ตอนที่ 553. กาฝากราชบัลลังก์
ขงเบ้งพลิกกลอุบายของซุนปินในยุคเลียดก๊ก จากการลดเตาไฟหุงข้าวของทหารในขณะถอยทัพ เป็นการเพิ่มจำนวนเตาไฟหุงข้าวทุกครั้งที่ล่าถอย เพื่อป้องกันอันตรายจากการไล่ตามตีของกองทัพวุยก๊ก สุมาอี้รู้ความแล้วสำคัญว่าเป็นการทำกลอุบายของขงเบ้ง หวังจะลวงให้สุมาอี้ยกตามไปรบพุ่ง แล้วซุ่มทหารคอยโจมตี หากขืนยกไปก็จะเสียทีแก่ขงเบ้ง
ครั้นแม่ทัพนายกองได้ฟังคำสุมาอี้ดังนั้นก็พากันคำนับแล้วสรรเสริญว่าสติปัญญาของท่านแม่ทัพหลักแหลมลึกซึ้งยิ่งนัก หากมิได้ท่านแม่ทัพชี้แนะแผนการอุบายของขงเบ้ง เห็นจะเสียทียับเยินเป็นแน่แท้
สุมาอี้ยิ้มแย้มกล่าวถ่อมตัวตามธรรมเนียมแล้ว สั่งให้ทหารทั้งปวงตั้งมั่นรักษาค่ายไว้มิให้ประมาท หลังจากนั้นอีกหลายวันหน่วยสอดแนมที่อยู่ชายแดนเมืองฮันต๋งได้ส่งใบบอกเข้ามารายงานความแก่สุมาอี้ว่า กองทัพของขงเบ้งได้ล่าถอยกลับเข้าไปในแดนเมืองฮันต๋งหมดสิ้นแล้ว
สุมาอี้ได้ทราบดังนั้นก็ทอดถอนใจใหญ่ เอามือตบที่หน้าอก แล้วกล่าวว่า “ขงเบ้งทำกลลวงเราครั้งนี้ รู้มิทันเลย ตัวเรามีปัญญาน้อย ซึ่งจะทำศึกไปเบื้องหน้านั้น ยากที่จะประมาณกลศึกขงเบ้งได้”
สุมาอี้ได้ตรวจสอบข่าวสารความเคลื่อนไหวของกองทัพขงเบ้งอีกครั้งหนึ่ง พอทราบแน่ชัดว่ากองทัพเมืองเสฉวนได้ล่าทัพกลับเข้าแดนเมืองฮันต๋งหมดสิ้นจริงแล้ว จึงสั่งให้เลิกทัพแล้วยกกลับไปเมืองลกเอี๋ยง
ฝ่ายขงเบ้ง ครั้นพาทหารล่าถอยกลับไปถึงเมืองฮันต๋งแล้ว ให้พักทหารไว้ในเมืองฮันต๋ง กำชับให้ฝึกปรือบำรุงทแกล้วทหารไว้ให้พร้อม ตัวขงเบ้งและทหารองครักษ์เดินทางกลับเข้าไปเมืองเสฉวน แล้วรีบเข้าไปเฝ้าพระเจ้าเล่าเสี้ยน
ขงเบ้งได้กราบถวายบังคมพระเจ้าเล่าเสี้ยนตามประเพณี แล้วกราบทูลถามว่า ข้าพระองค์ถือรับสั่งยกกองทัพไปตีวุยก๊ก ได้ยกล่วงเข้าไปจนถึงริมแม่น้ำอุยโห เตรียมการจะยกข้ามแม่น้ำเข้ายึดเอาเมืองเตียงอันแล้วยกจะไปตีเมืองลกเอี๋ยง การของพระเจ้าเล่าปี่ที่ทรงสั่งเสียไว้จวนเจียนใกล้จะสำเร็จแล้ว เหตุไฉนพระองค์จึงมีหมายรับสั่งเรียกข้าพระพุทธเจ้ากลับมาเมืองเสฉวนเล่า
พระเจ้าเล่าเสี้ยนเห็นสีหน้าขงเบ้งขึงขัง ถ้อยคำซึ่งกราบบังคมทูลก็หนักแน่น และท่วงท่าขงเบ้งที่เปี่ยมด้วยความจงรักภักดีก็มิได้แปรเปลี่ยนไปจากครั้งที่พระองค์ยังทรงพระเยาว์เลยแม้แต่น้อยนิด จึงรู้สึกละอายพระทัยที่ทรงระแวงสงสัยขงเบ้ง แต่ครั้นจะตรัสความไปตามตรงก็ทรงเกรงว่าจะเป็นความผิดถึงพระองค์ จึงทรงตอบบ่ายเบี่ยงเลี่ยงไปว่า มหาอุปราชยกทัพไปแดนไกลนานช้าแล้ว เรามีความรำลึกถึงเป็นอันมาก อยากจะสนทนาด้วย จึงให้หามหาอุปราชกลับมา
ขงเบ้งคาดคะเนอยู่แต่ก่อนแล้วว่า พระเจ้าเล่าเสี้ยนตรัสสั่งให้เลิกทัพกลับมาก็เพราะหลงคำคนพาลยุยง ครั้นได้ฟังคำตรัสที่เหลวไหลเลอะเทอะยิ่งกว่าถ้อยคำของเด็กทารกก็มิปาน ก็มั่นใจว่าที่คาดคะเนนั้นมิได้ผิดพลาด จึงกราบบังคมทูลว่า “เหตุทั้งนี้ข้าพเจ้าแจ้งอยู่ ไอ้เหล่าสอพลอทูลยุยงพระองค์ว่าข้าพเจ้าเอาใจออกหาก พระองค์จึงให้หากลับมา”
พระเจ้าเล่าเสี้ยนได้ยินคำขงเบ้งถูกตรงน้ำพระทัยลึกก็รู้สึกอดสู มิรู้ที่จะตรัสตอบประการใด จึงทรงนิ่งอึ้งอยู่บนพระราชบัลลังก์นั้น
ขงเบ้งเห็นดังนั้นจึงกราบทูลด้วยสีหน้าที่เศร้าสลด และด้วยน้ำเสียงที่สุดรันทดว่า “ตัวข้าพเจ้าชราถึงเพียงนี้แล้ว แล้วก็รับสั่งพระเจ้าเล่าปี่ไว้ จึงตั้งใจทำนุบำรุงแผ่นดินของพระองค์ บัดนี้ศัตรูยุยงอยู่ เหมือนวัณโรคอันมีพิษกำเริบอยู่ในอกข้าพเจ้า ซึ่งข้าพเจ้าจะคิดอ่านกำจัดศัตรูภายนอกเสียนั้นเห็นขัดสน”
ความจริงในขณะนั้นขงเบ้งเพิ่งมีอายุเพียงห้าสิบเอ็ดปีเท่านั้น แต่เพราะความตรอมใจที่พระเจ้าเล่าเสี้ยนมิได้เป็นหลักชัยแก่นสารของบ้านเมือง จะฆ่าเสียตามรับสั่งลับของพระเจ้าเล่าปี่เล่าก็หักใจทำมิได้ จะทำการสืบไปเบื้องหน้าก็อับจนขัดสนไปทั้งสิ้น เพราะพระเจ้าเล่าเสี้ยนทรงอยู่ในท่ามกลางแวดล้อมของเหล่าพาลที่ไม่เห็นแก่ความ ร่มเย็นเป็นสุขของบ้านเมืองและราษฎร เอาแต่เสพสุขทุกคืนวัน ทั้งมิได้รู้จักผิดถูกดีชั่ว ประกอบทั้งหลายปีมานี้ขงเบ้งต้องตรากตรำกรำศึกทั้งเหนือใต้ ไม่เคยว่างเว้นแม้แต่วันเดียว ต้องเผชิญหน้าและแก้ไขปัญหามิได้หยุดหย่อน เวลาหลับนอนแทบจะไม่มี ดังนั้นขงเบ้งจึงดูเหมือนชราภาพลง ผมสีขาวได้แซมประปรายทั่วทั้งศีรษะ หนวดเคราเล่าก็เริ่มมีสีขาวแซมให้เห็นเด่นชัดขึ้น ในขณะที่สุขภาพก็อ่อนแอลง ขงเบ้งรู้ตัวดีจึงกราบทูลว่า ตัวเองชราภาพแล้ว
สามก๊กฉบับสมบูรณ์ได้พรรณนาความซึ่งขงเบ้งกราบทูลในตอนนี้ว่า “ข้าพระพุทธเจ้าขุนนางผู้เก่าแก่ ได้รับพระมหากรุณาธิคุณจากเจ้าเหนือหัวองค์ก่อน ได้ให้สัตย์ปฏิญาณตนขอเอาความตายเข้าตอบแทนถวายความจงรักภักดี บัดนี้แม้นว่าภายในราชสำนักมีพวกมิจฉาคดโกง ข้าพระพุทธเจ้าไฉนจะสามารถปฏิบัติการปราบโจรกบฎได้”
พระเจ้าเล่าเสี้ยนได้ฟังคำทูลของขงเบ้งที่เปี่ยมไปด้วยความจงรักภักดีในพระเจ้า เล่าปี่และพระองค์ก็สลดพระทัย ไม่อาจบ่ายเบี่ยงปกปิดสืบไป จึงตรัสสารภาพตามตรงว่า “อันเหตุทั้งนี้เพราะเราเบาความเชื่อฟังคำคนชั่ว หากมหาอุปราชมาว่ากล่าวออกเราจึงรู้เหตุ ซึ่งท่านจะถือโทษนั้นไม่ควร ด้วยทุกวันนี้ตัวเราเหมือนหนึ่งคนจักษุมืด ท่านช่วยนำทางให้จึงค่อยเดินตามไปได้บ้าง ครั้งนี้เราคิดผิดท่านจึงต้องยกทัพกลับมา”
ครั้นพระเจ้าเล่าเสี้ยนทรงตรัสความเป็นทำนองสำนึกผิดที่หลงฟังคำคนพาลยุยงให้ขงเบ้งยกทัพกลับแล้ว จึงทรงตรัสต่อไปว่าท่านพ่อมหาอุปราชจะสะสางแก้ไขเรื่องนี้อย่างไร ก็สุดแท้แต่ใจจะเห็นชอบนั้นเถิด เรามิได้ขัด
ตรัสแล้วก็เสด็จขึ้น ขงเบ้งและขุนนางทั้งปวงต่างพากันถวายบังคมตามประเพณี
ขงเบ้งจึงเปิดการไต่สวนสืบสาวต้นสายปลายเหตุว่าขุนนางชั่วผู้ใดเป็นผู้ยุยงใส่ไคล้ให้พระเจ้าเล่าเสี้ยนระแวงแคลงพระทัย ในที่สุดก็ทราบว่ากิอั๋นเป็นผู้ปล่อยข่าวลือ จึงสั่งทหารให้ไปควบคุมตัวกิอั๋น แต่ปรากฏว่ากิอั๋นได้หนีไปสวามิภักดิ์กับสุมาอี้ก่อนแล้ว
ขงเบ้งจึงเรียกขุนนางผู้ใหญ่เข้ามาพร้อมกัน แล้วกล่าวกับเจียวอ้วนและบิฮุยซึ่งเป็นขุนนางผู้ใหญ่ใกล้ชิดพระเจ้าเล่าเสี้ยนว่า เมื่อเกิดคำเล่าข่าวลืออัปมงคล และมีผู้นำความขึ้นกราบบังคมทูลยุยงพระเจ้าเล่าเสี้ยน เหตุไฉนพวกท่านซึ่งเป็นขุนนางผู้ใหญ่จึงไม่กราบทูลทัดทาน ทำให้เสียการใหญ่ของแผ่นดินไปดังนี้
เจียวอ้วนและบิฮุยได้ยินคำต่อว่าของขงเบ้งก็รู้สึกสำนึกผิด จึงกล่าวว่าเป็นความผิดของพวกข้าพเจ้าเอง พวกข้าพเจ้าได้เข้าไปกราบทูลทัดทานแล้ว แต่ฮ่องเต้มีกระแสพระราชดำรัสว่า ซึ่งเรียกมหาอุปราชเข้ามาเมืองเสฉวนนั้นเพราะมีราชการลับเป็นสำคัญ จึงมิกล้าทูลถามความสืบไป
ขงเบ้งจึงกล่าวกับขุนนางชั้นผู้ใหญ่ทั้งปวงว่า ราชบัลลังก์นี้เป็นหลักชัยของแผ่นดิน เป็นศูนย์รวมและเป็นศูนย์กลางแห่งอำนาจวาสนาทั้งปวง ดังนั้นผู้คนทั้งปวงทั้งชั่วและดีต่างเข้ามาแวดล้อมเป็นอันมาก ยิ่งเป็นคนพาลสันดานชั่วยิ่งมีวิสัยคิดอ่านทำการหาช่องทางเข้าใกล้ชิดราชบัลลังก์ แต่หาใช่เป็นไปเพื่อประโยชน์สุขของอาณาประชาราษฎรและบ้านเมืองไม่ หากเป็นไปเพื่อแสวงหาลาภยศสุขสรรเสริญส่วนตนเท่านั้น คนพาลหยาบช้าเช่นนี้เปรียบประดุจดังกาฝาก เกาะกินกิ่งไม้ใดแล้ว ก็จะสูบน้ำเนื้อจนกิ่งนั้นต้องตายซาก ราชบัลลังก์ของเจ้าเราก็เช่นเดียวกัน หากมีกาฝากเกาะกินแน่นหนาขึ้นแล้ว ก็เหลือที่ศีรษะของอาณาประชาราษฎร์จะเทิดทูนแบกรับเอาไว้ได้ เห็นจะล่มสลายลงในวันหนึ่ง ตัวเราจำต้องไปทำศึกทางไกล พวกท่านอยู่ทางใกล้จงรับเป็นธุระ กำจัดเหล่ากาฝากราชบัลลังก์ให้สิ้นสูญ ทำให้ศีรษะของอาณาประชาราษฎร์ที่เทิดทูนราชบัลลังก์นั้นได้บรรเทาบางเบาลง ช่วยกันคิดอ่านป้องกันมิให้กาฝากราชบัลลังก์ใหม่ก่อเกิดขึ้น ดังนี้แผ่นดินก็จะเป็นสุขสืบไป
บรรดาขุนนางชั้นผู้ใหญ่ทั้งปวงได้ฟังคำขงเบ้งดังนั้นต่างพากันคำนับรับคำ ขงเบ้งจึงหันไปทางลิเงียมแล้วกล่าวว่า ตัวท่านกับเรานี้ได้รับราชการสนองพระเดชพระคุณพระเจ้าเล่าปี่ ร่วมทุกข์ร่วมสุขร่วมเสี่ยงมาด้วยกัน จงช่วยกันทำนุบำรุงพระเจ้าเล่าเสี้ยนให้จำเริญในราชสมบัติ เป็นประโยชน์สุขแก่อาณาประชาราษฎร์เถิด ข้าพเจ้าจะรีบกลับไปเมืองฮันต๋งเพื่อเตรียมกองทัพยกไปตีวุยก๊กซึ่งกำลังเพลี่ยงพล้ำอีกครั้งหนึ่ง ฝากฝังให้ท่านดูแลการจัดส่งเสบียงอาหารอย่าให้ขัดสน และอย่าให้เกิดเหตุการณ์แบบกิอั๋นอีกเป็นอันขาด
ลิเงียมรับคำขงเบ้งแล้ว จึงพร้อมด้วยขุนนางทั้งปวงคำนับลาขงเบ้งกลับออกไป วันรุ่งขึ้นขงเบ้งจึงเข้าไปเฝ้าพระเจ้าเล่าเสี้ยนถึงในพระตำหนัก แล้วกราบถวายบังคมลากลับไปเมืองฮันต๋ง
ครั้นถึงเมืองฮันต๋ง ขงเบ้งจึงสั่งชุมนุมทหาร สำรวจตรวจสอบไพร่พล เสบียงอาหารและศาสตราวุธทั้งปวง ให้เตรียมความพร้อมรอวันฤกษ์ดีแล้วจะยกไปตีวุยก๊กต่อไป
เอียวหงีเห็นขงเบ้งจัดแจงกองทัพจะยกไปตีวุยก๊กก็เข้าไปหาขงเบ้ง แล้วกล่าวว่ามหาอุปราชจัดเตรียมกองทัพถึงยี่สิบหมื่น จะยกไปตีวุยก๊กอีกเล่า ก็แลกองทัพเพิ่งล่าถอยมาจากแดนวุยก๊ก ยังอ่อนล้าอิดโรยอยู่ ชอบที่จะงดกองทัพไว้ก่อน แล้วทำนุบำรุงทแกล้วทหารให้พรักพร้อมจึงค่อยยกไป
ขงเบ้งจึงว่า การศึกครั้งที่แล้วเราทำการได้ที และสุมาอี้ก็สิ้นความคิดที่จะต่อสู้อยู่แล้ว หากละเวลาให้เนิ่นช้าไป สุมาอี้ตระเตรียมทหารและวางแผนการตั้งรับ เราจะยกไปก็ขัดสน
เอียวหงีได้ฟังก็เห็นด้วย แต่ติงว่าทหารของเราเพิ่งเสร็จศึกมาไม่ทันนาน จะยกไปทั้งหมดทีเดียวย่อมอ่อนล้าอิดโรย ชอบที่จะแบ่งทหารออกเป็นสองกอง กองละสิบหมื่น กองแรกยกเข้าตีวุยก๊กก่อน อีกกองหนึ่งซ่องสุมบำรุงอยู่ในเมืองฮันต๋ง กำหนดเวลาร้อยวันให้กองที่ยกไปตีวุยก๊กกลับมาพักฟื้น ให้กองที่ตั้งอยู่ในเมืองฮันต๋งยกไปเปลี่ยนเวรแทน จะได้มีกำลังทำศึกอย่างเต็มที่
ขงเบ้งได้ฟังดังนั้นจึงว่า ความคิดของท่านต้องด้วยความคิดเรา การศึกครั้งนี้เรากะจะทำการศึกระยะยาว จนกว่าจะเผด็จศึกยึดเอาเมืองลกเอี๋ยงได้โดยเด็ดขาด ซึ่งอาจต้องใช้เวลาเป็นปี
กล่าวแล้วขงเบ้งจึงสั่งให้จัดทหารเป็นสองกอง กำหนดเวลาหนึ่งร้อยวันให้ผลัดเปลี่ยนเวรกันตามแผนการของเอียวหงีทุกประการ และกำชับว่าเมื่อครบกำหนดร้อยวันแล้วให้กองทหารซึ่งตั้งบำรุงอยู่ในเมืองฮันต๋งรีบยกไปในแดนวุยก๊ก สับเปลี่ยนให้กองทหารที่ยกไปก่อนได้กลับมาฟื้นบำรุง ถ้าถึงกำหนดแล้วผู้ใดฝ่าฝืนหรือล่าช้าก็จะตัดศีรษะเสียตามพระอัยการศึก แม่ทัพนายกองและทหารทั้งปวงได้ฟังแผนการของขงเบ้งแล้วต่างคำนับรับคำ
พระพุทธศาสนายุกาลล่วงแล้วได้เจ็ดร้อยเจ็ดสิบสี่พรรษา เดือนสี่ ขงเบ้งได้กรีฑาทัพพลสิบหมื่นยกออกจากเมืองฮันต๋ง บุกเข้าแดนวุยก๊กเป็นครั้งที่ห้า ในขณะนั้นพระเจ้าโจยอยได้เสวยราชสมบัติแล้วห้าปี
ครั้นกองทัพของขงเบ้งยกล่วงเข้าถึงแดนวุยก๊ก ม้าเร็วก็ได้นำความเข้าไปกราบบังคมทูลพระเจ้าโจยอยให้ทรงทราบว่า บัดนี้ขงเบ้งยกกองทัพสิบหมื่นล่วงลึกเข้ามาตั้งอยู่ที่ตำบลเขากิสานแล้ว
พระเจ้าโจยอยได้ทราบรายงานดังนั้นก็ตกพระทัย รับสั่งให้หาสุมาอี้มาปรึกษาว่า ขงเบ้งยกกองทัพมาครั้งนี้จะคิดอ่านป้องกันประการใด
สุมาอี้ได้ฟังพระราชปรารภดังนั้นแล้ว จึงขออาสาเป็นแม่ทัพยกไปรบกับขงเบ้ง พระเจ้าโจยอยได้ฟังคำอาสาก็ดีพระทัย โปรดเกล้าแต่งตั้งให้สุมาอี้เป็นแม่ทัพใหญ่ ยกไปรบกับขงเบ้ง
ครั้นถึงวันฤกษ์ดีสุมาอี้จัดแจงแต่งกองทัพแล้วก็สั่งให้ชุมนุมกองทัพไว้ที่หน้าประตูเมืองลกเอี๋ยง พระเจ้าโจยอยได้ประทับบนรถพระที่นั่งเสด็จออกไปส่งกองทัพถึงนอกเมือง ครั้นได้เวลาฤกษ์สุมาอี้ได้กราบถวายบังคมลาแล้วเคลื่อนทัพออกจากเมืองลกเอี๋ยง พระเจ้าโจยอยประทับยืนทอดพระเนตรกองทัพที่กำลังเคลื่อนไปอยู่ครู่หนึ่งจึงเสด็จกลับ.
ครั้นแม่ทัพนายกองได้ฟังคำสุมาอี้ดังนั้นก็พากันคำนับแล้วสรรเสริญว่าสติปัญญาของท่านแม่ทัพหลักแหลมลึกซึ้งยิ่งนัก หากมิได้ท่านแม่ทัพชี้แนะแผนการอุบายของขงเบ้ง เห็นจะเสียทียับเยินเป็นแน่แท้
สุมาอี้ยิ้มแย้มกล่าวถ่อมตัวตามธรรมเนียมแล้ว สั่งให้ทหารทั้งปวงตั้งมั่นรักษาค่ายไว้มิให้ประมาท หลังจากนั้นอีกหลายวันหน่วยสอดแนมที่อยู่ชายแดนเมืองฮันต๋งได้ส่งใบบอกเข้ามารายงานความแก่สุมาอี้ว่า กองทัพของขงเบ้งได้ล่าถอยกลับเข้าไปในแดนเมืองฮันต๋งหมดสิ้นแล้ว
สุมาอี้ได้ทราบดังนั้นก็ทอดถอนใจใหญ่ เอามือตบที่หน้าอก แล้วกล่าวว่า “ขงเบ้งทำกลลวงเราครั้งนี้ รู้มิทันเลย ตัวเรามีปัญญาน้อย ซึ่งจะทำศึกไปเบื้องหน้านั้น ยากที่จะประมาณกลศึกขงเบ้งได้”
สุมาอี้ได้ตรวจสอบข่าวสารความเคลื่อนไหวของกองทัพขงเบ้งอีกครั้งหนึ่ง พอทราบแน่ชัดว่ากองทัพเมืองเสฉวนได้ล่าทัพกลับเข้าแดนเมืองฮันต๋งหมดสิ้นจริงแล้ว จึงสั่งให้เลิกทัพแล้วยกกลับไปเมืองลกเอี๋ยง
ฝ่ายขงเบ้ง ครั้นพาทหารล่าถอยกลับไปถึงเมืองฮันต๋งแล้ว ให้พักทหารไว้ในเมืองฮันต๋ง กำชับให้ฝึกปรือบำรุงทแกล้วทหารไว้ให้พร้อม ตัวขงเบ้งและทหารองครักษ์เดินทางกลับเข้าไปเมืองเสฉวน แล้วรีบเข้าไปเฝ้าพระเจ้าเล่าเสี้ยน
ขงเบ้งได้กราบถวายบังคมพระเจ้าเล่าเสี้ยนตามประเพณี แล้วกราบทูลถามว่า ข้าพระองค์ถือรับสั่งยกกองทัพไปตีวุยก๊ก ได้ยกล่วงเข้าไปจนถึงริมแม่น้ำอุยโห เตรียมการจะยกข้ามแม่น้ำเข้ายึดเอาเมืองเตียงอันแล้วยกจะไปตีเมืองลกเอี๋ยง การของพระเจ้าเล่าปี่ที่ทรงสั่งเสียไว้จวนเจียนใกล้จะสำเร็จแล้ว เหตุไฉนพระองค์จึงมีหมายรับสั่งเรียกข้าพระพุทธเจ้ากลับมาเมืองเสฉวนเล่า
พระเจ้าเล่าเสี้ยนเห็นสีหน้าขงเบ้งขึงขัง ถ้อยคำซึ่งกราบบังคมทูลก็หนักแน่น และท่วงท่าขงเบ้งที่เปี่ยมด้วยความจงรักภักดีก็มิได้แปรเปลี่ยนไปจากครั้งที่พระองค์ยังทรงพระเยาว์เลยแม้แต่น้อยนิด จึงรู้สึกละอายพระทัยที่ทรงระแวงสงสัยขงเบ้ง แต่ครั้นจะตรัสความไปตามตรงก็ทรงเกรงว่าจะเป็นความผิดถึงพระองค์ จึงทรงตอบบ่ายเบี่ยงเลี่ยงไปว่า มหาอุปราชยกทัพไปแดนไกลนานช้าแล้ว เรามีความรำลึกถึงเป็นอันมาก อยากจะสนทนาด้วย จึงให้หามหาอุปราชกลับมา
ขงเบ้งคาดคะเนอยู่แต่ก่อนแล้วว่า พระเจ้าเล่าเสี้ยนตรัสสั่งให้เลิกทัพกลับมาก็เพราะหลงคำคนพาลยุยง ครั้นได้ฟังคำตรัสที่เหลวไหลเลอะเทอะยิ่งกว่าถ้อยคำของเด็กทารกก็มิปาน ก็มั่นใจว่าที่คาดคะเนนั้นมิได้ผิดพลาด จึงกราบบังคมทูลว่า “เหตุทั้งนี้ข้าพเจ้าแจ้งอยู่ ไอ้เหล่าสอพลอทูลยุยงพระองค์ว่าข้าพเจ้าเอาใจออกหาก พระองค์จึงให้หากลับมา”
พระเจ้าเล่าเสี้ยนได้ยินคำขงเบ้งถูกตรงน้ำพระทัยลึกก็รู้สึกอดสู มิรู้ที่จะตรัสตอบประการใด จึงทรงนิ่งอึ้งอยู่บนพระราชบัลลังก์นั้น
ขงเบ้งเห็นดังนั้นจึงกราบทูลด้วยสีหน้าที่เศร้าสลด และด้วยน้ำเสียงที่สุดรันทดว่า “ตัวข้าพเจ้าชราถึงเพียงนี้แล้ว แล้วก็รับสั่งพระเจ้าเล่าปี่ไว้ จึงตั้งใจทำนุบำรุงแผ่นดินของพระองค์ บัดนี้ศัตรูยุยงอยู่ เหมือนวัณโรคอันมีพิษกำเริบอยู่ในอกข้าพเจ้า ซึ่งข้าพเจ้าจะคิดอ่านกำจัดศัตรูภายนอกเสียนั้นเห็นขัดสน”
ความจริงในขณะนั้นขงเบ้งเพิ่งมีอายุเพียงห้าสิบเอ็ดปีเท่านั้น แต่เพราะความตรอมใจที่พระเจ้าเล่าเสี้ยนมิได้เป็นหลักชัยแก่นสารของบ้านเมือง จะฆ่าเสียตามรับสั่งลับของพระเจ้าเล่าปี่เล่าก็หักใจทำมิได้ จะทำการสืบไปเบื้องหน้าก็อับจนขัดสนไปทั้งสิ้น เพราะพระเจ้าเล่าเสี้ยนทรงอยู่ในท่ามกลางแวดล้อมของเหล่าพาลที่ไม่เห็นแก่ความ ร่มเย็นเป็นสุขของบ้านเมืองและราษฎร เอาแต่เสพสุขทุกคืนวัน ทั้งมิได้รู้จักผิดถูกดีชั่ว ประกอบทั้งหลายปีมานี้ขงเบ้งต้องตรากตรำกรำศึกทั้งเหนือใต้ ไม่เคยว่างเว้นแม้แต่วันเดียว ต้องเผชิญหน้าและแก้ไขปัญหามิได้หยุดหย่อน เวลาหลับนอนแทบจะไม่มี ดังนั้นขงเบ้งจึงดูเหมือนชราภาพลง ผมสีขาวได้แซมประปรายทั่วทั้งศีรษะ หนวดเคราเล่าก็เริ่มมีสีขาวแซมให้เห็นเด่นชัดขึ้น ในขณะที่สุขภาพก็อ่อนแอลง ขงเบ้งรู้ตัวดีจึงกราบทูลว่า ตัวเองชราภาพแล้ว
สามก๊กฉบับสมบูรณ์ได้พรรณนาความซึ่งขงเบ้งกราบทูลในตอนนี้ว่า “ข้าพระพุทธเจ้าขุนนางผู้เก่าแก่ ได้รับพระมหากรุณาธิคุณจากเจ้าเหนือหัวองค์ก่อน ได้ให้สัตย์ปฏิญาณตนขอเอาความตายเข้าตอบแทนถวายความจงรักภักดี บัดนี้แม้นว่าภายในราชสำนักมีพวกมิจฉาคดโกง ข้าพระพุทธเจ้าไฉนจะสามารถปฏิบัติการปราบโจรกบฎได้”
พระเจ้าเล่าเสี้ยนได้ฟังคำทูลของขงเบ้งที่เปี่ยมไปด้วยความจงรักภักดีในพระเจ้า เล่าปี่และพระองค์ก็สลดพระทัย ไม่อาจบ่ายเบี่ยงปกปิดสืบไป จึงตรัสสารภาพตามตรงว่า “อันเหตุทั้งนี้เพราะเราเบาความเชื่อฟังคำคนชั่ว หากมหาอุปราชมาว่ากล่าวออกเราจึงรู้เหตุ ซึ่งท่านจะถือโทษนั้นไม่ควร ด้วยทุกวันนี้ตัวเราเหมือนหนึ่งคนจักษุมืด ท่านช่วยนำทางให้จึงค่อยเดินตามไปได้บ้าง ครั้งนี้เราคิดผิดท่านจึงต้องยกทัพกลับมา”
ครั้นพระเจ้าเล่าเสี้ยนทรงตรัสความเป็นทำนองสำนึกผิดที่หลงฟังคำคนพาลยุยงให้ขงเบ้งยกทัพกลับแล้ว จึงทรงตรัสต่อไปว่าท่านพ่อมหาอุปราชจะสะสางแก้ไขเรื่องนี้อย่างไร ก็สุดแท้แต่ใจจะเห็นชอบนั้นเถิด เรามิได้ขัด
ตรัสแล้วก็เสด็จขึ้น ขงเบ้งและขุนนางทั้งปวงต่างพากันถวายบังคมตามประเพณี
ขงเบ้งจึงเปิดการไต่สวนสืบสาวต้นสายปลายเหตุว่าขุนนางชั่วผู้ใดเป็นผู้ยุยงใส่ไคล้ให้พระเจ้าเล่าเสี้ยนระแวงแคลงพระทัย ในที่สุดก็ทราบว่ากิอั๋นเป็นผู้ปล่อยข่าวลือ จึงสั่งทหารให้ไปควบคุมตัวกิอั๋น แต่ปรากฏว่ากิอั๋นได้หนีไปสวามิภักดิ์กับสุมาอี้ก่อนแล้ว
ขงเบ้งจึงเรียกขุนนางผู้ใหญ่เข้ามาพร้อมกัน แล้วกล่าวกับเจียวอ้วนและบิฮุยซึ่งเป็นขุนนางผู้ใหญ่ใกล้ชิดพระเจ้าเล่าเสี้ยนว่า เมื่อเกิดคำเล่าข่าวลืออัปมงคล และมีผู้นำความขึ้นกราบบังคมทูลยุยงพระเจ้าเล่าเสี้ยน เหตุไฉนพวกท่านซึ่งเป็นขุนนางผู้ใหญ่จึงไม่กราบทูลทัดทาน ทำให้เสียการใหญ่ของแผ่นดินไปดังนี้
เจียวอ้วนและบิฮุยได้ยินคำต่อว่าของขงเบ้งก็รู้สึกสำนึกผิด จึงกล่าวว่าเป็นความผิดของพวกข้าพเจ้าเอง พวกข้าพเจ้าได้เข้าไปกราบทูลทัดทานแล้ว แต่ฮ่องเต้มีกระแสพระราชดำรัสว่า ซึ่งเรียกมหาอุปราชเข้ามาเมืองเสฉวนนั้นเพราะมีราชการลับเป็นสำคัญ จึงมิกล้าทูลถามความสืบไป
ขงเบ้งจึงกล่าวกับขุนนางชั้นผู้ใหญ่ทั้งปวงว่า ราชบัลลังก์นี้เป็นหลักชัยของแผ่นดิน เป็นศูนย์รวมและเป็นศูนย์กลางแห่งอำนาจวาสนาทั้งปวง ดังนั้นผู้คนทั้งปวงทั้งชั่วและดีต่างเข้ามาแวดล้อมเป็นอันมาก ยิ่งเป็นคนพาลสันดานชั่วยิ่งมีวิสัยคิดอ่านทำการหาช่องทางเข้าใกล้ชิดราชบัลลังก์ แต่หาใช่เป็นไปเพื่อประโยชน์สุขของอาณาประชาราษฎรและบ้านเมืองไม่ หากเป็นไปเพื่อแสวงหาลาภยศสุขสรรเสริญส่วนตนเท่านั้น คนพาลหยาบช้าเช่นนี้เปรียบประดุจดังกาฝาก เกาะกินกิ่งไม้ใดแล้ว ก็จะสูบน้ำเนื้อจนกิ่งนั้นต้องตายซาก ราชบัลลังก์ของเจ้าเราก็เช่นเดียวกัน หากมีกาฝากเกาะกินแน่นหนาขึ้นแล้ว ก็เหลือที่ศีรษะของอาณาประชาราษฎร์จะเทิดทูนแบกรับเอาไว้ได้ เห็นจะล่มสลายลงในวันหนึ่ง ตัวเราจำต้องไปทำศึกทางไกล พวกท่านอยู่ทางใกล้จงรับเป็นธุระ กำจัดเหล่ากาฝากราชบัลลังก์ให้สิ้นสูญ ทำให้ศีรษะของอาณาประชาราษฎร์ที่เทิดทูนราชบัลลังก์นั้นได้บรรเทาบางเบาลง ช่วยกันคิดอ่านป้องกันมิให้กาฝากราชบัลลังก์ใหม่ก่อเกิดขึ้น ดังนี้แผ่นดินก็จะเป็นสุขสืบไป
บรรดาขุนนางชั้นผู้ใหญ่ทั้งปวงได้ฟังคำขงเบ้งดังนั้นต่างพากันคำนับรับคำ ขงเบ้งจึงหันไปทางลิเงียมแล้วกล่าวว่า ตัวท่านกับเรานี้ได้รับราชการสนองพระเดชพระคุณพระเจ้าเล่าปี่ ร่วมทุกข์ร่วมสุขร่วมเสี่ยงมาด้วยกัน จงช่วยกันทำนุบำรุงพระเจ้าเล่าเสี้ยนให้จำเริญในราชสมบัติ เป็นประโยชน์สุขแก่อาณาประชาราษฎร์เถิด ข้าพเจ้าจะรีบกลับไปเมืองฮันต๋งเพื่อเตรียมกองทัพยกไปตีวุยก๊กซึ่งกำลังเพลี่ยงพล้ำอีกครั้งหนึ่ง ฝากฝังให้ท่านดูแลการจัดส่งเสบียงอาหารอย่าให้ขัดสน และอย่าให้เกิดเหตุการณ์แบบกิอั๋นอีกเป็นอันขาด
ลิเงียมรับคำขงเบ้งแล้ว จึงพร้อมด้วยขุนนางทั้งปวงคำนับลาขงเบ้งกลับออกไป วันรุ่งขึ้นขงเบ้งจึงเข้าไปเฝ้าพระเจ้าเล่าเสี้ยนถึงในพระตำหนัก แล้วกราบถวายบังคมลากลับไปเมืองฮันต๋ง
ครั้นถึงเมืองฮันต๋ง ขงเบ้งจึงสั่งชุมนุมทหาร สำรวจตรวจสอบไพร่พล เสบียงอาหารและศาสตราวุธทั้งปวง ให้เตรียมความพร้อมรอวันฤกษ์ดีแล้วจะยกไปตีวุยก๊กต่อไป
เอียวหงีเห็นขงเบ้งจัดแจงกองทัพจะยกไปตีวุยก๊กก็เข้าไปหาขงเบ้ง แล้วกล่าวว่ามหาอุปราชจัดเตรียมกองทัพถึงยี่สิบหมื่น จะยกไปตีวุยก๊กอีกเล่า ก็แลกองทัพเพิ่งล่าถอยมาจากแดนวุยก๊ก ยังอ่อนล้าอิดโรยอยู่ ชอบที่จะงดกองทัพไว้ก่อน แล้วทำนุบำรุงทแกล้วทหารให้พรักพร้อมจึงค่อยยกไป
ขงเบ้งจึงว่า การศึกครั้งที่แล้วเราทำการได้ที และสุมาอี้ก็สิ้นความคิดที่จะต่อสู้อยู่แล้ว หากละเวลาให้เนิ่นช้าไป สุมาอี้ตระเตรียมทหารและวางแผนการตั้งรับ เราจะยกไปก็ขัดสน
เอียวหงีได้ฟังก็เห็นด้วย แต่ติงว่าทหารของเราเพิ่งเสร็จศึกมาไม่ทันนาน จะยกไปทั้งหมดทีเดียวย่อมอ่อนล้าอิดโรย ชอบที่จะแบ่งทหารออกเป็นสองกอง กองละสิบหมื่น กองแรกยกเข้าตีวุยก๊กก่อน อีกกองหนึ่งซ่องสุมบำรุงอยู่ในเมืองฮันต๋ง กำหนดเวลาร้อยวันให้กองที่ยกไปตีวุยก๊กกลับมาพักฟื้น ให้กองที่ตั้งอยู่ในเมืองฮันต๋งยกไปเปลี่ยนเวรแทน จะได้มีกำลังทำศึกอย่างเต็มที่
ขงเบ้งได้ฟังดังนั้นจึงว่า ความคิดของท่านต้องด้วยความคิดเรา การศึกครั้งนี้เรากะจะทำการศึกระยะยาว จนกว่าจะเผด็จศึกยึดเอาเมืองลกเอี๋ยงได้โดยเด็ดขาด ซึ่งอาจต้องใช้เวลาเป็นปี
กล่าวแล้วขงเบ้งจึงสั่งให้จัดทหารเป็นสองกอง กำหนดเวลาหนึ่งร้อยวันให้ผลัดเปลี่ยนเวรกันตามแผนการของเอียวหงีทุกประการ และกำชับว่าเมื่อครบกำหนดร้อยวันแล้วให้กองทหารซึ่งตั้งบำรุงอยู่ในเมืองฮันต๋งรีบยกไปในแดนวุยก๊ก สับเปลี่ยนให้กองทหารที่ยกไปก่อนได้กลับมาฟื้นบำรุง ถ้าถึงกำหนดแล้วผู้ใดฝ่าฝืนหรือล่าช้าก็จะตัดศีรษะเสียตามพระอัยการศึก แม่ทัพนายกองและทหารทั้งปวงได้ฟังแผนการของขงเบ้งแล้วต่างคำนับรับคำ
พระพุทธศาสนายุกาลล่วงแล้วได้เจ็ดร้อยเจ็ดสิบสี่พรรษา เดือนสี่ ขงเบ้งได้กรีฑาทัพพลสิบหมื่นยกออกจากเมืองฮันต๋ง บุกเข้าแดนวุยก๊กเป็นครั้งที่ห้า ในขณะนั้นพระเจ้าโจยอยได้เสวยราชสมบัติแล้วห้าปี
ครั้นกองทัพของขงเบ้งยกล่วงเข้าถึงแดนวุยก๊ก ม้าเร็วก็ได้นำความเข้าไปกราบบังคมทูลพระเจ้าโจยอยให้ทรงทราบว่า บัดนี้ขงเบ้งยกกองทัพสิบหมื่นล่วงลึกเข้ามาตั้งอยู่ที่ตำบลเขากิสานแล้ว
พระเจ้าโจยอยได้ทราบรายงานดังนั้นก็ตกพระทัย รับสั่งให้หาสุมาอี้มาปรึกษาว่า ขงเบ้งยกกองทัพมาครั้งนี้จะคิดอ่านป้องกันประการใด
สุมาอี้ได้ฟังพระราชปรารภดังนั้นแล้ว จึงขออาสาเป็นแม่ทัพยกไปรบกับขงเบ้ง พระเจ้าโจยอยได้ฟังคำอาสาก็ดีพระทัย โปรดเกล้าแต่งตั้งให้สุมาอี้เป็นแม่ทัพใหญ่ ยกไปรบกับขงเบ้ง
ครั้นถึงวันฤกษ์ดีสุมาอี้จัดแจงแต่งกองทัพแล้วก็สั่งให้ชุมนุมกองทัพไว้ที่หน้าประตูเมืองลกเอี๋ยง พระเจ้าโจยอยได้ประทับบนรถพระที่นั่งเสด็จออกไปส่งกองทัพถึงนอกเมือง ครั้นได้เวลาฤกษ์สุมาอี้ได้กราบถวายบังคมลาแล้วเคลื่อนทัพออกจากเมืองลกเอี๋ยง พระเจ้าโจยอยประทับยืนทอดพระเนตรกองทัพที่กำลังเคลื่อนไปอยู่ครู่หนึ่งจึงเสด็จกลับ.