ตอนที่ 546. สัญญาณกบฎ
ขงเบ้งแจ้งในกลอุบายของสุมาอี้ว่าจะซุ่มทหารไว้โจมตีจึงไม่ไล่ตามตี แต่วางแผนบุกวุยก๊กเสียทีเดียวในทันทีที่สุมาอี้ยกล่วงตำบลเขากิสานไปแล้ว โจจิ๋นเห็นสุมาอี้ล่าถอยทัพอย่างเชื่องช้าก็เร่งรัด เป็นเหตุให้ท้ากันว่าภายในสิบวันกองทัพขงเบ้งจะยกตามมาหรือไม่
ครั้นสุมาอี้ยกไปถึงปากทางกิก๊กแล้ว ก็ให้ทหารตั้งค่ายซุ่มไว้ในป่าที่ปากทางกิก๊ก กำชับให้ทหารลาดตระเวนและเตรียมพร้อมเพื่อคอยโจมตีกองทัพของขงเบ้งที่จะยกไล่ตามมา
วันหนึ่งสุมาอี้ได้ปลอมตัวเป็นทหารเลว พานายทหารคนสนิทอีกคนหนึ่งขี่ม้าไปเที่ยวตรวจตราตามค่ายต่าง ๆ เพื่อสดับตรับฟังความทุกข์สุขของทหารทั้งปวง เมื่อสุมาอี้ไปถึงริมค่ายแห่งหนึ่ง เห็นนายกองคนหนึ่งนั่งผิงไฟทอดถอนใจใหญ่ บ่นพร่ำรำพันว่า สุมาอี้นี้โง่เขลาเบาปัญญา ไม่เห็นแก่ความยากลำบากของทหาร “ฝนตกถึงสามสิบวันได้ความลำบากหนักหนาแล้ว มิหนำซ้ำมาตั้งอยู่ที่นี่ให้ได้ยากไปอีกเล่า เหมือนมานั่งคอยท่าหาความทุกข์ใส่ตัว แม้จะกลับไปเมืองให้เห็นหน้าบุตรภรรยาจะมิดีหรือ”
ในฉบับภาษาจีนได้ระบุความตอนนี้ว่า สุมาอี้ขี่ม้าไปตรวจตราค่ายทหาร เห็นนายกองคนหนึ่งนั่งทอดถอนอาลัยตายอยากอยู่ที่ริมค่าย ก็ลงจากม้าย่องเข้าไปดู ได้ยินนายกองคนนั้นรำพึงรำพันว่า ทหารทั้งปวงได้รับความยากลำบากจากฝนตกหนักติดต่อกันถึงสามสิบวันแสนสาหัสนัก สุมาอี้นี้มิได้สนใจความยากลำบากของข้าทหาร เห็นแต่ความสนุกในการพนันกับโจจิ๋น จึงให้ทหารทั้งปวงมาตั้งทนทุกข์อยู่ที่นี่อีกเล่า หากกลับคืนไปเมืองลกเอี๋ยงแล้วได้พบครอบครัว เห็นจะมีความสุขจะมิดีกว่าหรือ
สุมาอี้ได้ยินดังนั้นก็โกรธ กลับไปขึ้นม้าแล้วควบกลับไปค่าย พอถึงค่ายก็ให้เรียก แม่ทัพนายกองไปพร้อมกัน และให้ทหารไปจับตัวนายกองผู้นั้นเข้ามาไต่สวน นายกองผู้นั้นก็รับเป็นสัตย์
สุมาอี้จึงว่า “เรามาทำการทั้งนี้ใช่จะปรารถนาเอาความสุขแต่ตัวก็หามิได้ คิดจะให้เป็นความสุขแก่บุตรภรรยาท่านทั้งปวง เหตุใดมาเจรจาฉะนี้ มิได้มีความภักดีต่อเจ้า กินเบี้ยหวัดมาร้อยวันพันวัน จะเอาการแต่วันเดียวก็มิได้ ซึ่งจะเอาไว้ในกองทัพนี้มิได้ นานไปจะกลับเป็นศัตรู”
ว่าแล้วสุมาอี้จึงสั่งให้คุมตัวนายกองผู้นั้นเอาไปประหารชีวิต ทหารทั้งปวงเห็นดังนั้นก็พากันตกใจ
สุมาอี้เห็นดังนั้นจึงปลอบใจว่า เราเป็นข้าแผ่นดิน กินเบี้ยหวัดผ้าปี ร้อยวันพันวันก็เพื่อทำการศึกครั้งหนึ่ง ทำการเท่านี้ไม่ได้แล้วจะกินข้าวแดงแกงร้อนท่านไปไยกัน ท่านทั้งปวงภักดีต่อเจ้าประจักษ์อยู่ อย่าได้วิตกสืบไปเลย
แล้วสุมาอี้จึงกล่าวสืบไปว่า อีกไม่กี่วันนี้กองทัพขงเบ้งก็จะยกมาทางนี้ ท่านทั้งปวงจงซุ่มไว้ให้มิดชิดดังแต่ก่อน เมื่อใดที่เราจุดประทัดใหญ่เป็นสัญญาณที่กลางค่ายแล้ว ก็ให้ทหารทุกกองรุกเข้าจู่โจมกองทัพขงเบ้งพร้อมกัน อย่าได้เกรงกลัวแก่ความตาย
ทหารทั้งปวงเกรงอาญาศึกของสุมาอี้ ครั้นได้ยินคำดังนั้นก็คุกเข่าคำนับรับคำพร้อมกัน แล้วพากันกลับไปค่าย
ฝ่ายอุยเอี๋ยน เตียวหงี เตาเขงและตันเซ็ก ครั้นยกทหารมาใกล้ปากทางกิก๊ก พลันหน่วยลาดตระเวนได้ขี่ม้าเข้ามารายงานว่า ขงเบ้งได้ใช้ให้เตงจี๋มาหาท่าน ทั้งสี่นายทหารได้ฟังรายงานดังนั้นก็หยุดม้า พอเตงจี๋มาถึงต่างคนต่างคำนับกันตามธรรมเนียมแล้ว อุยเอี๋ยนจึงถามว่าท่านรีบรุดเดินทางตามมานี้มีธุระสิ่งใดหรือ
เตงจี๋จึงว่า มหาอุปราชสั่งให้ข้าพเจ้ารีบตามมาแจ้งแก่ท่านว่า ซึ่งท่านยกกองทัพมาทางกิก๊กนี้ให้เร่งระมัดระวังตัว ด้วยกริ่งว่าสุมาอี้จะซุ่มทหารไว้ที่ปากทางกิก๊ก จะได้ไม่เสียทีแก่ข้าศึก การจะเคลื่อนทัพรุดไปข้างหน้าพึงให้ทหารออกไปสอดแนมลาดตระเวนระยะไกล แล้วค่อย ๆ เคลื่อนทัพไป อย่าได้ประมาทแก่ความคิดสุมาอี้เป็นอันขาด
อุยเอี๋ยนได้ฟังดังนั้นก็หัวเราะ และกล่าวว่ามหาอุปราชไว้ใจสั่งให้เราคุมกองทัพมาแล้ว ไฉนจึงกลับไม่ไว้ใจ ใช้ให้ท่านมากำชับเราอีกเล่า เราเป็นนายทหารคุมกองทัพอยู่แนวหน้า จะทำการสิ่งใดหากต้องคอยฟังมหาอุปราชซึ่งอยู่หลังห่างไกลแล้ว จะไม่เสียทีแก่ข้าศึกดอกหรือ
ตันเซ็กได้ยินอุยเอี๋ยนกล่าวดังนั้นก็หัวเราะบ้าง แล้วกล่าวว่ามหาอุปราชนี้ดีแต่ระแวง และเพราะระแวงดังนี้จึงเสียทีเสียเกเต๋งแก่สุมาอี้จนกองทัพต้องพ่ายแพ้ยับเยิน
อุยเอี๋ยนได้ฟังคำตันเซ็กตำหนิขงเบ้งดังนั้นก็เสริมว่า ใช่แต่ครั้งเกเต๋งครั้งเดียวก็หาไม่ ในการบุกวุยก๊กครั้งแรก เราก็ได้เสนอแผนการให้บุกเข้าตีเมืองเตียงอันโดยตรงแต่ขงเบ้งไม่ฟังคำเรา จึงพลาดท่าเสียทีและทำการไม่สำเร็จถึงสามครั้งสามคราดังนี้ หากมหาอุปราชฟังคำเราแล้ว ไหนเลยทหารทั้งปวงจะได้ยากลำบากถึงเพียงนี้
เตงจี๋ได้ฟังคำสองนายทหารดังนั้นจึงท้วงว่า ไฉนท่านทั้งสองจึงดูแคลนสติปัญญาของมหาอุปราชเล่า อันมหาอุปราชนี้มีสติปัญญาเป็นอันมาก คิดอ่านสิ่งใดก็ไม่เคยผิดพลั้ง
อุยเอี๋ยนจึงว่า ตัวท่านนำความมาบอกแก่เรา เสร็จสิ้นธุระแล้วจงรีบกลับไปเถิด การทางนี้เรารับผิดชอบจัดการเอง เตงจี๋เห็นดังนั้นจึงรีบขี่ม้ากลับไปหาขงเบ้ง
ครั้นเตงจี๋ไปแล้วตันเซ็กจึงกล่าวกับอุยเอี๋ยนว่า มหาอุปราชไม่ไว้ใจเราทั้งสี่จึงใช้ให้เตงจี๋มากำชับดังนี้ ข้าพเจ้าจะขอเอาทหารพันหนึ่งเป็นกองหน้า ยกออกปากทางกิก๊กแล้วไปตั้งค่ายอยู่ที่ตำบลเขากิสานเสียก่อนที่กองทัพมหาอุปราชจะยกไปถึง จะทำให้มหาอุปราชได้อายในครั้งนี้ให้จงได้
อุยเอี๋ยนได้ฟังดังนั้นก็เห็นด้วย จึงให้ตันเซ็กเป็นกองหน้าคุมทหารพันหนึ่งรีบยกไปทางปากทางกิก๊ก อีกพักหนึ่งอุยเอี๋ยนและอีกสองนายทหารก็คุมทหารเป็นกองหนุนตามไป
สามก๊กฉบับภาษาจีนระบุความแตกต่างกันว่า อุยเอี๋ยนให้ตันเซ็กคุมทหารห้าพันเป็นกองหน้ายกไปทางปากทางกิก๊ก
ตันเซ็กคุมทหารยกพ้นออกจากปากทางกิก๊ก เห็นเป็นทุ่งราบมีแนวป่ารกชัฏอยู่ทั้งสองด้าน ไม่เห็นทหารวุยก๊กตั้งสกัดอยู่แต่ประการใดก็หัวเราะเยาะ พลางกล่าวกับทหารคนสนิทว่ามหาอุปราชเห็นเรายกทหารไปตั้งอยู่ที่ตำบลกิสานแล้วเห็นจะได้ความอัปยศเป็นมั่นคง
ตันเซ็กกล่าวสิ้นคำลงเสียงประทัดใหญ่ก็ดังสนั่นขึ้นจากในป่า ทหารของสุมาอี้ได้โห่ร้องยกออกมาจากแนวป่าทั้งสองข้างเข้าล้อมกองทหารของตันเซ็กไว้อย่างรวดเร็ว ตันเซ็กเห็นดังนั้นก็ตกใจ สั่งทหารให้ตีฝ่ากลับมาทางด้านหลัง ทหารของทั้งสองฝ่ายได้ต่อสู้กันเป็นสามารถ ต่างบาดเจ็บล้มตายลงเป็นอันมาก
ในขณะนั้นอุยเอี๋ยนยกกองทัพหนุนมาถึง เห็นทหารสุมาอี้ล้อมกองทหารของ ตันเซ็กอยู่ จึงสั่งทหารให้จู่โจมเข้าไปช่วยแก้เอาตันเซ็กออกมาได้ แล้วพากันถอยกลับเข้ามาในช่องเขา สุมาอี้เห็นดังนั้นก็สั่งทหารไม่ให้ติดตามไป ด้วยเกรงว่าขงเบ้งจะทำกลอุบายซุ่มทหารไว้ในซอกเขา และสั่งทหารให้ถอยกลับไปค่าย
สามก๊กฉบับเจ้าพระยาพระคลัง (หน) ระบุว่าในการยุทธ์ครั้งนี้ตันเซ็กเสียทหารสี่ร้อยคน เหลืออยู่เพียงหกร้อยคน ในขณะที่ฉบับภาษาจีนระบุว่า ทหารของตันเซ็กถูกฆ่าตายถึงสี่พันคน เหลืออยู่เพียงหนึ่งพันคนเท่านั้น
ฝ่ายเตงจี๋ครั้นกลับไปถึงกองทัพหลวงก็เล่าความซึ่งแจ้งแก่อุยเอี๋ยนและที่โต้ตอบกันนั้นให้ขงเบ้งทราบทุกประการ
ขงเบ้งได้ฟังดังนั้นก็หัวเราะ แล้วว่า “อุยเอี๋ยนนี้เป็นคนใจมิตรง ครั้นจะกำจัดเสียก็เสียดายฝีมือ จำเป็นจำเอาไว้ใช้ไปพลาง นานไปอุยเอี๋ยนจะเป็นขบถต่อแผ่นดินเป็นมั่นคง”
ขงเบ้งกล่าวความดังนี้เป็นการแสดงความในใจที่ต่อเนื่องมาตั้งแต่ครั้งที่อุยเอี๋ยนสังหารนายเก่าแล้วเข้าสวามิภักดิ์กับเล่าปี่ ในครั้งนั้นขงเบ้งเห็นว่าอุยเอี๋ยนเป็น คนทรยศต่อเจ้าจะเอาไว้ใช้ในราชการมิได้ จึงออกคำสั่งให้ประหารชีวิต แต่เล่าปี่เห็นว่าอุยเอี๋ยนมีฝีมือเข้มแข็งกล้าหาญ และเห็นว่าเป็นช่วงตั้งตัว หากสังหารผู้เข้าสวามิภักดิ์ ก็จะทำให้คนทั้งปวงไม่กล้าเข้ามาเป็นพวกอีกต่อไป จึงทัดทานไม่ให้ขงเบ้งประหารชีวิตอุยเอี๋ยนและตั้งให้เป็นนายทหาร ในการศึกกับวุยก๊ก ขงเบ้งก็ได้เห็นท่าทีของอุยเอี๋ยนที่เริ่มแข็งข้อมากขึ้นโดยลำดับ และยิ่งประจักษ์ชัดในครั้งนี้ จึงพิพากษาว่าในวันหน้าอุยเอี๋ยนจะเป็นขบถเป็นแน่แท้ แต่ครั้นจะสังหารเสียก็เสียดายฝีมือ จำจะช่วงใช้ไปพลางก่อน
ขงเบ้งกล่าวความสิ้นคำลง ม้าเร็วซึ่งมาจากเส้นทางกิก๊ก ได้นำความเข้ามารายงานแก่ขงเบ้งว่าตันเซ็กได้คุมทหารยกล่วงขึ้นไปโดยไม่ฟังคำมหาอุปราช ได้เสียทีแก่สุมาอี้แล้ว ทหารบาดเจ็บล้มตายลงเป็นอันมาก ขณะนี้กองทัพของอุยเอี๋ยนได้ถอยทัพเข้ามาตั้งอยู่ในซอกเขา
ขงเบ้งได้ยินรายงานดังนั้นจึงปรารภว่า “ถ้าจะเอาโทษกับนายทัพนายกองบัดนี้ก็จะเอาใจออกหากไปเข้าด้วยข้าศึกเสีย”
ปรารภดังนั้นแล้วขงเบ้งจึงกล่าวกับเตงจี๋ว่า ให้ท่านรีบเดินทางกลับไปหาอุยเอี๋ยน ปลอบประโลมใจว่าให้ตั้งใจทำราชการ ด้วยเป็นประเพณีการสงครามย่อมมีแพ้แลชนะ ซึ่งเสียทีแก่ข้าศึกมานั้นอย่าได้น้อยใจเลย เรามิได้เอาโทษดอก ให้เร่งคิดทำการแก้ไขเอาชัยชนะยกไปให้ถึงตำบลเขากิสานจงได้
เตงจี๋รับคำขงเบ้งแล้วคำนับลา ขี่ม้าไปหาอุยเอี๋ยนที่ซอกเขาในเส้นทางกิก๊ก
ครั้นเตงจี๋ออกไปแล้ว ขงเบ้งจึงสั่งให้ม้าเร็วรีบนำความไปแจ้งแก่ม้าต้าย ม้าตง อองเป๋ง และเตียวเอ๊กซึ่งคุมทหารไปตามเส้นทางจำก๊กว่า ให้แบ่งทหารออกเป็นสองกอง แต่ละกองให้ออกจากเส้นทางช่องเขาใหญ่ที่จะออกปากทางตำบลจำก๊ก ให้แยกเดินทัพตามเส้นทางน้อย ให้ม้าต้ายและอองเป๋งยกทหารไปตามซอกเขาด้านขวามือ ให้ม้าตงและเตียวเอ๊กยกทหารไปตามซอกเขาทางซ้ายมือ ให้เดินทัพแต่เวลากลางคืน ในเวลากลางวันให้พาทหารขึ้นไปซุ่มอยู่ในป่าบนยอดเขา ถึงปากทางจำก๊กแล้วให้กองเพลิงไว้เป็นสำคัญบนยอดเขา แล้วยกวกไปทางด้านหลังค่ายของโจจิ๋น จุดเพลิงเผาค่ายขึ้นและยกทหารเข้าปล้นค่ายของโจจิ๋นทันที
ครั้นม้าเร็วคำนับลาขงเบ้งออกเดินทางไปหาสี่นายทหารแล้ว ขงเบ้งจึงเรียกกวนหินและเลียวฮัวเข้ามาหา แล้วกระซิบสั่งความเป็นแผนการลับ กำชับว่าให้ปฏิบัติตามแผนการนี้โดยเคร่งครัด กวนหินและเลียวฮัวรับคำขงเบ้งแล้วคำนับลาพาทหารยกไปในวันนั้น
ครั้นกวนหินและเลียวฮัวพาทหารออกไปแล้ว ขงเบ้งจึงให้งออี้และงอปั้นคุมทหารเป็นกองหน้ายกล่วงขึ้นไปก่อน ส่วนขงเบ้งก็ยกทหารตามไป
ฝ่ายโจจิ๋นหลังจากตั้งค่ายมั่นอยู่ที่ปากทางจำก๊กแล้ว ยังคงเชื่อมั่นว่ากองทัพเมืองเสฉวนจะไม่ยกตามมา จึงให้ทหารพักผ่อนมิได้กวดขันระมัดระวังเวรยาม ครั้นเวลาผ่านไปเจ็ดวันเหลืออีกสามวันจะครบกำหนดซึ่งได้ทำสัญญาไว้กับสุมาอี้ ก็ยิ่งประมาทว่าเหลือเวลาอีกสามวันเท่านั้น ไหนเลยกองทัพเมืองเสฉวนจะยกมา เราจะประจานสุมาอี้ให้อัปยศอดสูในครั้งนี้
ครั้นรุ่งขึ้นเป็นวันที่แปด หน่วยสอดแนมได้เข้ามารายงานโจจิ๋นว่า ได้ตรวจพบทหารเมืองเสฉวนกองหนึ่งยกมาตามเส้นทางน้อยข้างเส้นทางจำก๊ก โจจิ๋นได้ยินดังนั้นจึงว่า กองทัพเสฉวนกองน้อยเพียงเท่านี้จะวิตกอันใด เราจะยกทหารไปสกัดไว้ กองทัพขงเบ้งก็จะไม่สามารถยกล่วงมาได้ พ้นสิบวันแล้วเราจะปรับสุมาอี้ตามสัญญา
กล่าวแล้วโจจิ๋นจึงสั่งให้จิ้นเหลียงคุมทหารห้าพันยกไปลาดตระเวนในซอกเขาข้างเส้นทางจำก๊ก สั่งให้คอยตีสกัดอย่าให้กองทัพเมืองเสฉวนยกล่วงปากทางจำก๊กออกมาได้
จิ้นเหลียงคุมทหารยกเข้าไปในซอกเขาข้างเส้นทางจำก๊ก แต่พอไปถึงกลางทางก็เห็นทหารเมืองเสฉวนกองหนึ่งยกสวนมา จิ้นเหลียงเห็นทหารเมืองเสฉวนมีประมาณพันคนก็นึกประมาท สั่งทหารให้เข้าโจมตีทหารเมืองเสฉวนในทันที
ทหารเมืองเสฉวนเห็นกองทัพวุยก๊กยกมาดังนั้นจึงพากันล่าถอยแล้วหนีเข้าป่าไป.
ครั้นสุมาอี้ยกไปถึงปากทางกิก๊กแล้ว ก็ให้ทหารตั้งค่ายซุ่มไว้ในป่าที่ปากทางกิก๊ก กำชับให้ทหารลาดตระเวนและเตรียมพร้อมเพื่อคอยโจมตีกองทัพของขงเบ้งที่จะยกไล่ตามมา
วันหนึ่งสุมาอี้ได้ปลอมตัวเป็นทหารเลว พานายทหารคนสนิทอีกคนหนึ่งขี่ม้าไปเที่ยวตรวจตราตามค่ายต่าง ๆ เพื่อสดับตรับฟังความทุกข์สุขของทหารทั้งปวง เมื่อสุมาอี้ไปถึงริมค่ายแห่งหนึ่ง เห็นนายกองคนหนึ่งนั่งผิงไฟทอดถอนใจใหญ่ บ่นพร่ำรำพันว่า สุมาอี้นี้โง่เขลาเบาปัญญา ไม่เห็นแก่ความยากลำบากของทหาร “ฝนตกถึงสามสิบวันได้ความลำบากหนักหนาแล้ว มิหนำซ้ำมาตั้งอยู่ที่นี่ให้ได้ยากไปอีกเล่า เหมือนมานั่งคอยท่าหาความทุกข์ใส่ตัว แม้จะกลับไปเมืองให้เห็นหน้าบุตรภรรยาจะมิดีหรือ”
ในฉบับภาษาจีนได้ระบุความตอนนี้ว่า สุมาอี้ขี่ม้าไปตรวจตราค่ายทหาร เห็นนายกองคนหนึ่งนั่งทอดถอนอาลัยตายอยากอยู่ที่ริมค่าย ก็ลงจากม้าย่องเข้าไปดู ได้ยินนายกองคนนั้นรำพึงรำพันว่า ทหารทั้งปวงได้รับความยากลำบากจากฝนตกหนักติดต่อกันถึงสามสิบวันแสนสาหัสนัก สุมาอี้นี้มิได้สนใจความยากลำบากของข้าทหาร เห็นแต่ความสนุกในการพนันกับโจจิ๋น จึงให้ทหารทั้งปวงมาตั้งทนทุกข์อยู่ที่นี่อีกเล่า หากกลับคืนไปเมืองลกเอี๋ยงแล้วได้พบครอบครัว เห็นจะมีความสุขจะมิดีกว่าหรือ
สุมาอี้ได้ยินดังนั้นก็โกรธ กลับไปขึ้นม้าแล้วควบกลับไปค่าย พอถึงค่ายก็ให้เรียก แม่ทัพนายกองไปพร้อมกัน และให้ทหารไปจับตัวนายกองผู้นั้นเข้ามาไต่สวน นายกองผู้นั้นก็รับเป็นสัตย์
สุมาอี้จึงว่า “เรามาทำการทั้งนี้ใช่จะปรารถนาเอาความสุขแต่ตัวก็หามิได้ คิดจะให้เป็นความสุขแก่บุตรภรรยาท่านทั้งปวง เหตุใดมาเจรจาฉะนี้ มิได้มีความภักดีต่อเจ้า กินเบี้ยหวัดมาร้อยวันพันวัน จะเอาการแต่วันเดียวก็มิได้ ซึ่งจะเอาไว้ในกองทัพนี้มิได้ นานไปจะกลับเป็นศัตรู”
ว่าแล้วสุมาอี้จึงสั่งให้คุมตัวนายกองผู้นั้นเอาไปประหารชีวิต ทหารทั้งปวงเห็นดังนั้นก็พากันตกใจ
สุมาอี้เห็นดังนั้นจึงปลอบใจว่า เราเป็นข้าแผ่นดิน กินเบี้ยหวัดผ้าปี ร้อยวันพันวันก็เพื่อทำการศึกครั้งหนึ่ง ทำการเท่านี้ไม่ได้แล้วจะกินข้าวแดงแกงร้อนท่านไปไยกัน ท่านทั้งปวงภักดีต่อเจ้าประจักษ์อยู่ อย่าได้วิตกสืบไปเลย
แล้วสุมาอี้จึงกล่าวสืบไปว่า อีกไม่กี่วันนี้กองทัพขงเบ้งก็จะยกมาทางนี้ ท่านทั้งปวงจงซุ่มไว้ให้มิดชิดดังแต่ก่อน เมื่อใดที่เราจุดประทัดใหญ่เป็นสัญญาณที่กลางค่ายแล้ว ก็ให้ทหารทุกกองรุกเข้าจู่โจมกองทัพขงเบ้งพร้อมกัน อย่าได้เกรงกลัวแก่ความตาย
ทหารทั้งปวงเกรงอาญาศึกของสุมาอี้ ครั้นได้ยินคำดังนั้นก็คุกเข่าคำนับรับคำพร้อมกัน แล้วพากันกลับไปค่าย
ฝ่ายอุยเอี๋ยน เตียวหงี เตาเขงและตันเซ็ก ครั้นยกทหารมาใกล้ปากทางกิก๊ก พลันหน่วยลาดตระเวนได้ขี่ม้าเข้ามารายงานว่า ขงเบ้งได้ใช้ให้เตงจี๋มาหาท่าน ทั้งสี่นายทหารได้ฟังรายงานดังนั้นก็หยุดม้า พอเตงจี๋มาถึงต่างคนต่างคำนับกันตามธรรมเนียมแล้ว อุยเอี๋ยนจึงถามว่าท่านรีบรุดเดินทางตามมานี้มีธุระสิ่งใดหรือ
เตงจี๋จึงว่า มหาอุปราชสั่งให้ข้าพเจ้ารีบตามมาแจ้งแก่ท่านว่า ซึ่งท่านยกกองทัพมาทางกิก๊กนี้ให้เร่งระมัดระวังตัว ด้วยกริ่งว่าสุมาอี้จะซุ่มทหารไว้ที่ปากทางกิก๊ก จะได้ไม่เสียทีแก่ข้าศึก การจะเคลื่อนทัพรุดไปข้างหน้าพึงให้ทหารออกไปสอดแนมลาดตระเวนระยะไกล แล้วค่อย ๆ เคลื่อนทัพไป อย่าได้ประมาทแก่ความคิดสุมาอี้เป็นอันขาด
อุยเอี๋ยนได้ฟังดังนั้นก็หัวเราะ และกล่าวว่ามหาอุปราชไว้ใจสั่งให้เราคุมกองทัพมาแล้ว ไฉนจึงกลับไม่ไว้ใจ ใช้ให้ท่านมากำชับเราอีกเล่า เราเป็นนายทหารคุมกองทัพอยู่แนวหน้า จะทำการสิ่งใดหากต้องคอยฟังมหาอุปราชซึ่งอยู่หลังห่างไกลแล้ว จะไม่เสียทีแก่ข้าศึกดอกหรือ
ตันเซ็กได้ยินอุยเอี๋ยนกล่าวดังนั้นก็หัวเราะบ้าง แล้วกล่าวว่ามหาอุปราชนี้ดีแต่ระแวง และเพราะระแวงดังนี้จึงเสียทีเสียเกเต๋งแก่สุมาอี้จนกองทัพต้องพ่ายแพ้ยับเยิน
อุยเอี๋ยนได้ฟังคำตันเซ็กตำหนิขงเบ้งดังนั้นก็เสริมว่า ใช่แต่ครั้งเกเต๋งครั้งเดียวก็หาไม่ ในการบุกวุยก๊กครั้งแรก เราก็ได้เสนอแผนการให้บุกเข้าตีเมืองเตียงอันโดยตรงแต่ขงเบ้งไม่ฟังคำเรา จึงพลาดท่าเสียทีและทำการไม่สำเร็จถึงสามครั้งสามคราดังนี้ หากมหาอุปราชฟังคำเราแล้ว ไหนเลยทหารทั้งปวงจะได้ยากลำบากถึงเพียงนี้
เตงจี๋ได้ฟังคำสองนายทหารดังนั้นจึงท้วงว่า ไฉนท่านทั้งสองจึงดูแคลนสติปัญญาของมหาอุปราชเล่า อันมหาอุปราชนี้มีสติปัญญาเป็นอันมาก คิดอ่านสิ่งใดก็ไม่เคยผิดพลั้ง
อุยเอี๋ยนจึงว่า ตัวท่านนำความมาบอกแก่เรา เสร็จสิ้นธุระแล้วจงรีบกลับไปเถิด การทางนี้เรารับผิดชอบจัดการเอง เตงจี๋เห็นดังนั้นจึงรีบขี่ม้ากลับไปหาขงเบ้ง
ครั้นเตงจี๋ไปแล้วตันเซ็กจึงกล่าวกับอุยเอี๋ยนว่า มหาอุปราชไม่ไว้ใจเราทั้งสี่จึงใช้ให้เตงจี๋มากำชับดังนี้ ข้าพเจ้าจะขอเอาทหารพันหนึ่งเป็นกองหน้า ยกออกปากทางกิก๊กแล้วไปตั้งค่ายอยู่ที่ตำบลเขากิสานเสียก่อนที่กองทัพมหาอุปราชจะยกไปถึง จะทำให้มหาอุปราชได้อายในครั้งนี้ให้จงได้
อุยเอี๋ยนได้ฟังดังนั้นก็เห็นด้วย จึงให้ตันเซ็กเป็นกองหน้าคุมทหารพันหนึ่งรีบยกไปทางปากทางกิก๊ก อีกพักหนึ่งอุยเอี๋ยนและอีกสองนายทหารก็คุมทหารเป็นกองหนุนตามไป
สามก๊กฉบับภาษาจีนระบุความแตกต่างกันว่า อุยเอี๋ยนให้ตันเซ็กคุมทหารห้าพันเป็นกองหน้ายกไปทางปากทางกิก๊ก
ตันเซ็กคุมทหารยกพ้นออกจากปากทางกิก๊ก เห็นเป็นทุ่งราบมีแนวป่ารกชัฏอยู่ทั้งสองด้าน ไม่เห็นทหารวุยก๊กตั้งสกัดอยู่แต่ประการใดก็หัวเราะเยาะ พลางกล่าวกับทหารคนสนิทว่ามหาอุปราชเห็นเรายกทหารไปตั้งอยู่ที่ตำบลกิสานแล้วเห็นจะได้ความอัปยศเป็นมั่นคง
ตันเซ็กกล่าวสิ้นคำลงเสียงประทัดใหญ่ก็ดังสนั่นขึ้นจากในป่า ทหารของสุมาอี้ได้โห่ร้องยกออกมาจากแนวป่าทั้งสองข้างเข้าล้อมกองทหารของตันเซ็กไว้อย่างรวดเร็ว ตันเซ็กเห็นดังนั้นก็ตกใจ สั่งทหารให้ตีฝ่ากลับมาทางด้านหลัง ทหารของทั้งสองฝ่ายได้ต่อสู้กันเป็นสามารถ ต่างบาดเจ็บล้มตายลงเป็นอันมาก
ในขณะนั้นอุยเอี๋ยนยกกองทัพหนุนมาถึง เห็นทหารสุมาอี้ล้อมกองทหารของ ตันเซ็กอยู่ จึงสั่งทหารให้จู่โจมเข้าไปช่วยแก้เอาตันเซ็กออกมาได้ แล้วพากันถอยกลับเข้ามาในช่องเขา สุมาอี้เห็นดังนั้นก็สั่งทหารไม่ให้ติดตามไป ด้วยเกรงว่าขงเบ้งจะทำกลอุบายซุ่มทหารไว้ในซอกเขา และสั่งทหารให้ถอยกลับไปค่าย
สามก๊กฉบับเจ้าพระยาพระคลัง (หน) ระบุว่าในการยุทธ์ครั้งนี้ตันเซ็กเสียทหารสี่ร้อยคน เหลืออยู่เพียงหกร้อยคน ในขณะที่ฉบับภาษาจีนระบุว่า ทหารของตันเซ็กถูกฆ่าตายถึงสี่พันคน เหลืออยู่เพียงหนึ่งพันคนเท่านั้น
ฝ่ายเตงจี๋ครั้นกลับไปถึงกองทัพหลวงก็เล่าความซึ่งแจ้งแก่อุยเอี๋ยนและที่โต้ตอบกันนั้นให้ขงเบ้งทราบทุกประการ
ขงเบ้งได้ฟังดังนั้นก็หัวเราะ แล้วว่า “อุยเอี๋ยนนี้เป็นคนใจมิตรง ครั้นจะกำจัดเสียก็เสียดายฝีมือ จำเป็นจำเอาไว้ใช้ไปพลาง นานไปอุยเอี๋ยนจะเป็นขบถต่อแผ่นดินเป็นมั่นคง”
ขงเบ้งกล่าวความดังนี้เป็นการแสดงความในใจที่ต่อเนื่องมาตั้งแต่ครั้งที่อุยเอี๋ยนสังหารนายเก่าแล้วเข้าสวามิภักดิ์กับเล่าปี่ ในครั้งนั้นขงเบ้งเห็นว่าอุยเอี๋ยนเป็น คนทรยศต่อเจ้าจะเอาไว้ใช้ในราชการมิได้ จึงออกคำสั่งให้ประหารชีวิต แต่เล่าปี่เห็นว่าอุยเอี๋ยนมีฝีมือเข้มแข็งกล้าหาญ และเห็นว่าเป็นช่วงตั้งตัว หากสังหารผู้เข้าสวามิภักดิ์ ก็จะทำให้คนทั้งปวงไม่กล้าเข้ามาเป็นพวกอีกต่อไป จึงทัดทานไม่ให้ขงเบ้งประหารชีวิตอุยเอี๋ยนและตั้งให้เป็นนายทหาร ในการศึกกับวุยก๊ก ขงเบ้งก็ได้เห็นท่าทีของอุยเอี๋ยนที่เริ่มแข็งข้อมากขึ้นโดยลำดับ และยิ่งประจักษ์ชัดในครั้งนี้ จึงพิพากษาว่าในวันหน้าอุยเอี๋ยนจะเป็นขบถเป็นแน่แท้ แต่ครั้นจะสังหารเสียก็เสียดายฝีมือ จำจะช่วงใช้ไปพลางก่อน
ขงเบ้งกล่าวความสิ้นคำลง ม้าเร็วซึ่งมาจากเส้นทางกิก๊ก ได้นำความเข้ามารายงานแก่ขงเบ้งว่าตันเซ็กได้คุมทหารยกล่วงขึ้นไปโดยไม่ฟังคำมหาอุปราช ได้เสียทีแก่สุมาอี้แล้ว ทหารบาดเจ็บล้มตายลงเป็นอันมาก ขณะนี้กองทัพของอุยเอี๋ยนได้ถอยทัพเข้ามาตั้งอยู่ในซอกเขา
ขงเบ้งได้ยินรายงานดังนั้นจึงปรารภว่า “ถ้าจะเอาโทษกับนายทัพนายกองบัดนี้ก็จะเอาใจออกหากไปเข้าด้วยข้าศึกเสีย”
ปรารภดังนั้นแล้วขงเบ้งจึงกล่าวกับเตงจี๋ว่า ให้ท่านรีบเดินทางกลับไปหาอุยเอี๋ยน ปลอบประโลมใจว่าให้ตั้งใจทำราชการ ด้วยเป็นประเพณีการสงครามย่อมมีแพ้แลชนะ ซึ่งเสียทีแก่ข้าศึกมานั้นอย่าได้น้อยใจเลย เรามิได้เอาโทษดอก ให้เร่งคิดทำการแก้ไขเอาชัยชนะยกไปให้ถึงตำบลเขากิสานจงได้
เตงจี๋รับคำขงเบ้งแล้วคำนับลา ขี่ม้าไปหาอุยเอี๋ยนที่ซอกเขาในเส้นทางกิก๊ก
ครั้นเตงจี๋ออกไปแล้ว ขงเบ้งจึงสั่งให้ม้าเร็วรีบนำความไปแจ้งแก่ม้าต้าย ม้าตง อองเป๋ง และเตียวเอ๊กซึ่งคุมทหารไปตามเส้นทางจำก๊กว่า ให้แบ่งทหารออกเป็นสองกอง แต่ละกองให้ออกจากเส้นทางช่องเขาใหญ่ที่จะออกปากทางตำบลจำก๊ก ให้แยกเดินทัพตามเส้นทางน้อย ให้ม้าต้ายและอองเป๋งยกทหารไปตามซอกเขาด้านขวามือ ให้ม้าตงและเตียวเอ๊กยกทหารไปตามซอกเขาทางซ้ายมือ ให้เดินทัพแต่เวลากลางคืน ในเวลากลางวันให้พาทหารขึ้นไปซุ่มอยู่ในป่าบนยอดเขา ถึงปากทางจำก๊กแล้วให้กองเพลิงไว้เป็นสำคัญบนยอดเขา แล้วยกวกไปทางด้านหลังค่ายของโจจิ๋น จุดเพลิงเผาค่ายขึ้นและยกทหารเข้าปล้นค่ายของโจจิ๋นทันที
ครั้นม้าเร็วคำนับลาขงเบ้งออกเดินทางไปหาสี่นายทหารแล้ว ขงเบ้งจึงเรียกกวนหินและเลียวฮัวเข้ามาหา แล้วกระซิบสั่งความเป็นแผนการลับ กำชับว่าให้ปฏิบัติตามแผนการนี้โดยเคร่งครัด กวนหินและเลียวฮัวรับคำขงเบ้งแล้วคำนับลาพาทหารยกไปในวันนั้น
ครั้นกวนหินและเลียวฮัวพาทหารออกไปแล้ว ขงเบ้งจึงให้งออี้และงอปั้นคุมทหารเป็นกองหน้ายกล่วงขึ้นไปก่อน ส่วนขงเบ้งก็ยกทหารตามไป
ฝ่ายโจจิ๋นหลังจากตั้งค่ายมั่นอยู่ที่ปากทางจำก๊กแล้ว ยังคงเชื่อมั่นว่ากองทัพเมืองเสฉวนจะไม่ยกตามมา จึงให้ทหารพักผ่อนมิได้กวดขันระมัดระวังเวรยาม ครั้นเวลาผ่านไปเจ็ดวันเหลืออีกสามวันจะครบกำหนดซึ่งได้ทำสัญญาไว้กับสุมาอี้ ก็ยิ่งประมาทว่าเหลือเวลาอีกสามวันเท่านั้น ไหนเลยกองทัพเมืองเสฉวนจะยกมา เราจะประจานสุมาอี้ให้อัปยศอดสูในครั้งนี้
ครั้นรุ่งขึ้นเป็นวันที่แปด หน่วยสอดแนมได้เข้ามารายงานโจจิ๋นว่า ได้ตรวจพบทหารเมืองเสฉวนกองหนึ่งยกมาตามเส้นทางน้อยข้างเส้นทางจำก๊ก โจจิ๋นได้ยินดังนั้นจึงว่า กองทัพเสฉวนกองน้อยเพียงเท่านี้จะวิตกอันใด เราจะยกทหารไปสกัดไว้ กองทัพขงเบ้งก็จะไม่สามารถยกล่วงมาได้ พ้นสิบวันแล้วเราจะปรับสุมาอี้ตามสัญญา
กล่าวแล้วโจจิ๋นจึงสั่งให้จิ้นเหลียงคุมทหารห้าพันยกไปลาดตระเวนในซอกเขาข้างเส้นทางจำก๊ก สั่งให้คอยตีสกัดอย่าให้กองทัพเมืองเสฉวนยกล่วงปากทางจำก๊กออกมาได้
จิ้นเหลียงคุมทหารยกเข้าไปในซอกเขาข้างเส้นทางจำก๊ก แต่พอไปถึงกลางทางก็เห็นทหารเมืองเสฉวนกองหนึ่งยกสวนมา จิ้นเหลียงเห็นทหารเมืองเสฉวนมีประมาณพันคนก็นึกประมาท สั่งทหารให้เข้าโจมตีทหารเมืองเสฉวนในทันที
ทหารเมืองเสฉวนเห็นกองทัพวุยก๊กยกมาดังนั้นจึงพากันล่าถอยแล้วหนีเข้าป่าไป.