ตอนที่ 547. อุบาย "ปลอมเป็นเจ้าบ้าน"

พระพุทธศาสนายุกาลล่วงแล้วได้เจ็ดร้อยเจ็ดสิบสามพรรษา เดือนสิบ สุมาอี้ได้โจมตีกองทัพของอุยเอี๋ยนจนต้องถอยกลับเข้าหุบเขากิก๊ก ในขณะที่อีกด้านหนึ่งโจจิ๋นได้ให้จิ้นเหลียงคุมทหารออกไปสกัดตีทหารจ๊กก๊กในหุบเขาจำก๊ก

            จิ้นเหลียงเห็นทหารเมืองเสฉวนถอยหนีเข้าไปในป่า จึงสั่งให้ทหารหยุดทัพเพื่อดูท่าที ครู่หนึ่งก็เห็นทหารเมืองเสฉวนกองเดิมนั้นยกออกมาอีก จิ้นเหลียงจึงสั่งทหารให้รุกไล่ตามไป

            ทหารของจิ้นเหลียงไล่ตามทหารเมืองเสฉวนไปเป็นระยะทางสามเส้น หน่วยลาดตระเวนก็ได้เข้ามารายงานว่าทางข้างหน้านั้นยังมีทหารเมืองเสฉวนซุ่มอยู่อีก เพราะเห็นธงทิวปักอยู่ข้างในป่า จิ้นเหลียงได้ทราบรายงานก็เกรงว่าขงเบ้งจะซุ่มทหารไว้โจมตีจึงสั่งให้หยุดไล่ตาม และให้เตรียมพร้อมป้องกันตัว

            ทหารของจิ้นเหลียงได้รับคำสั่งให้รุก ครู่เดียวก็สั่งให้หยุดอีกจึงพากันรวนเร ในทันใดนั้นเสียงประทัดสัญญาณก็ดังขึ้นจากแนวป่าสองข้างทางทั้งด้านหน้าและด้านหลัง กองทหารเมืองเสฉวนภายใต้ธงของงออี้และงอปั้นได้โห่ร้องยกออกมาจากแนวป่าด้านหน้า รุกเข้าตีทหารของจิ้นเหลียง ในขณะที่ทางด้านหลังทหารเมืองเสฉวนภายใต้ธงของกวนหิน และเตียวเอ๊กก็โห่ร้องยกออกจากแนวป่าตีกระหนาบเข้ามา

            จิ้นเหลียงเห็นดังนั้นจึงสั่งทหารให้พยายามตีฝ่าหนีออกไป ในขณะเดียวกันทหารเมืองเสฉวนที่ยกออกมาก็ร้องบอกให้ทหารของจิ้นเหลียงยอมจำนน เพราะได้ล้อมไว้อย่างแน่นหนาแล้ว ขืนต่อสู้ก็จะพากันตายสิ้น หากยอมสวามิภักดิ์แต่โดยดีก็จะไว้ชีวิต

            ทหารจิ้นเหลียงที่เกรงอาญาสิทธิ์ยังคงรุดหน้าเข้าต่อสู้ แต่ถูกทหารเมืองเสฉวนฆ่าฟันล้มตายลงเกือบพันคน ทหารวุยก๊กที่เหลือเห็นทหารเมืองเสฉวนล้อมไว้อย่างแน่นหนาทั้งด้านหน้าด้านหลัง ในขณะที่ทั้งสองข้างก็เป็นหน้าผาสูง ไม่อาจตีฝ่าหนีออกไปได้ จึงพากันยอมจำนนทั้งหมด

            จิ้นเหลียงเห็นทหารใต้บังคับบัญชาไม่เชื่อฟังคำสั่ง พากันยอมจำนน ก็ขี่ม้าตีฝ่ากลับออกไปทางด้านหลังแต่ผู้เดียว เลียวฮัวซึ่งรับคำสั่งขงเบ้งให้ยกทหารมากับกวนหินเห็นดังนั้นจึงขี่ม้าเข้าสกัดหน้าจิ้นเหลียงไว้ ทั้งสองฝ่ายได้ต่อสู้กันเพียงสองเพลง เลียวฮัวก็เอาง้าวฟันจิ้นเหลียงตัวขาดสองท่อน

            ทหารเมืองเสฉวนได้ควบคุมตัวเชลยศึก ยึดศาสตราวุธ และม้าของทหารวุยก๊กไว้ได้จนหมดสิ้น ครู่หนึ่งกองทัพขงเบ้งก็ยกหนุนตามมา นายทหารเมืองเสฉวนจึงควบคุมเชลยศึกเข้าไปหาขงเบ้ง และรายงานความศึกให้ทราบทุกประการ

            ขงเบ้งได้ทราบรายงานแล้วมีความยินดีเป็นอันมาก สั่งให้เปลี่ยนเอาชุดทหารเมืองเสฉวนให้ทหารวุยก๊กใส่ แล้วย้ายไปอยู่กองหลัง จากนั้นจึงเอาชุดทหารวุยก๊กทั้งห้าพันให้ทหารเมืองเสฉวนใส่ แล้วให้รวบรวมธงประจำตัวนายทัพของวุยก๊กและธงประจำกองทัพ วุยก๊กที่ยึดได้ เตรียมการไว้ให้พร้อม

            หลังจากนั้นขงเบ้งได้เรียกกวนหิน เลียวฮัว งออี้และงอปั้นเข้าไปกระซิบสั่งการ ให้คุมทหารเมืองเสฉวนห้าพันคนที่ได้เปลี่ยนเครื่องแต่งตัว และธงทิวประจำกองทัพเป็นทหารวุยก๊กแล้วให้ยกไปที่ค่ายของโจจิ๋น ทำทีเป็นทหารของจิ้นเหลียงได้รับชัยชนะแล้วยกทหารกลับมาค่าย พอได้ทีก็ให้ยึดเอาค่ายโจจิ๋นให้จงได้

            สี่นายทหารรับคำสั่งขงเบ้งแล้วให้ทหารเมืองเสฉวนซึ่งปลอมเป็นทหารวุยก๊กถือธงทิวประจำกองทัพวุยก๊กแล้วยกไปที่ค่ายของโจจิ๋น และให้ทหารคนหนึ่งขี่ม้าล่วงหน้าไปที่ค่ายของโจจิ๋นก่อน ทำทีเป็นม้าเร็วของจิ้นเหลียงแจ้งให้ทหารรักษาการณ์หน้าค่ายของโจจิ๋นทราบว่าทหารของจิ้นเหลียงได้โจมตีทหารของขงเบ้งและกำลังไล่ตามไปในหุบเขาจำก๊ก

            โจจิ๋นซึ่งมั่นใจว่ากองทัพของจิ้นเหลียงจะสามารถสกัดโจมตีไม่ให้ทหารจ๊กก๊กยกล่วงล้ำออกปากทางจำก๊กได้ พอได้ทราบรายงานจากทหารรักษาการณ์ก็มีความยินดี ในขณะเดียวกันนั้นสุมาอี้ก็ได้ให้ม้าเร็วมาหาโจจิ๋น แล้วรายงานว่าท่านแม่ทัพสุมาอี้สั่งให้มารายงานว่ามีทหารเมืองเสฉวนยกมาซุ่มตามซอกเขาต่าง ๆ และได้ลอบสังหารทหารวุยก๊กตายไปกว่าพันเศษแล้ว เกรงว่าขงเบ้งจะลอบยกกองทัพมาโจมตีค่ายของโจจิ๋น ขอให้โจจิ๋นระมัดระวังรักษาค่ายอย่าได้ประมาทแก่ข้าศึก

            โจจิ๋นได้ฟังคำม้าเร็วก็หัวเราะแล้วว่า ให้ท่านแม่ทัพสุมาอี้ระมัดระวังรักษาค่ายของตนให้จงดีเถิด ทางด้านจำก๊กนี้เราได้ให้ทหารลาดตระเวนเป็นกวดขันมาหลายวันแล้วก็ไม่มีวี่แววทหารเมืองเสฉวนกร้ำกรายเข้ามาให้เห็นแม้แต่สักคนเดียว ให้เจ้ารีบกลับไปรายงานสุมาอี้ด้วย ม้าเร็วของสุมาอี้ได้ทราบคำสั่งของโจจิ๋นดังนั้นจึงคำนับลากลับไปหาสุมาอี้

            โจจิ๋นมั่นใจว่ากองทัพของขงเบ้งจะไม่ยกไล่ตามมา แม้ทราบว่าทหารจ๊กก๊กกองหนึ่งยกมาตามหุบเขาจำก๊ก ก็สำคัญว่าเป็นหน่วยลาดตระเวนและเพิ่งได้ทราบรายงานจากทหารรักษาการณ์ว่าจิ้นเหลียงได้ไล่ตามตีจนล่าถอยกลับไปแล้ว ดังนั้นโจจิ๋นจึงปกปิดความซึ่งทหารจ๊กก๊กยกมาในหุบเขาจำก๊กเสีย

            ครู่หนึ่งทหารของงออี้และงอปั้นซึ่งได้ปลอมเป็นทหารวุยก๊กอีกสองคนก็ได้ไปถึงค่ายของโจจิ๋น แล้วแจ้งแก่ทหารรักษาการณ์ว่าซึ่งจิ้นเหลียงได้ยกตามตีกองทหารของขงเบ้งนั้น บัดนี้ได้โจมตีจนกองทหารนั้นแตกพ่ายหนีไปหมดสิ้นแล้ว จิ้นเหลียงกำลังจะยกทหารกลับมาค่าย

            โจจิ๋นได้ทราบรายงานจากทหารรักษาการณ์ก็มีความยินดี จึงจัดแจงทหารสองร้อยคนออกไปคอยต้อนรับจิ้นเหลียงที่หน้าค่าย ในทันใดนั้นทหารรักษาการณ์ได้ชี้ไปทางด้านหลังค่ายว่ามีแสงเพลิงลุกขึ้นที่ด้านหลังค่าย แสงโชติช่วงสว่างจับท้องฟ้า โจจิ๋นหันกลับไปมองก็สำคัญว่าข้าศึกยกเข้าตีด้านหลังค่าย จึงคุมทหารกลับเข้าไปในค่ายเพื่อจะไปป้องกันด้านหลังค่าย

            พลันที่โจจิ๋นชักม้าหันหลังกลับเข้าค่าย งออี้ งอปั้น เลียวฮัวและกวนหินก็คุมทหารม้ายกตรูบุกตามเข้าไปในค่ายและจุดเพลิงเผาค่ายโจจิ๋นขึ้น ในขณะที่ทางด้านหลังค่ายนั้นม้าต้ายและอองเป๋งซึ่งได้จุดเพลิงเผาค่ายแล้วก็ยกทหารตีกระหนาบเข้ามา

            ทหารของโจจิ๋นตั้งอยู่ในความประมาท มิได้คาดคิดมาก่อนว่าจะถูกโจมตี ดังนั้นเมื่อทหารของขงเบ้งบุกเข้าไปในค่ายทั้งด้านหน้าด้านหลังจึงพากันตกใจ ไม่ทันสวมเกราะขี่ม้าก็พากันแตกตื่นวิ่งหนีเป็นจ้าละหวั่น ทหารเมืองเสฉวนได้ฆ่าฟันทหารวุยก๊กบาดเจ็บล้มตายลงเป็นอันมาก

            โจจิ๋นเห็นว่าจะรักษาค่ายไว้ไม่ได้ จึงพาทหารคนสนิทห้าสิบคนตีฝ่าออกไปทางด้านข้างแล้วหนีไปทางด้านกิก๊ก หวังจะไปหาสุมาอี้ให้ยกทหารกลับมาช่วย ทหารของขงเบ้งเห็นดังนั้นก็ยกไล่ตามไป

            ทหารเมืองเสฉวนกำลังไล่ตามตีโจจิ๋นไปอย่างกระชั้นชิด ในพลันนั้นกองทัพของสุมาอี้ก็ปรากฏขึ้น และโจมตีสวนขึ้นมารับเอาตัวโจจิ๋นและทหารคนสนิทกลับเข้าไปในกองทหารได้

            ทหารเมืองเสฉวนเห็นทหารวุยก๊กยกจู่โจมเข้ามาดังนั้นก็เกรงว่าจะต้องกลของสุมาอี้ จึงพากันล่าถอยกลับไปสมทบกับกองทัพหลวงของขงเบ้ง

            ฝ่ายสุมาอี้ครั้นทราบว่ากองหน้าได้ป้องกันรับเอาตัวโจจิ๋นมาได้แล้ว จึงเชิญโจจิ๋นเข้าไปสนทนากันในค่ายกิก๊ก สามก๊กฉบับเจ้าพระยาพระคลัง (หน) ระบุว่าเมื่อโจจิ๋นพบหน้า สุมาอี้แล้วก็ “มีความอัปยศแก่สุมาอี้ มิรู้ที่จะไว้หน้าแห่งใดเลย”

            สุมาอี้เห็นโจจิ๋นก้มหน้าด้วยความละอายใจที่แพ้ความคิดตามสัญญาที่ตกลงกันไว้ ก็ประโลมใจโจจิ๋นว่าท่านแม่ทัพอย่าได้น้อยใจไปเลย อันการสงครามนั้นย่อมมีแพ้บ้างชนะบ้างเป็นธรรมดา ซึ่งสัญญากันไว้อย่าได้ถือเป็นเรื่องจริงจัง และอย่าได้กล่าวถึงอีกต่อไปเลย

            โจจิ๋นได้ยินคำสุมาอี้ก็ยิ่งละอายใจ สุมาอี้เห็นดังนั้นจึงกล่าวสืบไปว่า บัดนี้ขงเบ้งได้ยกกองทัพเข้ายึดเอาชัยภูมิตำบลเขากิสานไว้ได้แล้ว ซึ่งจะตั้งค่ายอยู่ที่ปากทางกิก๊กนี้ต่อไปก็จะตกเป็นฝ่ายเสียเปรียบ เพราะขงเบ้งตั้งอยู่ในชัยภูมิที่ดีกว่า สามารถยกทหารมาโจมตีฝ่ายเราได้ตามใจชอบ ฝ่ายเราจะตั้งรับก็ขัดสน เห็นจะรับมือขงเบ้งไม่ได้ จำจะยกกองทัพถอยออกไปจากตำบลกิก๊กก่อน แล้วไปตั้งค่ายรับมือขงเบ้งอยู่ที่ริม  แม่น้ำอุยโหซึ่งเป็นที่กว้างขวาง ยากที่ขงเบ้งจะทำกลอุบายประการใดได้ แม้หากพลาดท่าเสียทีก็จะล่าทัพยกข้ามแม่น้ำอุยโหไปตั้งรับอยู่ที่อีกฟากหนึ่งได้โดยสะดวก

            โจจิ๋นได้ยินคำสุมาอี้ดังนั้นก็เห็นด้วย แต่ยังคงติดใจว่าเหตุใดสุมาอี้จึงยกทหารไปช่วยเหลือได้ทันท่วงที จึงถามว่า “เหตุไฉนท่านจึงรู้ว่าข้าพเจ้าจะเสียทีแก่ข้าศึก จึงได้ยกทหารมาช่วย”

            สุมาอี้จึงว่า ซึ่งขงเบ้งไม่ยกทหารไล่ตามเรามาในขณะล่าทัพนั้น ข้าพเจ้าก็คาดว่าขงเบ้งคิดอ่านจะยกกองทัพบุกวุยก๊กยิ่งกว่าจะยกทหารไล่ตาม เหตุนี้กองทัพขงเบ้งจึงต้องยกมาเป็นแน่แท้ จึงได้ให้ทหารคอยกวดขันระมัดระวังสอดแนมมิได้ประมาท

            สุมาอี้กล่าวสืบไปว่า แม้ว่าในเวลากลางวันจะไม่มีร่องรอยการเคลื่อนไหวของกองทัพขงเบ้ง แต่ปรากฏว่าหน่วยลาดตระเวนของฝ่ายเราได้ถูกทหารจ๊กก๊กลอบสังหารตายไปกว่าพันคน ย่อมแสดงว่ากองทัพของขงเบ้งเคลื่อนทัพในเวลากลางคืน ครั้นปะทะกับทหารฝ่ายเราแล้วจึงสังหารเสีย เหตุนี้ข้าพเจ้าจึงคาดการณ์ได้ว่ากองทัพที่ยกมามีกำลังเป็นอันมาก ยกล่วงมาถึงตำบลจำก๊กแล้ว และจะเข้ายึดเอาตำบลเขากิสานเป็นมั่นคง จึงเชื่อว่าทหารเมืองเสฉวนจะต้องเข้าโจมตีค่ายของท่านและเมื่อยามสามของคืนนี้ก็ได้เห็นแสงเพลิงปรากฏขึ้นบนยอดเขาจำก๊กถึงสองจุด ก็คาดว่าทหารของขงเบ้งยกมาถึงพร้อมกันแล้ว ต่างให้สัญญาณแก่กันและกัน ครั้นได้เห็นแสงเพลิงลุกขึ้นทางด้านหลังค่ายท่านก็มั่นใจว่าทหารของขงเบ้งได้ยกเข้าตีค่ายของท่านแล้ว จึงรีบยกทหารมา

            สามก๊กฉบับเจ้าพระยาพระคลัง (หน) ระบุว่าสุมาอี้ได้ตอบโจจิ๋นว่า “ข้าพเจ้ารู้อยู่ว่าขงเบ้งจะยกมาตีท่าน จึงให้คนไปกำชับให้ตรวจตราป้องกันรักษาตัว ครั้นพลกลับมาบอกข้าพเจ้าตามถ้อยคำซึ่งท่านว่ามานั้น ข้าพเจ้าก็เห็นว่าท่านมิรู้ถึงการจะเสียทีเป็นมั่นคง จึงรีบยกมาช่วยท่าน ก็สมคะเนเหมือนข้าพเจ้าคิดไว้”

            โจจิ๋นได้ยินคำสุมาอี้ ใจหนึ่งก็นึกสรรเสริญว่าสุมาอี้นี้คะเนการสงครามแม่นยำดุจเทพยดา แต่ใจหนึ่งก็อดสูแก่ใจตัวว่าดำรงตำแหน่งเป็นถึงแม่ทัพใหญ่และเป็นเชื้อพระวงศ์ของพระเจ้าโจยอย กลับเสียรู้เสียคิดแก่สุมาอี้ซึ่งเป็นเพียงชนสามัญ มิหนำซ้ำยังต้องเสียค่าย เสียทหารและเสียรู้เสียคิดแก่ขงเบ้งอีก ซึ่งพลาดท่าเสียทีขงเบ้งผู้เป็นข้าศึกนั้นย่อมพอทำเนา เพราะมิได้เห็นหน้าค่าตากันและกัน แต่ที่พลาดท่าเสียสัญญากับสุมาอี้ซึ่งเป็นนายทหารในราชการของพระเจ้าโจยอยด้วยกัน อยู่ในความรู้เห็นของทหารทั้งปวงนั้น โจจิ๋นให้ รู้สึกละอายใจจนมิรู้ที่จะเอาหน้าไว้แห่งใด

            โจจิ๋นยิ่งคิดก็ยิ่งเป็นทุกข์ใจ ใบหน้าก็หม่นหมองลง สิ้นคำสุมาอี้แล้วโจจิ๋นจึงว่า ท่านแม่ทัพจะคิดอ่านประการใดก็สุดแท้แต่ใจท่านเถิด สุมาอี้เห็นโจจิ๋นมีลักษณะอ่อนเพลียอิดโรยไร้เรี่ยวแรงอย่างฉับพลันดังนั้น จึงให้ทหารเชิญโจจิ๋นเข้าไปพักที่ค่ายรองแม่ทัพอีกค่ายหนึ่ง

            ในคืนวันนั้นสุมาอี้ได้สั่งให้ทหารรื้อค่ายแล้วถอยทัพยกไปตั้งอยู่ที่ริมฝั่งแม่น้ำอุยโห ให้จัดทำค่ายพักสำหรับโจจิ๋นขึ้นเป็นพิเศษอีกค่ายหนึ่ง แล้วสั่งทหารให้ระมัดระวังตรวจตราเวรยามมิได้ประมาท

            พอตั้งค่ายเสร็จโจจิ๋นซึ่งวิตกตรอมใจด้วยพลาดท่าเสียทีแก่สุมาอี้และขงเบ้งก็ล้มป่วย และอาการทรุดหนักลงอย่างรวดเร็ว สุมาอี้เห็นโจจิ๋นซึ่งเป็นเชื้อพระวงศ์ชั้นผู้ใหญ่ป่วยลงกลางศึกก็คิดจะเลิกทัพกลับไปเมืองลกเอี๋ยง จึงไปเยี่ยมไข้โจจิ๋น แต่ปรากฏว่าอาการป่วยของโจจิ๋นได้ทรุดหนักลงจนไม่อาจเดินทางได้ สุมาอี้เกรงว่าทหารทั้งปวงจะเสียน้ำใจจึงให้ปิดข่าวคราวไว้อย่างเงียบกริบ และให้ตั้งค่ายมั่นอยู่ที่ริมแม่น้ำอุยโหนั้น

            ฝ่ายขงเบ้งครั้นได้ชัยชนะ ยึดตำบลเขากิสาน ตั้งค่ายมั่นลงแล้ว จึงให้ปูนบำเหน็จแก่ทหารเป็นอันมาก และสั่งให้ทหารสอดแนมความเคลื่อนไหวของทหารวุยก๊กอย่างใกล้ชิด ครั้นทราบว่าสุมาอี้ถอยทัพไปตั้งอยู่ที่ริมแม่น้ำอุยโห ขงเบ้งก็มีความยินดี ปรารภกับทหารทั้งปวงว่าสุมาอี้เกรงว่าจะไม่สามารถตั้งรับอยู่ที่ปากทางกิก๊กได้ เพราะเป็นชัยภูมิที่เสียเปรียบ จึงล่าทัพยกไปตั้งอยู่ที่ริมแม่น้ำอุยโห เห็นสุมาอี้จะเสียทีแก่เราเป็นมั่นคง.

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

ตัวอย่างกระทู้ธรรม ธรรมศึกษาชั้นตรี 5

I miss you all กับ I miss all of you ต่างกันอย่างไร

ปัญหาและเฉลยวิชาธรรม นักธรรมชั้นโท สอบในสนามหลวง วันเสาร์ ที่ ๑๙ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๔๘