ตอนที่ 550. ค่ายกลพยุหะอัฏฐทิศ

สุมาอี้คาดว่าขงเบ้งไม่มีความรู้เกี่ยวกับค่ายกลพยุหะ ซึ่งเป็นวิชาการขั้นสูงของเสนาธิการแห่งราชสำนัก จึงท้ารบกับขงเบ้งด้วยค่ายกลพยุหะ หวังจะเอาชนะแก่ขงเบ้งด้วยการรบแบบนี้ สุมาอี้เป็นฝ่ายตั้งค่ายกลพยุหะก่อนแล้วถามขงเบ้งว่ารู้จักชื่อค่ายกลพยุหะนี้หรือไม่ ขงเบ้งจึงบอกชื่อและความล้ำลึกแห่งค่ายกลพยุหะนั้น

            สุมาอี้ได้ยินคำขงเบ้งว่ารู้จักค่ายกลพยุหะเอกธาตุ ตลอดไปจนถึงความพลิกแพลงลึกซึ้งของค่ายกลพยุหะตั้งแต่ชั้นสามัญไปจนถึงชั้นสูงสุดที่ระดับสรรพสิ่งเป็นมายาภาพอันว่างเปล่า หรือเป็นสุญญตาแล้วก็รู้สึกตระหนก คิดว่าเมื่อขงเบ้งรู้รายละเอียดตื้นลึกหนาบางของค่ายกลพยุหะเอกธาตุกระจ่างดังนี้ ขงเบ้งย่อมรู้วิธีการในการเข้าตีค่ายกลพยุหะให้แตกไปได้ สุมาอี้จึงไม่กล้าท้าให้ขงเบ้งยกทหารเข้าตี และกล่าวกับขงเบ้งว่าเมื่อท่านรู้จักค่ายกลของข้าพเจ้าแล้ว ก็ให้ท่านลองตั้งค่ายกลพยุหะให้ข้าพเจ้าดูบ้าง

            ขงเบ้งได้ยินดังนั้นจึงหันหน้ากลับไปทางขบวนทหาร แล้วโบกพัดขนนกไปมาเป็นสัญญาณ ในทันใดนั้นพลกลองก็ได้ลั่นกลองและม้าล่อก้องกระหึ่มทั้งท้องทุ่ง

            กองทหารม้าถือทวนจำนวนหกสิบนาย และทหารราบถือหอกสะพายเกาทัณฑ์จำนวนสี่สิบแปดนายรวมเป็นร้อยแปดนาย ได้เคลื่อนจากขบวนทหารออกไปที่ลานกว้างโดยมีทหารราบถือธงแปดสี สีละสามคัน รวมเป็นยี่สิบสี่คนนำขบวน

            ขงเบ้งได้เอาธงประจำตัวแม่ทัพโบกสะบัดไปมาอีกหลายครั้ง กองทหารม้าและทหารราบทั้งร้อยแปดนายได้แปรขบวนเป็นกองทหารยี่สิบสี่แถว แล้วตั้งรูปขบวนเป็นรูปยันต์แปดทิศขึ้นกลางลานกว้าง ตรงหัวขบวนมีทหารถือธงสีประจำอยู่ตามตำแหน่ง

            ครั้นเสียงม้าล่อฆ้องกลองและเสียงโห่ร้องของทหารสงบลง ขงเบ้งจึงถามสุมาอี้ว่าท่านรู้จักค่ายกลพยุหะชนิดนี้หรือไม่

            สุมาอี้ได้ร้องตอบกลับมาว่า ทำไมข้าพเจ้าจะไม่รู้จักเล่า ค่ายกลพยุหะนี้มีชื่อว่าค่ายกลพยุหะโป๊ยก่วยหรือค่ายกลพยุหะอัฎฐทิศ อันประกอบด้วยขบวนรบยี่สิบสี่ขบวน ตั้งประจำทิศต่าง ๆ ทิศละสามขบวน

            ขงเบ้งได้ยินสุมาอี้ร้องตอบกลับมาแต่สั้น ๆ เพียงเท่านั้นก็ยิ้มให้ แล้วกล่าวกับสุมาอี้ว่า แลเมื่อท่านรู้จักค่ายกลพยุหะอัฎฐทิศดังนี้แล้ว ท่านจะกล้าจัดทหารเข้าตีค่ายกลพยุหะนี้หรือไม่เล่า

            สุมาอี้ได้ยินคำขงเบ้งดังนั้นก็หัวเราะ พลางตอบกลับไปว่าไฉนจะไม่กล้าเข้าตี แต่ใคร่รู้ว่าในการเข้าตีค่ายกลพยุหะนี้จะสู้รบกันจริง ๆ ถึงเป็นถึงตาย หรือว่าจะให้เป็นเพียงการประลองความคิดและสติปัญญาของเราทั้งสองให้เป็นขวัญตาแก่เหล่าทหาร

            ขงเบ้งจึงว่า พลทหารได้บาดเจ็บล้มตายเพราะการบัญชาการของเราสองคนเป็นอันมากแล้ว การต่อสู้ในครั้งนี้ขอให้เป็นการต่อสู้ด้วยความรู้และสติปัญญาระหว่างเราสองคนให้เป็นที่ประจักษ์แก่คนทั้งปวง อย่าให้เดือดร้อนเจ็บตายแก่ไพร่พลเลย

            สุมาอี้ได้ฟังดังนั้นก็เห็นด้วย ดังนั้นทั้งสองฝ่ายจึงตกลงกันโดยธรรมยุทธ์ว่า การตั้งค่ายกลพยุหะและการเข้าตีค่ายกลพยุหะในครั้งนี้ เป็นการประลองกำลังความรู้และสติปัญญาของผู้เป็นนายทัพ มิได้หมายทำลายชีวิตทหารแต่ประการใด ดังนั้นถ้าฝ่ายใดถูกปิดล้อมจนไม่อาจฝ่าออกไปได้ หรือถูกเข้าตีโดยไม่อาจสกัดขวางเอาไว้ได้ ฝ่ายนั้นจะต้องยอมจำนน และจำนวนทหารที่จะเข้าตีกับทหารที่ตั้งขบวนพยุหะจะต้องมีจำนวนที่ใกล้เคียงกัน มิให้มากน้อยกว่ากันเกินห้าสิบคน

            ทั้งขงเบ้งและสุมาอี้ต่างกำชับทหารของแต่ละฝ่ายให้เคร่งครัดปฏิบัติตามข้อตกลง ห้ามมิให้ฆ่าฟันกันจนบาดเจ็บหรือถึงแก่ความตาย ถ้าผู้ใดฝ่าฝืนก็จะถูกตัดศีรษะ

            เมื่อตกลงกันดังนั้นแล้วสุมาอี้จึงขี่ม้ากลับเข้าไปในขบวนทหาร เรียกแม่ทัพรองสามนายคือไต้เหลียง เตียวฮอง และงักหลิมเข้ามาแล้วกล่าวว่า เราจะประลองกำลังสติปัญญาและความรู้กับขงเบ้ง ซึ่งได้ทำความตกลงกับขงเบ้งไว้นั้นพวกท่านก็ได้ยินทั่วกันแล้ว ให้ปฏิบัติตามข้อตกลงนั้นอย่างเคร่งครัด อย่าให้เราได้รับความอัปยศแก่ขงเบ้งเป็นอันขาด

            แล้วสุมาอี้จึงกล่าวสืบไปว่า ค่ายกลพยุหะซึ่งขงเบ้งได้ตั้งนั้นมีชื่อว่าค่ายกลโป๊ยก่วยหรือค่ายกลอัฎฐทิศ ประกอบด้วยขบวนทหารยี่สิบสี่ขบวน ตั้งประจำทิศต่าง ๆ ทิศละสามขบวน แต่ละขบวนมีประตูอยู่ตรงกลาง ขบวนที่เป็นทหารม้าแต่ละขบวนเป็นขบวนหยิน มีประตูอยู่ตรงกลางเป็นประตูมีสภาพแลเห็นได้โดยง่าย ขบวนที่เป็นทหารราบแต่ละขบวน เป็นขบวนหยาง มีประตูอยู่ตรงกลางเช่นเดียวกัน แต่เป็นประตูไร้สภาพมองไม่เห็น ดังนั้นหากดูภายนอกก็อาจเห็นว่ามีขบวนทหารยี่สิบสี่ขบวน แต่แท้ที่จริงมีอยู่ถึงสามสิบหกขบวน

            สุมาอี้กล่าวสืบไปว่า ค่ายกลพยุหะอัฎฐทิศนี้มีประตูประจำอยู่แปดประตู คือประตูหมดหวัง ประตูธรรมชาติ ประตูบาดเจ็บ ประตูตกใจ ประตูกำเนิด ประตูปิด ประตูมรณะและประตูเปิด ขงเบ้งได้ตั้งค่ายกลพยุหะวางประตูกำเนิดไว้ข้างทิศบูรพา ให้พวกท่านนำกองทหารม้าสามขบวน ให้เตียวฮองคุมขบวนเป็นกองหน้า ให้ไต้เหลียงคุมขบวนเป็นกองกลาง และให้งักหลิมคุมขบวนเป็นกองหลัง แต่ละขบวนใช้ทหารม้าสามสิบนาย ให้รุกเข้าไปทางประตูกำเนิดด้านทิศบูรพาแล้วตีออกไปทางทิศหรดี ซึ่งเป็นประตูหมดหวัง จากนั้นให้ตีไปทางทิศอุดรซึ่งเป็นประตูเปิด ดังนี้แล้วค่ายกลพยุหะอัฎฐทิศของขงเบ้งก็จะถูกทำลายล้างลงในทันที

            สามนายทหารฟังคำสุมาอี้จนสิ้นความ และได้ไต่ถามข้อสงสัยอีกหลายประการแล้วสุมาอี้จึงถามว่ายังมีสิ่งใดสงสัยจะไต่ถามอีกบ้างหรือไม่ สามนายทหารได้กล่าวว่าพวกเราเข้าใจคำสั่งของท่านแม่ทัพถ่องแท้แล้ว และพากันออกไปจัดขบวนทหารม้าตามคำสั่งของสุมาอี้

            สุมาอี้สั่งการเสร็จแล้วจึงขี่ม้าออกมาข้างหน้าขบวนทหาร โบกธงสัญญาณให้พลกลองม้าล่อลั่นกลองสัญญาณ ในขณะเดียวกันนั้นทหารเมืองเสฉวนก็ได้ตีม้าล่อฆ้องกลองโห่ร้องประสานเสียงกันกึกก้อง ท่ามกลางธงทิวปลิวไสวละลานตาทั้งท้องทุ่ง

            ครู่หนึ่งเตียวฮอง ไต้เหลียง และงักหลิม ก็ขี่ม้านำหน้าทหารออกมาเป็นสามขบวนโดยลำดับ แต่พอกองทหารของวุยก๊กล้ำหน้าม้าสุมาอี้ออกมาแล้ว ขงเบ้งได้โบกพัดขนนกเป็นสัญญาณอีกครั้งหนึ่ง พลกลองก็ลั่นกลองเป็นทำนองเตรียมรบ ขณะนั้นเตียวฮอง ไต้เหลียง และงักหลิมได้คุมทหารม้าเข้าไปถึงประตูกำเนิดตามคำสั่งของสุมาอี้

            ในทันใดนั้นขงเบ้งก็โบกธงสัญญาณขึ้นเป็นสำคัญ พลกลองได้ลั่นกลองเป็นทำนองเผด็จศึก กองทหารของสุมาอี้ทั้งสามกองได้ล่วงเข้าไปในค่ายกลอัฏฐทิศ ในพลันนั้นบรรดาทหารม้าของสุมาอี้ก็รู้สึกว่าทหารเมืองเสฉวนแต่ละขบวนได้เคลื่อนไหวแปรขบวนจนละลานตา ท้องฟ้ามืดครึ้มลงในทันใด ก้อนเมฆคล้อยตัวลงต่ำประหนึ่งมีม่านหมอกโปรยปรายลงมายังลานรบ พายุพัดอื้อมาไม่ขาดระยะ

            เตียวฮองร้องบอกแก่ไต้เหลียงและงักหลิมว่า ให้ปฏิบัติตามคำสั่งของท่านแม่ทัพสุมาอี้โดยเคร่งครัด แล้วพากันเร่งม้ารุดหน้าไปตามแผนการที่สุมาอี้กำหนด แต่ภาพที่ปรากฏเบื้องหน้านั้นได้ผันแปรไปโดยสิ้นเชิง ทหารของสุมาอี้แลไปเห็นทหารเมืองเสฉวนเป็นขบวนหนาแน่นราวกำแพงศิลา ประตูที่เคยมีอยู่แปดประตูก็เคลื่อนย้ายแปรเปลี่ยนกลายเป็นสิบประตู และในที่สุดกลับกลายเป็นกำแพงแน่นหนาซับซ้อน ทิศทางต่าง ๆ สับสนไปจนหมดสิ้น เบื้องบนประหนึ่งมีขุนเขากดทับลงมา เบื้องล่างประหนึ่งแผ่นดินจะดันนูนขึ้นสูง สายลมที่โชยมารู้สึกดั่งคมเกาทัณฑ์ที่กำลังแล่นฝ่าอากาศมาด้วยกำลังแรง ทหารม้าของสุมาอี้ทั้งสามกองพากันแตกตื่นตกใจ บ้างหลับตา บ้างหลบคมอาวุธ และพลัดหลงกันจนหมดสิ้น แม้จะมองหากันก็ไม่เห็น อีกครู่หนึ่งทหารในแต่ละขบวนก็พากันพลัดหลงกันอีก แต่ละคนรู้สึกเหมือนกับว่าขี่ม้าอยู่ในซอกเขาที่คับแคบลำพังตัวคนเดียว จึงต่างคนต่างกระตุ้นม้าเพื่อจะวิ่งออกไปข้างหน้า แต่ครั้นเห็นข้างหน้าเป็นกำแพงทหารเมืองเสฉวนก็ชักม้ากลับ วกไปวนมาจนไม่รู้ที่จะไปแห่งใด แล้วต้องหยุดนิ่งอยู่กับที่ มารู้ตัวอีกทีหนึ่งก็ถูกทหารเมืองเสฉวนจับมัดตัวไว้ได้ทั้งหมดแล้ว

            สามก๊กฉบับเจ้าพระยาพระคลัง (หน) ได้พรรณนาความตอนนี้ว่า สุมาอี้เมื่อรับคำท้าขงเบ้งแล้ว จึงเรียกไต้เหลียง เตียวฮอง และงักหลิมสามนายเข้ามาสั่งว่า “อันพยุหะของขงเบ้งตั้งบัดนี้มีประตูแปดแห่ง คือประตูเป็นแลตาย ประตูออก ประตูไข ประตูศูนย์ ประตูตกใจ ประตูลวง ประตูซุ่ม ท่านจงเข้าตีไปประตูตะวันออก มาประตูตะวันตก แล้วมาทิศเหนือ อันประตูทิศใต้นั้นอย่าล่วงเข้าไปเลย ถ้าทำตามเราสั่งนี้ได้แล้วทหารขงเบ้งก็จะแตกไปเอง ไต้เหลียง เตียวฮอง งักหลิม สามนายรับคำแล้วก็คุมทหารสามร้อยยกตีเข้าไปทางประตูทิศตะวันออก ทหารขงเบ้งก็กลับพยุหะเสียในทันใด ให้เป็นประตูแต่สิบประตู ทหารสุมาอี้ก็มิรู้ที่จะตีเข้าไปได้ วิ่งกระทบกันอยู่ ทหารขงเบ้งก็จับมัดตัวเอาไปทั้งสิ้น”

            อันค่ายกลพยุหะอัฏฐทิศที่ขงเบ้งตั้งบัดนี้ เป็นค่ายกลพยุหะที่โจหยินนายทหารเอกของโจโฉเคยตั้งขึ้น แล้วท้าให้เล่าปี่และชีซีเข้าตี ในครั้งนั้นชีซีได้บอกแก่เล่าปี่ว่า โจหยินเป็นขุนศึกอ่อนหัด คิดอ่านตั้งค่ายกลพยุหะมาต่อสู้กับท่าน อันค่ายกลชนิดนี้เพื่อนของข้าพเจ้าทำไว้เป็นเพียงแค่รั้วบ้านเท่านั้น และได้วิจารณ์ค่ายกลของโจหยินด้วยว่า ถ้าหากการจัดตั้งค่ายกลพยุหะเป็นไปอย่างสมบูรณ์เต็มรูปแบบแล้ว ในแถวทหารแต่ละแถวจะประกอบด้วยทหารตั้งแถวจำลองจากรูปสัญลักษณ์ของฟ้า ดิน น้ำ ไฟ ลม อสุนีบาต ภูเขา และทะเล สมดุลย์กับธาตุทั้งห้าก็จะสามารถผันแปรไปโดยไม่มีที่สิ้นสุด แต่โจหยินอ่อนหัดในการตั้งค่ายกลพยุหะ จึงทำให้ค่ายกลพยุหะนี้เป็นค่ายกลพยุหะตาย ไม่สามารถผันแปรเปล่งอานุภาพได้ หลังจากนั้นเมื่อครั้งที่เล่าปี่ไปเชิญ   ขงเบ้งที่เขาโงลังกั๋ง ก็เห็นต้นไผ่โดยรอบบ้านของขงเบ้งมีรูปลักษณ์อย่างเดียวกัน แต่มาบัดนี้เมื่อขงเบ้งเป็นผู้ตั้งค่ายกลพยุหะนี้ด้วยตนเอง อานุภาพของค่ายกลจึงมิใช่ค่ายกลพยุหะแบบที่โจหยินตั้ง และมิใช่แค่รั้วไม้ไผ่ที่อาศัยเพียงจิตวิญญาณจากสายลมพลิกพลิ้วแปรขบวน และย่อมมิใช่ก้อนศิลาที่ขงเบ้งตั้งเป็นค่ายกลพยุหะ และอาศัยกระแสลมทำให้ค่ายกลมีชีวิตชีวา แล้วขังลกซุนทหารเอกผู้เรืองนามแห่งเมืองกังตั๋งในครั้งที่ยกกองทัพไล่ตามตีเล่าปี่ หากเป็นขบวนค่ายกลพยุหะที่มีทหารถือธงประจำอยู่ตามจุดชีพจรแห่งค่ายกล รับถ่ายทอดสัญญาณในการพลิกพลิ้วแปรขบวนจากธงสัญญาณของขงเบ้งโดยตรง ดังนั้นค่ายกลพยุหะอัฏฐทิศในครั้งนี้จึงสามารถสำแดงอานุภาพทั้งจริงและมายา พลิกพลิ้วแปรผันไร้จุดเริ่มต้นและจุดสิ้นสุด ไร้ทั้งเงื่อนปมและรอยต่อประดุจดังท้องคลื่นที่ถาโถมกระโจนอยู่ในพระสมุทรอันกว้างใหญ่เวิ้งว้าง ดุจดังธารน้ำตกที่ไหลหลากจากภูผาสูงชันเสียดฟ้า ทุ่มตัวครืนครั่นครึกโครมสะท้านสะเทือนไหวทั่วไพรพนา อานุภาพแห่งค่ายกลในครั้งนี้จึงยิ่งกว่าทหารสิบหมื่นเมื่อครั้งที่เคยขังลกซุนมากมายนัก สำมะหาอะไรกับทหารม้าเพียงเก้าสิบนายที่สุมาอี้จัดเป็นสามขบวนเข้าตีค่ายกลนั้นเล่า

            ค่ายกลชนิดนี้ชีซีซึ่งมีถิ่นฐานภูมิลำเนาแถบเมืองซงหยงทางภาคใต้เรียกว่าค่ายกลพยุหะประตูปราการทองคำแปดทิศ แต่สุมาอี้ซึ่งเป็นเสนาธิการใหญ่แห่งแผ่นดิน ตงง้วนซึ่งเป็นชาวภาคกลางเรียกว่าค่ายกลพยุหะโป๊ยก่วยหรือค่ายกลพยุหะอัฏฐทิศ ส่วนวิธีการเข้าตีนั้นขึ้นอยู่กับว่าได้จัดตั้งประตูกำเนิดไว้ที่ทิศใด เมื่อครั้งที่ชีซีบอกเล่าปี่ให้สั่งจูล่งเข้าตีค่ายกลพยุหะของโจหยินนั้น โจหยินได้ตั้งค่ายกลพยุหะโดยวางประตูกำเนิดไว้ที่ทิศอาคเนย์ ชีซีจึงให้เข้าตีทางทิศอาคเนย์ตรงเข้าไปยังจุดศูนย์กลาง ไปออกประตูธรรมชาติทางด้านทิศประจิม แล้วตีตลบย้อนกลับมาในทิศทางเดิม แต่ครั้งนี้ขงเบ้งตั้งค่ายกลพยุหะวางประตูกำเนิดไว้ข้างทิศบูรพา สุมาอี้จึงกำหนดแผนการเข้าตีอีกอย่างหนึ่ง ซึ่งถ้าหากเป็นค่ายพลพยุหะตายที่ไม่อาจแปรขบวนดุจค่ายกลพยุหะที่มีชีวิตชีวาได้แล้ว ค่ายกลพยุหะนั้นก็ย่อมแตกพ่ายไปตามกลของสุมาอี้ แต่เมื่อค่ายกลครั้งนี้บัญชาการโดยขงเบ้ง ค่ายกลพยุหะจึงมีชีวิตชีวา และพลิกพลิ้วแปรผันเป็นมายาภาพ ทำให้ทหารวุยก๊กถูกทหารเมืองเสฉวนจับตัวไว้ได้จนหมดสิ้น

            เมื่อทหารเมืองเสฉวนจับทหารม้าของสุมาอี้ทั้งเก้าสิบคนแล้ว ได้มัดตัวและคุมเอาเชลยศึกพร้อมทั้งม้าพากลับไปหาขงเบ้ง ท่ามกลางความตกตะลึงพรึงเพริศของสุมาอี้และบรรดาทหารของทั้งสองฝ่าย.

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

ตัวอย่างกระทู้ธรรม ธรรมศึกษาชั้นตรี 5

I miss you all กับ I miss all of you ต่างกันอย่างไร

ปัญหาและเฉลยวิชาธรรม นักธรรมชั้นโท สอบในสนามหลวง วันเสาร์ ที่ ๑๙ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๔๘