ตอนที่ 541. กล "ล่อเต่าออกจากกระดอง"

สุมาอี้คาดว่าขงเบ้งจะต้องยกทหารเข้ายึดเมืองปูเต๋าและเมืองอิมเป๋ง จึงสั่งโกฉุยและซุนเล้ยกทหารไปช่วยรักษาเมืองแต่ไม่ทันการ เพราะขงเบ้งส่งทหารเข้ายึดสองเมืองไว้ได้ก่อน จึงต้องแตกหนีกลับมารายงานแก่สุมาอี้ สุมาอี้จึงสั่งให้ไปรักษาเมืองไปเซียและเมืองหยงจิ๋ว และสั่งให้เตียวคับและไต้เหลงยกทหารวกไปทางด้านหลังค่ายของขงเบ้ง

            ฝ่ายขงเบ้งครั้นยึดเมืองปูเต๋าและเมืองอิมเป๋งได้แล้ว ได้ให้ทหารตั้งค่ายไว้นอกเมืองระยะทางห่างสองร้อยเส้น แล้วเรียกแม่ทัพนายกองทั้งปวงมาประชุมปรึกษาว่า ซึ่งเรายึดเมืองอิมเป๋งและเมืองปูเต๋าไว้ และยกมาตั้งค่ายนอกเมืองดังนี้ หวังจะลวงให้สุมาอี้คิดว่าเราตั้งเกลี้ยกล่อมอยู่ในเมืองไม่อยู่ที่ค่ายนี้ ก็จะส่งกองทัพมาปล้นค่ายเรา เราจะคิดอุบายเผากองทัพของสุมาอี้เสียในค่ำคืนวันนี้

            ขงเบ้งเห็นแม่ทัพนายกองทั้งปวงตั้งใจฟัง จึงออกคำสั่ง “ให้แต่งเกวียนเชื้อเพลิงไว้เป็นอันมาก เกณฑ์ทหารให้ซุ่มอยู่ในป่าสองข้างทาง คอยสกัดทัพสุมาอี้ที่จะยกมา”

            แม่ทัพนายกองรับคำสั่งขงเบ้งแล้ว ออกไปจัดแจงเกวียนเชื้อเพลิง แล้วยกไปด้านหลังค่าย เอาเกวียนเชื้อเพลิงสุมรวมขวางทางไว้ แล้วแยกทหารออกเป็นสี่กอง ซุ่มอยู่ข้างซ้ายและขวาทางข้างละสองกอง

            ครั้นแม่ทัพนายกองยกทหารออกไปตามคำสั่งแล้วขงเบ้งจึงพาทหารขึ้นไปสังเกตการณ์อยู่บนเนินเขา

            ครั้นเวลาสองยามเศษเตียวคับและไต้เหลงได้ยกทหารวกอ้อมไปตามทางด้านหลังค่ายของขงเบ้ง แต่พอไปถึงจุดซุ่มเตียวคับซึ่งขี่ม้านำหน้าทหารได้ยินเสียงการเคลื่อนไหวของทหารอยู่บนเนินเขา จึงสั่งทหารให้รั้งรอแล้วขี่ม้ากลับมาขับทหารซึ่งอยู่ด้านหลังให้หนุนขึ้นไปพร้อมกัน

            พอทหารวุยก๊กหนุนเนื่องสมทบพร้อมกันแล้ว เตียวคับจึงขี่ม้านำทหารรุดไปข้างหน้า ครู่หนึ่งก็เห็นเกวียนจำนวนมากกองสุมขวางทางไว้ เตียวคับเห็นผิดสังเกต เกรงว่าจะเป็นกลอุบายของขงเบ้งซุ่มทหารไว้ แล้ววางเพลิงเผาทหารก็ตกใจ รีบออกคำสั่งให้ทหารล่าถอย

            สิ้นเสียงเตียวคับ เสียงประทัดสัญญาณก็ดังขึ้นจากป่าสองข้างทางทั้งสี่ด้าน ทหารเมืองเสฉวนได้โห่ร้องแล้วยิงธนูไฟไปที่เกวียนเชื้อเพลิง และจุดเพลิงเผาป่ารอบกองทหารของเตียวคับ และระดมยิงเกาทัณฑ์ไปที่ทหารของเตียวคับเป็นอันมาก

            เตียวคับเห็นดังนั้นก็ตกใจ ร้องบอกทหารให้พยายามตีฝ่าออกไปทางด้านหลัง แต่ทหารของเตียวคับแตกตื่นคุมกันไม่ติด ต่างคนต่างวิ่งหนีเอาตัวรอด

            แสงเพลิงจากเกวียนเชื้อเพลิงและที่ลุกไหม้ตามแนวป่าโชติช่วงขึ้นสู่ท้องฟ้า เผาทหารเตียวคับบาดเจ็บล้มตายลงเป็นอันมาก ในทันใดนั้นแสงเพลิงก็ลุกขึ้นบนเนินเขาสว่างจ้า เตียวคับมองไปบนเนินเขาเห็นขงเบ้งนั่งอยู่บนเกวียนน้อย มีทหารองครักษ์อารักขาประมาณสองร้อยคน 

            ได้ยินเสียงขงเบ้งร้องลงมาว่า “สุมาอี้สำคัญว่าเราอยู่ในเมือง ให้ท่านมาปล้นค่ายเราหรือ บัดนี้ต้องด้วยกลของเราแล้ว เข้ามาคำนับเราโดยดีเถิด ตัวท่านก็เป็นทหารเลว หาผู้ใดนับถือไม่ อย่าคิดอายถือตัวอยู่เลย”

            เตียวคับได้ยินดังนั้นก็โกรธ และเห็นว่ามีทหารเมืองเสฉวนอยู่กับขงเบ้งเพียงประมาณสองร้อยคน จึงเอาแส้ม้าชี้ไปที่ขงเบ้งแล้วร้องตอบไปว่า ตัวมึงเป็นชาวบ้านนอก บังอาจตั้งตัวเป็นกบฏต่อแผ่นดิน แล้วยังด้านหน้ายกมารุกแดนกู กูจะจับมึงตัดศีรษะไปถวายพระเจ้าโจยอยให้จงได้

            เตียวคับกล่าวแล้วก็ขี่ม้าพาทหารคนสนิทจะบุกขึ้นไปบนเนินเขาหวังจะจับตัวขงเบ้ง ทหารเมืองเสฉวนซึ่งอารักขาขงเบ้งจึงเอาท่อนไม้และก้อนศิลาทิ้งลงมาที่เชิงเขา แล้วระดมยิงเกาทัณฑ์สกัดกั้นไว้

            ทหารของเตียวคับถูกท่อนไม้ ก้อนหินและเกาทัณฑ์ได้รับบาดเจ็บเป็นหลายคน ตัวเตียวคับเองก็ไม่อาจฝ่าห่าเกาทัณฑ์ขึ้นไปบนเนินเขาได้ จึงพาทหารถอยลงมาข้างล่าง สมทบกับไต้เหลงซึ่งกำลังพาทหารวิ่งหนีไปเป็นอลหม่าน

            พอเตียวคับพบกับไต้เหลงก็ร้องบอกไต้เหลงให้รีบตีฝ่าหนีออกไปโดยเร็วที่สุด หากล่าช้าเห็นจะถูกไฟคลอกตายสิ้น กล่าวแล้วเตียวคับก็ขี่ม้านำหน้าทหารตีฝ่าออกไปทางด้านหลัง ทหารเมืองเสฉวนได้ยิงเกาทัณฑ์สกัดไว้เป็นอันมาก แต่เตียวคับได้ใช้ทวนกวัดแกว่งปัดลูกเกาทัณฑ์ให้พ้นตัวจนหมดสิ้น ทหารเมืองเสฉวนเห็นดังนั้นก็กรูเข้าไปสกัดขวางหน้าไว้ เตียวคับมิได้ระย่อท้อถอย ขี่ม้าพุ่งเข้าไปฟาดฟันทหารเมืองเสฉวนจนต้องถอยร่นกลับไปที่ข้างทาง เตียวคับจึงพาไต้เหลงและทหารหนีออกจากวงล้อมไปได้

            ขงเบ้งสังเกตการณ์อยู่บนเนินเขา เห็นดังนั้นก็สรรเสริญเตียวคับว่าเคยได้ยินกิตติศัพท์รบพุ่งของเตียวคับมาช้านาน เพิ่งได้ประจักษ์ฝีมือในวันนี้ เห็นเข้มแข็งมีกำลังนัก หากปล่อยไว้ก็จะเป็นอันตรายในภายหน้า จำจะต้องกำจัดเสียให้ได้

            ขงเบ้งสังเกตการณ์อยู่จนทหารเมืองเสฉวนจับเชลย ยึดศาสตราวุธเสร็จสิ้นแล้วจึงยกทหารกลับไปค่าย

            ฝ่ายสุมาอี้ครั้นสั่งให้เตียวคับและไต้เหลงยกกองทัพไปปล้นค่ายของขงเบ้งแล้ว ก็ยกกองทัพหลวงหนุนเนื่องมา แต่พอมาถึงกลางทางเห็นเตียวคับและไต้เหลงพาทหารกระเสือกกระสนหนีมา เนื้อตัวสกปรกมอมแมมด้วยเขม่าควันไฟ ก็ตกใจเป็นอันมาก พอเตียวคับเข้าไปถึงสุมาอี้ก็รีบถามว่าเหตุใดจึงเป็นเช่นนี้เล่า

            เตียวคับและไต้เหลงคำนับสุมาอี้แล้วจึงรายงานความให้สุมาอี้ทราบทุกประการ สุมาอี้ทราบรายงานแล้วก็รู้สึกท้อแท้ใจ รำพึงว่าขงเบ้งนี้มีสติปัญญาหลักแหลมลึกซึ้งนัก รำพึงดังนั้นแล้วสุมาอี้จึงกล่าวว่า เมื่อขงเบ้งตั้งหลักมั่นได้ดังนี้ ซึ่งจะยกกองทัพรุดหน้าต่อไปก็จะเสียที จึงสั่งให้ทหารล่าถอยกลับไป

            ครั้นสุมาอี้ถอยทัพไปไกลเห็นว่าปลอดภัยจากการไล่ตามตีของกองทัพเมืองเสฉวนแล้วจึงให้ตั้งค่ายลงไว้ แล้วปรารภกับแม่ทัพนายกองทั้งปวงว่า “เมืองเสฉวนเป็นทางไกล ทหารทั้งปวงได้เสบียงอาหารน้อย จึงรีบมาทำการรบพุ่ง  ปรารถนาจะใคร่ได้ชัยชนะเร็ว ๆ ครั้นเราจะออกรบพุ่งด้วยบัดนี้ก็มิได้ จำจะตั้งมั่นรับไว้ให้ช้าอยู่ เสบียงอาหารขัดสนลงเห็นจะเลิกไป”

            ปรารภดังนั้นแล้วสุมาอี้จึงสั่งให้แม่ทัพนายกองทั้งปวงตั้งมั่นอยู่แต่ในค่าย กำชับให้ตรวจตราลาดตระเวนและรักษาค่าย อย่าได้ยกไปรบกับขงเบ้งอีกเลย

            ฝ่ายขงเบ้งครั้นทราบว่าสุมาอี้ล่าถอยไปตั้งค่ายจึงยกทหารติดตามไป และให้ตั้งค่ายห่างจากค่ายของสุมาอี้เพียงสามร้อยเส้น แล้วส่งทหารออกไปยั่วยุสุมาอี้ให้ยกทหารมารบกันเป็นหลายครั้ง แต่สุมาอี้ก็ไม่ยกทหารออกไปรบ คงนิ่งอยู่ในค่าย

            หลังจากนั้นอีกสิบสี่สิบห้าวันทหารรักษาการณ์ได้เข้ามารายงานขงเบ้งว่า บิฮุยได้เชิญพระบรมราชโองการของพระเจ้าเล่าเสี้ยนมาถึงท่าน ขงเบ้งได้ทราบความดังนั้นจึงออกไปต้อนรับบิฮุยถึงนอกค่าย เมื่อได้คำนับกันตามธรรมเนียมและทักทายโอภาปราศรัยกันตามประเพณีแล้วขงเบ้งจึงเชิญบิฮุยเข้าไปในสนทนากันข้างในค่าย

            ครั้นโอภาปราศรัยกันเสร็จแล้ว บิฮุยจึงอ่านพระบรมราชโองการของพระเจ้า เล่าเสี้ยนซึ่งพระราชทานแก่ขงเบ้งความว่า ซึ่งขงเบ้งยกกองทัพบุกวุยก๊กครั้งนี้มีชัยชนะแก่ข้าศึก ยึดหัวเมืองได้เป็นหลายเมือง จึงมีพระทัยยินดี และมีพระราชดำริว่าซึ่งเคยโปรดเกล้าฯ ลงโทษขงเบ้งให้ลดขั้นลงสามขั้นนั้น บัดนี้ขงเบ้งมีความชอบ จึงโปรดให้คืนตำแหน่งดังแต่ก่อน เพื่อเป็นขวัญ กำลังใจและหลักชัยของบ้านเมืองสืบไป

            ขงเบ้งฟังพระบรมราชโองการแล้วคุกเข่าลงถวายบังคมตามประเพณี จากนั้นจึงแต่งฎีกามอบให้แก่บิฮุยถือกลับไปทูลเกล้าพระเจ้าเล่าเสี้ยน รายงานความศึกทั้งปวงให้ทรงทราบ

            ครั้นบิฮุยกลับไปแล้วขงเบ้งจึงคิดว่าสุมาอี้ไม่ยกออกมารบ หวังให้กองทัพเราขาดเสบียงอาหารลงแล้วเลิกทัพกลับไปเอง จำจะคิดกลอุบายล่อเต่าออกจากกระดอง ลวงสุมาอี้ให้ยกมารบพุ่งจงได้ คิดดังนั้นแล้วขงเบ้งจึงสั่งให้ถอยทัพออกไปตั้งค่ายห่างจากที่เดิมสามร้อยเส้น สุมาอี้ทราบข่าวจากหน่วยลาดตระเวนก็กล่าวกับแม่ทัพนายกองทั้งปวงว่า ขงเบ้งแสร้งล่าถอยครั้งนี้หวังจะลวงให้เรายกตามไปแล้วจะซุ่มโจมตี

            แม่ทัพนายกองทั้งปวงได้ฟังดังนั้นก็แย้งว่า ปรากฏความจากหน่วยสอดแนมว่า กองทัพขงเบ้งขาดเสบียงลงแล้ว ซึ่งขงเบ้งถอยทัพไปดังนี้เห็นจะทำเป็นอุบายเพื่อหนีกลับไปเมืองฮันต๋ง ขอท่านได้ใคร่ครวญจงดี

            สุมาอี้ได้ฟังจึงว่าขงเบ้งนี้เล่ห์กลอุบายมากนัก เพราะขงเบ้งคาดว่าเรารู้ความดังกล่าวจึงแสร้งทำทีเป็นถอยทัพ หวังจะลวงให้เราออกไปรบพุ่ง แม่ทัพนายกองได้ฟังดังนั้นก็พากันนิ่ง

            วันรุ่งขึ้นหน่วยสอดแนมได้มารายงานแก่สุมาอี้อีกว่า กองทัพของขงเบ้งได้ล่าถอยไปตั้งค่ายใหม่ห่างจากค่ายเดิมถึงสองร้อยเส้น

            เตียวคับจึงกล่าวกับสุมาอี้ว่า “ขงเบ้งขัดสนเสบียงอาหารถอยทัพไป เหตุใดท่านจึงมิได้ยกทหารตามไปโจมตี ท่านจะมาคิดวิตกกลัวกลขงเบ้งด้วยอันใด”

            สุมาอี้จึงว่า โบราณกล่าวไว้ว่าเมื่อทำการได้ทีให้เร่งรุกเข้าตีข้าศึก หากเห็นว่าทำการแล้วยังไม่ได้ชัยชนะ ก็ให้ตั้งมั่นควบคุมสถานการณ์ไว้ ต่อเมื่อไม่อาจตั้งรับได้จึงให้ถอยทัพ กองทัพขงเบ้งทำการได้ทีเป็นหลายครั้ง เห็นเราไม่ยกไปสู้รบจึงแสร้งทำเป็นถอยทัพ ซึ่งท่านว่ากองทัพขงเบ้งขัดสนเสบียงอาหารนั้นเราไม่เห็นด้วย “ปีก่อนนั้นเราก็รู้ว่าเมือง  เสฉวนได้ข้าวปลาอาหารมาก แลบัดนี้ก็เป็นเทศกาลข้าวโพดสาลี กองทัพขงเบ้งจะกินไปได้อยู่อีกครึ่งปีเห็นจะไม่ขัดสน ซึ่งทำกลนี้เป็นกลลวง จะตามไปนั้นมิได้”

            วันรุ่งขึ้นหน่วยสอดแนมก็มารายงานสุมาอี้อีกว่า กองทัพของขงเบ้งได้ล่าถอยไปตั้งค่ายใหม่ห่างจากค่ายเดิมอีกสามร้อยเส้น

            เตียวคับได้ยินรายงานดังนั้นจึงกล่าวกับสุมาอี้ว่า ขงเบ้งขัดสนเสบียงอาหารลงแล้ว จึงคิดเลิกทัพกลับไปเมืองฮันต๋ง แต่เกรงว่าท่านจะยกกองทัพไปตามตี จึงแกล้งทำกลอุบายให้สับสน ทำทีเป็นค่อย ๆ ถอยทัพ เป็นทีแล้วก็จะรีบรี่หนีกลับเข้าเมืองฮันต๋ง การของฮ่องเต้ก็จะเสียไป ชอบที่ท่านจะยกกองทัพออกตามตี เห็นจะกำจัดขงเบ้งได้ในคราวนี้

            สุมาอี้จึงแย้งว่า “อันขงเบ้งนี้มีแยบคายมาก จะทำลวงเรา จะตามไปนั้นก็จะเสียที”

            เตียวคับจึงว่า เมื่อท่านแม่ทัพเกรงกลัวขงเบ้ง ข้าพเจ้าจะขอยกทหารไปตามตีเอง หากเสียทีกลับมาก็ให้ท่านแม่ทัพตัดศีรษะข้าพเจ้าเสียเถิด แต่ขอให้ท่านแม่ทัพยกกองทัพหนุนตามข้าพเจ้าไปแต่ห่าง ๆ หากเห็นได้ทีแล้วก็ให้ยกเข้าซ้ำตี เห็นจะได้ชัยชนะเป็นมั่นคง

            สุมาอี้ได้ยินดังนั้นก็ห้ามปรามเตียวคับเป็นหลายครั้ง แต่เตียวคับก็ไม่ฟัง ยืนยันขอเอาศีรษะเป็นประกัน แล้วจะยกทหารไปจับตัวขงเบ้งให้ได้

            สุมาอี้ขัดเตียวคับไม่ได้ จึงอนุญาตตามที่เตียวคับได้ให้ทัณฑ์บนไว้ และกล่าวว่าเมื่อท่านยืนกรานจะยกทหารไปก็ตามใจ แต่จะไปแต่ลำพังนั้นมิได้ หากขงเบ้งแต่งกลอุบายซุ่มทหารไว้โจมตีก็จะเสียทีแก่ข้าศึก ตัวเราจะยกทหารหนุนตามไป หากพลาดพลั้งจะได้ช่วยกันคิดอ่านแก้ไข

            สุมาอี้หยุดอยู่ครู่หนึ่งแล้วจึงกล่าวสืบไปว่า ซึ่งท่านจะยกไปรบกับขงเบ้งในครั้งนี้จะห่วงหน้าพะวงหลังนั้นมิได้ ให้ตะลุยบุกเข้าจู่โจมอย่าให้ทันตั้งตัว เราจะคอยยกหนุนไปช่วย

            กล่าวแล้วสุมาอี้จึงสั่งจัดทหารสามหมื่นให้กับเตียวคับ และให้ไต้เหลงไปกับเตียวคับด้วย กำชับว่าพรุ่งนี้เวลารุ่งสางให้ท่านยกทหารตามตีกองทัพขงเบ้ง แต่เมื่อใกล้ทันกับกองทัพขงเบ้งแล้วอย่าเพิ่งเข้าตี “จงพักทหารไว้ให้สบายใจก่อน คอยดูท่วงทีขงเบ้งจะทำประการใดบ้าง” แม้นเห็นได้ทีแล้วจึงค่อยยกเข้าทำการ

            ครั้นเวลารุ่งเช้าเตียวคับและไต้เหลงได้คุมทหารไล่ตามกองทัพของขงเบ้ง ครั้นใกล้จะทันกับกองทัพขงเบ้ง จึงให้ทหารตั้งค่ายลงไว้ตามคำสั่งของสุมาอี้.

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

ตัวอย่างกระทู้ธรรม ธรรมศึกษาชั้นตรี 5

I miss you all กับ I miss all of you ต่างกันอย่างไร

ปัญหาและเฉลยวิชาธรรม นักธรรมชั้นโท สอบในสนามหลวง วันเสาร์ ที่ ๑๙ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๔๘