ตอนที่ 543. มังกรตรอมใจ
ขงเบ้งวางกลถอยทัพสามครั้งสามหน จัดทหารสามขบวนรบเข้าต่อสู้ และอีกหนึ่งขบวนทหารม้ารบชิงเอาค่ายของสุมาอี้ ทำลายยุทธวิธีของสุมาอี้ที่ตั้งมั่นรักษาค่ายไม่ออกรบเป็นผลสำเร็จ ฆ่าฟันทหารสุมาอี้ตลอดจนจับเป็นเชลยและยึดสินศึกได้เป็นจำนวนมาก จนสุมาอี้ต้องแตกหนีลนลานกลับไปค่าย
พระพุทธศาสนายุกาลล่วงแล้วได้เจ็ดร้อยเจ็ดสิบสองพรรษา เดือนยี่ ปลายปี กองทัพของขงเบ้งซึ่งเดิมทียกเข้าตีวุยก๊กเพียงเพื่อทำให้ชาวเมืองกังตั๋งเห็นว่ากองทัพเมืองเสฉวนยกไปตีเมืองเตียงอันแล้ว กองทัพเมืองกังตั๋งจะได้ยกเข้าตีวุยก๊กขึ้นมาจากทางใต้ จึงจัดเตรียมกองทัพม้าเป็นกองหน้า และยกกองทัพเสริมเติมมาในภายหลัง ครั้นทำการเข้าจริงกองทัพของขงเบ้งกลับได้ชัยชนะเกินความคาดหมาย ยึดหัวเมืองตามรายทางได้เป็นหลายเมือง และคิดกลอุบายโจมตีกองทัพของสุมาอี้จนแตกพ่าย ล่วงเข้าเทศกาลหน้าหนาว ทหารทั้งสองฝ่ายต่างได้ความยากลำบากเป็นอันมาก
ฝ่ายสุมาอี้เมื่อเสียทีแก่ขงเบ้ง พาทหารหนีกลับมาถึงค่ายแล้วเห็นทหารเมืองเสฉวนหนีออกจากค่ายไปจนหมดสิ้น จึงพาทหารเข้าไปในค่ายดังเดิม แล้วเรียกประชุมแม่ทัพนายกองทั้งปวง
ครั้นแม่ทัพนายกองทั้งปวงมาพร้อมกันแล้ว สุมาอี้จึงกล่าวด้วยใบหน้าเศร้าสลดว่า เรากำหนดแผนการรบแต่เดิมมาให้ตั้งรับอยู่ในค่าย รอให้กองทัพขงเบ้งขัดสนเสบียงลงแล้วจึงค่อยยกตามตี ก็จะมีชัยชนะแก่ข้าศึก
สุมาอี้หยุดถ้อยคำไว้ครู่หนึ่ง สายตาก็จ้องมองหน้าเตียวคับแล้วกล่าวสืบไปว่า ซึ่งขงเบ้งทำทีเป็นถอยทัพ “เรารู้อยู่ว่าเป็นกลของขงเบ้ง ได้ห้ามปรามทัดทานคนทั้งปวงมิฟังเรา จึงเสียทหารแลเครื่องศาสตราวุธ แต่นี้สืบไปเมื่อหน้าผู้ใดมิได้ฟังเรา ขัดขืนให้เสียการดุจหนึ่งครั้งนี้ เราจะตัดศีรษะเสีย”
เตียวคับและบรรดาแม่ทัพนายกองได้ฟังคำสุมาอี้ดังนั้นก็นึกละอายใจกันทั่วทุกตัวคน พากันก้มหน้านิ่งด้วยความอัปยศอดสู
สุมาอี้จึงกำชับว่า ตั้งแต่วันนี้ไปห้ามไม่ให้ยกไปรบกับขงเบ้งอีก ถ้าหากผู้ใดไม่ฟังคำเรา เราจะตัดศีรษะเสียตามพระอัยการศึก และตั้งแต่วันนั้นสุมาอี้ก็คุมทหารตั้งมั่นอยู่ในค่าย ไม่ยกออกไปรบกับขงเบ้งอีกเลย
ฝ่ายขงเบ้งครั้นได้ชัยชนะแก่สุมาอี้แล้ว ก็สั่งเตรียมทหารเพื่อจะยกไปตีค่ายของสุมาอี้ต่อไป อยู่มาวันหนึ่งทหารรักษาการณ์ได้เข้ามารายงานขงเบ้งว่า มีม้าเร็วถือหนังสือมาจากเมืองเสฉวนจะขอเข้าพบ ขงเบ้งทราบดังนั้นก็รู้สึกประหลาดใจ จึงสั่งให้นำม้าเร็วเข้ามาหาถึงข้างในค่าย
ม้าเร็วจากเมืองเสฉวนคำนับขงเบ้งตามธรรมเนียมแล้ว จึงรายงานขงเบ้งว่าเจียวอ้วนมีหนังสือมาถึงมหาอุปราช รายงานว่าซึ่งเตียวเปาได้รับบาดเจ็บสาหัส กลับไปรักษาพยาบาลที่เมืองเสฉวนนั้น บัดนี้บาดแผลกำเริบ อาการกล้าขึ้น เตียวเปาทนพิษบาดแผลไม่ได้จึงถึงแก่ความตายแล้ว
ขงเบ้งได้ยินรายงานดังนั้น “ก็ร้องไห้รักจนอาเจียนโลหิตออกมาสลบไป”
พญามังกรแห่งเขาโงลังกั๋งซึ่งสุมาเต๊กโชผู้ชำนาญอาโปกสิณเคยพยากรณ์ว่า การออกไปช่วยเหลือเล่าปี่เชื้อพระวงศ์ผู้อาภัพจะได้ยากลำบากแสนสาหัส ถึงขนาดต้องรากเลือดตายนั้น บัดนี้สังขารของขงเบ้งก็ไม่อาจทนทานต่อปัญหามากหลายซึ่งรุมเร้าอยู่ได้ โดยเฉพาะคือความโศกเศร้าเสียใจจากการสูญเสียจูล่ง ซึ่งครั้งนั้นขงเบ้งก็ร้องไห้จนอาเจียนเป็นโลหิตเป็นครั้งแรก มาครั้งนี้แม้ว่าสัมพันธภาพระหว่างขงเบ้งกับเตียวเปาจะไม่ลึกซึ้งถึงขนาดอย่างเดียวกับจูล่ง แต่ความรักที่ขงเบ้งมีต่อเตียวหุยผู้บิดาซึ่งเลื่อมใสศรัทธาเชื่อฟังขงเบ้งด้วยใจซื่อตลอดชั่วอายุขัย และความทุ่มเทอุทิศตัวในราชการของเตียวเปา ตลอดจนความไว้เนื้อเชื่อใจในความจงรักภักดีของเตียวเปาที่มีต่อบ้านเมือง และความสนิทสนมตลอดเวลาที่กรำศึกร่วมกันมา ขงเบ้งก็โศกเศร้าอาลัยถึงเตียวเปาเป็นอันมากจนต้องอาเจียนเป็นโลหิตเป็นครั้งที่สองแล้วสลบไป
ทหารทั้งปวงเห็นขงเบ้งสลบสิ้นสติสมประดีดังนั้นก็พากันตกใจ ช่วยกันแก้ไขจนขงเบ้งฟื้นคืนสติดังเดิม แต่เมื่อฟื้นแล้วขงเบ้งก็ป่วย และอาการได้ทรุดหนักลงโดยลำดับ จนต้องนอนซมอยู่กับที่ ออกว่าราชการสงครามตามปกติไม่ได้ แม่ทัพนายกองทั้งปวงจึงต่างเป็นทุกข์ร้อนว่าจะคิดอ่านประการใด
ขงเบ้งแม้ยามป่วยหนักลุกออกจากที่ไม่ได้ ก็สั่งให้ทหารเอาแผนที่สมรภูมิมากางไว้ที่ผนังข้างปลายเท้า ยามตื่นตาก็จ้องมองดูแผนที่ แต่ยามกินกลับกินไม่ลง ขงเบ้งได้แต่ทอดถอนใจใหญ่ รำพึงในใจว่าแต่ไหนแต่ไรมาเรามั่นใจในสติปัญญาตัว ไม่ยำเกรงแก่ฟ้าแลดิน ถึงวันนี้เราทำการได้ชัยชนะยกล่วงลึกเข้ามาในแดนวุยก๊กถึงเพียงนี้ หากแม้นไม่ป่วยเจ็บสาหัสแล้ว เห็นจะยกเข้ายึดเอาเมืองลกเอี๋ยงได้เป็นแน่แท้ แต่เรามาป่วยหนักลงฉะนี้หรือลิขิตสวรรค์จะทรงพลังยิ่งกว่ากำลังแห่งสติปัญญาเรา ขงเบ้งรำพึงดังนั้นแล้วก็พริ้มตาลงด้วยความรันทดใจ
ครั้นเวลาค่ำขงเบ้งได้เรียกตังควดและอ้วนเกี๋ยนเข้ามาหาถึงที่นอน แล้วกล่าวว่าสุมาอี้หลังจากพ่ายแพ้เสียทีแก่เราแล้วก็ทำตัวเป็นเต่าอยู่ในกระดอง ไม่ยอมยกออกมารบอีก แต่เมื่อใดที่สุมาอี้รู้ว่าเราป่วยหนัก เห็นจะยกกองทัพมาตีเป็นแม่นมั่น ซึ่งจะตั้งค่ายคอยท่าอาการให้เราหายป่วยเห็นจะไม่ทันท่วงที จำจะต้องเลิกทัพกลับไปเมืองฮันต๋งก่อน
ตังควดและอ้วนเกี๋ยนได้ฟังดังนั้นก็มิรู้ที่จะกล่าวประการใด ได้แต่นิ่งฟังคำของขงเบ้ง
ขงเบ้งเห็นดังนั้นจึงกล่าวสืบไปว่า อันการสงครามนั้นดูประหนึ่งว่าการรุกเป็นเรื่องยาก เพราะต้องรุกฝ่าเข้าไปในแดนของข้าศึก แต่การถอยซึ่งแม้ถอยกลับเข้าไปในแดนของเราเองกลับยิ่งยากกว่า แต่โบราณมาการพาทัพล่าถอยโดยปลอดภัยนั้นยากนัก กองทัพจำนวนมากต้องเสียหายถูกทำลายในระหว่างถอยทัพทั้งสิ้น กองทัพเราได้ถอยทัพออกจากแดนวุยก๊กสองครั้งแล้วก็มิได้เป็นอันตราย มาครั้งนี้เราป่วยหนักเกรงว่าการถอยทัพจะเป็นอันตรายแก่ทหารทั้งปวง
ตังควดและอ้วนเกี๋ยนจึงถามว่า ซึ่งจะตั้งอยู่ในแดนวุยก๊กต่อไปมิได้ แม้หากจะถอยกลับเล่าก็เป็นอันตราย ดังนี้มหาอุปราชจะทำประการใด
ขงเบ้งจึงกล่าวว่าเดชะบุญที่กองทัพเราเพิ่งมีชัยชนะแก่กองทัพข้าศึก และสุมาอี้ยังไม่รู้ความที่เราป่วยหนัก เห็นจะยังไม่ยกกองทัพมารบพุ่ง ดังนั้นการล่าทัพถอยกลับในครั้งนี้จึงต้องกระทำอย่างเงียบกริบ อย่าให้ล่วงรู้ไปถึงข้าศึก ท่านจงแจ้งแก่แม่ทัพนายกองทั้งปวงให้สั่งทหารทุกหน่วยให้เตรียมพร้อมที่จะเคลื่อนทัพได้ทุกเมื่อ อย่าให้ผู้ใดล่วงรู้ว่าจะรุกหรือจะถอย ต่อเวลาปลายยามแรกของคืนนี้จึงค่อยออกคำสั่งให้ทหารทุกกองถอยทัพกลับคืนเมืองฮันต๋ง กล่าวแล้วขงเบ้งจึงกระซิบแผนการลับแก่สองนายทหาร พลางกำชับว่าทำตามนี้แล้วสุมาอี้ก็จะไม่กล้ายกมาทำอันตรายได้
ตังควดและอ้วนเกี๋ยนรับคำขงเบ้งแล้ว ถ่ายทอดคำสั่งของขงเบ้งให้ทหารทุกกองเตรียมพร้อมที่จะเคลื่อนทัพ แต่ธงทิวทั้งปวงนั้นห้ามมิให้รื้อถอนออกจากค่าย ทหารทุกกองเพิ่งได้ชัยชนะแก่ข้าศึกต่างพากันฮึกเหิม ครั้นได้ทราบคำสั่งให้เตรียมพร้อมที่จะเคลื่อนทัพ ก็สำคัญว่าขงเบ้งเตรียมการที่จะรุกเข้าตีวุยก๊ก จึงเตรียมพร้อมที่จะเคลื่อนทัพอย่างพร้อมเพรียงกัน
ครั้นเวลาปลายยามหนึ่งของคืนนั้น ตังควดและอ้วนเกี๋ยนจึงถ่ายทอดคำสั่งของขงเบ้งให้ทหารทุกกองล่าถอยทัพออกจากค่ายอย่างเงียบกริบกลับไปเมืองฮันต๋ง เหลือทหารไว้สิบกว่าคนคอยจุดไฟตามโคมเสมือนหนึ่งว่ากองทัพยังตั้งอยู่ตามปกติ จนกองทัพของขงเบ้งยกกลับไปห้าวันแล้ว ทหารสิบกว่าคนนั้นจึงรีบขี่ม้าตามไป
ฝ่ายสุมาอี้หลังจากตั้งมั่นรักษาค่ายไม่ออกรบแล้ว ยังคงให้ทหารลาดตระเวนสังเกตการณ์กองทัพของขงเบ้งอยู่มิได้ขาด แต่ละวันได้รับรายงานว่าเวลากลางวันค่ายของขงเบ้งเงียบประดุจค่ายร้าง แต่เวลากลางคืนกลับมีแสงไฟสว่างดังปกติ สุมาอี้สำคัญว่าขงเบ้งวางกลอุบายล่อให้ยกไปตี จึงกำชับทหารให้ปฏิบัติตามคำสั่งที่ไม่ให้ออกรบโดยเคร่งครัด
ครั้นกลางคืนวันที่หก หลังจากที่ทหารขงเบ้งสิบกว่าคนทิ้งค่ายตามขงเบ้งกลับไปแล้ว แสงไฟในค่ายของขงเบ้งก็ไม่สว่างตามปกติ หน่วยลาดตระเวนของวุยก๊กจึงนำความไปรายงานให้สุมาอี้ทราบ
สุมาอี้พอทราบความก็หัวเราะ พลางปรารภว่าขงเบ้งคิดแต่งกลอุบายมาลวงเราอีกแล้ว แต่ไม่ยอมสั่งการประการใด หลังจากนั้นหน่วยลาดตระเวนได้นำความไปรายงานสุมาอี้อย่างเดียวกันอีกสองสามครั้ง สุมาอี้ก็ได้แต่หัวเราะ แล้วกำชับทหารให้กวดขันระมัดระวังเวรยามอย่าได้ประมาท
หลังจากนั้นอีกสองวันหน่วยลาดตระเวนก็เข้าไปรายงานสุมาอี้อีกว่า ข้างในค่ายของขงเบ้งไม่มีทหารเหลืออยู่แม้แต่สักคนเดียว กลางวันมีนกกาลงไปหาอาหารที่ทหารเหลือทิ้งไว้เท่านั้น สุมาอี้ได้ฟังก็สงสัย แต่ก็ยังกริ่งว่าขงเบ้งจะแต่งกลอุบาย จึงให้ทหารค่อย ๆ ออกไปสืบดูอีกหลายครั้ง จนแน่แก่ใจแล้วว่าขงเบ้งเลิกทัพกลับไปแล้ว สุมาอี้จึงคุมทหารสองร้อยคนไปตรวจดูที่ค่ายของขงเบ้ง
ครั้นมั่นใจว่าขงเบ้งเลิกทัพกลับไปแล้ว สุมาอี้จึงทอดถอนใจใหญ่ รำพึงว่าขงเบ้งนี้สติปัญญาหลักแหลมลึกซึ้งนัก จะไปจะมาไร้ร่องรอย ซึ่งสามก๊กฉบับเจ้าพระยาพระคลัง (หน) บรรยายคำรำพึงของสุมาอี้ว่า “ขงเบ้งนี้ดังเทพยดา เรามิรู้เท่าเลย”
ครั้นสุมาอี้กลับมาถึงค่ายก็ออกคำสั่งให้เลิกทัพ แล้วยกกลับไปเมืองลกเอี๋ยง
ฝ่ายขงเบ้งครั้นล่าทัพถอยกลับไปถึงเมืองฮันต๋ง จึงให้พักชุมนุมทหารไว้ที่เมืองฮันต๋ง แต่ตัวขงเบ้งเดินทางเข้าไปรักษาตัวที่เมืองเสฉวน
พระเจ้าเล่าเสี้ยนพอทราบว่าขงเบ้งป่วยอาการหนัก จึงเสด็จไปเยี่ยมไข้ขงเบ้งถึงข้างในจวนมหาอุปราช แล้วตรัสสั่งให้หมอหลวงประชุมกันรักษาขงเบ้ง บรรดาขุนนางทั้งปวงทราบข่าวต่างพากันมาเยี่ยมเยียนถามอาการป่วยของขงเบ้งถ้วนหน้ากัน
ขงเบ้งพักรักษาอาการป่วยอยู่ในเมืองเสฉวนเดือนเศษก็สร่างหาย
พระพุทธศาสนายุกาลล่วงแล้วได้เจ็ดร้อยเจ็ดสิบสามพรรษา เดือนหก พระเจ้าโจยอยเสด็จออกขุนนางว่าราชการตามปกติ โจจิ๋นซึ่งได้เสียตำแหน่งผู้บัญชาการทหารสูงสุดให้แก่สุมาอี้หายป่วยแล้ว ให้รู้สึกอัปยศอดสูใจที่พ่ายแพ้ความคิดแก่สุมาอี้ ทั้งมีน้ำจิตริษยาสุมาอี้ที่มีความชอบในการสงคราม จึงเข้าไปกราบบังคมทูลพระเจ้าโจยอยว่า บัดนี้แผ่นดินแตกเป็นสามก๊ก ต่างก๊กต่างตั้งตนเป็นใหญ่ไม่ขึ้นแก่กัน แต่จ๊กก๊กนั้นกำเริบหยาบช้านัก ยกกองทัพล่วงมาตีเมืองเราเนือง ๆ อาณาประชาราษฎรได้ความเดือดร้อนเพราะสงครามเป็นอันมาก กองทัพวุยก๊กเสียทีแตกพ่ายเป็นหลายครั้ง ทหารเมืองลกเอี๋ยงพากันเสียขวัญกำลังใจ กองทัพจ๊กก๊กเล่าก็ยิ่งฮึกเหิมกำเริบ หากขืนนิ่งอยู่สืบไป เข้าปีใหม่แล้วกองทัพจ๊กก๊กก็จะยกมาตีเมืองเราอีก ชอบที่พระองค์จะแต่งกองทัพยกไปตีเมืองเสฉวนเสียก่อน ข้าพระองค์ขออาสาคุมทัพไปกับสุมาอี้ยกไปตีเมือง ฮันต๋ง ครั้นได้ทีแล้วจะยกล่วงไปตีเอาเมืองเสฉวนเสียทีเดียว กำราบศัตรูเสียแต่ต้นมืออย่าให้ทันยกมารุกรานบ้านเมืองเราจึงจะควร
พระเจ้าโจยอยได้ฟังคำทูลของโจจิ๋นก็ทรงเห็นชอบ ตรัสสั่งตั้งให้โจจิ๋นเป็นแม่ทัพใหญ่ฝ่ายขวา ให้สุมาอี้เป็นแม่ทัพใหญ่ฝ่ายซ้าย ให้เล่าฮวนเป็นปลัดทัพ ยกกองทัพกำลังพลสี่สิบหมื่นไปตีเมืองฮันต๋งทางด่านเกี้ยมโก๊ะ
ครั้นเวลาฤกษ์ดีโจจิ๋นและสุมาอี้สองแม่ทัพใหญ่สั่งให้เคลื่อนทัพออกจากเมืองลกเอี๋ยง ยกไปทางด่านเกี้ยมโก๊ะเพื่อจะไปตีเมืองฮันต๋ง
ฝ่ายขงเบ้งหลังจากหายป่วยแล้วได้ถวายบังคมลาพระเจ้าเล่าเสี้ยนกลับไปที่เมืองฮันต๋ง ซ่องสุมผู้คนและเสบียงอาหารเตรียมการที่จะยกกองทัพไปตีวุยก๊กอีกครั้งหนึ่ง วันหนึ่งในขณะที่ขงเบ้งกำลังฝึกทหารให้ชำนาญการแปรขบวนเป็นค่ายกลพยุหะ ทหารรักษาการณ์ได้เข้าไปรายงานว่า หน่วยสอดแนมได้ส่งใบบอกแจ้งความมาให้ทราบว่า พระเจ้าโจยอยโปรดให้โจจิ๋นและสุมาอี้ยกกองทัพมาตีเมืองฮันต๋ง และกำลังเดินทัพมาทางด่านเกี้ยมโก๊ะในแดนของตำบลตันฉอง.
พระพุทธศาสนายุกาลล่วงแล้วได้เจ็ดร้อยเจ็ดสิบสองพรรษา เดือนยี่ ปลายปี กองทัพของขงเบ้งซึ่งเดิมทียกเข้าตีวุยก๊กเพียงเพื่อทำให้ชาวเมืองกังตั๋งเห็นว่ากองทัพเมืองเสฉวนยกไปตีเมืองเตียงอันแล้ว กองทัพเมืองกังตั๋งจะได้ยกเข้าตีวุยก๊กขึ้นมาจากทางใต้ จึงจัดเตรียมกองทัพม้าเป็นกองหน้า และยกกองทัพเสริมเติมมาในภายหลัง ครั้นทำการเข้าจริงกองทัพของขงเบ้งกลับได้ชัยชนะเกินความคาดหมาย ยึดหัวเมืองตามรายทางได้เป็นหลายเมือง และคิดกลอุบายโจมตีกองทัพของสุมาอี้จนแตกพ่าย ล่วงเข้าเทศกาลหน้าหนาว ทหารทั้งสองฝ่ายต่างได้ความยากลำบากเป็นอันมาก
ฝ่ายสุมาอี้เมื่อเสียทีแก่ขงเบ้ง พาทหารหนีกลับมาถึงค่ายแล้วเห็นทหารเมืองเสฉวนหนีออกจากค่ายไปจนหมดสิ้น จึงพาทหารเข้าไปในค่ายดังเดิม แล้วเรียกประชุมแม่ทัพนายกองทั้งปวง
ครั้นแม่ทัพนายกองทั้งปวงมาพร้อมกันแล้ว สุมาอี้จึงกล่าวด้วยใบหน้าเศร้าสลดว่า เรากำหนดแผนการรบแต่เดิมมาให้ตั้งรับอยู่ในค่าย รอให้กองทัพขงเบ้งขัดสนเสบียงลงแล้วจึงค่อยยกตามตี ก็จะมีชัยชนะแก่ข้าศึก
สุมาอี้หยุดถ้อยคำไว้ครู่หนึ่ง สายตาก็จ้องมองหน้าเตียวคับแล้วกล่าวสืบไปว่า ซึ่งขงเบ้งทำทีเป็นถอยทัพ “เรารู้อยู่ว่าเป็นกลของขงเบ้ง ได้ห้ามปรามทัดทานคนทั้งปวงมิฟังเรา จึงเสียทหารแลเครื่องศาสตราวุธ แต่นี้สืบไปเมื่อหน้าผู้ใดมิได้ฟังเรา ขัดขืนให้เสียการดุจหนึ่งครั้งนี้ เราจะตัดศีรษะเสีย”
เตียวคับและบรรดาแม่ทัพนายกองได้ฟังคำสุมาอี้ดังนั้นก็นึกละอายใจกันทั่วทุกตัวคน พากันก้มหน้านิ่งด้วยความอัปยศอดสู
สุมาอี้จึงกำชับว่า ตั้งแต่วันนี้ไปห้ามไม่ให้ยกไปรบกับขงเบ้งอีก ถ้าหากผู้ใดไม่ฟังคำเรา เราจะตัดศีรษะเสียตามพระอัยการศึก และตั้งแต่วันนั้นสุมาอี้ก็คุมทหารตั้งมั่นอยู่ในค่าย ไม่ยกออกไปรบกับขงเบ้งอีกเลย
ฝ่ายขงเบ้งครั้นได้ชัยชนะแก่สุมาอี้แล้ว ก็สั่งเตรียมทหารเพื่อจะยกไปตีค่ายของสุมาอี้ต่อไป อยู่มาวันหนึ่งทหารรักษาการณ์ได้เข้ามารายงานขงเบ้งว่า มีม้าเร็วถือหนังสือมาจากเมืองเสฉวนจะขอเข้าพบ ขงเบ้งทราบดังนั้นก็รู้สึกประหลาดใจ จึงสั่งให้นำม้าเร็วเข้ามาหาถึงข้างในค่าย
ม้าเร็วจากเมืองเสฉวนคำนับขงเบ้งตามธรรมเนียมแล้ว จึงรายงานขงเบ้งว่าเจียวอ้วนมีหนังสือมาถึงมหาอุปราช รายงานว่าซึ่งเตียวเปาได้รับบาดเจ็บสาหัส กลับไปรักษาพยาบาลที่เมืองเสฉวนนั้น บัดนี้บาดแผลกำเริบ อาการกล้าขึ้น เตียวเปาทนพิษบาดแผลไม่ได้จึงถึงแก่ความตายแล้ว
ขงเบ้งได้ยินรายงานดังนั้น “ก็ร้องไห้รักจนอาเจียนโลหิตออกมาสลบไป”
พญามังกรแห่งเขาโงลังกั๋งซึ่งสุมาเต๊กโชผู้ชำนาญอาโปกสิณเคยพยากรณ์ว่า การออกไปช่วยเหลือเล่าปี่เชื้อพระวงศ์ผู้อาภัพจะได้ยากลำบากแสนสาหัส ถึงขนาดต้องรากเลือดตายนั้น บัดนี้สังขารของขงเบ้งก็ไม่อาจทนทานต่อปัญหามากหลายซึ่งรุมเร้าอยู่ได้ โดยเฉพาะคือความโศกเศร้าเสียใจจากการสูญเสียจูล่ง ซึ่งครั้งนั้นขงเบ้งก็ร้องไห้จนอาเจียนเป็นโลหิตเป็นครั้งแรก มาครั้งนี้แม้ว่าสัมพันธภาพระหว่างขงเบ้งกับเตียวเปาจะไม่ลึกซึ้งถึงขนาดอย่างเดียวกับจูล่ง แต่ความรักที่ขงเบ้งมีต่อเตียวหุยผู้บิดาซึ่งเลื่อมใสศรัทธาเชื่อฟังขงเบ้งด้วยใจซื่อตลอดชั่วอายุขัย และความทุ่มเทอุทิศตัวในราชการของเตียวเปา ตลอดจนความไว้เนื้อเชื่อใจในความจงรักภักดีของเตียวเปาที่มีต่อบ้านเมือง และความสนิทสนมตลอดเวลาที่กรำศึกร่วมกันมา ขงเบ้งก็โศกเศร้าอาลัยถึงเตียวเปาเป็นอันมากจนต้องอาเจียนเป็นโลหิตเป็นครั้งที่สองแล้วสลบไป
ทหารทั้งปวงเห็นขงเบ้งสลบสิ้นสติสมประดีดังนั้นก็พากันตกใจ ช่วยกันแก้ไขจนขงเบ้งฟื้นคืนสติดังเดิม แต่เมื่อฟื้นแล้วขงเบ้งก็ป่วย และอาการได้ทรุดหนักลงโดยลำดับ จนต้องนอนซมอยู่กับที่ ออกว่าราชการสงครามตามปกติไม่ได้ แม่ทัพนายกองทั้งปวงจึงต่างเป็นทุกข์ร้อนว่าจะคิดอ่านประการใด
ขงเบ้งแม้ยามป่วยหนักลุกออกจากที่ไม่ได้ ก็สั่งให้ทหารเอาแผนที่สมรภูมิมากางไว้ที่ผนังข้างปลายเท้า ยามตื่นตาก็จ้องมองดูแผนที่ แต่ยามกินกลับกินไม่ลง ขงเบ้งได้แต่ทอดถอนใจใหญ่ รำพึงในใจว่าแต่ไหนแต่ไรมาเรามั่นใจในสติปัญญาตัว ไม่ยำเกรงแก่ฟ้าแลดิน ถึงวันนี้เราทำการได้ชัยชนะยกล่วงลึกเข้ามาในแดนวุยก๊กถึงเพียงนี้ หากแม้นไม่ป่วยเจ็บสาหัสแล้ว เห็นจะยกเข้ายึดเอาเมืองลกเอี๋ยงได้เป็นแน่แท้ แต่เรามาป่วยหนักลงฉะนี้หรือลิขิตสวรรค์จะทรงพลังยิ่งกว่ากำลังแห่งสติปัญญาเรา ขงเบ้งรำพึงดังนั้นแล้วก็พริ้มตาลงด้วยความรันทดใจ
ครั้นเวลาค่ำขงเบ้งได้เรียกตังควดและอ้วนเกี๋ยนเข้ามาหาถึงที่นอน แล้วกล่าวว่าสุมาอี้หลังจากพ่ายแพ้เสียทีแก่เราแล้วก็ทำตัวเป็นเต่าอยู่ในกระดอง ไม่ยอมยกออกมารบอีก แต่เมื่อใดที่สุมาอี้รู้ว่าเราป่วยหนัก เห็นจะยกกองทัพมาตีเป็นแม่นมั่น ซึ่งจะตั้งค่ายคอยท่าอาการให้เราหายป่วยเห็นจะไม่ทันท่วงที จำจะต้องเลิกทัพกลับไปเมืองฮันต๋งก่อน
ตังควดและอ้วนเกี๋ยนได้ฟังดังนั้นก็มิรู้ที่จะกล่าวประการใด ได้แต่นิ่งฟังคำของขงเบ้ง
ขงเบ้งเห็นดังนั้นจึงกล่าวสืบไปว่า อันการสงครามนั้นดูประหนึ่งว่าการรุกเป็นเรื่องยาก เพราะต้องรุกฝ่าเข้าไปในแดนของข้าศึก แต่การถอยซึ่งแม้ถอยกลับเข้าไปในแดนของเราเองกลับยิ่งยากกว่า แต่โบราณมาการพาทัพล่าถอยโดยปลอดภัยนั้นยากนัก กองทัพจำนวนมากต้องเสียหายถูกทำลายในระหว่างถอยทัพทั้งสิ้น กองทัพเราได้ถอยทัพออกจากแดนวุยก๊กสองครั้งแล้วก็มิได้เป็นอันตราย มาครั้งนี้เราป่วยหนักเกรงว่าการถอยทัพจะเป็นอันตรายแก่ทหารทั้งปวง
ตังควดและอ้วนเกี๋ยนจึงถามว่า ซึ่งจะตั้งอยู่ในแดนวุยก๊กต่อไปมิได้ แม้หากจะถอยกลับเล่าก็เป็นอันตราย ดังนี้มหาอุปราชจะทำประการใด
ขงเบ้งจึงกล่าวว่าเดชะบุญที่กองทัพเราเพิ่งมีชัยชนะแก่กองทัพข้าศึก และสุมาอี้ยังไม่รู้ความที่เราป่วยหนัก เห็นจะยังไม่ยกกองทัพมารบพุ่ง ดังนั้นการล่าทัพถอยกลับในครั้งนี้จึงต้องกระทำอย่างเงียบกริบ อย่าให้ล่วงรู้ไปถึงข้าศึก ท่านจงแจ้งแก่แม่ทัพนายกองทั้งปวงให้สั่งทหารทุกหน่วยให้เตรียมพร้อมที่จะเคลื่อนทัพได้ทุกเมื่อ อย่าให้ผู้ใดล่วงรู้ว่าจะรุกหรือจะถอย ต่อเวลาปลายยามแรกของคืนนี้จึงค่อยออกคำสั่งให้ทหารทุกกองถอยทัพกลับคืนเมืองฮันต๋ง กล่าวแล้วขงเบ้งจึงกระซิบแผนการลับแก่สองนายทหาร พลางกำชับว่าทำตามนี้แล้วสุมาอี้ก็จะไม่กล้ายกมาทำอันตรายได้
ตังควดและอ้วนเกี๋ยนรับคำขงเบ้งแล้ว ถ่ายทอดคำสั่งของขงเบ้งให้ทหารทุกกองเตรียมพร้อมที่จะเคลื่อนทัพ แต่ธงทิวทั้งปวงนั้นห้ามมิให้รื้อถอนออกจากค่าย ทหารทุกกองเพิ่งได้ชัยชนะแก่ข้าศึกต่างพากันฮึกเหิม ครั้นได้ทราบคำสั่งให้เตรียมพร้อมที่จะเคลื่อนทัพ ก็สำคัญว่าขงเบ้งเตรียมการที่จะรุกเข้าตีวุยก๊ก จึงเตรียมพร้อมที่จะเคลื่อนทัพอย่างพร้อมเพรียงกัน
ครั้นเวลาปลายยามหนึ่งของคืนนั้น ตังควดและอ้วนเกี๋ยนจึงถ่ายทอดคำสั่งของขงเบ้งให้ทหารทุกกองล่าถอยทัพออกจากค่ายอย่างเงียบกริบกลับไปเมืองฮันต๋ง เหลือทหารไว้สิบกว่าคนคอยจุดไฟตามโคมเสมือนหนึ่งว่ากองทัพยังตั้งอยู่ตามปกติ จนกองทัพของขงเบ้งยกกลับไปห้าวันแล้ว ทหารสิบกว่าคนนั้นจึงรีบขี่ม้าตามไป
ฝ่ายสุมาอี้หลังจากตั้งมั่นรักษาค่ายไม่ออกรบแล้ว ยังคงให้ทหารลาดตระเวนสังเกตการณ์กองทัพของขงเบ้งอยู่มิได้ขาด แต่ละวันได้รับรายงานว่าเวลากลางวันค่ายของขงเบ้งเงียบประดุจค่ายร้าง แต่เวลากลางคืนกลับมีแสงไฟสว่างดังปกติ สุมาอี้สำคัญว่าขงเบ้งวางกลอุบายล่อให้ยกไปตี จึงกำชับทหารให้ปฏิบัติตามคำสั่งที่ไม่ให้ออกรบโดยเคร่งครัด
ครั้นกลางคืนวันที่หก หลังจากที่ทหารขงเบ้งสิบกว่าคนทิ้งค่ายตามขงเบ้งกลับไปแล้ว แสงไฟในค่ายของขงเบ้งก็ไม่สว่างตามปกติ หน่วยลาดตระเวนของวุยก๊กจึงนำความไปรายงานให้สุมาอี้ทราบ
สุมาอี้พอทราบความก็หัวเราะ พลางปรารภว่าขงเบ้งคิดแต่งกลอุบายมาลวงเราอีกแล้ว แต่ไม่ยอมสั่งการประการใด หลังจากนั้นหน่วยลาดตระเวนได้นำความไปรายงานสุมาอี้อย่างเดียวกันอีกสองสามครั้ง สุมาอี้ก็ได้แต่หัวเราะ แล้วกำชับทหารให้กวดขันระมัดระวังเวรยามอย่าได้ประมาท
หลังจากนั้นอีกสองวันหน่วยลาดตระเวนก็เข้าไปรายงานสุมาอี้อีกว่า ข้างในค่ายของขงเบ้งไม่มีทหารเหลืออยู่แม้แต่สักคนเดียว กลางวันมีนกกาลงไปหาอาหารที่ทหารเหลือทิ้งไว้เท่านั้น สุมาอี้ได้ฟังก็สงสัย แต่ก็ยังกริ่งว่าขงเบ้งจะแต่งกลอุบาย จึงให้ทหารค่อย ๆ ออกไปสืบดูอีกหลายครั้ง จนแน่แก่ใจแล้วว่าขงเบ้งเลิกทัพกลับไปแล้ว สุมาอี้จึงคุมทหารสองร้อยคนไปตรวจดูที่ค่ายของขงเบ้ง
ครั้นมั่นใจว่าขงเบ้งเลิกทัพกลับไปแล้ว สุมาอี้จึงทอดถอนใจใหญ่ รำพึงว่าขงเบ้งนี้สติปัญญาหลักแหลมลึกซึ้งนัก จะไปจะมาไร้ร่องรอย ซึ่งสามก๊กฉบับเจ้าพระยาพระคลัง (หน) บรรยายคำรำพึงของสุมาอี้ว่า “ขงเบ้งนี้ดังเทพยดา เรามิรู้เท่าเลย”
ครั้นสุมาอี้กลับมาถึงค่ายก็ออกคำสั่งให้เลิกทัพ แล้วยกกลับไปเมืองลกเอี๋ยง
ฝ่ายขงเบ้งครั้นล่าทัพถอยกลับไปถึงเมืองฮันต๋ง จึงให้พักชุมนุมทหารไว้ที่เมืองฮันต๋ง แต่ตัวขงเบ้งเดินทางเข้าไปรักษาตัวที่เมืองเสฉวน
พระเจ้าเล่าเสี้ยนพอทราบว่าขงเบ้งป่วยอาการหนัก จึงเสด็จไปเยี่ยมไข้ขงเบ้งถึงข้างในจวนมหาอุปราช แล้วตรัสสั่งให้หมอหลวงประชุมกันรักษาขงเบ้ง บรรดาขุนนางทั้งปวงทราบข่าวต่างพากันมาเยี่ยมเยียนถามอาการป่วยของขงเบ้งถ้วนหน้ากัน
ขงเบ้งพักรักษาอาการป่วยอยู่ในเมืองเสฉวนเดือนเศษก็สร่างหาย
พระพุทธศาสนายุกาลล่วงแล้วได้เจ็ดร้อยเจ็ดสิบสามพรรษา เดือนหก พระเจ้าโจยอยเสด็จออกขุนนางว่าราชการตามปกติ โจจิ๋นซึ่งได้เสียตำแหน่งผู้บัญชาการทหารสูงสุดให้แก่สุมาอี้หายป่วยแล้ว ให้รู้สึกอัปยศอดสูใจที่พ่ายแพ้ความคิดแก่สุมาอี้ ทั้งมีน้ำจิตริษยาสุมาอี้ที่มีความชอบในการสงคราม จึงเข้าไปกราบบังคมทูลพระเจ้าโจยอยว่า บัดนี้แผ่นดินแตกเป็นสามก๊ก ต่างก๊กต่างตั้งตนเป็นใหญ่ไม่ขึ้นแก่กัน แต่จ๊กก๊กนั้นกำเริบหยาบช้านัก ยกกองทัพล่วงมาตีเมืองเราเนือง ๆ อาณาประชาราษฎรได้ความเดือดร้อนเพราะสงครามเป็นอันมาก กองทัพวุยก๊กเสียทีแตกพ่ายเป็นหลายครั้ง ทหารเมืองลกเอี๋ยงพากันเสียขวัญกำลังใจ กองทัพจ๊กก๊กเล่าก็ยิ่งฮึกเหิมกำเริบ หากขืนนิ่งอยู่สืบไป เข้าปีใหม่แล้วกองทัพจ๊กก๊กก็จะยกมาตีเมืองเราอีก ชอบที่พระองค์จะแต่งกองทัพยกไปตีเมืองเสฉวนเสียก่อน ข้าพระองค์ขออาสาคุมทัพไปกับสุมาอี้ยกไปตีเมือง ฮันต๋ง ครั้นได้ทีแล้วจะยกล่วงไปตีเอาเมืองเสฉวนเสียทีเดียว กำราบศัตรูเสียแต่ต้นมืออย่าให้ทันยกมารุกรานบ้านเมืองเราจึงจะควร
พระเจ้าโจยอยได้ฟังคำทูลของโจจิ๋นก็ทรงเห็นชอบ ตรัสสั่งตั้งให้โจจิ๋นเป็นแม่ทัพใหญ่ฝ่ายขวา ให้สุมาอี้เป็นแม่ทัพใหญ่ฝ่ายซ้าย ให้เล่าฮวนเป็นปลัดทัพ ยกกองทัพกำลังพลสี่สิบหมื่นไปตีเมืองฮันต๋งทางด่านเกี้ยมโก๊ะ
ครั้นเวลาฤกษ์ดีโจจิ๋นและสุมาอี้สองแม่ทัพใหญ่สั่งให้เคลื่อนทัพออกจากเมืองลกเอี๋ยง ยกไปทางด่านเกี้ยมโก๊ะเพื่อจะไปตีเมืองฮันต๋ง
ฝ่ายขงเบ้งหลังจากหายป่วยแล้วได้ถวายบังคมลาพระเจ้าเล่าเสี้ยนกลับไปที่เมืองฮันต๋ง ซ่องสุมผู้คนและเสบียงอาหารเตรียมการที่จะยกกองทัพไปตีวุยก๊กอีกครั้งหนึ่ง วันหนึ่งในขณะที่ขงเบ้งกำลังฝึกทหารให้ชำนาญการแปรขบวนเป็นค่ายกลพยุหะ ทหารรักษาการณ์ได้เข้าไปรายงานว่า หน่วยสอดแนมได้ส่งใบบอกแจ้งความมาให้ทราบว่า พระเจ้าโจยอยโปรดให้โจจิ๋นและสุมาอี้ยกกองทัพมาตีเมืองฮันต๋ง และกำลังเดินทัพมาทางด่านเกี้ยมโก๊ะในแดนของตำบลตันฉอง.