ตอนที่ 552. กลอุบายเตาไฟ

สุมาอี้คิดเผด็จศึกวุยก๊กครั้งที่สี่ จึงย้อนกลขงเบ้ง ให้กิอั๋นคนทรยศปล่อยข่าวลือว่าขงเบ้งเป็นขบถ พระเจ้าเล่าเสี้ยนทรงเชื่อตามข่าวลือและคำทูลของขันที จึงมีพระบรมราชโองการให้ขงเบ้งเลิกทัพยกกลับเมืองเสฉวนในทันที

            ข่าวเล่าลือแพร่หลายกระจายไปทั่วราชสำนัก ได้ยินไปถึงหูของเจียวอ้วนขุนนางผู้ใหญ่ ครั้นเจียวอ้วนทราบว่าพระเจ้าเล่าเสี้ยนมีพระบรมราชโองการให้ขงเบ้งยกกองทัพกลับ จึงรีบเข้าไปเฝ้าแล้วกราบบังคมทูลว่า “มหาอุปราชยกไปครั้งนี้เห็นทำการได้ท่วงทีนัก จะได้เมืองลกเอี๋ยงเป็นมั่นคง เหตุใดพระองค์จะให้หากลับมาเสียเล่า”

            พระเจ้าเล่าเสี้ยนทรงทราบดีว่าเจียวอ้วนเป็นขุนนางตงฉิน และนับถือศรัทธาขงเบ้งมาแต่ครั้งรัชกาลก่อน จึงทรงกริ่งว่าหากบอกความจริงแล้วเจียวอ้วนก็จะกราบทูลทัดทานไม่ให้ส่งพระบรมราชโองการเรียกกองทัพกลับ จึงทรงบ่ายเบี่ยงเสียว่า “เรามีธุระเป็นความลับจะหามหาอุปราชมา จะปรึกษาด้วย”

            ครั้นเจียวอ้วนได้ยินรับสั่งแสดงเหตุผลในการเรียกขงเบ้งกลับว่าเกี่ยวด้วยข้อราชการลับ ก็มิรู้ที่จะกราบบังคมทูลต่อไปประการใด เพราะเมื่ออ้างเป็นเรื่องลับเสียอย่างหนึ่งแล้วก็จะปิดหูปิดตาปิดปากผู้คนไม่ให้เกี่ยวข้องได้อีกต่อไป และเพราะเหตุที่มักอ้างความลับเป็นเหตุผลปิดกั้นผู้คนมิให้ล่วงรู้ทัดทานดังนี้ จึงบังเกิดความฉิบหายวายวอดใหญ่หลวงมากนักต่อนักโดยที่ไม่อาจมีผู้ใดรู้เห็นทัดทานหรือทักท้วงได้เลย แต่เป็นที่น่าประหลาดที่การอ้างความลับเช่นนี้ได้กลายเป็นแบบอย่างสืบทอดต่อมา แม้กระทั่งในทุกวันนี้

            พระเจ้าเล่าเสี้ยนเห็นเจียวอ้วนนิ่งอึ้งดังนั้น จึงตรัสสั่งให้ข้าหลวงรีบเชิญพระบรมราชโองการไปให้แก่ขงเบ้งที่ตำบลเขากิสาน

            ฝ่ายขงเบ้งตั้งค่ายมั่นอยู่ที่ภูเขากิสานนั้น ได้เตรียมการที่จะยกพลข้ามแม่น้ำอุยโหเพื่อตีค่ายของสุมาอี้ซึ่งอ่อนเปลี้ยเพลียแรง และเหลือทหารน้อยลงเป็นอันมากแล้ว จากนั้นจึงรุกเข้ายึดเอาเมืองเตียงอัน แม้ได้เมืองเตียงอันแล้ว เมืองลกเอี๋ยงก็จะเหมือนลูกไก่อยู่ในกำมือ ขงเบ้งกำหนดแผนการเคลื่อนทัพและตระเตรียมกำลังทหาร ตลอดจนเสบียงเสร็จสิ้นแล้ว จึงสั่งให้ทหารสามหมื่นนายตัดไม้ไผ่ผูกแพเตรียมไว้ รอวันฤกษ์ดีแล้วจะยกพลข้ามแม่น้ำอุยโห

            ในขณะที่ทหารของขงเบ้งกำลังทำแพอยู่นั้น ข้าหลวงของพระเจ้าเล่าเสี้ยนก็เดินทางไปถึงค่ายหลวงของขงเบ้ง ครั้นขงเบ้งทราบว่าข้าหลวงเชิญพระบรมราชโองการมาให้ก็ออกไปต้อนรับ และตั้งพิธีรับพระบรมราชโองการตามประเพณี

            พอทราบว่าพระเจ้าเล่าเสี้ยนมีพระบรมราชโองการเรียกกองทัพกลับเมืองเสฉวน ขงเบ้งก็ถามข้าหลวงนั้นว่า ซึ่งมีพระบรมราชโองการมาทั้งนี้เป็นเพราะมีกองทัพจากเมืองกังตั๋งยกมาหรือไฉน

            ข้าหลวงนั้นได้ตอบขงเบ้งโดยซื่อว่าซึ่งกองทัพเมืองกังตั๋งจะยกมานั้นหามิได้ สัมพันธไมตรีระหว่างจ๊กก๊กกับง่อก๊กยังคงเป็นปกติทุกประการ

            ขงเบ้งได้ฟังดังนั้นก็คะเนการณ์ว่าเหตุที่พระเจ้าเล่าเสี้ยนมีพระบรมราชโองการมาครั้งนี้ย่อมเกิดแต่ปัญหาภายในราชสำนัก เพราะขงเบ้งรู้ดีตั้งแต่ยกกองทัพกลับจากการปราบปรามเบ้งเฮ็กแล้วว่า พระเจ้าเล่าเสี้ยนนี้ผิดกับพระเจ้าเล่าปี่ เพราะทรงเอาแต่เสพสุข มักเสวยน้ำจันทน์ คลอเคล้าใกล้ชิดสนิทสนมกับพวกขันทีและพวกปากหอยปากปูจนแทบไม่เป็นอันออกว่าราชการ จึงประดุจดังพระอาทิตย์ แม้จะมีฤทธิ์และอำนาจสักเท่าใดก็ย่อมมัวหมองอับแสงไปด้วยเมฆหมอก คือเหล่าขันทีและคนพาลซึ่งแวดล้อมพระองค์อยู่ฉะนั้น

            ขงเบ้งคิดดังนั้นแล้วสีหน้าก็เศร้าหมองลง แหงนหน้ามองเพดานทอดถอนใจใหญ่ แล้วรำพึงว่า “เจ้าเรานี้หนุ่มแก่ความนัก มาเชื่อถ้อยคำขุนนางสอพลอยุยุงฉะนี้ ที่ไหนเราจะทำการต่อไปได้ ครั้นเรามิไปบัดนี้ก็จะเป็นข้อขัดรับสั่ง ถ้าจะไปบัดนี้ก็เสียดายนัก สืบไปเบื้องหน้าจะกลับมาทำการสักร้อยครั้งก็มิอาจล่วงเข้ามาถึงที่นี้ได้”

            ขงเบ้งรู้ดีว่าศึกวุยก๊กครั้งที่สี่นี้ได้บุกรุกลึกเข้ามาในแดนวุยก๊ก จักแหล่นจะยึดเมืองเตียงอันและเข้ายึดเมืองลกเอี๋ยงได้อยู่แล้ว เพราะแนวหลังที่กองทัพผ่านมาก็ได้ยึดบรรดาหัวเมืองทั้งปวงมิให้ทำอันตรายได้อีกต่อไป ทั้งได้แปรให้เป็นฐานส่งกำลังบำรุงแก่กองทัพอย่างแน่นแฟ้น กองทัพสุมาอี้ซึ่งยกมารับมือนั้นเล่าก็ถูกทำลายจนกำลังเหลือน้อยเต็มที ทั้งจิตใจสู้รบของสุมาอี้ผู้เป็นแม่ทัพนั้นได้ถูกทำลายลงแทบจะสิ้นเชิง เป็นสถานการณ์อันดียิ่งที่จะยึดแผ่นดินตงง้วนได้สำเร็จ หากจะต้องถอยกลับไปก็เป็นเรื่องน่าเสียดายอย่างยิ่ง แต่หากจะไม่ยกกองทัพกลับ ขุนนางสอพลอก็จะยิ่งยุยงให้พระเจ้าเล่าเสี้ยนแคลงพระทัยมากขึ้น ดีร้ายก็จะถูกข้อหาว่าเป็นกบฏต่อแผ่นดินไปเสียเอง

            ดังนั้นขงเบ้งจึงจำเป็นต้องตัดสินใจเลิกทัพกลับไปเมืองเสฉวนตามรับสั่ง

            พอเกียงอุยทราบความดังนั้นก็มิได้ติดใจในเหตุผลของการถอยทัพว่าจะเป็นประการใด เพราะวางใจในการใช้ดุลยพินิจตัดสินใจของขงเบ้ง แต่กริ่งเกรงว่ากองทัพได้ยกลึกเข้ามาในแดนวุยก๊กมากนัก การถอยทัพยิ่งเป็นอันตรายมากขึ้น เพราะสุมาอี้จะฉวยโอกาสไล่ตามตีในยามที่ล่าถอย จึงเข้าไปหาขงเบ้งแล้วถามว่า “มหาอุปราชจะล่าทัพไปครั้งนี้ ถ้าสุมาอี้รู้ยกทหารตามมารบพุ่ง จะคิดประการใด”

            ขงเบ้งแม้ตกอยู่ในภาวะสลดใจที่จำต้องละโอกาสอันเยี่ยมยอดที่จะยึดแผ่นดินตงง้วน แต่ครั้นได้ฟังคำเกียงอุยก็หันหน้ามาหา แล้วกล่าวด้วยน้ำเสียงอันเมตตาปรานีว่า อันตรายจากการถอยทัพจากพื้นที่ที่ลึกเข้ามาในดินแดนของข้าศึกนั้นเราก็แจ้งอยู่ว่าอันตรายใหญ่หลวงนัก ยิ่งสุมาอี้รู้แล้วเห็นจะอันตรายเป็นทวีคูณ แต่ท่านอย่าได้ปรารมภ์เลย เราจะคิดอ่านอุบายมิให้สุมาอี้ยกกองทัพไล่ตามตีได้

            ขงเบ้งกล่าวแล้วก็หันไปบอกข้าหลวงว่า เสร็จธุระของท่านแล้ว จงรีบกลับไปเมืองเสฉวนเถิด เราจะรีบยกกองทัพกลับไปตามรับสั่ง ข้าหลวงได้ยินดังนั้นจึงคำนับลาขงเบ้งแล้วเดินทางกลับไปเมืองเสฉวน

            พอข้าหลวงออกไปจากค่าย ขงเบ้งจึงบอกเกียงอุยว่า ในการล่าถอยทัพครั้งนี้อันตรายใหญ่หลวงนัก จำจะคิดอุบายให้แยบยลจึงจะทำให้สุมาอี้เกรงขามไม่กล้ายกกองทัพไล่ตามตี เราจะแบ่งทหารเป็นห้ากอง ให้ค่อย ๆ ทยอยล่าถอยออกจากที่ตั้ง ให้ทำทีถอยทัพอย่างช้า ๆ แต่ละกองยกไปตั้ง ณ ที่ใดแล้วก็ให้ทำเตาไฟหุงข้าวเพิ่มขึ้นทุกครั้งไป สุมาอี้รู้ว่าเตาไฟหุงข้าวเพิ่มมากขึ้นก็จะสงสัยว่าเป็นอุบายลวงให้ไล่ตามตี เห็นจะไม่กล้าติดตามอีกต่อไป

            เอียวหงีซึ่งเป็นนายทหารชั้นผู้ใหญ่ได้ยินดังนั้นจึงกล่าวว่า อันอุบายเตาไฟนี้เมื่อครั้งที่ซุนปินรบกับผังเจียนในยุคสมัยเลียดก๊กนั้นก็เคยใช้เตาไฟหุงข้าวเป็นกลอุบาย แต่ในครั้งนั้นทุกระยะที่ถอยทัพซุนปินได้ลดจำนวนเตาไฟให้เหลือน้อยลง ผังเจียนได้ยกกองทัพไล่ตามตีจึงเสียทีแก่ซุนปิน มาครั้งนี้เหตุไฉนมหาอุปราชจึงให้เพิ่มเตาไฟหุงข้าวเล่า

            ขงเบ้งจึงว่า กลอุบายทั้งปวงนั้นจะนำมาใช้อย่างตายตัวไม่ได้ เมื่อครั้งซุนปินทำศึก กับผังเจียนนั้น ซุนปินมีทหารเป็นอันมาก แต่มีเสบียงอาหารน้อย จึงแสร้งทำทีเป็นถอยทัพ ล่อให้ผังเจียนตามตี จึงลดจำนวนเตาหุงข้าวลง ผังเจียนทราบความจากหน่วยสอดแนมก็สำคัญว่าทหารของซุนปินหนีทัพจนเหลือน้อยลงจึงยกกองทัพมาตามตี เหตุนี้จึงเสียทีแก่ซุนปิน

            ขงเบ้งกล่าวสืบไปว่า สุมาอี้นี้มีสติปัญญาในการสงครามเป็นอันมาก กลอุบายเตาไฟอันมีมาแต่โบราณสุมาอี้ย่อมแจ้งอยู่ ณ บัดนี้สุมาอี้เกรงกลัวเรา ไม่กล้ายกกองทัพออกมารบ ครั้นเห็นเราถอยทัพก็จะสงสัยว่าเป็นกลอุบาย เห็นจะระมัดระวังไม่บุ่มบ่ามไล่ตามตี ครั้นเมื่อเราล่าถอยไปแล้วสุมาอี้รู้ว่าเตาไฟหุงข้าวเพิ่มขึ้น ก็จะคิดถึงกลอุบายของซุนปินว่าเราพลิกกลับกลอุบายของซุนปินเสีย ลวงให้หลงว่ามีทหารน้อย จึงแสร้งทำเป็นเพิ่มเตาไฟหุงข้าวเป็นมีทหารมากแล้วซุ่มทหารไว้คอยโจมตี สุมาอี้คะเนการณ์ดังนี้แล้วเห็นจะไม่กล้ายกกองทัพไล่ตาม เราก็จะล่าถอยทัพกลับเข้าเมืองเสฉวนได้โดยสะดวก

            เกียงอุยและเอียวหงีได้ฟังคำขงเบ้งอธิบายเหตุผลแห่งกลอุบายเตาไฟโดยละเอียดดังนั้นก็สรรเสริญขงเบ้งว่ามีสติปัญญาลึกซึ้งแหลมคมยิ่งกว่าเทพยดา ครั้นปรึกษาพร้อมกันแล้วขงเบ้งจึงสั่งให้เลิกทัพล่าถอยกลับไปทางเมืองฮันต๋งตามแผนการที่วางไว้ทุกประการ

            ฝ่ายสุมาอี้หลังจากบอกให้กิอั๋นกลับไปเมืองเสฉวนแล้ว ก็ให้หน่วยสอดแนมติดตามความเคลื่อนไหวของกองทัพขงเบ้ง ในขณะเดียวกันก็สั่งเตรียมกองทัพให้พร้อมที่จะยกข้ามแม่น้ำไล่ตามตีกองทัพของขงเบ้งในขณะถอยทัพ

            ครั้นสุมาอี้ได้ทราบรายงานจากหน่วยสอดแนมว่า เมื่อใกล้รุ่งวันนี้กองทัพของขงเบ้งได้เลิกทัพถอยกลับไปแล้ว สุมาอี้ได้ฟังรายงานดังนั้นน้ำใจหนึ่งก็มีความยินดี คิดว่าแผนการที่ได้มอบหมายให้กิอั๋นไปทำนั้นประสบความสำเร็จแล้ว แต่ใจหนึ่งก็กริ่งว่าขงเบ้งทำการได้ชัยชนะรุกลึกเข้ามาถึงเพียงนี้แล้ว ซึ่งจะล่าถอยไปโดยง่ายนั้นยังเป็นที่สงสัยนัก น่าจะเป็นกลอุบายอย่างใดอย่างหนึ่ง ดังนั้นสุมาอี้จึงสั่งทหารให้ตั้งมั่นอยู่ในค่าย และให้เพิ่มการสอดแนมติดตามข่าวคราวการถอยทัพของขงเบ้งต่อไป

            ในแต่ละวันหน่วยสอดแนมได้กลับมารายงานแก่สุมาอี้ว่า กองทัพของขงเบ้งได้ถอยทัพไปอย่างเชื่องช้า แต่เป็นที่น่าสังเกตว่าเตาไฟสำหรับหุงข้าวของทหารมีจำนวนเพิ่มขึ้นทุกครั้งไป

            สุมาอี้ได้ทราบดังนั้นก็สงสัย จึงปลอมตัวเป็นทหารเลว ขี่ม้าพาทหารองครักษ์ลอบออกไปสังเกตการณ์ตามค่ายเก่าของทหารเมืองเสฉวนเป็นหลายแห่ง ปรากฏว่าตามที่ตั้งค่ายของทหารยังปรากฏร่องรอยของเตาไฟหุงข้าวว่ามีจำนวนเพิ่มขึ้นทุกครั้งที่ล่าถอยทัพ

            สุมาอี้ทราบดังนั้นก็หัวเราะ แล้วกล่าวกับแม่ทัพนายกองทั้งปวงว่า ขงเบ้งเห็นเราไม่ยกออกไปสู้รบก็คิดอุบายล่อเต่าออกจากกระดอง ทำทีเป็นถอยทัพ หวังจะให้เรายกไปตามตี หากเรายกไปก็จะต้องด้วยกลขงเบ้ง เห็นจะถูกซุ่มโจมตีเสียทีเป็นมั่นคง

            แม่ทัพนายกองทั้งปวงได้ยินคำสุมาอี้ก็สงสัย จึงกล่าวว่ากองทัพขงเบ้งได้ล่าถอยทัพออกจากที่ตั้งและเดินทัพกลับไปเมืองฮันต๋งอย่างไม่หยุดยั้ง ไม่มีวี่แววว่าจะยกกลับมารบอีกเลย ขอให้ท่านแม่ทัพรีบยกกองทัพไล่ตามตีก็จะได้ชัยชนะโดยง่าย

            สุมาอี้จึงว่า เราได้กำชับไว้แล้วว่าถ้าผู้ใดมาเสนอให้ยกไปรบกับขงเบ้ง เราก็จะตัดศีรษะเสีย เหตุการณ์เมื่อครั้งเตียวคับดึงดันยกไปรบกับขงเบ้งเพิ่งผ่านพ้นไปไม่นานนัก ไฉนพวกท่านจึงหลงลืมเสียได้

            สุมาอี้เห็นแม่ทัพนายกองทั้งปวงเกรงอาญาพากันนิ่งอึ้ง จึงกล่าวสืบไปว่าขงเบ้งนี้มีสติปัญญาเล่ห์กลเป็นอันมาก จะดูเบาแก่ความคิดของขงเบ้งนั้นไม่ได้ ขงเบ้งบุกความจริงก็อาจเป็นการถอย ซึ่งได้ปรากฏให้เห็นแล้ว ครั้นจะถอยเล่าเนื้อแท้ก็คือการเตรียมรุกบุกโจมตี ก็ปรากฏให้เห็นอีกเช่นกัน พวกท่านมิได้สังเกตหรือว่าเหตุใดเตาหุงข้าวทหารจึงเพิ่มขึ้นทุกครั้งเล่า

            แม่ทัพนายกองทั้งปวงได้ยินคำถามของสุมาอี้ก็มิรู้ที่จะตอบประการใด สุมาอี้จึงกล่าวต่อไปว่าขงเบ้งรู้ว่าเรารู้อุบายเตาไฟของซุนปิน หากลดจำนวนเตาไฟหุงข้าวเสียเราก็จะรู้เท่าทันไม่ยกไปตี จึงแสร้งพลิกกลเตาไฟของซุนปิน กลับเพิ่มเตาไฟหุงข้าวให้มากขึ้น เพื่อลวงเราว่ามีทหารน้อยจึงต้องเพิ่มเตาไฟหุงข้าว ให้สำคัญว่ามีทหารมาก หากหลงกลของขงเบ้งยกทหารตามไปแล้วขงเบ้งดักซุ่มทหารไว้ ก็จะเสียทีแก่ขงเบ้งเป็นมั่นคง.

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

ตัวอย่างกระทู้ธรรม ธรรมศึกษาชั้นตรี 5

I miss you all กับ I miss all of you ต่างกันอย่างไร

ปัญหาและเฉลยวิชาธรรม นักธรรมชั้นโท สอบในสนามหลวง วันเสาร์ ที่ ๑๙ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๔๘