ตอนที่ 548. อุบาย "จดหมายพิฆาต"

ขงเบ้งคิดกลอุบายเข้ายึดค่ายโจจิ๋นและยึดชัยภูมิตำบลเขากิสานได้แล้ว ทำให้ สุมาอี้ไม่สามารถตั้งกองทัพอยู่ที่ปากทางกิก๊กได้อีกต่อไป จำต้องล่าถอยทัพไปตั้งรับอยู่ที่ริมแม่น้ำอุยโหซึ่งเป็นทุ่งราบกว้าง อยู่ระหว่างแม่น้ำอุยโหด้านหนึ่งและภูเขากิสานอีกด้านหนึ่ง ในขณะนั้นโจจิ๋นซึ่งเสียทีตรอมใจได้ล้มป่วยและอาการทรุดหนักลง

            ฝ่ายอุยเอี๋ยนหลังจากถูกกองทัพสุมาอี้ตีถอยร่นกลับเข้ามาอยู่ในหุบเขาจำก๊กแล้วก็ตั้งค่ายมั่นไว้ ครั้นทราบว่าขงเบ้งยึดได้ตำบลเขากิสาน และกองทัพสุมาอี้ได้ถอยออกไปจากปากทางกิก๊กแล้ว จึงพาแม่ทัพนายกองและทหารไปหาขงเบ้งที่ตำบลเขากิสาน

            ครั้นถึงตำบลเขากิสานแล้ว อุยเอี๋ยน ตันเซ็ก เตาเขงและเตียวหงี จึงพากันเข้าไปคำนับขงเบ้ง สารภาพผิดที่ฝ่าฝืนคำสั่งจนต้องพลาดท่าเสียทีแก่ข้าศึก

            ขงเบ้งเห็นสี่นายทหารดังนั้นจึงถามว่า ซึ่งพวกท่านยกกองทัพไปทางตำบลกิก๊กแล้วพลาดท่าเสียทีแก่ข้าศึก ทั้ง ๆ ที่เราได้ให้เตงจี๋ไปกำชับแล้ว จงบอกมาแต่ตามตรงว่าผู้ใดละเมิดคำสั่งเรา

            อุยเอี๋ยนสังเกตเห็นสีหน้าขงเบ้งขึงขังจริงจังดังนั้นก็หวั่นใจ จึงรีบรายงานว่าการทั้งนี้เกิดแต่ตันเซ็กไม่ฟังคำสั่งของมหาอุปราช คิดประมาทยกทหารไปโดยมิได้ระมัดระวัง จึงเสียทีแก่สุมาอี้ ต้องสูญเสียทหารกว่าสี่พันคน

            ตันเซ็กได้ยินคำอุยเอี๋ยนปัดผิดมาให้ตัวดังนั้น ก็รีบคุกเข่าลงคำนับขงเบ้งแล้วกล่าวว่า ข้าพเจ้าเป็นแต่นายทหารรอง ไม่อาจยกไปทำการตามอำเภอน้ำใจได้ ซึ่งยกไปในครั้งนี้ก็เพราะอุยเอี๋ยนมีคำสั่งให้ข้าพเจ้ายกทหารเป็นกองหน้า จึงพลาดท่าเสียทีแก่ข้าศึก ความผิดจึงตกแก่อุยเอี๋ยน

            ขงเบ้งได้ฟังคำรายงานของอุยเอี๋ยนและตันเซ็กซัดทอดกันและกันดังนั้นก็รู้ว่าทั้งอุยเอี๋ยนและตันเซ็กต่างก็มีน้ำใจคด ไม่เชื่อฟังคำบังคับบัญชา แต่อุยเอี๋ยนนั้นเป็นนายทหารเสือ มีฝีมือและกำลังเป็นอันมาก ยังจำเป็นต้องอาศัยใช้สอยไปพลางก่อน ส่วนตันเซ็กนั้นหากปล่อยไว้ก็จะกลายเป็นกำลังให้แก่อุยเอี๋ยนในวันข้างหน้า จำจะลิดรอนกำจัดตันเซ็กเสียก่อน ทั้งจะเป็นการประโลมใจอุยเอี๋ยนให้วางใจไปในตัวด้วย

            ขงเบ้งคิดดังนั้นจึงหันไปทางตันเซ็ก แล้วกล่าวด้วยน้ำเสียงขุ่นเคืองว่า “อุยเอี๋ยนยกทหารไปช่วยท่านอีก จึงรอดจากความตายมา เหตุไฉนท่านจึงซัดเอาอุยเอี๋ยนเล่า ซึ่งท่านมิอยู่ในบังคับเรา ทำให้เสียการทั้งนี้ ครั้นจะยกโทษเสียก็มิได้ ไปเบื้องหน้าทหารก็จะเอาเยี่ยงอย่างสืบไป”

            ขงเบ้งกล่าวแล้วก็สั่งทหารให้คุมตัวตันเซ็กเอาไปตัดศีรษะ ตันเซ็กพอได้ยินคำสั่งก็โกรธ ร้องด่าอุยเอี๋ยนอย่างหยาบคายว่าไอ้คนหน้าตัวเมีย ทำผิดแล้วไม่ยอมรับผิด อุยเอี๋ยนได้ยินคำตันเซ็กก็แสร้งเบือนหน้าหนีไปอีกทางหนึ่ง ผู้คุมจึงคุมตัวตันเซ็กออกไปจากค่ายของขงเบ้ง

            ในระหว่างทางที่ถูกควบคุมตัวไปลานประหารนั้น ตันเซ็กได้ทอดถอนใจใหญ่ หมดอาลัยตายอยากแก่ชีวิต แล้วกล่าวกับผู้คุมว่า เกิดเป็นชาติทหาร จะทำการดีชั่ว เป็นตายประการใด ขึ้นอยู่กับน้ำใจนายว่าเอื้ออาทรเป็นทุกข์ร้อนกับผู้ใต้บังคับบัญชาหรือหาไม่ ซึ่งผู้ใดจะทำการรับใช้ท่านไปในวันหน้า จงพิเคราะห์น้ำใจนายให้จงดีว่าเป็นผู้นำที่มีความกล้าหาญและมีคุณธรรมเพรียบพร้อมหรือหาไม่ หากได้นายที่คิดเอาแต่ตัวรอด มืดบอดด้วยสติปัญญา มีแต่ความโลเล หาความแน่นอนอันใดมิได้แล้ว ต่อให้มีสติปัญญาและฝีมือสักเพียงไหน ก็ไม่อาจมีความก้าวหน้าใด ๆ ได้ ดีร้ายก็จะตกตายเสียเปล่า ๆ

            ตันเซ็กกล่าวแล้วก็ก้มหน้าคอตก จนผู้คุมนำไปถึงลานประหารแล้วตัดศีรษะเสียบประจานไว้ไม่ให้เป็นเยี่ยงอย่างแก่คนทั้งปวง

            ฝ่ายขงเบ้งเห็นกองทัพสุมาอี้ตั้งมั่นอยู่ในค่าย ไม่ยอมยกทหารออกมาสู้รบก็คิดสงสัยว่าคงเกิดเหตุสิ่งใดขึ้นในกองทัพสุมาอี้ จึงให้ทหารปลอมตัวเป็นชาวบ้านไปสอดแนม ต่อมาหน่วยสอดแนมก็ได้นำความมารายงานว่า บัดนี้โจจิ๋นแม่ทัพใหญ่ของวุยก๊กป่วยหนัก ต้องพักรักษาตัวอยู่ในค่าย ไม่สามารถออกว่าราชการได้ตามปกติ

            ขงเบ้งได้ทราบรายงานก็ปรารภว่า อาการป่วยของโจจิ๋นครั้งนี้เห็นทีจะหนักขั้นอุกฤต หาไม่แล้วสุมาอี้ก็ต้องจัดให้โจจิ๋นกลับไปพักรักษาตัวที่เมืองลกเอี๋ยง หรือมิฉะนั้นก็ต้องเลิกทัพกลับไปก่อน ซึ่งโจจิ๋นป่วยครั้งนี้แม้ไม่ถึงตาย เราก็จะทำให้โจจิ๋นตายให้จงได้

            ปรารภดังนั้นแล้วขงเบ้งจึงแต่งจดหมายฉบับหนึ่งปิดผนึกใส่ซองไว้ แล้วให้เรียกเชลยศึกซึ่งเป็นทหารของจิ้นเหลียงสี่พันคนซึ่งจับไว้ได้นั้นมาชุมนุมพร้อมกันที่หน้าค่าย และเรียกเชลยศึกที่เป็นนายกองหกเจ็ดคนเข้ามาข้างในค่าย

            เชลยศึกที่เป็นนายกองเข้าไปในค่ายของขงเบ้งแล้ว คุกเข่าลงคำนับขงเบ้งตามธรรมเนียม ขงเบ้งเห็นดังนั้นจึงกล่าวว่า พวกท่านทั้งปวงเป็นทหารเมืองลกเอี๋ยง ซึ่งยอมสวามิภักดิ์ต่อเรานั้นก็ขอบใจ แต่เรามาคำนึงว่าพวกท่านต่างคนต่างก็มีครอบครัวบุตรภรรยาและพี่น้อง หากเราจะเอาตัวกลับไปเมืองเสฉวนก็จะเป็นการพรากผัวจากลูกเมียครอบครัว จะเป็นบาปกรรมแก่เราไปในภายหน้า เราจึงคิดนิรโทษกรรมปล่อยพวกท่านกลับไปเมือง ท่านจะคิดเห็นเป็นประการใด

            นายกองที่เป็นเชลยศึกได้ยินคำขงเบ้งดังนั้นก็รู้สึกตื้นตันใจ พากันร้องไห้ คำนับขงเบ้งแล้วว่าซึ่งมหาอุปราชมีน้ำใจเอื้ออาทรแก่ข้าทหารนี้เป็นพระคุณยิ่งแล้ว ชั่วชีวิตของพวกข้าพเจ้าจะไม่ลืมเลือนพระคุณของมหาอุปราชเลย

            ขงเบ้งเห็นการสมคะเนดังนั้นก็มีความยินดี จึงกล่าวสืบไปว่าโจจิ๋นเคยมีหนังสือมาถึงเรานานนักหนาแล้วยังมิได้ตอบไป ซึ่งพวกท่านจะกลับไปครั้งนี้จะขอไหว้วานให้นำหนังสือเราเอาไปให้แก่โจจิ๋น โจจิ๋นเห็นหนังสือของเราแล้วย่อมจะบำเหน็จความดีความชอบแก่พวกท่านเป็นอันมาก

            นายกองที่เป็นเชลยศึกได้ยินคำขงเบ้งดังนั้นก็สำคัญว่าการเพียงเท่านี้มิได้หนักหนาประการใด ทั้งจะได้บำเหน็จความชอบเป็นรางวัลอีกเล่า จึงกล่าวกับขงเบ้งว่าพระคุณของมหาอุปราชเป็นล้นพ้น การเอาจดหมายไปมอบให้แก่ท่านแม่ทัพโจจิ๋นเพียงเท่านี้จะเป็นไรมี

            ขงเบ้งได้ยินดังนั้นก็มีความยินดี จึงมอบจดหมายลับให้แก่นายกอง แล้วให้ปล่อยตัวทหารของจิ้นเหลียงกลับไปเสียทั้งสิ้น ทหารของจิ้นเหลียงรู้ว่าถูกปล่อยตัวกลับก็มีความยินดี คำนับลาขงเบ้งแล้วพากันเดินทางกลับไปที่ค่ายทหารวุยก๊กที่ริมแม่น้ำอุยโห

            ฝ่ายนายกองที่ได้ถือหนังสือของขงเบ้ง ครั้นไปถึงค่ายของโจจิ๋นแล้วก็แจ้งแก่ทหารรักษาการณ์ว่า ขงเบ้งได้ฝากหนังสือมาถึงท่านแม่ทัพใหญ่ ทหารรักษาการณ์ได้รับหนังสือแล้วก็เอาไปมอบให้แก่โจจิ๋น

            โจจิ๋นเห็นหนังสือของขงเบ้งก็รู้สึกประหลาดใจ แม้ป่วยหนักก็สู้อุตส่าห์พยุงตัวขึ้นนั่งบนเตียง แล้วเปิดจดหมายของขงเบ้งออกอ่าน ในขณะที่อ่านหนังสือนั้นสีหน้าของโจจิ๋นก็สลดลงและหน้านิ่วคิ้วขมวดตลอดเวลา

            สามก๊กฉบับเจ้าพระยาพระคลัง (หน) ระบุความในหนังสือนั้นว่า มหาอุปราชจูกัดเหลียง-ขงเบ้งขอส่งความห่วงใยมายังท่านแม่ทัพใหญ่โจจิ๋น “ด้วยโบราณท่านว่าไว้แต่ก่อนมาว่า ถ้าผู้ใดจะเป็นแม่ทัพถือพลทหารไปทำการสงครามนั้น ให้พึงรู้ลักษณะในกลศึกจงทุกประการ อนึ่งให้มีปัญญารู้จักผ่อนปรนแก้ไขเอาชัยชนะเป็นต้น แลตัวท่านเป็นแม่ทัพใหญ่มิได้รู้ในกลสงครามทั้งปวง เสียทีแก่เรา เสียทแกล้วทหาร เครื่องศาสตราวุธเป็นอันมากฉะนี้ ท่านจะกลับคืนไปเมืองลกเอี๋ยงนั้น ถึงมาตรว่าพระเจ้าโจยอยจะมิเอาโทษก็ดี ก็จะไม่อายแก่อาณาประชาราษฎร ทแกล้วทหารทั้งปวงหรือ จะเอาหน้าไปไว้แห่งใด จงเร่งนบนอบแก่เราเสียโดยดี ถ้าท่านมิรับคำเรา เราจะยกทหารเข้าไปเหยียบเมืองลกเอี๋ยงเสีย ตัวท่านเหมือนฝูงแพะอยู่ในปากเสือ สำหรับจะฉิบหายไปด้วยฝีมือทหารทั้งปวง”

            สามก๊กฉบับสมบูรณ์ได้บรรยายความในจดหมายของขงเบ้งที่มีไปถึงโจจิ๋น พรรณนาความอย่างละเอียดละออ ทำให้เห็นได้ชัดว่าจดหมายนี้แท้จริงแล้วก็คือจดหมายพิฆาต ประดุจดั่งขงเบ้งได้ส่งเอื้อมหัตถ์มัจจุราชมาคร่าเอาชีวิตโจจิ๋นโดยเฉพาะ

            ความในจดหมายของขงเบ้งระบุว่า “สมุหนายกฮั่นบู๊เฮียงโฮ้ว จูกั๋วะเหลียงมีหนังสือถึงผู้บัญชาการทหารสูงสุดโจจิ๋น ข้าได้ลอบปรารภว่าอันการเป็นแม่ทัพนั้นสามารถแพ้ก็สามารถทำชนะ สามารถนุ่มนวลก็สามารถแข็งแกร่ง สามารถบุกก็สามารถถอย สามารถแข็งแกร่งก็สามารถอ่อนแอ มีอำนาจมิได้หวั่นไหวประดุจดั่งขุนเขา ยากที่จะหยั่งรู้ประดุจหยินหยาง ประดุจฟ้าดินอันไม่มีที่สิ้นสุด ดั่งยุ้งฉางใหญ่อันอุดมสมบูรณ์ ประดุจสี่ทะเลอันกว้างใหญ่สุดลิบสายตา แจ่มแจ้งตระการตาดุจแสงไตรรัศมี คาดการณ์ล่วงรู้ดาราศาสตร์ว่าพิภพจะแห้งแล้งหรือน้ำท่วม รอบรู้ชำนาญภูมิประเทศจะสันติสุขก่อน พิจารณาลักษณะขบวนรบ กำหนดที่จะรวมพลได้ คาดคะเนความเด่นกับความด้อยของข้าศึก โอ้น่าเวทนาที่ท่านเป็นชนรุ่นหลังมิได้เล่าเรียน จากเบื้องบนท่านทรยศต่อฟ้าอันเขียวคราม ช่วยเหลือขบถคิดคดช่วงชิงประเทศ ยกย่องเป็นฮ่องเต้นามราชวงศ์ ณ นครลกเอี๋ยง ท่านต้องมาหลบหนีพ่ายแพ้ที่หุบเขาเซียก๊ก ต้องประสบฝนตกติดต่อกันที่เมืองทิ่งชึง ต้องอ่อนเพลียทั้งทางน้ำและทางบก ทั้งคนทั้งม้าต้องบ้าคลั่ง ต้องขว้างทิ้งเสื้อเกราะ ศาสตราวุธเกลื่อนกลาดที่นอกเมือง ละทิ้งดาบทวนไว้ทั่วพื้นปฐพี จิตใจท่านผู้บัญชาการทหารสูงสุดโจจิ๋นต้องพังพินาศ และตับไตไส้พุงต้องแตกสลาย

            บรรดาแม่ทัพนายกองต้องหนีซุกซ่อนดั่งหนูหรือสุนัขจิ้งจอกที่ร้อนรน ไม่มีหน้าตาไปพบปะพ่อแม่พี่น้องในแคว้นตงง้วน จะยังมีหน้าไปนั่งอยู่ในห้องโถงวังสมุหนายกได้อย่างไร ขุนนางผู้บันทึกประวัติศาสตร์จะกุมพู่กันและจดบันทึก ปากของไพร่ฟ้าประชาราษฎร์จะแพร่กระจายออกไป ท่านแม่ทัพสุมาอี้ยินข่าวขบวนการรบของข้า ก็ไหวหวาดหวั่นเกรง ท่านผู้บัญชาการทหารสูงสุดโจจิ๋นได้เห็นแล้วก็กระวนกระวาย กองทัพของข้ามีทหารที่เกรียงไกร ทั้งม้าศึกก็แข็งแกร่ง มีแม่ทัพชั้นพิเศษประดุจเสือโผน มังกรกระโจน จะกวาดล้างแผ่นดินเมืองจีนให้ราบเรียบ จะล้างผลาญก๊กวุ่ยให้เป็นเนินร้าง”

            โจจิ๋นอ่านจดหมายของขงเบ้งจบแล้ว ความโกรธก็พลุ่งประดังขึ้นสุดขีด สมทบด้วยความน้อยเนื้อต่ำใจและความอัปยศอดสูที่เสียรู้เสียทีทั้งแก่ขงเบ้งและสุมาอี้ ความละอายใจต่อทหารทั้งปวงที่กลัดกลุ้มอยู่ในอกก็ระเบิดขึ้น สำนึกว่ายามนี้อยู่ที่ริมแม่น้ำอุยโหมิรู้ที่จะเอาหน้าไว้ที่แห่งใด ครั้นกลับไปราชธานีเล่า ยามเข้าเฝ้าพระเจ้าโจยอยก็มิรู้ที่จะสบตา คืนสู่เคหาก็ละอายแก่คนทั้งปวง แรงกดดันทุกจุดทุกด้านรุมเร้าโหมฮือพร้อมกัน โจจิ๋นร้องขึ้นได้คำเดียวก็ขาดใจตาย

            จดหมายพิฆาตที่ขงเบ้งมีไปถึงโจจิ๋นครั้งนี้ แม้เนื้อหาจะต่างกับจดหมายที่ขงเบ้งเคยส่งให้จิวยี่ จนทำให้จิวยี่ต้องรากเลือดถึงแก่ความตายบ้างก็ตาม แต่เป้าหมายก็เป็นอย่างเดียวกัน และย่อมเป็นเช่นเดียวกับเนื้อหาถ้อยคำที่ขงเบ้งกระทำวาจายุทธ์กับอองลองจนทำให้อองลองต้องช้ำใจขาดใจตายพลัดตกจากหลังม้า คมวาจาเป็นอาวุธดังนี้คือสุดยอดวิชาขันทีแขนงหนึ่ง วิญญาณของโจจิ๋นจึงถูกเอื้อมหัตถ์แห่งมัจจุราชที่แฝงมาในจดหมายลับของขงเบ้งกระชากออกจากร่างโดยไม่อาจฝืนได้

            ฝ่ายสุมาอี้เมื่อทราบว่าโจจิ๋นถึงแก่ความตายแล้วก็สงสารและเสียใจ สั่งให้ทหารต่อโลงใส่ศพโจจิ๋นนำขึ้นบรรทุกเกวียน แล้วให้ทหารคุมกลับไปเมืองลกเอี๋ยง พร้อมกับแต่งฎีกากราบทูลให้พระเจ้าโจยอยทรงทราบทุกประการ

            พระเจ้าโจยอยทราบความว่าโจจิ๋นถึงแก่อนิจกรรมก็เศร้าโศกพระทัย ร่ำไห้เป็นที่เวทนา ครั้นสร่างโศกแล้วจึงตรัสสั่งให้แต่งการพิธีศพของโจจิ๋นตามประเพณีเชื้อพระวงศ์ชั้นผู้ใหญ่ แล้วให้นำไปฝังไว้ในสุสานหลวงเมืองลกเอี๋ยง และมีพระบรมราชโองการตรัสสั่งให้สุมาอี้รีบทำศึกขับไล่กองทัพขงเบ้งให้พ้นแดนวุยก๊กให้จงได้.

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

ตัวอย่างกระทู้ธรรม ธรรมศึกษาชั้นตรี 5

I miss you all กับ I miss all of you ต่างกันอย่างไร

ปัญหาและเฉลยวิชาธรรม นักธรรมชั้นโท สอบในสนามหลวง วันเสาร์ ที่ ๑๙ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๔๘