งแต่ยกมายังมิได้รบพุ่งให้ประจักษ์ฝีมือ บัดนี้กองทัพเมืองเสฉวนเลิกทัพกลับไปแล้ว ชอบที่จะให้ข้าพเจ้าซึ่งเป็นกองทัพหน้าไล่ตามตี ไฉนท่านจึงกล่าววาจาดังนี้เล่า
สุมาอี้จึงว่า เมื่อข้าศึกถอยทัพเป็นธรรมเนียมให้กองทัพหน้าไล่ตามตีนั้นก็จริงอยู่ แต่หนทางซึ่งจะไล่ตามกองทัพของขงเบ้งเป็นซอกเขาป่าชัฏกันดารอันตรายนัก จึงเกรงว่าหากขงเบ้งแต่งทหารซุ่มดักไว้ก็จะเป็นอันตราย เหตุนี้จึงได้ท้วงติงท่าน
เตียวคับจึงว่า ประเพณีการไล่ตามตีข้าศึกที่กำลังล่าถอยนั้นมีมาแต่โบราณนานช้า การไม่เข้าตีต่างหากเล่าเท่ากับเป็นการเปิดให้ข้าศึกถอยทัพได้โดยสะดวก ซึ่งจะไล่ตามตีกองทัพของขงเบ้งในครั้งนี้อยู่ในแดนเมืองเรา จะวิตกไปไย
สุมาอี้จึงว่า ท่านกล่าวมาก็ชอบด้วยประเพณีการสงคราม ดังนั้นเมื่อท่านขันอาสาจะยกไปตามตีกองทัพของขงเบ้ง ข้าพเจ้าก็มิได้ขัด แต่จงระมัดระวังตนอย่าวู่วามเบาความประมาทแก่ความคิดของขงเบ้ง เพราะหากพลาดพลั้งเสียทีแล้ว ตัวท่านเป็นขุนนางผู้ใหญ่ในพระเจ้าอยู่หัว ก็จะเสื่อมเสียถึงพระเกียรติไปในภายหน้า
เตียวคับเห็นสุมาอี้พูดจาประวิงเวลาดังนั้นก็ขุ่นใจ กล่าวขึ้นด้วยถ้อยคำอันขึงขังว่า “ตัวข้าพเจ้าเป็นชาติทหาร จะอาสาเจ้าโดยสุจริต ถึงมาตรว่าจะตายก็ไม่เสียดายชีวิต”
สุมาอี้ได้ยินคำเตียวคับพูดถึงคำว่าตายก็ประหวั่นใจ แต่เมื่อได้ออกคำอนุญาตให้เตียวคับยกตามตีกองทัพของขงเบ้งแล้ว จึงข่มใจแล้วกล่าวว่า ขออวยพรให้ท่านมีชัยชนะแก่ข้าศึกเถิด กล่าวแล้วสุมาอี้ก็จัดทหารห้าพันให้เตียวคับยกไปเป็นกองหน้า และให้งุยเป๋งคุมทหารสองหมื่นยกหนุนตามไป ตัวสุมาอี้คุมทหารสามพันทำหน้าที่เป็นกองหลัง ยกติดตามกองทัพของขงเบ้ง
กองหน้าของเตียวคับยกไปใกล้ตำบลบิตกและบอกบุ๋น ก็เห็นอุยเอี๋ยนคุมทหารสองสามร้อยคนโห่ร้องยกออกมาจากราวป่าสน แล้วตรงเข้ามาท้าทายด่าว่าเตียวคับเป็นข้อหยาบช้า ว่ากูรับคำสั่งขงเบ้งมาคอยท่ารอมึงอยู่นานแล้ว ครั้งนี้เห็นจะไม่รอดชีวิตกลับไป
เตียวคับเห็นอุยเอี๋ยนมีทหารสองสามร้อยคน ก็นึกประมาทว่าทหารเพียงเท่านี้ ไหนเลยจะรับมือทหารกองทัพหน้าของเราได้ ประกอบทั้งได้ยินคำอุยเอี๋ยนแล้ว เตียวคับก็รู้สึกโกรธเพราะไปกระทบใจที่เคยพ่ายแพ้เสียทีแก่ขงเบ้งอย่างยับเยินมาก่อน จึงขี่ม้าพุ่งออกไปรบกับอุยเอี๋ยน
อุยเอี๋ยนรบกับเตียวคับได้สิบห้าเพลงก็ทำเป็นสู้เตียวคับไม่ได้ ชักม้าหนีออกจากวงรบแล้วพาทหารหนีไป เตียวคับเห็นได้ทีจึงพาทหารไล่ตามตีอุยเอี่ยนไปเป็นระยะทางถึงหกร้อยเส้น อุยเอี๋ยนและทหารก็หนีเข้าป่าไป
เตียวคับรั้งทหารสังเกตการณ์ว่าจะรุดไปข้างหน้าหรือประการใด ในพลันนั้นก็เห็นกวนหินคุมทหารสองร้อยนายโห่ร้องออกมาจากแนวป่า เตียวคับเห็นทหารกวนหินมีน้อยคน ก็ลำพองใจว่าอุบายเอาคนไม่กี่คนมาสกัดกองทัพเราเป็นการหมิ่นน้ำใจเรานัก แล้วเตียวคับจึงขี่ม้าเข้ารบกับกวนหิน
กวนหินเข้ารบกับเตียวคับได้สิบเพลงก็ชักม้าออกจากวงรบ แล้วพาทหารรีบหนีไป เตียวคับไม่รู้กลก็ยกทหารไล่ตามตีไปเป็นระยะทางอีกหกร้อยเส้น เห็นกวนหินพาทหารลับหลืบเขาไป แต่เห็นอุยเอี๋ยนคุมทหารสามร้อยคนยกออกมาจากอีกหลืบเขาหนึ่ง เตียวคับจึงสั่งทหารให้เข้าตีทหารของอุยเอี๋ยน เตียวคับเองขี่ม้าเข้ารบกับอุยเอี๋ยน แต่พอผ่านพ้นไปได้เก้าเพลง อุยเอี๋ยนก็ปลีกตัวชักม้าออกจากการรบกับเตียวคับแล้วพาทหารหนีไปอีกครั้งหนึ่ง
เตียวคับเห็นดังนั้นก็สำคัญว่า ซึ่งขงเบ้งแต่งกลอุบายมาซุ่มโจมตีมีฤทธิ์พิษสงแต่เพียงเท่านี้ก็ลำพองใจ สั่งทหารให้ไล่ตามตีต่อไป จนใกล้ถึงปากทางก็เป็นเวลาพลบค่ำ เตียวคับเห็นอุยเอี๋ยนพาทหารออกมาสกัดขวางทางไว้อีก เตียวคับเห็นดังนั้นก็โกรธ จึงสั่งทหารให้เข้าโจมตีกองทหารของอุยเอี๋ยน
เพียงครู่เดียวอุยเอี๋ยนก็พาทหารล่าหนี เตียวคับก็สั่งทหารให้ไล่ตามตีต่อไป ทันใดนั้นแสงเพลิงได้ลุกขึ้นบนหนทางข้างหน้าและแนวป่าทั้งสองข้าง เตียวคับเห็นดังนั้นก็ตกใจ รีบออกคำสั่งให้ทหารล่าถอย ทหารของเตียวคับรู้ว่าต้องกลข้าศึกก็พากันถอยร่นไปตามเส้นทางเดิม แต่ปรากฏว่าทางด้านหลังก็เกิดเพลิงลุกขึ้น และทหารของขงเบ้งได้ทุ่มก้อนศิลาลงมาปิดทางไว้จนหมดสิ้น
ทหารของเตียวคับในกองทัพหน้าทั้งหมดพากันตื่นตกใจรวนเรอยู่ในซอกเขา สองข้างทางเป็นหน้าผาสูง ทั้งด้านหน้าด้านหลังมีแสงเพลิงลุกพุ่งโชติช่วง เตียวคับเห็นทหารทั้งปวงตกใจรวนเรร้องอื้ออึงไม่เห็นทางหนีรอดออกไปได้ก็ท้อแท้ใจ รำพึงขึ้นโดยไม่รู้สึกตัวว่า “ตัวกูครั้งนี้เสียความคิดแก่ข้าศึกเสียแล้ว”
ในทันใดนั้นห่าเกาทัณฑ์ก็ถูกยิงลงมาจากหน้าผาทั้งสองข้าง ถูกทหารเตียวคับบาดเจ็บล้มตายลงดุจใบไม้ร่วง เตียวคับได้ใช้ทวนกวัดแกว่งป้องกันลูกเกาทัณฑ์เป็นสามารถ แต่ทหารของขงเบ้งได้ยิงเกาทัณฑ์มาแน่นหนาดุจเมล็ดฝน ลูกเกาทัณฑ์ฝ่าม่านทวนของเตียวคับ ถูกตัวเตียวคับเป็นหลายแห่ง เตียวคับก็ยิ่งโกรธแค้นเป็นอันมาก แลเกาทัณฑ์หลายลูกเป็นเกาทัณฑ์อาบยาพิษ พอเตียวคับโกรธพิษก็กำเริบขึ้น เตียวคับจึงพลัดตกลงจากหลังม้าถึงแก่ความตาย
ทหารเมืองเสฉวนยังคงระดมยิงลูกเกาทัณฑ์ลงมาไม่ขาดสายถูกทหารของเตียวคับล้มตายลงจนหมดสิ้น
ฝ่ายกองทัพหนุนของวุยก๊กซึ่งงุยเป๋งยกตามเตียวคับมาถึงซอกเขา เห็นแสงเพลิงลุกขึ้นข้างหน้าก็เกรงว่าเตียวคับจะถูกซุ่มโจมตีจึงรีบรุดจะยกไปช่วย แต่เมื่อมาถึงจุดที่เตียวคับถูกซุ่มโจมตีก็พบว่ามีก้อนศิลาปิดกั้นทางไว้จนหมดสิ้น ต่างพากันคิดว่าเตียวคับต้องกลข้าศึกในครั้งนี้เห็นจะเสียทีแก่ข้าศึกแล้วเป็นมั่นคง ครั้นจะบุกเข้าไปรื้อเอาก้อนศิลาออกก็ไม่รู้ว่าข้าศึกทำกลอุบายประการใด ทหารกองหนุนของวุยก๊กจึงได้แต่อออัดกันอยู่ในซอกเขานั้น ด้วยความตื่นตระหนกตกใจ
ในทันใดนั้นแสงเพลิงได้ลุกสว่างขึ้นบนเขาใกล้ ๆ กับกำแพงศิลาที่กั้นขวางกองทัพของวุยก๊ก และได้ยินเสียงทหารโห่ร้องมาจากบนเขา ทหารวุยก๊กเห็นดังนั้นก็ตกใจ มองขึ้นไปบนภูเขาเห็นขงเบ้งยืนอยู่กับทหารองครักษ์ และร้องลงมาว่า “อ้ายเหล่าทหารเตียวคับอย่าตกใจกลัวเลย กูหาทำอันตรายไม่ มึงจงเร่งพากันกลับไปบอกแก่สุมาอี้เถิดว่ากูคิดอ่านทำการทั้งนี้ หวังจะจับม้าตัวหนึ่งอันมีพยศก็ไม่สมความคิด บัดนี้จับได้แต่เสือร้ายตัวหนึ่ง มึงจงกำชับสุมาอี้ให้ระวังตัว กูจะคิดอ่านจับให้ได้”.