ตอนที่ 554. อุบาย "กินข้าวข้าศึก"

ขงเบ้งบุกวุยก๊กครั้งที่ห้าโดยแบ่งทหารเป็นสองกอง แต่ละกองกำลังพลสิบหมื่น กองหนึ่งตั้งมั่นอยู่ในเมืองฮันต๋ง อีกกองหนึ่งยกไปตั้งอยู่ที่ตำบลเขากิสาน กำหนดเวลาร้อยวันให้ผลัดเปลี่ยนเวรกันครั้งหนึ่ง พระเจ้าโจยอยทราบความก็โปรดให้สุมาอี้ยกกองทัพออกไปรบกับขงเบ้ง

            เมื่อสุมาอี้ยกกองทัพไปถึงเมืองเตียงอันก็เรียกประชุมแม่ทัพนายกองทั้งปวง ปรึกษาแผนการที่จะยกทหารไปตั้งรับศึกกองทัพขงเบ้งที่ริมแม่น้ำอุยโห คนละฝั่งกับตำบลเขากิสานที่ขงเบ้งตั้งค่ายพักทหารอยู่

            เตียวคับได้ขออาสาสุมาอี้ยกทหารข้ามแม่น้ำอุยโหไปรบกับขงเบ้ง แต่สุมาอี้ทัดทานว่าการจะรบพุ่งกับขงเบ้งนั้นชอบที่จะรวมศูนย์กำลังทหารจึงจะได้ชัยชนะ ซึ่งท่านอาสาทั้งนี้ก็ขอบใจ แต่การแบ่งทหารออกเป็นสองส่วน กำลังแต่ละส่วนก็ลดลง เห็นจะสู้ขงเบ้งไม่ได้ ชอบที่จะยกไปพร้อมกัน และให้ท่านเป็นกองทัพหน้า ท่านจะเห็นเป็นประการใด

            เตียวคับได้ยินดังนั้นจึงคำนับขอบคุณสุมาอี้ที่ไว้วางใจ ครั้นจัดแจงกองทัพเสร็จแล้วสุมาอี้จึงสั่งให้เคลื่อนทัพจากเมืองเตียงอันแล้วยกไปตั้งอยู่ที่ริมฝั่งแม่น้ำอุยโห

            ฝ่ายกองทัพของขงเบ้ง ครั้นตั้งค่ายลงที่ตำบลเขากิสานแล้ว ขงเบ้งจึงเรียกแม่ทัพนายกองทั้งปวงมาปรึกษาว่า เรายกกองทัพรุกวุยก๊กครั้งนี้หวังจะรุกรบให้แตกหัก และไม่ต้องการให้สุมาอี้พักกำลังตั้งตัว จึงได้ใช้กองทัพม้ารีบรุดมาโดยเร็ว เหตุนี้จึงมีเสบียงอาหารมาแต่น้อย เวลานี้ล่วงพ้นมาเดือนหนึ่งแล้ว ลิเงียมยังไม่ส่งเสบียงอาหารมาตามกำหนด เห็นกองทัพเราจะขัดสน

            เกียงอุยจึงว่า ข้าพเจ้าก็แปลกใจว่าเหตุไฉนมหาอุปราชจึงกรีฑาทัพมาโดยมิได้ลำเลียงเสบียงอาหารมาพร้อมกันให้เพียงพอต่อการรับมือข้าศึกในระยะยาว เมื่อเป็นเช่นนี้ชอบที่มหาอุปราชจะได้มีหนังสือไปเร่งลิเงียมให้รีบส่งเสบียงอาหาร อย่าให้กองทัพต้องขัดสน

            ขงเบ้งจึงว่า เราได้มีหนังสือให้ม้าเร็วนำไปแจ้งให้ลิเงียมทราบแล้ว แต่การจะหวังพึ่งพาเสบียงอาหารซึ่งต้องลำเลียงมาเป็นระยะทางไกลจากเมืองเสฉวนนั้นเห็นจะไม่ทันการ เราได้เตรียมการจัดหาเสบียงจากแดนของข้าศึกเป็นกำลังของกองทัพไว้พร้อมก่อนที่จะเดินทัพออกจากเมืองฮันต๋งแล้ว

            เกียงอุยจึงถามว่า มหาอุปราชจะทำประการใดจึงจะอาศัยเสบียงอาหารจากข้าศึกมาบำรุงกองทัพ

            ขงเบ้งจึงว่า อันประเพณีการสงครามแต่โบราณมากำหนดว่า กินข้าวของข้าศึกหนึ่งถัง ดีกว่ากินข้าวของเราเองสิบถัง ปมเงื่อนก็คือให้ขวนขวายหาเสบียงอาหารและอาวุธยุทโธปกรณ์จากข้าศึกยึดมาเป็นกำลังของกองทัพเรา ข้าศึกจะอ่อนแอลง เราจะเติบใหญ่เข้มแข็งขึ้น เทศกาลนี้เป็นเทศกาลข้าวโพดสาลีสุก แลเมืองหลงเสนั้นก็เป็นแหล่งปลูกข้าวโพดสาลีอันอุดม เรากำหนดการที่จะยึดเอาข้าวสาลีจากเมืองหลงเสมาเป็นเสบียงของกองทัพ จึงได้รีบรุดมาโดยที่ไม่ได้นำพากองเสบียงมาเหมือนครั้งก่อน

            เกียงอุยได้ฟังดังนั้นก็คำนับขงเบ้ง สรรเสริญความคิดของขงเบ้งเป็นอันมาก

            วันรุ่งขึ้นขงเบ้งสั่งให้อองเป๋งและเตียวหงีคุมทหารห้าหมื่นรักษาค่ายที่ตำบล เขากิสาน ส่วนขงเบ้งพร้อมกับเกียงอุยและอุยเอี๋ยนได้คุมทหารอีกกองหนึ่งจำนวนห้าหมื่นยกไปทางเมืองโลเสียจะไปเมืองหลงเส

            ฝ่ายสุมาอี้ครั้นยกทหารมาตั้งอยู่ที่ริมแม่น้ำอุยโหแล้ว ก็ให้ทหารหน่วยสอดแนมสืบข่าวคราวความเคลื่อนไหวของกองทัพขงเบ้ง พอรู้ข่าวว่าขงเบ้งพาทหารยกออกจากตำบลเขากิสานจะไปที่เมืองโลเสียสุมาอี้ก็ตกใจ รีบเรียกเตียวคับมาปรึกษาแล้วปรารภว่าเทศกาลนี้เป็นฤดูข้าวโพดสาลีสุก ซึ่งกองทัพขงเบ้งยกไปทางเมืองโลเสียนั้น เห็นจะไปยึดเอาเมืองหลงเสแล้วเก็บเกี่ยวข้าวโพดสาลีเป็นเสบียงเป็นมั่นคง

            สุมาอี้เห็นเตียวคับนั่งงงอยู่จึงกล่าวสืบไปว่า เมืองโลเสียนั้นมีเขตแดนติดต่อกับเมืองหลงเส ซึ่งเป็นแหล่งนาข้าวโพดสาลีของวุยก๊ก หากขงเบ้งยึดข้าวโพดสาลีจากเมืองหลงเสได้แล้ว วุยก๊กเราจะขาดเสบียงอาหารลง ในขณะที่ขงเบ้งมีเสบียงอาหารอุดมสมบูรณ์ สามารถตั้งหน้าทำศึกระยะยาวกับเราได้ จำจะต้องยกกองทัพไปป้องกันเมืองหลงเสไว้ก่อน

            กล่าวแล้วสุมาอี้จึงสั่งให้เตียวคับคุมทหารตั้งขัดตาทัพกองทัพของขงเบ้งซึ่งตั้งอยู่ที่ตำบลเขากิสาน ไม่ให้ยกรุกข้ามแม่น้ำอุยโหมาได้ ส่วนสุมาอี้จะยกกองทัพไปป้องกันเสบียงที่เมืองหลงเสด้วยตนเอง

            ครั้นจัดแจงทหารป้องกันระมัดระวังกองทัพจ๊กก๊กที่ตั้งประจันอยู่ริมแม่น้ำอุยโหเสร็จสิ้นแล้ว สุมาอี้จึงมอบอาญาสิทธิ์สำหรับบังคับบัญชาทหารให้กับเตียวคับเพื่อบังคับบัญชาทหารแทนตัว แล้วให้โกฉุยเป็นกองทัพหน้า สุมาอี้คุมกองทัพหลวง เร่งเดินทัพทั้งกลางวันและกลางคืนไปที่เมืองหลงเสและเข้าไปตั้งค่ายมั่นไว้ข้างในเมือง

            ฝ่ายขงเบ้งครั้นนำกองทัพยกไปถึงเมืองโลเสียก็สั่งทหารให้ยกเข้าประชิดเมือง กินอซึ่งเป็นเจ้าเมืองเห็นกองทัพขงเบ้งยกมาเป็นอันมากก็กลัว จึงพาขุนนางและกรมการเมืองทั้งปวงออกไปคำนับยอมนบนอบต่อขงเบ้ง และเชิญขงเบ้งเข้าไปในเมือง

            ครั้นขงเบ้งเข้าไปในเมืองโลเสียแล้วจึงถามกินอว่า ในพื้นที่บริเวณนี้ท้องที่ใดที่ข้าวโพดสาลีสุกพร้อมจะเก็บเกี่ยวได้

            กินอจึงว่า ตั้งแต่ปลายแดนเมืองโลเสียต่อเนื่องไปจนถึงแดนเมืองหลงเสเป็นทุ่งราบอุดมสมบูรณ์ ฤดูกาลนี้เป็นเดือนหก ข้าวโพดสาลีสุกพร้อมจะเก็บเกี่ยวแล้ว

            ขงเบ้งได้ฟังดังนั้นก็มีความยินดี จึงให้เตียวเอ๊กและม้าตงคุมทหารห้าพันอยู่รักษาเมืองโลเสียคอยป้องกันระวังหลังมิให้ข้าศึกกระหนาบยกไปทำอันตรายแก่กองทัพของขงเบ้ง ส่วนขงเบ้งพร้อมด้วยเกียงอุย และอุยเอี๋ยนคุมทหารสี่หมื่นห้าพันคนอีกกองหนึ่งยกไปที่เมืองหลงเส

            กองทัพขงเบ้งพอพ้นปลายแดนเมืองโลเสียก็เห็นทุ่งข้าวโพดสาลีเหลืองอร่ามเวิ้งว้างกว้างไกลสุดลูกหูลูกตาลึกเข้าไปในแดนของเมืองหลงเส ก็มีความยินดีเป็นอันมาก ในขณะนั้นหน่วยสอดแนมระยะไกลของกองหน้าได้เข้ามารายงานความแก่ขงเบ้งว่า สุมาอี้ได้ยกกองทัพมาตั้งอยู่ที่เมืองหลงเสก่อนหน้านี้ไม่กี่วัน และกองทัพยังคงตั้งมั่นอยู่ในตัวเมือง

            ขงเบ้งได้ฟังรายงานดังนั้นก็ตกใจ รำพึงว่าสุมาอี้นี้สติปัญญาหลักแหลมเฉลียวฉลาดยิ่งนัก องอาจล่วงรู้ความคิดของเราได้ ซึ่งสุมาอี้ยกกองทัพมาตั้งอยู่ที่เมืองหลงเสนี้ เห็นจะคิดอ่านมาป้องกันไม่ให้เราเก็บเกี่ยวข้าวโพดสาลีเป็นมั่นคง

            ขงเบ้งรำพึงดังนั้นแล้วจึงสั่งทหารให้ตั้งค่าย ตระเตรียมเคียว กระสอบ และเกวียนสำหรับจะเก็บเกี่ยวข้าวเป็นอันมาก จัดแบ่งกำลังทหารสามหมื่นคนให้เป็นพลเก็บเกี่ยวข้าวโพดสาลี อีกหมื่นห้าพันคนทำหน้าที่เป็นกองกำลังคุ้มกันทหารที่เก็บเกี่ยวข้าวโพดสาลีนั้น และสั่งให้เตรียมเกวียนแบบเดียวกับเกวียนรถที่นั่งของขงเบ้ง พร้อมกับหุ่นรูปเหมือนขงเบ้ง ซึ่งได้นำมาจากเมืองฮันต๋งจำนวนสามเล่มไว้ให้พร้อมที่จะออกไปเก็บเกี่ยวข้าวโพดสาลี

            ครั้นวันรุ่งขึ้นเวลาเช้า หน่วยสอดแนมได้นำความมารายงานขงเบ้งว่า ขณะนี้กองทัพสุมาอี้กำลังรุดหน้ามาทางนี้

            ขงเบ้งได้ฟังดังนั้นจึงเรียกแม่ทัพนายกองทั้งปวงมาสั่งว่า ให้กองทหารที่ทำหน้าที่เก็บเกี่ยวข้าวโพดสาลีเร่งเก็บเกี่ยวข้าวโพดสาลีไปตามปกติ อย่าได้หวั่นไหวไปกับกองทัพของสุมาอี้ เราได้คิดกลอุบายให้สุมาอี้ยกกองทัพกลับไปไว้พร้อมแล้ว กล่าวแล้วขงเบ้งจึงสั่งทหารกองที่จะทำหน้าที่เก็บเกี่ยวข้าวโพดสาลีให้ยกไปทำการตามแผนการที่กำหนดไว้

            ตัวขงเบ้งนั้นอาบน้ำชำระกาย แต่งตัวแบบนักพรตในลัทธิเต๋า ใส่เสื้อคลุมขนนกกระเรียน ในมือถือพัดขนนกออกมาจากค่ายพัก เรียกทหารกองคุ้มกันเข้ามาหาและสั่งให้เอาเกวียนซึ่งมีรูปเหมือนของขงเบ้งนั่งอยู่ในเกวียนทั้งสามเล่มออกมาพร้อมกัน ปรากฏว่ารูปลักษณะสีสันและการตกแต่งเกวียนและหุ่นล้วนเหมือนกันทุกประการ

            ทหารทั้งปวงเห็นดังนั้นก็พากันงุนงงสงสัย ขงเบ้งสั่งให้เกียงอุย อุยเอี๋ยนและม้าต้ายคุมทหารคนละกอง กองละหนึ่งพันคน ทำหน้าที่อารักขาหุ่นขงเบ้งและเกวียนซึ่งเตรียมไว้ทั้งสามเล่มนั้น เมื่อยกไปถึงตำบลผาไม้ดำแล้ว ให้ม้าต้ายคุ้มกันเกวียนรูปหุ่นขงเบ้งยกไปซุ่มอยู่ในป่าด้านซ้าย ให้อุยเอี๋ยนคุ้มกันเกวียนรูปหุ่นขงเบ้งยกไปซุ่มอยู่ในป่าด้านขวามือ ส่วนเกียงอุยให้ทำหน้าที่คุ้มกันเกวียนรูปหุ่นขงเบ้งซุ่มอยู่ตรงกลาง และจัดทหารอีกกองหนึ่งจำนวนห้าร้อยนายทำหน้าที่ตีม้าล่อฆ้องกลอง และให้ยกไปตั้งซุ่มอยู่ในป่าด้านหลังกองทหารของเกียงอุย กำหนดให้เกวียนแต่ละเล่มมีทหารแต่งตัวด้วยเสื้อผ้าชุดสีดำ เดินด้วยเท้าเปล่า สยายผมเหมือนปีศาจ มือหนึ่งถือกระบี่ อีกมือหนึ่งให้ถือธงริ้วประดับรูปดาวจระเข้ แบ่งกันอยู่ด้านซ้ายขวาของเกวียนข้างละสิบสองคน ส่วนทหารที่เหลือให้ทำหน้าที่เป็นกองหนุน คอยป้องกันและหนุนช่วยหากกองทัพสุมาอี้จะยกเข้าตี

            ครั้นสั่งการเสร็จแล้วขงเบ้งจึงสั่งให้ยกขบวนไปที่ต้นทางซึ่งจะมาจากเมืองหลงเสและให้ทุกหน่วยเข้าประจำที่ตั้งในป่าตำบลผาไม้ดำ สำหรับเกวียนที่ขงเบ้งนั่งนั้นให้กวนหินมัดขมวดผม ห่มเสื้อคลุม ปลอมเป็นเทพเจ้าแห่งความอุดมสมบูรณ์ของเกษตรกร เดินนำหน้าเกวียนของขงเบ้ง ในมือถือธงริ้วยาวประดับด้วยภาพดาวจระเข้ ส่วนขงเบ้งนั่งอยู่ในเกวียน ในมือถือพัดขนนก ตั้งซุ่มอยู่ที่เนินเขา และคอยฟังข่าวคราวจากหน่วยสอดแนม

            ฝ่ายทหารของขงเบ้งกองที่ทำหน้าที่เก็บเกี่ยวข้าวโพดสาลี พอขงเบ้งยกออกไปแล้วก็ระดมกันเก็บเกี่ยวข้าวโพดสาลีบรรทุกใส่เกวียนเป็นอันมาก

            ครั้นขงเบ้งได้ทราบรายงานจากหน่วยสอดแนมว่ากองทัพของสุมาอี้ใกล้จะมาถึงแล้ว จึงสั่งให้ทหารซึ่งยังไม่มีหน้าที่อื่นประมาณหมื่นคนถอยร่นลงไปซุ่มอยู่ในป่าสองข้างทาง ตัวขงเบ้งให้ทหารเข็นเกวียนออกมาอยู่กลางทาง

            ฝ่ายสุมาอี้ครั้นยกกองทัพพ้นเขตตัวเมืองหลงเส ก็ได้รับรายงานจากหน่วยสอดแนมว่า บนเส้นทางที่จะไปยังทุ่งข้าวโพดสาลี เห็นผู้คนแต่งตัวลักษณะประหลาดขวางทางอยู่ ไม่รู้แน่ชัดว่าเป็นภูตผีปีศาจหรือคนธรรมดากันแน่

            สุมาอี้ได้ทราบรายงานดังนั้นก็ประหลาดใจ รีบพาทหารองครักษ์ขี่ม้าตามหน่วยสอดแนมรีบรุดไปที่ ได้เห็นภูตผีปีศาจขวางทางอยู่นั้น

            สุมาอี้พาทหารมาตามทางห่างจากเกวียนของขงเบ้งยี่สิบเส้น ก็เห็นขงเบ้งนั่งโบกพัดขนนกด้วยท่าทีอิ่มเอิบเบิกบานอยู่บนเกวียน เห็นเทพเจ้าแห่งการเกษตรถือธงสัตตดารายืนอยู่ข้างหน้า ขนาบข้างด้วยภูตผีอีกยี่สิบสี่ตนก็ตกตะลึงแทบไม่เชื่อสายตาตนเอง รำพึงขึ้นในใจว่าเรายกทหารมามากมายปานนี้ มิรู้ว่าขงเบ้งคิดกลอุบายประการใด จึงบังอาจมาขวางทางกองทัพเราไว้แต่ผู้เดียวดังนี้

            สุมาอี้ลังเลไม่แน่แก่ใจ จึงสั่งนายกองคนหนึ่งให้คุมทหารสองพันยกล่วงหน้าไปจับตัวขงเบ้งและเหล่าภูตผีปีศาจมาให้หมด นายกองรับคำสั่งสุมาอี้แล้วรีบคำนับลา พาทหารตรงไปที่เกวียนของขงเบ้ง

            พลันที่นายกองคุมทหารวุยก๊กเข้าไปใกล้ ก็รู้สึกว่ามีสายลมเย็นยะเยือกพัดมากระทบกาย เห็นฟ้าเบื้องหน้ามืดมัวสลัวลง ก้อนเมฆได้คล้อยต่ำกลายเป็นหมอกปลิวว่อนไปทั่วปริมณฑล ในขณะนั้นเห็นขงเบ้งหันเกวียนกลับแล้วล่าถอยไปตามทาง

            ทหารสุมาอี้แม้จะสัมผัสกับเหตุการณ์ประหลาดก็มิได้เกรงกลัว รีบเร่งฝีเท้าม้าไล่ตามขงเบ้งไปเป็นระยะทางเกือบสามสิบเส้นแล้ว ระยะห่างของเกวียนขงเบ้งกับทหารของสุมาอี้ที่ไล่ตามก็ยังอยู่ในระยะเดิม นายกองเห็นดังนั้นก็รู้สึกตกใจ รีบปรึกษากับเพื่อนทหารว่า เราไล่ตามอย่างรวดเร็วถึงปานนี้ เหตุไฉนถึงไล่ไม่ทัน ชะรอยจะเป็นภูตผีปีศาจมาหลอกหลอนเป็นแน่แท้

            พอเอ่ยถึงเรื่องภูตผีซึ่งเป็นที่เกรงกลัวกันในยุคนั้น ทหารวุยก๊กก็พากันหยุดอยู่กับที่ ในทันใดนั้นก็เห็นขงเบ้งหันเกวียนกลับมาอีกครั้งหนึ่ง ทหารวุยก๊กหายตกตะลึงจึงรุกไล่ต่อไป แต่เห็นเกวียนของขงเบ้งกลับหลังหันหนีไปอีก.

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

ตัวอย่างกระทู้ธรรม ธรรมศึกษาชั้นตรี 5

I miss you all กับ I miss all of you ต่างกันอย่างไร

ปัญหาและเฉลยวิชาธรรม นักธรรมชั้นโท สอบในสนามหลวง วันเสาร์ ที่ ๑๙ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๔๘