ตอนที่ 549. ค่ายกลพยุหะเอกธาตุ
ขงเบ้งทราบว่าโจจิ๋นป่วย และเห็นกองทัพสุมาอี้ยังคงตั้งมั่นอยู่ที่ริมแม่น้ำอุยโหก็รู้ว่าอาการป่วยของโจจิ๋นครั้งนี้เป็นการป่วยหนัก มิฉะนั้นก็ต้องกลับไปรักษาตัวที่เมืองลกเอี๋ยง จึงคิดอุบายส่งจดหมายพิฆาตไปให้โจจิ๋น ครั้นโจจิ๋นทราบความในจดหมายก็ตรอมใจถึงแก่ความตาย พระเจ้าโจยอยทรงพระพิโรธ จึงตรัสสั่งให้สุมาอี้รีบรบพุ่งกับขงเบ้งให้แตกหัก
สุมาอี้ได้ทราบรับสั่งของพระเจ้าโจยอยแล้วก็คิดว่าตัวเราทะนงว่ามีสติปัญญาในการสงครามเป็นอันมาก หาผู้ใดเสมอเหมือนมิได้ แต่หลังจากทำศึกกับขงเบ้งหลายครั้งหลายหนด้วยกลอุบายและฝีมือทหาร ปรากฏว่าไม่เพียงแต่จะไม่ได้ชัยชนะแก่ขงเบ้งเท่านั้น ยังตกเป็นฝ่ายรับและถูกรุกอยู่เสมอ จนล่าสุดก็เสียโจจิ๋นแม่ทัพใหญ่ กองทัพขงเบ้งคิดจะบุกก็บุก คิดจะถอยก็ถอย สุมาอี้จึงคิดว่าซึ่งจะรบพุ่งกันด้วยวิธีการเดิม เห็นจะไม่ได้ชัยชนะแก่ขงเบ้ง ชอบที่จะรบกันด้วยขบวนพยุหะให้ประจักษ์ฝีมือและสติปัญญากับขงเบ้งสักครั้งหนึ่งก่อน ด้วยขงเบ้งนั้นเป็นแต่ชาวป่าบ้านนอก ไหนเลยจะได้ร่ำเรียนวิทยาการเกี่ยวกับค่ายกลพยุหะ ซึ่งเป็นศาสตร์ลี้ลับลึกซึ้งเฉพาะขุนนางผู้ครองอำนาจทหารในแดนเมืองหลวง ตัวเราเป็นเชื้อสายนายทหารผู้ใหญ่แห่งราชสำนัก ได้ร่ำเรียนวิชาค่ายกลพยุหะมาเป็นอันมาก เห็นจะได้ชัยชนะแก่ขงเบ้ง
สุมาอี้คิดดังนั้นแล้วจึงแต่งหนังสือท้าให้ขงเบ้งยกทหารออกมารบพุ่งกันที่ทุ่งราบริมแม่น้ำอุยโหในวันรุ่งขึ้น และสั่งทหารให้เอาหนังสือนั้นไปให้แก่ขงเบ้ง ขงเบ้งเห็นหนังสือแล้วก็รับคำท้าสุมาอี้ และย้ำว่าวันพรุ่งนี้เวลาเช้าให้สุมาอี้ยกทหารมาเถิด จะได้รบพุ่งกันให้ประจักษ์ฝีมือและสติปัญญา
ขงเบ้งพอได้รับหนังสือของสุมาอี้ก็คิดว่า สุมาอี้คุมกำลังตั้งมั่นอยู่ในค่าย ไม่ได้ยกออกมารบเป็นเวลาหลายวัน บัดนี้มีหนังสือมาท้าเราออกไปรบ ชะรอยโจจิ๋นซึ่งป่วยหนักจะถึงแก่ความตายแล้ว ซึ่งสุมาอี้มีหนังสือมาท้ารบครั้งนี้แปลกประหลาดกว่าแต่ก่อนด้วยเป็นการท้ารบบนทุ่งราบระหว่างภูเขากับแม่น้ำ ซึ่งจะรบพุ่งกันก็แต่ด้วยฝีมือทหารเอกหรือขบวนทหาร หรือขบวนพยุหะเท่านั้น ขงเบ้งคิดดังนั้นแล้วจึงพิเคราะห์ต่อไปว่า ซึ่งจะรบกันด้วยฝีมือทหารเอกหรือขบวนทหาร สุมาอี้ย่อมไม่เห็นหนทางจะได้ชัยชนะโดยเด็ดขาด เพราะเคยประจักษ์ฝีมือรบพุ่งกันมาแต่ก่อนหลายครั้งหลายหน คงเหลือแต่การรบด้วยขบวนพยุหะเท่านั้น หนทางนี้เป็นไปได้ยิ่งนักเพราะสุมาอี้ทะนงตัวว่าเป็นเชื้อสายขุนนางฝ่ายทหารแห่งราชสำนัก ได้ร่ำเรียนพิชัยสงครามและค่ายกลพยุหะเป็นอย่างดี คิดว่าเราซึ่งเป็นชนชาวนาสามัญแห่งตำบลลำเอี๋ยง ไหนเลยจะมีโอกาสได้ร่ำเรียนวิทยาการฉะนี้ จึงคิดอ่านจะเอาชนะเราด้วยการรบแบบขบวนพยุหะเป็นมั่นคง
ขงเบ้งคะเนการศึกดังนั้นแล้วจึงเรียกแม่ทัพนายกองทั้งปวงมาสั่งว่า การศึกในวันพรุ่งนี้เห็นจะเป็นการรบพุ่งด้วยขบวนพยุหะ ให้แม่ทัพนายกองทั้งปวงซึ่งเราได้ฝึกปรือค่ายกลพยุหะไว้อย่างช่ำชองนั้นคุมธงขบวนและเตรียมพร้อมที่จะแปรขบวนเป็นพยุหะ เราจะเอาชนะสุมาอี้ให้ประจักษ์สติปัญญาแก่ทหารทั้งสองฝ่ายในวันพรุ่งนี้ให้จงได้ บรรดาแม่ทัพนายกองรับคำขงเบ้งแล้ว ออกไปแจ้งความแก่ทหารใต้บังคับบัญชาให้เตรียมการให้พร้อมตามคำสั่งของขงเบ้ง
ครั้นแม่ทัพนายกองทั้งปวงออกไปแล้ว ในคืนนั้นขงเบ้งได้เรียกเกียงอุยและกวนหินเข้ามาสั่งให้ยกทหารไปซุ่มอยู่ในป่าข้างเนินเขากิสาน และกระซิบสั่งแผนการลับกำชับให้ปฏิบัติโดยเคร่งครัด เกียงอุยและกวนหินได้ทราบแผนการของขงเบ้งแล้วจึงคำนับลาออกไปจัดแจงทหารแล้วยกไปในคืนวันนั้น
วันรุ่งขึ้นพอพระอาทิตย์ทอแสงขึ้นขอบฟ้า ขงเบ้งก็ยกทหารทั้งหมดออกจากค่าย เคลื่อนขบวนทัพไปตั้งอยู่ด้านทิศเหนือของริมแม่น้ำอุยโห ในขณะที่สุมาอี้ก็ยกทหารทั้งหมดออกมาตั้งขบวนอยู่ข้างทิศใต้เผชิญหน้ากับกองทหารของขงเบ้ง แม่น้ำอุยโหและภูเขากิสานอยู่ด้านข้าง และมีทุ่งราบอยู่ระหว่างกลางกองทัพทั้งสองฝ่าย ต่างฝ่ายต่างใช้พลเกาทัณฑ์นับหมื่นเป็นขบวนคุ้มกันให้กับกองทหาร ท่ามกลางธงทิวประจำกองทัพปลิวไสวดูละลานตาทั่วท้องทุ่งกว้าง ประสานกับเสียงกลองรบของทั้งสองฝ่ายส่งเสียงก้องกระหึ่มเร้าใจยิ่ง
ครู่หนึ่งเสียงกลองรบของทั้งสองฝ่ายก็หยุดลง ประตูธงที่อยู่ด้านหน้าสุดของขบวนทหารแต่ละฝ่ายได้เปิดออก สุมาอี้ขี่ม้าออกมาข้างหน้าทหาร ติดตามด้วยทหารองครักษ์ห้าสิบคน ขงเบ้งก็ขี่เกวียนออกไปข้างหน้าทหาร ติดตามด้วยทหารองครักษ์ห้าสิบคนเช่นเดียวกัน ในมือของขงเบ้งถือพัดขนนกโบกไปมาด้วยสีหน้าที่เบิกบานยิ่งนัก
สองพญามังกรสงครามที่รบพุ่งกันมาหลายครั้งหลายหนโดยมิเคยพบปะหน้าตากันแม้แต่สักครั้งเดียว ต่างออกมาเผชิญหน้ากันในระยะห่างเพียงเส้นเศษท่ามกลางการจ้องมองของสายตาทหารของทั้งสองฝ่าย ท่ามกลางสายลมยามเช้าที่โชยแผ่วมาพอเย็นสบาย ภายใต้ธงทิวและขบวนอิสริยยศตามตำแหน่งประดุจดั่งภาพลักษณ์เมื่อครั้งที่เล่าปี่เผชิญหน้ากับโจโฉที่ริมแม่น้ำหันซุยฉะนั้น
สุมาอี้และขงเบ้งคำนับกันตามธรรมเนียมแล้ว สุมาอี้จึงกล่าวว่าเจ้านายเราได้ดำเนินแบบอย่างของพระเจ้าซุนเต้ ที่ได้รับมอบราชสมบัติจากพระเจ้าเงี้ยวเต้ ก่อตั้งราชวงศ์ปกครองขอบขัณฑสีมาสืบมาถึงสองพระองค์แล้ว ทรงเปี่ยมด้วยน้ำใจกรุณาเมตตาต่อสรรพสัตว์ ดังนั้นแม้ง่อก๊กและจ๊กก๊กจะแข็งข้อขัดขืนอยู่ก็มิได้ทรงถือโทษ ด้วยเกรงว่าจะเกิดความเดือดร้อนแก่อาณาประชาราษฎรทั้งปวง ตัวท่านเป็นเพียงชาวนาแห่งตำบลลำเอี๋ยง มิได้ทราบโองการสวรรค์ จึงดึงดันยกกองทัพมาบุกรุกแดนแห่งพระเจ้าอยู่หัวเรา ชอบที่จะถูกกำจัดให้สิ้นสูญ แต่ด้วยเห็นแก่ท่านซึ่งเป็นคนป่าบ้านนอก มิได้รู้ขนบธรรมเนียมประเพณี จึงจะให้โอกาสท่านเลิกทัพกลับไป ต่างคนต่างอยู่อย่าได้เบียดเบียนกันและกัน อาณาประชาราษฎรก็จะมีความสุขสืบไป
สามก๊กฉบับเจ้าพระยาพระคลัง (หน) ได้พรรณนาคำกล่าวของสุมาอี้ว่า “เจ้าเราได้เสวยราชย์ในเมืองหลวงถึงสองชั่วพระองค์แล้ว ก็มิได้ไปทำร้ายแก่เมืองเสฉวนแลเมืองฮันต๋ง ละให้ตั้งอยู่เป็นสุขมาช้านาน เพราะว่ามีความเอ็นดูกรุณาแก่ราษฎรมิให้ได้ความเดือดร้อน แลตัวขงเบ้งนี้เป็นชาวบ้านนอก อยู่ในแว่นแคว้นเมืองลำหยง ควรหรือจะมาขืนแข่งให้เกินชาติภูมิของตัว บังอาจยกทหารล่วงเข้ามาย่ำยีถึงแดนเมืองเราเป็นหลายครั้ง มิบังควรนัก ให้ท่านเร่งคิดห้ามใจอย่าได้กำเริบ จงยกพลทหารกลับไปรักษาเมืองตามประเพณีจะดีกว่า แม้มิกลับไปจะขืนล่วงเข้ามาย่ำยีขอบขัณฑสีมาให้ได้ ชีวิตท่านก็จะมิได้คืนไปเมืองด้วยฝีมือทหารของเรา”
ขงเบ้งได้ยินคำสุมาอี้ดังนั้นก็หัวเราะ แล้วร้องตอบกลับไปว่าตัวเราเป็นชนชาวนาสามัญแห่งตำบลลำเอี๋ยง เฉกเดียวกับอาณาประชาราษฎร์ทั่วแผ่นดินก็จริงอยู่ แต่ได้ถือรับสั่งของพระเจ้าเล่าปี่ซึ่งเป็นเชื้อสายแห่งพระเจ้าฮั่นโกโจองค์พระปฐมกษัตริย์แห่งราชวงศ์ฮั่นอันประเสริฐ ให้ทำนุบำรุงพระเจ้าเล่าเสี้ยนราชบุตร ทำการปราบปรามรวบรวมแผ่นดินเข้าเป็นหนึ่ง ฟื้นฟูพระบรมเดชานุภาพและพระราชวงศ์ฮั่นให้รุ่งเรืองสถาพรสืบไป ตัวท่านก็มีเชื้อสายขุนนางมาถึงสามชั่วอายุคน ปู่ของท่านเป็นขุนนางฝ่ายทหาร ได้รับความไว้วางพระราชหฤทัยจากฮ่องเต้ให้เป็นข้าราชบริพารใกล้ชิด บิดาท่านก็เป็นข้าในพระเจ้าเหี้ยนเต้มาแต่ก่อน ล้วนแล้วแต่เคยกินข้าวแดงแกงร้อนรับเบี้ยหวัดผ้าปีของราชวงศ์ฮั่นตลอดมาจนถึงตัวท่าน ชอบที่ท่านจะได้สำนึกในพระคุณ ทำการถวายโดยสัตย์สุจริตไปจนกว่าจะสิ้นชีวิต น่าละอายใจนักที่ท่านละความจงรักภักดีเสีย กลับไปทำนุบำรุงอุ้มชูโจรชั่วที่คิดคดกบฏต่อเจ้า ชิงเอาราชสมบัติไว้เป็นของตน คนทั้งปวงก็รู้อยู่ทั้งแผ่นดิน ท่านมิรู้สึกละอายแก่ใจบ้างหรือไฉน
สุมาอี้ได้ฟังคำขงเบ้งกล่าวประวัติภูมิหลังตั้งแต่ครั้งพ่อแม่ไปจนถึงรุ่นปู่ด้วยน้ำเสียงที่กังวานได้ยินกันทั่วทั้งสมรภูมิ ก็รู้สึกละอายใจและอัปยศอดสูยิ่งนัก มิรู้ที่จะตอบถ้อยต่อความกับขงเบ้งประการใดต่อไป จึงกล่าวว่า “ถ้าฉะนั้นท่านจะรบกับเราก็รบเถิด”
ขงเบ้งได้คาดคะเนการศึกในวันนี้มาเป็นอย่างดีแล้ว จึงรีบกล่าวสวนมาในทันทีว่า “ท่านจะรบกับเราตัวต่อตัวก็ตาม หรือจะรบด้วยฝีมือทหารเราก็มิกลัว”
ขงเบ้งงำความคิดที่ใคร่รบพุ่งกับสุมาอี้ด้วยขบวนพยุหะไว้ไม่กล่าวถึง สุมาอี้ได้ยินคำขงเบ้งก็คิดว่าซึ่งคาดการณ์ว่าขงเบ้งไม่รู้วิชาค่ายกลพยุหะนั้นจริงแล้ว ขงเบ้งจึงมุ่งท้าแต่จะรบกันด้วยฝีมือตัวต่อตัว หรือรบกันด้วยกำลังฝีมือของทหาร
ยาขอบได้ตั้งข้อสังเกตว่าการที่ขงเบ้งกล่าวคำท้าสุมาอี้ว่าจะรบกันตัวต่อตัวหรือด้วยกำลังทหารนั้นได้แสดงอยู่ในตัวว่าขงเบ้งหาใช่แค่เสนาธิการที่เอาแต่นั่งบนเกวียนถือพัดขนนกบัญชาทหารให้รบพุ่ง หรือเพียงแค่นั่งอยู่ในค่ายเอาแต่คิดกลอุบายเท่านั้นไม่ แต่แสดงให้เห็นว่าขงเบ้งก็มีกำลังฝีมือและรู้วิชายุทธ์เป็นอย่างดีด้วย และวิชายุทธ์ซึ่งขงเบ้งมีนั้นก็หาใช่ขี้ไก่ไม่ จึงหาญกล้าท้าสุมาอี้ให้รบกันตัวต่อตัว เพราะขงเบ้งย่อมรู้ดีว่าสุมาอี้แม้จะไม่มีฝีมือลือชาปรากฏเสมอด้วยกวนอู เตียวหุย หรือจูล่ง แต่ก็เคยนำทัพประมือกับนายทหารเอกของง่อก๊กและจ๊กก๊กมาแล้วหลายครั้งหลายหน ฝีไม้ลายมือของสุมาอี้จึงเข้มแข็งพอตัว แต่ขงเบ้งย่อมมั่นใจในฝีมือรบพุ่งของตัวเองว่าจะเอาชนะแก่สุมาอี้ได้จึงกล้าท้าทายต่อสุมาอี้เช่นนั้น สุมาอี้เสียอีกที่คาดคิดไม่ถึงว่าขงเบ้งจะรอบรู้เจนจบในการรบด้วยค่ายกลพยุหะซึ่งเป็นวิทยาการขั้นสูงของเสนาธิการราชสำนัก จึงหวังจะเอาชนะขงเบ้งด้วยการรบแบบค่ายกลพยุหะ และด้วยวิสัยสุมาอี้ซึ่งรอบคอบเฉลียวฉลาดลึกซึ้ง ย่อมคาดคะเนได้ว่าการที่ขงเบ้งท้าทายให้รบกันตัวต่อตัวนั้น ถึงแม้จะออกไปรบกับขงเบ้งตามคำท้าก็จะไม่ได้ชัยชนะ
สุมาอี้จึงรีบตอบคำขงเบ้งว่า ถ้าเช่นนั้นเรามารบกันด้วยค่ายกลพยุหะก่อน ถ้าแม้นท่านเอาชนะข้าพเจ้าได้ ข้าพเจ้าขอสาบานว่านับแต่วันนี้ไปจะไม่ยอมนำกองทัพมาสู้รบกับท่านอีก แต่ถ้าหากท่านพ่ายแพ้แก่ข้าพเจ้า ก็จงรีบนำทหารกลับไปเมืองเสฉวน แล้วให้ท่านลาออกจากราชการกลับไปอยู่ตำบลลำเอี๋ยงตามปกติสุข ข้าพเจ้าจะไม่ติดตามไปรบกวนทำร้ายแต่ประการใด
ขงเบ้งจึงตอบกลับไปว่า เมื่อเป็นเช่นนี้ก็ให้ท่านตั้งค่ายกลพยุหะให้ข้าพเจ้าดูก่อน
สุมาอี้ได้ฟังดังนั้นจึงขี่ม้ากลับเข้าไปในขบวนทหาร เรียกเอาธงเหลืองประจำตัวนายทัพมาถือ แล้วโบกธงเป็นสัญญาณ บรรดาขบวนทหารของสุมาอี้ก็แปรขบวนไปตามเชิงชั้นขบวนกลที่ได้ฝึกฝนมาอย่างช่ำชอง ในขณะที่พลกลองม้าล่อก็ตีม้าล่อฆ้องกลองเสียงดังสนั่นกึกก้องทั่วท้องทุ่ง
พักหนึ่งเสียงม้าล่อฆ้องกลองจากกองทัพสุมาอี้ก็หยุดลง ขบวนทหารของสุมาอี้ได้แปรขบวนเป็นรูปลักษณ์หยินหยางอยู่ภายในวงกลม พร้อมที่จะหมุนเวียนรุกรับดังกงจักรผัน สุมาอี้ได้ขี่ม้าออกมาข้างหน้าขบวนค่ายกลพยุหะ ในขณะที่ขงเบ้งยังคงนั่งอยู่บนเกวียนเบื้องหน้าขบวนทหารจ๊กก๊กด้วยสีหน้าที่ทำทีเป็นตะลึงงัน
สุมาอี้ขี่ม้าเข้ามาห่างจากขงเบ้งระยะเส้นเศษจึงหยุดม้าไว้ แล้วจ้องไปที่หน้าขงเบ้งด้วยความกระหยิ่มยิ้มย่อง และร้องถามขงเบ้งว่าซึ่งเราได้ตั้งค่ายกลพยุหะครั้งนี้ ท่านได้เห็นแก่ตาแล้ว อยากจะทราบว่าท่านรู้จักค่ายกลพยุหะชนิดนี้หรือไม่
ขงเบ้งได้ยินดังนั้นก็หัวเราะ ในมือก็โบกพัดขนนกไปมา และตอบกลับไปในทันทีว่า ค่ายกลพยุหะนี้นะหรือทหารชั้นปลายแถวของเมืองเสฉวนก็สามารถจัดตั้งได้ ท่านเอาอะไรมาอวดแก่เราเล่า
สุมาอี้ได้ยินคำขงเบ้งก็สำคัญว่าขงเบ้งไม่รู้จักค่ายกลพยุหะ แต่แสร้งกลบเกลื่อนข่มขวัญ จึงร้องถามมาอีกว่าซึ่งท่านอ้างว่ารู้จักค่ายกลพยุหะนี้ จงบอกมาหน่อยเถิดว่าค่ายกลพยุหะนี้มีชื่อว่าอะไร
ขงเบ้งจ้องไปที่หน้าสุมาอี้แล้วกล่าวว่า ขบวนพยุหะสำหรับเด็กเล่นนี้มีชื่อว่า “อิคุยติ๋มพยุหะ” หรือค่ายกลพยุหะเอกธาตุ เป็นค่ายกลพยุหะที่จำลองจากความเป็นเอกภาพของจักรวาล รวม หยินหยางไว้เป็นหนึ่งเดียว แปรขบวนพลิกพลิ้วไหลหลั่งไร้ปมเงื่อน หน้ารับหลังรุก หน้ารุกหลังรับ ด้านหนึ่งรวมศูนย์ ด้านหนึ่งกระจาย คล้ายกับจักรวาลที่แม้ดูเหมือนหนึ่งเดียว แต่ย่อมประกอบด้วยพระอาทิตย์ พระจันทร์ และดาราพรายพร่าง แต่สรรพสิ่งล้วนเป็นมายาภาพอันหาแก่นสารมิได้เท่านั้น.
สุมาอี้ได้ทราบรับสั่งของพระเจ้าโจยอยแล้วก็คิดว่าตัวเราทะนงว่ามีสติปัญญาในการสงครามเป็นอันมาก หาผู้ใดเสมอเหมือนมิได้ แต่หลังจากทำศึกกับขงเบ้งหลายครั้งหลายหนด้วยกลอุบายและฝีมือทหาร ปรากฏว่าไม่เพียงแต่จะไม่ได้ชัยชนะแก่ขงเบ้งเท่านั้น ยังตกเป็นฝ่ายรับและถูกรุกอยู่เสมอ จนล่าสุดก็เสียโจจิ๋นแม่ทัพใหญ่ กองทัพขงเบ้งคิดจะบุกก็บุก คิดจะถอยก็ถอย สุมาอี้จึงคิดว่าซึ่งจะรบพุ่งกันด้วยวิธีการเดิม เห็นจะไม่ได้ชัยชนะแก่ขงเบ้ง ชอบที่จะรบกันด้วยขบวนพยุหะให้ประจักษ์ฝีมือและสติปัญญากับขงเบ้งสักครั้งหนึ่งก่อน ด้วยขงเบ้งนั้นเป็นแต่ชาวป่าบ้านนอก ไหนเลยจะได้ร่ำเรียนวิทยาการเกี่ยวกับค่ายกลพยุหะ ซึ่งเป็นศาสตร์ลี้ลับลึกซึ้งเฉพาะขุนนางผู้ครองอำนาจทหารในแดนเมืองหลวง ตัวเราเป็นเชื้อสายนายทหารผู้ใหญ่แห่งราชสำนัก ได้ร่ำเรียนวิชาค่ายกลพยุหะมาเป็นอันมาก เห็นจะได้ชัยชนะแก่ขงเบ้ง
สุมาอี้คิดดังนั้นแล้วจึงแต่งหนังสือท้าให้ขงเบ้งยกทหารออกมารบพุ่งกันที่ทุ่งราบริมแม่น้ำอุยโหในวันรุ่งขึ้น และสั่งทหารให้เอาหนังสือนั้นไปให้แก่ขงเบ้ง ขงเบ้งเห็นหนังสือแล้วก็รับคำท้าสุมาอี้ และย้ำว่าวันพรุ่งนี้เวลาเช้าให้สุมาอี้ยกทหารมาเถิด จะได้รบพุ่งกันให้ประจักษ์ฝีมือและสติปัญญา
ขงเบ้งพอได้รับหนังสือของสุมาอี้ก็คิดว่า สุมาอี้คุมกำลังตั้งมั่นอยู่ในค่าย ไม่ได้ยกออกมารบเป็นเวลาหลายวัน บัดนี้มีหนังสือมาท้าเราออกไปรบ ชะรอยโจจิ๋นซึ่งป่วยหนักจะถึงแก่ความตายแล้ว ซึ่งสุมาอี้มีหนังสือมาท้ารบครั้งนี้แปลกประหลาดกว่าแต่ก่อนด้วยเป็นการท้ารบบนทุ่งราบระหว่างภูเขากับแม่น้ำ ซึ่งจะรบพุ่งกันก็แต่ด้วยฝีมือทหารเอกหรือขบวนทหาร หรือขบวนพยุหะเท่านั้น ขงเบ้งคิดดังนั้นแล้วจึงพิเคราะห์ต่อไปว่า ซึ่งจะรบกันด้วยฝีมือทหารเอกหรือขบวนทหาร สุมาอี้ย่อมไม่เห็นหนทางจะได้ชัยชนะโดยเด็ดขาด เพราะเคยประจักษ์ฝีมือรบพุ่งกันมาแต่ก่อนหลายครั้งหลายหน คงเหลือแต่การรบด้วยขบวนพยุหะเท่านั้น หนทางนี้เป็นไปได้ยิ่งนักเพราะสุมาอี้ทะนงตัวว่าเป็นเชื้อสายขุนนางฝ่ายทหารแห่งราชสำนัก ได้ร่ำเรียนพิชัยสงครามและค่ายกลพยุหะเป็นอย่างดี คิดว่าเราซึ่งเป็นชนชาวนาสามัญแห่งตำบลลำเอี๋ยง ไหนเลยจะมีโอกาสได้ร่ำเรียนวิทยาการฉะนี้ จึงคิดอ่านจะเอาชนะเราด้วยการรบแบบขบวนพยุหะเป็นมั่นคง
ขงเบ้งคะเนการศึกดังนั้นแล้วจึงเรียกแม่ทัพนายกองทั้งปวงมาสั่งว่า การศึกในวันพรุ่งนี้เห็นจะเป็นการรบพุ่งด้วยขบวนพยุหะ ให้แม่ทัพนายกองทั้งปวงซึ่งเราได้ฝึกปรือค่ายกลพยุหะไว้อย่างช่ำชองนั้นคุมธงขบวนและเตรียมพร้อมที่จะแปรขบวนเป็นพยุหะ เราจะเอาชนะสุมาอี้ให้ประจักษ์สติปัญญาแก่ทหารทั้งสองฝ่ายในวันพรุ่งนี้ให้จงได้ บรรดาแม่ทัพนายกองรับคำขงเบ้งแล้ว ออกไปแจ้งความแก่ทหารใต้บังคับบัญชาให้เตรียมการให้พร้อมตามคำสั่งของขงเบ้ง
ครั้นแม่ทัพนายกองทั้งปวงออกไปแล้ว ในคืนนั้นขงเบ้งได้เรียกเกียงอุยและกวนหินเข้ามาสั่งให้ยกทหารไปซุ่มอยู่ในป่าข้างเนินเขากิสาน และกระซิบสั่งแผนการลับกำชับให้ปฏิบัติโดยเคร่งครัด เกียงอุยและกวนหินได้ทราบแผนการของขงเบ้งแล้วจึงคำนับลาออกไปจัดแจงทหารแล้วยกไปในคืนวันนั้น
วันรุ่งขึ้นพอพระอาทิตย์ทอแสงขึ้นขอบฟ้า ขงเบ้งก็ยกทหารทั้งหมดออกจากค่าย เคลื่อนขบวนทัพไปตั้งอยู่ด้านทิศเหนือของริมแม่น้ำอุยโห ในขณะที่สุมาอี้ก็ยกทหารทั้งหมดออกมาตั้งขบวนอยู่ข้างทิศใต้เผชิญหน้ากับกองทหารของขงเบ้ง แม่น้ำอุยโหและภูเขากิสานอยู่ด้านข้าง และมีทุ่งราบอยู่ระหว่างกลางกองทัพทั้งสองฝ่าย ต่างฝ่ายต่างใช้พลเกาทัณฑ์นับหมื่นเป็นขบวนคุ้มกันให้กับกองทหาร ท่ามกลางธงทิวประจำกองทัพปลิวไสวดูละลานตาทั่วท้องทุ่งกว้าง ประสานกับเสียงกลองรบของทั้งสองฝ่ายส่งเสียงก้องกระหึ่มเร้าใจยิ่ง
ครู่หนึ่งเสียงกลองรบของทั้งสองฝ่ายก็หยุดลง ประตูธงที่อยู่ด้านหน้าสุดของขบวนทหารแต่ละฝ่ายได้เปิดออก สุมาอี้ขี่ม้าออกมาข้างหน้าทหาร ติดตามด้วยทหารองครักษ์ห้าสิบคน ขงเบ้งก็ขี่เกวียนออกไปข้างหน้าทหาร ติดตามด้วยทหารองครักษ์ห้าสิบคนเช่นเดียวกัน ในมือของขงเบ้งถือพัดขนนกโบกไปมาด้วยสีหน้าที่เบิกบานยิ่งนัก
สองพญามังกรสงครามที่รบพุ่งกันมาหลายครั้งหลายหนโดยมิเคยพบปะหน้าตากันแม้แต่สักครั้งเดียว ต่างออกมาเผชิญหน้ากันในระยะห่างเพียงเส้นเศษท่ามกลางการจ้องมองของสายตาทหารของทั้งสองฝ่าย ท่ามกลางสายลมยามเช้าที่โชยแผ่วมาพอเย็นสบาย ภายใต้ธงทิวและขบวนอิสริยยศตามตำแหน่งประดุจดั่งภาพลักษณ์เมื่อครั้งที่เล่าปี่เผชิญหน้ากับโจโฉที่ริมแม่น้ำหันซุยฉะนั้น
สุมาอี้และขงเบ้งคำนับกันตามธรรมเนียมแล้ว สุมาอี้จึงกล่าวว่าเจ้านายเราได้ดำเนินแบบอย่างของพระเจ้าซุนเต้ ที่ได้รับมอบราชสมบัติจากพระเจ้าเงี้ยวเต้ ก่อตั้งราชวงศ์ปกครองขอบขัณฑสีมาสืบมาถึงสองพระองค์แล้ว ทรงเปี่ยมด้วยน้ำใจกรุณาเมตตาต่อสรรพสัตว์ ดังนั้นแม้ง่อก๊กและจ๊กก๊กจะแข็งข้อขัดขืนอยู่ก็มิได้ทรงถือโทษ ด้วยเกรงว่าจะเกิดความเดือดร้อนแก่อาณาประชาราษฎรทั้งปวง ตัวท่านเป็นเพียงชาวนาแห่งตำบลลำเอี๋ยง มิได้ทราบโองการสวรรค์ จึงดึงดันยกกองทัพมาบุกรุกแดนแห่งพระเจ้าอยู่หัวเรา ชอบที่จะถูกกำจัดให้สิ้นสูญ แต่ด้วยเห็นแก่ท่านซึ่งเป็นคนป่าบ้านนอก มิได้รู้ขนบธรรมเนียมประเพณี จึงจะให้โอกาสท่านเลิกทัพกลับไป ต่างคนต่างอยู่อย่าได้เบียดเบียนกันและกัน อาณาประชาราษฎรก็จะมีความสุขสืบไป
สามก๊กฉบับเจ้าพระยาพระคลัง (หน) ได้พรรณนาคำกล่าวของสุมาอี้ว่า “เจ้าเราได้เสวยราชย์ในเมืองหลวงถึงสองชั่วพระองค์แล้ว ก็มิได้ไปทำร้ายแก่เมืองเสฉวนแลเมืองฮันต๋ง ละให้ตั้งอยู่เป็นสุขมาช้านาน เพราะว่ามีความเอ็นดูกรุณาแก่ราษฎรมิให้ได้ความเดือดร้อน แลตัวขงเบ้งนี้เป็นชาวบ้านนอก อยู่ในแว่นแคว้นเมืองลำหยง ควรหรือจะมาขืนแข่งให้เกินชาติภูมิของตัว บังอาจยกทหารล่วงเข้ามาย่ำยีถึงแดนเมืองเราเป็นหลายครั้ง มิบังควรนัก ให้ท่านเร่งคิดห้ามใจอย่าได้กำเริบ จงยกพลทหารกลับไปรักษาเมืองตามประเพณีจะดีกว่า แม้มิกลับไปจะขืนล่วงเข้ามาย่ำยีขอบขัณฑสีมาให้ได้ ชีวิตท่านก็จะมิได้คืนไปเมืองด้วยฝีมือทหารของเรา”
ขงเบ้งได้ยินคำสุมาอี้ดังนั้นก็หัวเราะ แล้วร้องตอบกลับไปว่าตัวเราเป็นชนชาวนาสามัญแห่งตำบลลำเอี๋ยง เฉกเดียวกับอาณาประชาราษฎร์ทั่วแผ่นดินก็จริงอยู่ แต่ได้ถือรับสั่งของพระเจ้าเล่าปี่ซึ่งเป็นเชื้อสายแห่งพระเจ้าฮั่นโกโจองค์พระปฐมกษัตริย์แห่งราชวงศ์ฮั่นอันประเสริฐ ให้ทำนุบำรุงพระเจ้าเล่าเสี้ยนราชบุตร ทำการปราบปรามรวบรวมแผ่นดินเข้าเป็นหนึ่ง ฟื้นฟูพระบรมเดชานุภาพและพระราชวงศ์ฮั่นให้รุ่งเรืองสถาพรสืบไป ตัวท่านก็มีเชื้อสายขุนนางมาถึงสามชั่วอายุคน ปู่ของท่านเป็นขุนนางฝ่ายทหาร ได้รับความไว้วางพระราชหฤทัยจากฮ่องเต้ให้เป็นข้าราชบริพารใกล้ชิด บิดาท่านก็เป็นข้าในพระเจ้าเหี้ยนเต้มาแต่ก่อน ล้วนแล้วแต่เคยกินข้าวแดงแกงร้อนรับเบี้ยหวัดผ้าปีของราชวงศ์ฮั่นตลอดมาจนถึงตัวท่าน ชอบที่ท่านจะได้สำนึกในพระคุณ ทำการถวายโดยสัตย์สุจริตไปจนกว่าจะสิ้นชีวิต น่าละอายใจนักที่ท่านละความจงรักภักดีเสีย กลับไปทำนุบำรุงอุ้มชูโจรชั่วที่คิดคดกบฏต่อเจ้า ชิงเอาราชสมบัติไว้เป็นของตน คนทั้งปวงก็รู้อยู่ทั้งแผ่นดิน ท่านมิรู้สึกละอายแก่ใจบ้างหรือไฉน
สุมาอี้ได้ฟังคำขงเบ้งกล่าวประวัติภูมิหลังตั้งแต่ครั้งพ่อแม่ไปจนถึงรุ่นปู่ด้วยน้ำเสียงที่กังวานได้ยินกันทั่วทั้งสมรภูมิ ก็รู้สึกละอายใจและอัปยศอดสูยิ่งนัก มิรู้ที่จะตอบถ้อยต่อความกับขงเบ้งประการใดต่อไป จึงกล่าวว่า “ถ้าฉะนั้นท่านจะรบกับเราก็รบเถิด”
ขงเบ้งได้คาดคะเนการศึกในวันนี้มาเป็นอย่างดีแล้ว จึงรีบกล่าวสวนมาในทันทีว่า “ท่านจะรบกับเราตัวต่อตัวก็ตาม หรือจะรบด้วยฝีมือทหารเราก็มิกลัว”
ขงเบ้งงำความคิดที่ใคร่รบพุ่งกับสุมาอี้ด้วยขบวนพยุหะไว้ไม่กล่าวถึง สุมาอี้ได้ยินคำขงเบ้งก็คิดว่าซึ่งคาดการณ์ว่าขงเบ้งไม่รู้วิชาค่ายกลพยุหะนั้นจริงแล้ว ขงเบ้งจึงมุ่งท้าแต่จะรบกันด้วยฝีมือตัวต่อตัว หรือรบกันด้วยกำลังฝีมือของทหาร
ยาขอบได้ตั้งข้อสังเกตว่าการที่ขงเบ้งกล่าวคำท้าสุมาอี้ว่าจะรบกันตัวต่อตัวหรือด้วยกำลังทหารนั้นได้แสดงอยู่ในตัวว่าขงเบ้งหาใช่แค่เสนาธิการที่เอาแต่นั่งบนเกวียนถือพัดขนนกบัญชาทหารให้รบพุ่ง หรือเพียงแค่นั่งอยู่ในค่ายเอาแต่คิดกลอุบายเท่านั้นไม่ แต่แสดงให้เห็นว่าขงเบ้งก็มีกำลังฝีมือและรู้วิชายุทธ์เป็นอย่างดีด้วย และวิชายุทธ์ซึ่งขงเบ้งมีนั้นก็หาใช่ขี้ไก่ไม่ จึงหาญกล้าท้าสุมาอี้ให้รบกันตัวต่อตัว เพราะขงเบ้งย่อมรู้ดีว่าสุมาอี้แม้จะไม่มีฝีมือลือชาปรากฏเสมอด้วยกวนอู เตียวหุย หรือจูล่ง แต่ก็เคยนำทัพประมือกับนายทหารเอกของง่อก๊กและจ๊กก๊กมาแล้วหลายครั้งหลายหน ฝีไม้ลายมือของสุมาอี้จึงเข้มแข็งพอตัว แต่ขงเบ้งย่อมมั่นใจในฝีมือรบพุ่งของตัวเองว่าจะเอาชนะแก่สุมาอี้ได้จึงกล้าท้าทายต่อสุมาอี้เช่นนั้น สุมาอี้เสียอีกที่คาดคิดไม่ถึงว่าขงเบ้งจะรอบรู้เจนจบในการรบด้วยค่ายกลพยุหะซึ่งเป็นวิทยาการขั้นสูงของเสนาธิการราชสำนัก จึงหวังจะเอาชนะขงเบ้งด้วยการรบแบบค่ายกลพยุหะ และด้วยวิสัยสุมาอี้ซึ่งรอบคอบเฉลียวฉลาดลึกซึ้ง ย่อมคาดคะเนได้ว่าการที่ขงเบ้งท้าทายให้รบกันตัวต่อตัวนั้น ถึงแม้จะออกไปรบกับขงเบ้งตามคำท้าก็จะไม่ได้ชัยชนะ
สุมาอี้จึงรีบตอบคำขงเบ้งว่า ถ้าเช่นนั้นเรามารบกันด้วยค่ายกลพยุหะก่อน ถ้าแม้นท่านเอาชนะข้าพเจ้าได้ ข้าพเจ้าขอสาบานว่านับแต่วันนี้ไปจะไม่ยอมนำกองทัพมาสู้รบกับท่านอีก แต่ถ้าหากท่านพ่ายแพ้แก่ข้าพเจ้า ก็จงรีบนำทหารกลับไปเมืองเสฉวน แล้วให้ท่านลาออกจากราชการกลับไปอยู่ตำบลลำเอี๋ยงตามปกติสุข ข้าพเจ้าจะไม่ติดตามไปรบกวนทำร้ายแต่ประการใด
ขงเบ้งจึงตอบกลับไปว่า เมื่อเป็นเช่นนี้ก็ให้ท่านตั้งค่ายกลพยุหะให้ข้าพเจ้าดูก่อน
สุมาอี้ได้ฟังดังนั้นจึงขี่ม้ากลับเข้าไปในขบวนทหาร เรียกเอาธงเหลืองประจำตัวนายทัพมาถือ แล้วโบกธงเป็นสัญญาณ บรรดาขบวนทหารของสุมาอี้ก็แปรขบวนไปตามเชิงชั้นขบวนกลที่ได้ฝึกฝนมาอย่างช่ำชอง ในขณะที่พลกลองม้าล่อก็ตีม้าล่อฆ้องกลองเสียงดังสนั่นกึกก้องทั่วท้องทุ่ง
พักหนึ่งเสียงม้าล่อฆ้องกลองจากกองทัพสุมาอี้ก็หยุดลง ขบวนทหารของสุมาอี้ได้แปรขบวนเป็นรูปลักษณ์หยินหยางอยู่ภายในวงกลม พร้อมที่จะหมุนเวียนรุกรับดังกงจักรผัน สุมาอี้ได้ขี่ม้าออกมาข้างหน้าขบวนค่ายกลพยุหะ ในขณะที่ขงเบ้งยังคงนั่งอยู่บนเกวียนเบื้องหน้าขบวนทหารจ๊กก๊กด้วยสีหน้าที่ทำทีเป็นตะลึงงัน
สุมาอี้ขี่ม้าเข้ามาห่างจากขงเบ้งระยะเส้นเศษจึงหยุดม้าไว้ แล้วจ้องไปที่หน้าขงเบ้งด้วยความกระหยิ่มยิ้มย่อง และร้องถามขงเบ้งว่าซึ่งเราได้ตั้งค่ายกลพยุหะครั้งนี้ ท่านได้เห็นแก่ตาแล้ว อยากจะทราบว่าท่านรู้จักค่ายกลพยุหะชนิดนี้หรือไม่
ขงเบ้งได้ยินดังนั้นก็หัวเราะ ในมือก็โบกพัดขนนกไปมา และตอบกลับไปในทันทีว่า ค่ายกลพยุหะนี้นะหรือทหารชั้นปลายแถวของเมืองเสฉวนก็สามารถจัดตั้งได้ ท่านเอาอะไรมาอวดแก่เราเล่า
สุมาอี้ได้ยินคำขงเบ้งก็สำคัญว่าขงเบ้งไม่รู้จักค่ายกลพยุหะ แต่แสร้งกลบเกลื่อนข่มขวัญ จึงร้องถามมาอีกว่าซึ่งท่านอ้างว่ารู้จักค่ายกลพยุหะนี้ จงบอกมาหน่อยเถิดว่าค่ายกลพยุหะนี้มีชื่อว่าอะไร
ขงเบ้งจ้องไปที่หน้าสุมาอี้แล้วกล่าวว่า ขบวนพยุหะสำหรับเด็กเล่นนี้มีชื่อว่า “อิคุยติ๋มพยุหะ” หรือค่ายกลพยุหะเอกธาตุ เป็นค่ายกลพยุหะที่จำลองจากความเป็นเอกภาพของจักรวาล รวม หยินหยางไว้เป็นหนึ่งเดียว แปรขบวนพลิกพลิ้วไหลหลั่งไร้ปมเงื่อน หน้ารับหลังรุก หน้ารุกหลังรับ ด้านหนึ่งรวมศูนย์ ด้านหนึ่งกระจาย คล้ายกับจักรวาลที่แม้ดูเหมือนหนึ่งเดียว แต่ย่อมประกอบด้วยพระอาทิตย์ พระจันทร์ และดาราพรายพร่าง แต่สรรพสิ่งล้วนเป็นมายาภาพอันหาแก่นสารมิได้เท่านั้น.