ตอนที่ 551. ลางปราชัย

ในการบุกวุยก๊กครั้งที่สี่ ทั้งสุมาอี้และขงเบ้งได้ตกลงประลองความรู้และสติปัญญากันด้วยค่ายกลพยุหะ เมื่อขงเบ้งตั้งค่ายกลพยุหะแล้วสุมาอี้ก็รู้จัก แต่ครั้นรับคำท้าให้เข้าตีค่ายกลพยุหะนั้นกลับแปรขบวนสำแดงอานุภาพแห่งมายา ทำให้ทหารวุยก๊กที่เข้าไปในค่ายกลตกเป็นเชลยศึกของขงเบ้งทั้งสิ้น

            ขงเบ้งเห็นทหารควบคุมตัวเชลยศึกทั้งเก้าสิบคนเข้ามา จึงกล่าวกับเชลยศึกทั้งนั้นว่า เราถือสัจจะไม่ทำอันตรายท่านและจะปล่อยตัวพวกท่านกลับไป กล่าวแล้วขงเบ้งจึงสั่งให้ทหารเปลื้องเอาเสื้อเกราะและหมวกเกราะของทหารเชลย ยึดม้าศึกและอาวุธไว้จนหมดสิ้น ให้ทหารเอาดินหม้อสีดำทาเชลยศึกทั้งเก้าสิบคน และสั่งว่า “ท่านกลับไปบอกสุมาอี้นายท่านเถิด ว่าให้ไปศึกษาเล่าเรียนอาจารย์ที่ดีเสียอีกก่อนจึงมาสู้กับเรา”

            กล่าวแล้วขงเบ้งจึงสั่งให้ปล่อยตัวเชลยศึกกลับไป และสั่งทหารทั้งปวงให้เตรียมพร้อมในที่ตั้ง เมื่อเชลยศึกทั้งเก้าสิบคนกลับไปหาสุมาอี้แล้วได้รายงานความที่ขงเบ้งสั่งมานั้นทุกประการ

            สุมาอี้พ่ายแพ้ความรู้และสติปัญญาในกระบวนรบด้วยค่ายกลพยุหะกับขงเบ้งต่อหน้าบรรดาสายตาทหารทั้งปวงก็รู้สึกอัปยศอดสูเป็นอันมาก ครั้นได้ยินคำรายงานของทหารเชลยศึก ก็ลืมคำสัญญาที่ให้ไว้กับขงเบ้งว่าจะไม่ยอมนำทัพมารบกับขงเบ้งอีก กล่าวกับแม่ทัพนายกองทั้งปวงในที่นั้นด้วยความโกรธว่า “ขงเบ้งทำหยาบช้าแก่เราให้ได้ความอัปยศนัก แม้เรามิเอาชนะได้ครั้งนี้ ที่ไหนจะมีหน้ากลับมาเมืองลกเอี๋ยงได้ ท่านทั้งปวงจงอุตส่าห์ช่วยกันเอาชัยชนะให้ได้”

            สุมาอี้แรงด้วยแรงโทสะและความอัปยศ เผลอตัวลืมไปว่าเป็นแม่ทัพใหญ่ ขี่ม้าออกไปหน้าทหาร ชักเอากระบี่คู่ประจำกายชูขึ้นบนฟ้า แล้วสั่งทหารทั้งปวงให้ยกเข้าตีกองทัพของขงเบ้ง ทหารสุมาอี้ได้ยินคำสั่งก็โห่ร้องแล้วพากันกรูรุกไปข้างหน้าพร้อมกัน

            ขงเบ้งเห็นดังนั้นก็หัวเราะด้วยการสมคะเนที่คิดไว้ จึงโบกพัดขนนกเป็นสัญญาณ ให้ทหารพลกลองลั่นกลองทำนองเผด็จศึก และสั่งให้ถอยเกวียนกลับเข้ามาในขบวนทหาร

            ทหารจ๊กก๊กได้ยินคำสั่งและสัญญาณจากขงเบ้งแล้วจึงพากันกรูขึ้นหน้า รุกเข้าประจัญบานกับกองทหารของสุมาอี้ ในขณะที่ทหารทั้งสองฝ่ายกำลังต่อสู้กันเป็นชุลมุนนั้นเสียงประทัดสัญญาณได้ดังกึกก้องขึ้นจากแนวป่าด้านหลังกองทหารของสุมาอี้ ทหารเมืองเสฉวนภายใต้ธงของกวนหินได้โห่ร้องก้องกระหึ่มยกออกจากแนวป่า โจมตีกระหนาบเข้ามาทางด้านหลังของทหารวุยก๊ก

            สุมาอี้เห็นดังนั้นก็ตกใจ สั่งทหารให้แปรขบวนเป็นสองกอง กองหนึ่งรับศึกทหารเมืองเสฉวนทางด้านหน้า อีกกองหนึ่งหันกลับไปรับศึกกับกวนหินทางด้านหลัง

            ทหารวุยก๊กแปรขบวนท่ามกลางความตระหนกตกใจ ครั้นถูกตีกระทบกระหนาบเข้ามาทั้งสองด้านก็พากันรวนเร ในทันใดนั้นเสียงประทัดสัญญาณก็ดังกึกก้องมาจากในป่าด้านข้างเขากิสาน ปรากฏทหารเมืองเสฉวนอีกกองใหญ่ภายใต้ธงเกียงอุยได้โห่ร้องเสียงประสานกับเสียงกลองรบดังสนั่นหวั่นไหว แล้วยกเข้าตีกลางขบวนของกองทัพสุมาอี้

            กองทหารของเกียงอุยพอยกเข้าถึงหว่างกลางกองทหารของสุมาอี้ทั้งสองขบวนก็แปรขบวนเป็นสองกอง กองหนึ่งตีกระทบไปทางด้านหน้า อีกกองหนึ่งตีกระทบไปทางด้านหลัง ทำให้ทหารของสุมาอี้ทั้งสองกองตกอยู่ท่ามกลางศึกกระหนาบ และถูกทหารจ๊กก๊กฆ่าฟันบาดเจ็บล้มตายลงเป็นอันมาก

            สามก๊กฉบับเจ้าพระยาพระคลัง (หน) ระบุว่าทหารสุมาอี้ตายประมาณส่วนหนึ่ง ในขณะที่ฉบับภาษาจีนระบุว่าทหารสุมาอี้ทั้งสองกองถูกล้อมตีกระหนาบแบบไม่มีทางสู้ ทหารของขงเบ้งได้ใช้เกาทัณฑ์ยิงไปดุจห่าฝน จนทหารวุยก๊กต้องเรรวน เหยียบกันตายเองก็มาก ตายด้วยคมเกาทัณฑ์ก็มาก ถูกอาวุธของทหารขงเบ้งบาดเจ็บล้มตายก็มาก สุมาอี้เสียทหารไปหกส่วนในเจ็ดส่วน

            สุมาอี้เห็นดังนั้นก็ตกใจ สั่งทหารให้ตีฝ่าออกไปทางริมแม่น้ำอุยโห แล้วรีบลงเรือที่ตระเตรียมไว้หนีข้ามแม่น้ำอุยโหไปยังอีกฟากหนึ่ง

            ครั้นหนีข้ามฟากแม่น้ำอุยโหไปได้แล้ว สุมาอี้จึงให้รวบรวมทหารแล้วตั้งค่ายมั่นไว้ที่ริมแม่น้ำ ให้ม้าเร็วรีบถือฎีกาเข้าไปเมืองลกเอี๋ยงขอกำลังสนับสนุนให้เสริมเติมมาช่วยโดยเร็วที่สุด และนับแต่วันนั้นสุมาอี้ก็ไม่ยอมยกออกไปรบกับขงเบ้งอีกเลย แต่ละวันได้แต่นั่งหมกมุ่นอยู่ภายในค่ายด้วยความละอายใจและอดสูใจที่พ่ายแพ้แก่ขงเบ้งอย่างสิ้นรูปหมดเชิง

            ฝ่ายขงเบ้งครั้นได้ชัยชนะต่อกองทัพสุมาอี้แล้ว จึงพาทหารกลับไปที่ค่ายเขากิสาน ให้รวบรวมม้าศึก ศาสตราวุธ และเสื้อเกราะ หมวกเกราะเป็นสินศึก และให้ปูนบำเหน็จแก่ทหารซึ่งมีความชอบเป็นอันมาก

           ค่ำลงขงเบ้งนั่งไตร่ตรองแผนการสงครามก็ให้วิตกร้อนใจเป็นอันมาก ด้วยเสบียงอาหารกำลังขาดแคลนลง เนื่องจากการลำเลียงเสบียงอาหารซึ่งลิเงียมได้สั่งให้กิอั๋นเป็นแม่กองคุมเสบียงมาส่งแก่กองทัพนั้นได้ล่าช้าผิดนัดไปร่วมสิบวันแล้ว หากเสบียงอาหารยังไม่ลำเลียงมาอีก ในไม่กี่วันข้างหน้ากองทัพก็จะขาดเสบียงลง

            อันกิอั๋นผู้นี้เป็นคนสนิทของลิเงียมซึ่งเป็นขุนนางผู้ใหญ่ในราชสำนักของพระเจ้าเล่าเสี้ยน รับราชการมาแต่ครั้งพระเจ้าเล่าปี่ยังทรงพระชนม์อยู่ กิอั๋นนี้เป็นผู้มักทำความชอบยิ่งกว่าทำความดี ดังนั้นแม้ว่าอุปนิสัยส่วนตัวจะเป็นนักเลงสุรา บ้าผู้หญิง แต่กับผู้เป็นนายแล้วกลับเอาใจใส่พินอบพิเทาเฝ้าแหนอย่างใกล้ชิด หมั่นเอาของกำนัลไปมอบแก่ลิเงียมอยู่เนือง ๆ ไปเหนือ ไปใต้ก็จะนำของขวัญกำนัลไปมอบแก่ลิเงียมและฮูหยินทุกครั้งไป วันตรุษ วันสารทก็ไม่เคยหลงลืม ยามว่างก็จะไปเฝ้าคอยรับใช้ลิเงียมอย่างสนิทสนม มิหนำซ้ำยังให้ผู้เป็นศรีภรรยาไปรับใช้ใกล้ชิดกับฮูหยินของลิเงียมอีก ดังนั้นกิอั๋นจึงเป็นที่โปรดปรานของลิเงียม และสนับสนุนให้มีตำแหน่งหน้าที่สูงขึ้นโดยลำดับอย่างรวดเร็วเกินหน้าค่าตาของขุนนางทั้งปวง ในที่สุดกิอั๋นได้รับตำแหน่งเป็นแม่กองรับผิดชอบลำเลียงเสบียงเอาไปให้แก่ขงเบ้ง

            เพราะเหตุที่กิอั๋นเป็นนักเลงสุรา ดังนั้นบรรดาลูกน้องคนสนิทจึงเป็นคนจำพวกเดียวกัน แต่ละวันทั้งไพร่และนายตั้งวงเสพสุรากันเป็นที่สนุกสนาน จนงานราชการลำเลียงเสบียงผิดพลาดคลาดเคลื่อนเนิ่นช้าไปถึงสิบวัน

            ในวันรุ่งขึ้นครั้นกิอั๋นลำเลียงเสบียงไปถึงกองทัพจึงเข้าไปรายงานความแก่ขงเบ้ง  ขงเบ้งเห็นหน้าของกิอั๋นกล่ำไปด้วยสุราก็โกรธ สั่งทหารให้คุมตัวกิอั๋นไปประหารชีวิตตามพระอัยการศึก

            เตียวหงีเห็นดังนั้นจึงเข้าไปคำนับทัดทานขงเบ้งว่ากิอั๋นเป็นคนสนิทของลิเงียม “ซึ่งกิอั๋นส่งเสบียงมิทันกำหนด มหาอุปราชจะฆ่าเสียนั้นก็ควรอยู่ แต่ว่าราชการศึกจะมีไปเมื่อหน้า ข้าพเจ้าเห็นว่าผู้ใดซึ่งจะรับคุมเสบียงอาหารมาส่งนั้นขัดสนนัก ขอให้งดโทษครั้งหนึ่งก่อน”

            ขงเบ้งเกรงใจและเห็นแก่หน้าของเตียวหงีเพราะได้ร่วมกรำศึกตลอดมา ทั้งเกรงใจลิเงียมซึ่งเป็นเพื่อนขุนนางมาแต่ครั้งพระเจ้าเล่าปี่ ครั้นได้ยินคำทัดทานของเตียวหงี ขงเบ้งจึงจำต้องงดโทษตายให้กับกิอั๋น เปลี่ยนเป็นโทษโบยแปดสิบที

            กิอั๋นถูกลงทัณฑ์โบยถึงแปดสิบที ได้รับความเจ็บปวดเป็นอันมาก วิสัยนักเลงสุราอันเป็นคนพาลก็กำเริบขึ้น แทนที่จะรู้สึกสำนึกตัวกลับพาลโทษโกรธและคิดแก้แค้นขงเบ้ง ดังนั้นพอค่ำลงกิอั๋นจึงพาพรรคพวกซึ่งตามมาในกองลำเลียงเสบียงสามสิบคนหนีข้ามแม่น้ำอุยโหไปขอสวามิภักดิ์กับสุมาอี้ และเล่าความให้สุมาอี้ฟังทุกประการ

            สุมาอี้ได้ยินคำกิอั๋นแล้วแม้จะเห็นร่องรอยบาดแผลจากการถูกโบยตี ก็ยังกริ่งว่าซึ่ง กิอั๋นมาเข้าสวามิภักดิ์ในครั้งนี้จะเป็นกลอุบายของขงเบ้ง จึงกล่าวขันต่อกับกิอั๋นว่าซึ่งท่านจะมาขออ่อนน้อมต่อเรานั้นยังจะวางใจมิได้ ท่านจะต้องทำการพิสูจน์ตัวเองให้ประจักษ์แก่เราสักครั้งหนึ่งก่อนจึงจะเชื่อได้

            กิอั๋นจึงว่า ท่านแม่ทัพจะให้ข้าพเจ้าพิสูจน์ประการใด ข้าพเจ้าจะเพียรพยายามทำตามคำสั่งทุกประการเพื่อพิสูจน์ให้เห็นความจริงใจของข้าพเจ้า

            สุมาอี้ได้ยินดังนั้นก็มีความยินดี กล่าวว่า “ถ้าฉะนั้นท่านจงรีบกลับไปเมืองเสฉวน ไปเล่าแก่คนทั้งปวงให้ปรากฏไปว่าขงเบ้งคิดขบถ จะจับพระเจ้าเล่าเสี้ยนฆ่าเสีย จะชิงเอาราชสมบัติตั้งตัวเป็นใหญ่ ถ้ามีผู้เลื่องลือเอิกเกริกไปรู้ถึงพระเจ้าเล่าเสี้ยน พระเจ้าเล่าเสี้ยนก็จะมิไว้ใจขงเบ้ง ดีร้ายจะมีตราให้หากองทัพเลิกกลับไป ถ้าท่านทำได้ฉะนี้ เราจะทูลพระเจ้าโจยอยตามความชอบ ตั้งให้เป็นขุนนางผู้ใหญ่”

            สุมาอี้เกรงกลัวขงเบ้ง มิรู้ที่จะทำประการใด ได้แต่ตั้งค่ายมั่นอยู่คนละฟากฝั่งแม่น้ำอุยโห จึงคิดอุบายย้อนรอยขงเบ้ง เหมือนกับอุบายที่ม้าเจ๊กเสนอขงเบ้งให้ปล่อยข่าวเล่าลือว่าสุมาอี้เป็นขบถ ทำให้พระเจ้าโจยอยหลงเชื่อถอดสุมาอี้ออกจากตำแหน่งหน้าที่ทั้งปวง ให้กิอั๋นปล่อยข่าวลือย้อนสนองเอากับขงเบ้งบ้าง หวังจะพิสูจน์ความสุจริตใจของกิอั๋นอย่างหนึ่ง และหวังเอาความระแวงแคลงพระทัยของพระเจ้าเล่าเสี้ยนให้เรียกกองทัพของขงเบ้งกลับไปเมืองเสฉวนอีกอย่างหนึ่ง กิอั๋นซึ่งเป็นคนพาลประเภทข้าขายเจ้า บ่าวขายนาย พร้อมจะขายทุกสิ่งทุกอย่างแม้กระทั่งชาติบ้านเมืองเพียงเพื่อผลประโยชน์เฉพาะหน้าของตนเท่านั้น ครั้นได้ฟังคำสุมาอี้ก็ตกลงรับคำ

            สุมาอี้เห็นดังนั้นก็มีความยินดี สั่งกิอั๋นให้รีบกลับไปเมืองเสฉวนและให้เอาเงินทองปูนบำเหน็จติดสินบนแก่กิอั๋นเป็นอันมาก

            ครั้นกิอั๋นกลับไปถึงเมืองเสฉวนก็ลงมือปฏิบัติการณ์ตามแผนการของสุมาอี้ ปล่อยข่าวเล่าลือไปทั้งในและนอกราชสำนักว่าขงเบ้งคิดกบฎต่อแผ่นดิน หมายจะสังหารพระเจ้าเล่าเสี้ยนแล้วตั้งตนขึ้นเป็นฮ่องเต้แทน

            บรรดาพวกขันทีซึ่งได้รับแต่งตั้งเพิ่มขึ้นเป็นจำนวนมากในสมัยของพระเจ้าเล่าเสี้ยนเป็นพวกคนวิปริตผิดเพศ บ้างถึงแม้จะรู้เท่าทันแต่ด้วยอุปนิสัยวิปริตก็กล่าวความเล่าขานขยายไปอย่างกว้างขวาง บ้างที่รู้ไม่เท่าทันหรือบ้างที่เห็นว่าขงเบ้งเป็นขุนนางผู้ภักดีต่อ  แผ่นดิน เป็นอุปสรรคกีดขวางความเลวทรามต่ำช้าโสมมของพวกตน ก็พากันเอาข่าวลือเข้าไปกราบบังคมทูลต่อพระเจ้าเล่าเสี้ยน

            พระเจ้าเล่าเสี้ยนเป็นกษัตริย์ผู้เยาว์ เอาแต่เสพสุขอยู่กับสุรา นารีและขันที มิได้ใส่ใจราชการบ้านเมืองเหมือนกับพระเจ้าเล่าปี่ ประกอบทั้งโง่เขลาเบาสติปัญญา พอได้ยินคำกราบทูลคำเล่าข่าวลือก็พลอยเชื่อถือตาม

            พระเจ้าเล่าเสี้ยนเชื่อคำเล่าข่าวลือแล้วก็ตกพระทัย แต่แทนที่จะทรงปรึกษาหารือกับขุนนางผู้ใหญ่ที่เป็นหลักชัยของบ้านเมือง กลับรับสั่งเรียกหาบรรดาขันทีซึ่งใกล้ชิดโปรดปรานมาปรึกษาว่า ขงเบ้งยกไปตั้งอยู่ที่เมืองฮันต๋งนานช้า ไม่ค่อยเข้ามาเฝ้าถึงเมืองเสฉวน หลายปีมานี้ได้คุมกองทัพยกไปทำการกับวุยก๊กอย่างต่อเนื่อง ขงเบ้งจึงเรืองอำนาจขึ้นในทางการทหาร ไม่มีใครเทียมเทียบได้ เมื่อมีข่าวคราวว่าคิดอ่านเป็นขบถดังนี้จะทำประการใด

            พวกขันทีผู้วิปริตได้ฟังรับสั่งดังนั้นก็เออออห่อหมกตามพระทัยว่า “บัดนี้พระองค์ให้อาญาสิทธิ์แก่ขงเบ้ง คนทั้งปวงก็อยู่ในอำนาจสิ้น ขงเบ้งจะว่าสิ่งใดก็จะกระทำตาม”

            ดังนั้นจึงกราบบังคมทูลแนะนำให้ตัดรอนอำนาจของขงเบ้งเสีย ขอให้พระเจ้าเล่าเสี้ยนมีหมายรับสั่งเรียกกองทัพของขงเบ้งกลับมา แล้วถอนตราอาญาสิทธิ์ที่ให้อำนาจขงเบ้งเสียทั้งสิ้น ขงเบ้งสิ้นอำนาจทางทหารแล้วเห็นจะไม่เป็นภัยสืบไป

            พระเจ้าเล่าเสี้ยนพระหัตถ์หนึ่งกำลังคล้องอยู่ที่คอของขันที พระหัตถ์หนึ่งถือจอกน้ำจันทน์ ได้ฟังคำกราบทูลดังนั้นก็ทรงเห็นชอบ โปรดให้มีหมายรับสั่งไปถึงขงเบ้ง ตรัสสั่งเรียกกองทัพกลับคืนเมืองเสฉวนในทันที

            อา! ลางปราชัยได้ปรากฏเหนือแผ่นดินจ๊กก๊กชัดเจนขึ้นแล้ว น่าเวทนาพญามังกรผู้มีความภักดีต่อพระราชวงศ์ฮั่นและพระเจ้าเล่าปี่ยิ่งนัก หรือว่านี่คือลิขิตสวรรค์อันใครไหนจักฝืนได้?

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

ตัวอย่างกระทู้ธรรม ธรรมศึกษาชั้นตรี 5

I miss you all กับ I miss all of you ต่างกันอย่างไร

ปัญหาและเฉลยวิชาธรรม นักธรรมชั้นโท สอบในสนามหลวง วันเสาร์ ที่ ๑๙ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๔๘