ตอนที่ 555. มายาภาพ ณ ผาไม้ดำ

ขงเบ้งคิดอุบายลวงสุมาอี้เพื่อชิงเอาข้าวโพดสาลีที่กำลังสุกเต็มท้องทุ่ง โดยแบ่งทหารสามหมื่นทำหน้าที่เก็บเกี่ยวข้าวสาลี ตัวขงเบ้งนำทหารที่เหลืออีกหมื่นห้าพันคนยกไปหลอกสุมาอี้ สุมาอี้ให้ทหารตามจับตัวขงเบ้ง แต่ทหารวุยก๊กไล่ตามไม่ทัน ทั้งตกใจกลัวว่าภาพที่เห็นเบื้องหน้าเห็นจะไม่ใช่คน หากคงเป็นภูตผีปีศาจมาหลอกหลอน

            ทหารวุยก๊กไล่ตามขงเบ้งต่อไปอีกแต่ไม่ทันจึงพากันหยุดอยู่กับที่ ทันใดนั้นก็เห็นเกวียนของ    ขงเบ้งหันกลับมาอีกครั้งหนึ่ง ทหารวุยก๊กก็รุกไล่ตามไป เกวียนของขงเบ้งก็ถอยร่นไปตามทางซึ่งสั่งทหารเมืองเสฉวนดักซุ่มอยู่

            ฝ่ายสุมาอี้หลังจากสั่งให้นายกองคุมทหารสองพันไล่ตามขงเบ้งไปแล้ว ก็รู้สึกประหลาดใจที่ทหารม้าฝีเท้าจัดไม่สามารถไล่ทันเกวียนของขงเบ้งได้ จึงกล่าวกับบรรดาแม่ทัพนายกองซึ่งยืนม้าเรียงรายอยู่ด้วยกันว่า ขงเบ้งนี้ชำนาญในวิชาค่ายกลอัฏฐทิศ ทั้งเป็นนักบวชในลัทธิเต๋า สามารถร้องขอวิงวอนต่อเทพเจ้าอัคคีแห่งลัทธิเต๋าให้ช่วยเหลือได้ ทั้งมีกลอุบายยากที่จะหยั่งคาด จึงต้องระมัดระวังอย่าได้ประมาท

            นายทหารรองอาวุโสคนหนึ่งซึ่งเห็นเหตุการณ์อย่างเดียวกับสุมาอี้ ได้ยินดังนั้นจึงกล่าวว่าซึ่งทหารม้าไล่ตามเกวียนขงเบ้งไม่ทันนี้เนื่องเพราะขงเบ้งได้ใช้วิชาย่อธรณีร่นระยะทาง จึงทำให้ทหารเราไล่ตามไม่ทัน ถึงมาตรแม้นท่านแม่ทัพจะให้ทหารไล่ตามไปสักเท่าใด ก็เห็นจะไม่อาจไล่จับตัวขงเบ้งได้เป็นแน่แท้ ชอบที่ท่านแม่ทัพจะบัญชาเรียกทหารซึ่งไล่ตามขงเบ้งนั้นกลับมา หากขืนรุกไล่ต่อไปเห็นจะเสียทีแก่ขงเบ้งเป็นมั่นคง

            สุมาอี้ได้ฟังดังนั้นก็เชื่อตาม แต่ยังไม่ทันที่จะออกคำสั่งให้เรียกกองทหารกลับมา พลันได้ยินเสียงม้าล่อฆ้องกลองดังลั่นในป่า สุมาอี้ได้ยินดังนั้นก็ตกใจ เกรงว่าจะต้องกลของขงเบ้ง จึงสั่งทหารให้เตรียมพร้อมรบ ตัวสุมาอี้หันหน้าไปทางต้นเสียงก็รู้สึกตกใจเป็นอันมาก เพราะภาพที่เห็นปรากฏเป็นภาพขงเบ้งนั่งอยู่บนเกวียน มีภูตผีปีศาจสยายผมถือกระบี่และธงริ้วดาวจระเข้ยี่สิบสี่ตน เหมือนกันกับภาพที่เห็นขงเบ้งหนีไปทุกประการ

            สุมาอี้ปรารภด้วยความลืมตัวว่า ขงเบ้งพึ่งหนีไปเพียงอึดใจเดียวเท่านั้น ไฉนจึงมาปรากฏกายที่นี่อีกเล่า ในขณะนั้นสุมาอี้ให้รู้สึกขนพองสยองเกล้า คิดว่าชะรอยที่เห็นทั้งนี้เห็นจะไม่ใช่ขงเบ้ง หากเป็นภูตผีปีศาจมาหลอกหลอน ทั้งรำลึกได้ว่าตำบลนี้คือตำบลผาไม้ดำซึ่งมีกิตติศัพท์ร่ำลือมาช้านานว่าภูตผีปีศาจดุดันร้ายแรงนัก ก็รู้สึกหวาดผวา

            สุมาอี้รีบหันหน้ามาทางกองทหารที่อยู่ทางด้านหลัง เห็นทั้งไพร่และพลล้วนตกใจตัวสั่น หน้าตาซีดเซียวก็ยิ่งตกใจ ในทันใดนั้นเสียงม้าล่อฆ้องกลองก็ดังก้องขึ้นในป่าอีกครั้งหนึ่ง พลันมีเสียงคล้ายเสียงสวดมนต์บ่นพึมพำแว่วดังมาจากทั้งด้านขวาและด้านซ้าย สุมาอี้จ้องมองไปตามต้นเสียงก็ยิ่งตกใจเป็นอันมาก เพราะเห็นขงเบ้งอีกสองคนนั่งเกวียนพร้อมภูตผีปีศาจเหมือนกับที่เห็นครั้งแรกทุกประการ ยกออกมาจากป่าทั้งด้านขวาและด้านซ้ายพร้อมกัน กลายเป็นมีขงเบ้งสามคนพร้อมภูตผีปีศาจเคลื่อนเกวียนออกมาจากแนวป่า ในขณะที่ขงเบ้งอีกคนหนึ่งก็ขี่เกวียนหนีไปโดยที่ทหารม้าไล่ตามไม่ทัน

            ณ เวลานั้นสุมาอี้เชื่อถือโดยสนิทใจว่าภาพที่เห็นเบื้องหน้าตั้งแต่ขงเบ้งคนแรกจนถึงขงเบ้งคนที่สี่ล้วนเป็นเทพยดาหรือไม่ก็เป็นภูตผีปีศาจมาหลอกหลอน จึงตกใจกลัวเป็นอันมาก พลันได้ยินเสียงแตกฮือขึ้นที่กองทหาร สุมาอี้เหลียวไปดู เห็นทหารทั้งตัวนายและพลพากันแตกตื่นวิ่งหนี สุมาอี้ยิ่งตะลึงตะลาน ใจหนึ่งกลัวว่าเป็นภูตผีปีศาจ แต่อีกใจหนึ่งก็เกรงว่าชะรอยเป็นขงเบ้งทำกลอุบายที่ล้ำลึกเหลือหยั่งคาด สุมาอี้มิรู้ที่จะตัดสินใจประการใด แต่เมื่อเห็นทหารแตกหนีเอาตัวรอดคุมกันไม่ติดดังนั้น จึงออกคำสั่งให้ทหารถอยทัพ ตัวสุมาอี้ขี่ม้าเร่งทหารให้รีบถอยกลับเข้าไปในเมืองหลงเส

            ครั้นเข้าไปถึงในเมืองหลงเสแล้ว สุมาอี้ได้สั่งให้ปิดประตูเมือง และให้ขึ้นระมัดระวังรักษาเชิงเทินและกำแพงเมืองไว้มิให้ประมาท

            ฝ่ายทหารของสุมาอี้ซึ่งขี่ม้าไล่ตามขงเบ้งไปนั้น ครั้นไปถึงจุดที่ทหารเมืองเสฉวนซุ่มดักอยู่ก็ถูกทหารเมืองเสฉวนยกออกมาล้อมโจมตีฆ่าฟันเจ็บตายไปกว่าครึ่ง พวกที่เหลือก็ถูกจับเป็นเชลยจนหมดสิ้น

            ความซึ่งขงเบ้งแต่งกลอุบายหลอกลวงสุมาอี้ในครั้งนี้ สามก๊กฉบับเจ้าพระยาพระคลัง (หน) ได้ระบุความตรงกันกับฉบับภาษาจีนว่า ขงเบ้งได้ร่ายมนต์ร่นระยะทางป้องกันไม่ให้ทหารสุมาอี้ไล่ตามทัน สุมาอี้และทหารทั้งปวงเห็นภาพและเหตุการณ์ดังนั้นก็สำคัญว่า “ผีโขมดป่าแกล้งมาหลอกเรา … ก็ตกใจแตกตื่นไป”

            ทหารของขงเบ้งกองที่มาทำหน้าที่หลอกลวงกองทัพสุมาอี้ ครั้นเห็นสุมาอี้พาทหารหนีกลับไปแล้ว พอค่ำลงก็พากันกลับไปหาขงเบ้ง

            ขงเบ้งได้ให้ทหารสามหมื่นคนเก็บเกี่ยวข้าวโพดสาลีที่เมืองหลงเสถึงสองวันติดต่อกัน ได้ข้าวโพดสาลีเป็นอันมากเต็มแปล้ทุกเล่มเกวียน ครั้นเพียงพอต่อความต้องการแล้วขงเบ้งจึงพาทหาร และลำเลียงเกวียนข้าวโพดสาลีกลับเข้าไปตั้งอยู่ในเมืองโลเสีย

            ฝ่ายสุมาอี้ตั้งมั่นรักษาเมืองหลงเสอยู่ถึงสามวัน ไม่เห็นข่าวคราวความเคลื่อนไหวของกองทัพขงเบ้งว่าจะยกมายึดเมืองหลงเสก็ประหลาดใจ ยิ่งคิดถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นก็ยิ่งฉงนสนเท่ห์ สุมาอี้คิดเท่าใดก็ไม่ตก ครั้นตรวจสอบข่าวสารจากหน่วยสอดแนม ทราบว่าขงเบ้งยกทหารไปตั้งอยู่ที่เมืองโลเสียแล้ว สุมาอี้จึงปลอมตัวเป็นทหารเลวและพา ทหารสองร้อยคนยกไปที่ตำบลผาไม้ดำ เพื่อตรวจสอบให้รู้ว่าเกิดเหตุการณ์อะไรขึ้นในวันนั้น

            สุมาอี้ให้ทหารไปคุมตัวชาวบ้านในย่านนั้นมาสอบถาม ก็ได้ความว่าขงเบ้งคนแรกที่เห็นนั่นแล้วคือตัวจริง นอกจากนั้นเป็นหุ่นและเป็นภูตผีปีศาจปลอมที่ขงเบ้งเตรียมมาหลอกหลอนโดยเฉพาะ หลังจากท่านยกกองทัพกลับไป ขงเบ้งได้ให้ทหารเก็บเกี่ยวข้าวโพดสาลีจนหมดสิ้น แล้วยกกลับไปเมืองโลเสีย

            สามก๊กฉบับเจ้าพระยาพระคลัง (หน) ระบุว่าสุมาอี้จับได้ทหารขงเบ้งคนหนึ่ง ซึ่งพลัดจากหลังม้าขาหักหลงอยู่ในแถบนั้น จึงไต่สวนแล้วได้ความเป็นอย่างเดียวกัน

            สุมาอี้ทราบความดังนั้นก็ทอดถอนใจใหญ่และเสียใจเป็นอันมาก ปรารภว่า “ขงเบ้งทำการครั้งนี้ดังเทพยดามาช่วย เหลือความคิดเราจะหยั่งรู้ถึง”

            ฝ่ายโกฉุยทราบว่าสุมาอี้ปลอมเป็นทหารเลวยกไปที่ตำบลผาไม้ดำ เกรงว่าสุมาอี้จะเป็นอันตราย จึงรีบคุมทหารยกตามสุมาอี้มา ครั้นพบกับสุมาอี้จึงคำนับและรายงานให้ทราบความซึ่งเป็นห่วงใยแล้วยกตามมานั้น

            สุมาอี้รับคำนับโกฉุยตามประเพณีแล้ว จึงเล่าความซึ่งถูกขงเบ้งหลอกลวงให้โกฉุยฟังทุกประการ

            โกฉุยได้ฟังคำสุมาอี้แล้วจึงว่า กลอุบายของขงเบ้งหลอกลวงได้ก็แต่ในยามที่เราไม่รู้ความจริง บัดนี้เมื่อทราบความจริงแล้วจะเกรงกลัวอะไรกับความคิดของขงเบ้งอีกเล่า ซึ่งขงเบ้งยกทหารไปตั้งอยู่ที่เมืองโลเสียนั้น เห็นจะคอยท่าให้ทหารนวดข้าวโพดสาลีให้เสร็จแล้ว จึงจะยกไปตำบลเขากิสาน ควรที่ท่านแม่ทัพจะได้ยกกองทัพไปตีเมืองโลเสีย เห็นจะจับตัวขงเบ้งได้โดยง่าย

            สุมาอี้ยามหวาดหวั่นขงเบ้งก็ไม่ทันคิดที่จะยกไปตีเมืองโลเสีย ครั้นได้ยินคำโกฉุยก็คิดว่าเมืองโลเสียเป็นหัวเมืองน้อย หากยกกองทัพไล่ตามไปเห็นจะได้การตามความคิดของโกฉุย คิดดังนั้นแล้วสุมาอี้จึงชวนโกฉุยกลับไปที่เมืองหลงเส แล้วจัดแจงทหารเป็นสองกอง ยกออกจากเมืองหลงเสจะไปตีเอาเมืองโลเสีย

            ฝ่ายขงเบ้งหลังจากยกทหารกลับเข้าเมืองโลเสียแล้ว ก็เร่งให้ทหารรีบนวดข้าวโพดสาลี พอถึงวันที่สี่เวลาบ่าย บังเกิดลมหัวด้วนพัดมาที่บริเวณซึ่งทหารกำลังนวดข้าวโพดสาลีอยู่นั้นหมุนเอาฟางข้าวลอยขึ้นไปบนอากาศ แล้วปลิวมาตกข้างหน้าของขงเบ้ง

            ขงเบ้งรีบจับยามตามตำรา แล้วผงกศีรษะอยู่สองสามครั้ง หลังจากนั้นจึงเรียกแม่ทัพนายกองเข้ามาพร้อมกัน แล้วว่าเวลาค่ำวันนี้เห็นสุมาอี้จะยกทหารมาตีเอาเมืองโลเสีย เราจะคิดอ่านตีกองทัพของสุมาอี้ให้แตกพ่ายไปจงได้

            ขงเบ้งเห็นบรรดาแม่ทัพนายกองทั้งปวงมีท่าทีงุนงงสงสัย จึงกล่าวสืบไปว่านอกเมืองโลเสียนี้เป็นที่นาข้าวโพดสาลีกว้างขวางนัก เราจะให้เกียงอุย อุยเอี๋ยน คุมทหารคนละพันไปซุ่มอยู่ในป่านอกเมืองด้านตะวันตก กองหนึ่งให้อยู่ใกล้หน้าเมือง อีกกองหนึ่งให้อยู่ไกลออกไปพอที่จะตีตลบหลังกองทัพของสุมาอี้ ให้ม้าตงและม้าต้ายคุมทหารคนละพันยกไปซุ่มอยู่นอกเมืองด้านทิศตะวันออก กองหนึ่งให้อยู่ใกล้หน้าเมือง และอีกกองหนึ่งให้อยู่ไกลออกไปเช่นเดียวกัน แล้วกำชับว่าเมื่อได้ยินเสียงประทัดสัญญาณจุดขึ้นเมื่อใด ให้ทหารทุกกองยกเข้าตีกระหนาบกองทัพสุมาอี้พร้อมกัน

            สี่นายทหารรับคำสั่งขงเบ้งแล้ว คำนับลาออกไปจัดแจงทหารและยกออกไปตั้งซุ่มไว้ตามแผนการของขงเบ้งทุกประการ เมื่อสี่นายทหารออกไปแล้ว ขงเบ้งจึงสั่งทหารที่เหลือให้ขึ้นระมัดระวังเชิงเทินค่ายคูประตูหอรบไว้ให้มั่นคง ครั้นเวลาใกล้พลบค่ำขงเบ้งได้สั่งทหารร้อยคนพร้อมกับประทัดครบมือออกไปซุ่มอยู่ทางด้านทิศเหนือนอกประตูเมือง

            ฝ่ายสุมาอี้ยกทหารออกจากเมืองหลงเสแล้วรีบรุดมาถึงแดนเมืองโลเสีย พอเวลายามหนึ่งทหารของสุมาอี้ก็ยกเข้าประชิดกำแพงเมืองโลเสียพร้อมกัน และระดมยิงเกาทัณฑ์เข้าไปในตัวเมืองเป็นอันมาก ทหารวุยก๊กได้พยายามปีนป่ายบุกขึ้นมาบนกำแพงเมือง แต่ทหารของขงเบ้งก็ได้รบพุ่งป้องกันไว้เป็นสามารถ

            ฝ่ายขงเบ้งขึ้นไปสังเกตการณ์อยู่บนหอรบบนเชิงเทิน ครั้นเห็นกองทัพสุมาอี้รุกเข้าตีเมืองเป็นที่ชุลมุนแล้ว จึงสั่งทหารให้จุดประทัดสัญญาณขึ้น ทหารของขงเบ้งร้อยคนที่เตรียมประทัดไปซุ่มอยู่นอกเมืองก็จุดประทัดขึ้นพร้อมกัน เสียงดังสนั่นหวั่นไหวประดุจฟ้าถล่มแผ่นดินทลาย

            สิ้นเสียงประทัดสัญญาณ สี่นายทหารของจ๊กก๊กซึ่งยกไปตั้งซุ่มอยู่ตามแผนการของขงเบ้งก็พากันโห่ร้องยกออกจากที่ซุ่ม รุกโจมตีกระหนาบหลังทหารของสุมาอี้เข้ามาพร้อมกันทั้งสี่ด้าน ในขณะนั้นทหารจ๊กก๊กที่อยู่ข้างในเมืองก็เปิดประตูเมืองแล้วยกตีกระทบออกไปพร้อมกัน 

            ทหารของสุมาอี้ไม่ทันรู้เนื้อรู้ตัว ถูกโจมตีกระหนาบเข้ามาพร้อมกันทุกทิศทางทุกด้าน บาดเจ็บล้มตายดุจใบไม้ร่วงก็พากันแตกตื่นตกใจคุมกันไม่ติด สุมาอี้เห็นดังนั้นรู้ว่าต้องกลของขงเบ้งก็ตกใจ รีบสั่งทหารให้ล่าถอย และไปพักทหารอยู่ที่เนินเขาแห่งหนึ่ง

            วันรุ่งขึ้นขงเบ้งได้ทราบรายงานจากหน่วยสอดแนมว่า ซึ่งสุมาอี้พาทหารถอยหนีไปตั้งแต่เมื่อคืนนั้น ได้ไปพักทหารอยู่ที่เนินเขาห่างเมืองโลเสียประมาณสองร้อยเส้น ขงเบ้งจึงสั่งให้เกียงอุย อุยเอี๋ยน ม้าตง และม้าต้าย ตั้งค่ายอยู่นอกเมืองทั้งสี่ด้านคอยระมัดระวังป้องกันไม่ให้ข้าศึกยกมาประชิดตัวเมือง

            ฝ่ายสุมาอี้ครั้นพาทหารหนีไปปลงทัพอยู่ที่เนินเขาแล้ว ก็รู้สึกอัปยศที่แพ้รู้เสียทีแก่ขงเบ้งอีกครั้งหนึ่ง จึงเป็นทุกข์ใจยิ่งนัก โกฉุยเห็นสุมาอี้มีสีหน้าหม่นหมองจึงเข้าไปกล่าวกับสุมาอี้ว่า “แต่เราทำสงครามกับขงเบ้งมาก็หลายครั้งยังไม่สำเร็จ เพราะมิได้ตัวขงเบ้ง ครั้งนี้ขงเบ้งคิดกลศึกฆ่าทหารเราเสียเป็นอันมาก แม้ท่านไม่คิดอ่านกำจัดขงเบ้งเสียให้ได้ นานไปก็จะกำเริบใหญ่หลวงขึ้น ขอให้ท่านมีหนังสือไปถึงเมืองเลียงจิ๋ว แลเมืองเลงจิ๋ว ให้ยกทัพมาช่วย ข้าพเจ้าจะคุมทหารไปตีเอาตำบลเกี้ยมโก๊ะซึ่งเป็นด่านเมืองฮันต๋งให้ได้ กองทัพขงเบ้งก็จะขาดเสบียงลง ท่านจงคุมทหารเข้าตีก็จะได้ชัยชนะแก่ขงเบ้งเป็นมั่นคง”

            สุมาอี้ได้ฟังแผนการของโกฉุยก็คลายทุกข์ คิดว่าแผนการของโกฉุยนี้แยบยลยิ่งนัก ด้านหนึ่งโกฉุยจะยกไปตีด่านเกี้ยมโก๊ะซึ่งเป็นด่านสำคัญของเมืองฮันต๋ง และเป็นเส้นทางลำเลียงเสบียงอาหารมาส่งกองทัพของขงเบ้ง มีฐานะทางยุทธศาสตร์สำคัญใกล้เคียงกับตำบลเกเต๋ง ทั้งหากได้กำลังทหารจากเมืองเลียงจิ๋วและเมืองเลงจิ๋วมาช่วย ก็เห็นจะเอาชนะกองทัพขงเบ้งได้

            สุมาอี้คิดดังนั้นแล้วจึงแต่งหนังสือสั่งให้ม้าเร็วถือไปเมืองเลียงจิ๋วและเมืองเลงจิ๋วตามแผนการของโกฉุยทุกประการ และสุมาอี้ได้สั่งให้เกณฑ์ทหารจากเมืองหลงเสมาเสริมกำลังตั้งค่ายอยู่ที่เนินเขาแห่งนั้น คอยท่าทหารจากสองเมืองพร้อมแล้ว จะยกเข้าตีเมืองโลเสียต่อไป.

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

ตัวอย่างกระทู้ธรรม ธรรมศึกษาชั้นตรี 5

I miss you all กับ I miss all of you ต่างกันอย่างไร

ปัญหาและเฉลยวิชาธรรม นักธรรมชั้นโท สอบในสนามหลวง วันเสาร์ ที่ ๑๙ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๔๘