ตอนที่ 540. อุบาย "ชี้ซ้ายล้วงขวา"

พระพุทธศาสนายุกาลล่วงแล้วได้เจ็ดร้อยเจ็ดสิบสองพรรษา เดือนหก ขงเบ้งได้กรีฑาทัพจากเมืองฮันต๋งไปตีวุยก๊กเป็นครั้งที่สาม ได้คิดกลอุบายเข้ายึดตำบลตันฉองและยกกองทัพล่วงเข้าไปตั้งอยู่ที่ตำบลเขากิสาน พระเจ้าโจยอยจึงโปรดเกล้าตั้งให้สุมาอี้เป็นแม่ทัพยกมารบกับขงเบ้ง และเลื่อนตำแหน่งของสุมาอี้เป็นผู้บัญชาการทหารสูงสุดแห่งแคว้น

            พระเจ้าโจยอยทรงฟังคำทูลของสุมาอี้ซึ่งขออาสาจะไปเวนคืนตราประจำตำแหน่งจากโจจิ๋นเองเพื่อป้องกันปัญหาขัดแย้งภายใน ก็ทรงเห็นด้วย

            สุมาอี้จึงกราบทูลลาแล้วเดินทางไปที่บ้านของโจจิ๋น ในใจคิดกลอุบาย “ชี้ซ้ายล้วงขวา” หวังจะเอาตราประจำตำแหน่งจากโจจิ๋นด้วยความพร้อมใจของโจจิ๋นเองให้จงได้ ขณะนั้นโจจิ๋นป่วย แต่ครั้นได้ทราบว่าสุมาอี้มาเยือนถึงเรือนก็ประหลาดใจ รีบให้คนใช้พยุงออกมาต้อนรับสุมาอี้ตามธรรมเนียม

            สุมาอี้พอเห็นโจจิ๋นก็รีบเข้าไปคำนับอย่างอ่อนน้อม แล้วกล่าวว่าท่านผู้บัญชาการทหารสูงสุดได้ทราบหรือไม่ว่าบัดนี้จ๊กก๊กและง่อก๊กได้คบคิดกันยกกองทัพมาตีเมืองเรา ขงเบ้งคุมทหารตีเข้ามาทางเมืองเตียงอัน ลกซุนคุมทหารตีขึ้นมาจากภาคใต้

            โจจิ๋นได้ฟังดังนั้นก็ตกใจ เพราะดำรงตำแหน่งเป็นถึงผู้บัญชาการทหารสูงสุด แต่กลับไม่ทราบข่าวคราวแม้แต่น้อย จึงแจ้งแก่สุมาอี้ว่าข้าพเจ้าป่วยเป็นเวลาหลายวัน ได้แต่นอนอยู่กับที่ ทหารข้างในจวนเกรงว่าข้าพเจ้าทราบข่าวคราวการบ้านการเมืองจะมีความวิตกแล้วอาการไข้จะทรุดลง จึงปิดข้อมูลข่าวสารไม่ให้ข้าพเจ้ารู้ ซึ่งจ๊กก๊กและง่อก๊กคบคิดกันดังนี้เห็นทีเมืองเราจะเป็นอันตรายเสียเป็นมั่นคง

            สุมาอี้จึงว่า ฮ่องเต้ได้ตั้งให้ข้าพเจ้าเป็นแม่ทัพยกไปรบกับขงเบ้ง กล่าวแล้วสุมาอี้ก็ทำเป็นนิ่งอยู่ครู่หนึ่ง

            โจจิ๋นได้ฟังดังนั้นจึงว่า ท่านแม่ทัพจะยกกองทัพไปรบกับขงเบ้งเพียงด้านเดียว แล้วทางด้านเมืองกังตั๋งเล่าจะว่าประการใด ชอบที่ท่านแม่ทัพจะได้ครองตำแหน่งผู้บัญชาการทหารสูงสุดแห่งแคว้น มีอาญาสิทธิและอำนาจบังคับบัญชาทหารทั้งปวง จึงจะรับศึกด้านตะวันตกและด้านใต้ได้โดยไม่ขัดสน กล่าวแล้วโจจิ๋นจึงสั่งทหารองครักษ์ให้ไปเอาตราประจำตำแหน่งมามอบให้แก่สุมาอี้

            สุมาอี้ได้ยินดังนั้นในใจก็สมคะเน แต่รีบคำนับโจจิ๋นแล้วกล่าวว่า ตัวท่านเป็นเชื้อพระวงศ์ มีความชำนาญการศึกและคุณงามความดีเป็นอันมาก สมแล้วที่จะครองตำแหน่งผู้บัญชาการทหารสูงสุดแห่งแคว้น ท่านอย่าได้กระทำเช่นนั้นเลย

            โจจิ๋นจึงว่า ถ้าบ้านเมืองเป็นอันตรายแล้ว ตำแหน่งแหล่งที่จะมีความหมายประการใด ชอบที่จะรักษาบ้านเมืองไว้ให้รอดก่อน ศึกครั้งนี้ใหญ่หลวงนัก จำเป็นที่ท่านจะต้องครองตำแหน่งผู้บัญชาการทหารสูงสุดแห่งแคว้นจึงจะรับศึกครั้งนี้ได้ กล่าวแล้วโจจิ๋นก็เร่งให้ทหารองครักษ์รีบไปเอาตราประจำตำแหน่ง

            สุมาอี้เห็นดังนั้นก็ทำทีคุกเข่าคำนับแล้วนิ่งอึ้ง ตีสีหน้าวิตกจนเห็นได้ชัดเจน โจจิ๋นเห็นดังนั้นจึงกล่าวว่า เห็นอาการท่านวิตกดังนี้ หรือจะกริ่งว่าเรามอบตำแหน่งแก่ท่านโดยที่ฮ่องเต้มิได้เห็นชอบกระนั้นหรือ หากเป็นเช่นนั้นแม้ป่วยหนักดังนี้ เราก็จะเข้าไปเฝ้าฮ่องเต้แล้วกราบบังคมทูลให้โปรดเกล้าตั้งท่านเป็นผู้บัญชาการทหารสูงสุด

            สุมาอี้ได้ยินจึงแสร้งกล่าวว่า หามิได้เลย ฮ่องเต้ได้โปรดเกล้าแต่งตั้งให้ข้าพเจ้าเป็นผู้บัญชาการทหารสูงสุดแล้ว แต่ข้าพเจ้าไม่ประสงค์จะได้ตราประจำตำแหน่งเพราะเห็นว่าท่านเป็นผู้มีสติปัญญา มีคุณงามความดีแก่บ้านเมือง สมแล้วที่จะครองตำแหน่งแก่ผู้บัญชาการทหารสูงสุด ข้าพเจ้ารับตำแหน่งนี้ก็เพียงชั่วการรับมือกับสงครามเท่านั้น

            โจจิ๋นได้ฟังจึงว่า ตัวท่านต่างหากที่เหมาะสมกับตำแหน่งผู้บัญชาการทหารสูงสุด ตัวเรามีสติปัญญาน้อย ไม่อาจรักษาบ้านเมืองให้สมกับตำแหน่งได้ โจจิ๋นกล่าวสิ้นคำลงทหารนั้นก็เอาตราประจำตำแหน่งมาส่งให้กับมือของโจจิ๋น

            โจจิ๋นจึงเอาตราประจำตำแหน่งส่งให้แก่สุมาอี้ แต่สุมาอี้ปฏิเสธไม่ยอมรับ โจจิ๋นก็ยืนยันมอบตราประจำตำแหน่งให้ถึงสามครั้งสามหน สุมาอี้ทำทีเป็นขัดมิได้ ก็เอามือรับตราประจำตำแหน่งนั้นชูไว้เหนือศีรษะ ปากก็กล่าวว่าเมื่อท่านวางใจ ข้าพเจ้าก็พร้อมที่จะทำตามความประสงค์ของท่าน

            ครั้นได้ตราประจำตำแหน่งสมความคิดแล้วสุมาอี้จึงคำนับลาโจจิ๋น แล้วรีบออกไปที่ศาลาว่าราชการทหาร จัดแจงกองทัพเสร็จแล้วถึงวันฤกษ์ดีจึงเคลื่อนทัพออกจากเมืองลกเอี๋ยงตรงไปที่เมืองเตียงอัน

            ครั้นยกไปถึงเมืองเตียงอัน สุมาอี้จึงตั้งให้เตียวคับและไต้เหลงเป็นแม่ทัพหน้า ยกทหารสิบหมื่นไปขัดตาทัพขงเบ้งไว้ที่ตำบลเขากิสาน

            ฝ่ายโกฉุยและซุนเล้เมื่อได้ทราบว่าสุมาอี้ยกกองทัพมาตั้งอยู่ที่เมืองเตียงอันแล้ว ต่างคนต่างรีบเดินทางมาหาสุมาอี้ แล้วรายงานความซึ่งได้ไปรักษาสองเมืองให้สุมาอี้ทราบทุกประการ

            สุมาอี้จึงถามว่า ในระหว่างที่ท่านไปรักษาสองเมืองนี้ไว้ ได้รบพุ่งกับกองทัพจ๊กก๊กบ้างหรือไม่ โกฉุยและซุนเล้ก็ตอบว่าตลอดเวลาที่รักษาสองเมืองนั้นไม่เคยเห็นทหารขงเบ้งกล้ำกรายเข้าไปใกล้เขตเมืองเลย

            สุมาอี้จึงไต่ถามสืบไปว่า นอกจากสองเมืองนี้แล้วพวกท่านทราบข่าวคราวความเคลื่อนไหวทางการทหารของเมืองอื่นบ้างหรือไม่
            โกฉุยและซุนเล้จึงตอบว่า ข่าวคราวดีร้ายหัวเมืองทั้งปวงนอกแต่สองเมืองนั้นแล้วข้าพเจ้าได้ทราบความมาเป็นอย่างดี สุมาอี้จึงว่าเราเกรงว่าขงเบ้งจะยกทหารไปตีเอาเมือง ปูเต๋าและเมืองอิมเป๋ง อย่ากระนั้นเลยจะให้ท่านทั้งสองคุมทหารคนละพันยกไปรักษาเมืองปูเต๋าและเมืองอิมเป๋ง อย่าให้ขงเบ้งตีเอาได้
           
            แล้วกำชับว่า เมื่อยกไปถึงเมืองปูเต๋าและเมืองอิมเป๋งแล้วให้ตั้งมั่นรักษาเมือง คอยกวดขันทหารให้ตระเวนรักษาเมืองอย่าได้ออกรบเป็นอันขาด ให้คอยแต่งทหารเป็นกองน้อยลอบยกวกไปด้านหลังกองทัพของขงเบ้ง รบพุ่งก่อกวนทหารเมืองเสฉวนให้พะว้าพะวัง อย่าให้รุดไปข้างหน้าได้ เราจะคิดอ่านกลศึกจับตัวขงเบ้งเอง

            โกฉุยและซุนเล้ได้ฟังก็สรรเสริญความคิดของสุมาอี้ว่าคะเนการรอบคอบยิ่งนัก เสร็จแล้วจึงคำนับลาออกไปจัดแจงทหาร แล้วยกไปตามคำสั่งของสุมาอี้

            ครั้นโกฉุยและซุนเล้ยกทหารมาถึงกลางทางก็พบกับทหารวุยก๊กที่อยู่รักษาเมืองปูเต๋าและเมืองอิมเป๋งแตกหนีสวนทางมา โกฉุยและซุนเล้จึงไต่ถามความจากทหารเหล่านั้นก็ได้ทราบความว่า ขณะนี้กองทัพเมืองเสฉวนได้ยึดเอาเมืองปูเต๋าและเมืองอิมเป๋งไว้ได้แล้ว แต่ประหลาดใจนักเพราะทหารเมืองเสฉวนไม่ตั้งอยู่ในเมือง กลับยกออกมาตั้งค่ายอยู่นอกเมืองเป็นระยะทางไกลถึงร้อยเส้น

            โกฉุยและซุนเล้ได้ทราบข่าวดังนั้นก็ตกใจ และประหลาดใจว่าเหตุไฉนกองทัพเมืองเสฉวนจึงกระทำการดังนั้น ชะรอยจะแสร้งทำกลอุบายลวงไว้ หากเรายกทหารไปเห็นจะเสียทีแก่ทหารเมืองเสฉวนเป็นมั่นคง

            สองนายทหารวุยก๊กปรึกษากันแล้วจึงพาทหารล่าถอย แต่พอโกฉุยและซุนเล้พา ทหารถอยมาถึงเส้นทางระหว่างเนินเขาสองลูก ก็ได้ยินเสียงประทัดสัญญาณดังขึ้น ทหารเมืองเสฉวนเป็นอันมากได้โห่ร้องแล้วยกออกมาจากด้านหลังเนินเขาทั้งสองลูกนั้น ตีวงล้อมกระหนาบเข้ามา

            โกฉุยและซุนเล้เห็นดังนั้นก็ตกใจ เหลียวซ้ายแลขวาเห็นทหารเมืองเสฉวนตีวงล้อมเข้ามาโดยรอบก็มิรู้ที่จะทำประการใด มองตรงไปอีกครั้งหนึ่งพลันได้ยินเสียงม้าล่อฆ้องกลองดังกึกก้อง เห็นเกวียนน้อยคันหนึ่งเคลื่อนออกมาพร้อมกับกองทหารคุ้มกันเป็นจำนวนมาก ภายใต้ธง “จูกัดเหลียง-ขงเบ้ง” เห็นขงเบ้งนั่งโบกพัดขนนกเป็นที่เบิกบานอยู่ภายในเกวียน ทั้งสองด้านเห็นนายทหารยืนม้าอยู่ภายใต้ธงกวนหินและธงเตียวเปา ทั้งสองนายทหารเห็นดังนั้นก็พากันตกตะลึง

            ทหารเมืองเสฉวนเข็นเกวียนของขงเบ้งออกมาแล้วได้ยินเสียงขงเบ้งร้องมาจากข้างในเกวียนว่า “อ้ายทหารสองคนนี้อย่าหนีกูให้ยากเลย เข้ามาคำนับกูเสียโดยดีเถิด อันกลของสุมาอี้นั้นลวงกูไม่ได้ กูรู้อยู่สิ้นแล้ว แม้มิเข้ามาหากู ก็จะให้ทหารจับตัวฆ่าเสียบัดนี้”

            สามก๊กฉบับภาษาจีนระบุว่า ขงเบ้งได้กล่าวกับโกฉุยและซุนเล้ว่า สุมาอี้คะเนการว่าเราจะยกไปตีเอาเมืองปูเต๋าและเมืองอิมเป๋งไว้ จึงให้เจ้าทั้งสองยกทหารไปป้องกันรักษาเมือง เราแจ้งความคิดของสุมาอี้อยู่ก่อนแล้ว จึงชิงเอาเมืองปูเต๋าและเมือง อิมเป๋งเสีย แล้วยกทหารมาซุ่มคอยท่าพวกเจ้าอยู่นานแล้ว บัดนี้เจ้าทั้งสองต้องกลของเรา จงยอมจำนนแต่โดยดี มิฉะนั้นก็จะฆ่าเสียให้สิ้น

            ขงเบ้งกล่าวสิ้นคำลง เสียงประทัดสัญญาณก็ดังมาจากด้านหลังกองทหารของโกฉุยและซุนเล้ ขงเบ้งเห็นดังนั้นก็โบกพัดขนนกด้วยความเบิกบาน ในขณะที่โกฉุยและซุนเล้ยิ่งตกใจ รีบหันกลับไปมอง ก็เห็นธงประจำนายทัพเมืองเสฉวนชื่ออองเป๋งและเกียงอุยพร้อมกับทหารเมืองเสฉวนเป็นอันมากตีกระทบมาทางด้านหลัง

            โกฉุยและซุนเล้เห็นดังนั้นก็ตัดใจสั่งทหารให้รีบตีฝ่าหาทางรอด ทหารเมืองเสฉวนเห็นดังนั้นก็ล้อมกระหนาบตีเข้ามา ฆ่าฟันทหารของโกฉุยและซุนเล้และจับเป็นเชลยได้เป็นจำนวนมาก ตัวโกฉุยและซุนเล้หนีลงจากหลังม้าวิ่งเข้าป่าขึ้นไปบนยอดเขา

            เตียวเปาเห็นดังนั้นก็ควบม้าไล่ตามไป เผอิญขาม้าเตียวเปาสะดุดเข้ากับก้อนศิลา ด้วยกำลังแรง เตียวเปากระเด็นตกลงจากหลังม้า พลัดลงไปในลำธาร ศีรษะแตกอาการเจ็บสาหัส ทหารซึ่งติดตามเตียวเปาเห็นดังนั้นก็ตกใจ รีบลงจากหลังม้าวิ่งลงไปในลำธาร ช่วยกันอุ้มเตียวเปากลับไปหาขงเบ้ง

            ขงเบ้งเห็นอาการของเตียวเปาสาหัส จึงให้ทหารพาเตียวเปาใส่เกวียนแล้วพากลับไปรักษาพยาบาลที่เมืองเสฉวน

            ฝ่ายโกฉุยและซุนเล้หลังจากปีนป่ายยอดเขาหนีพ้นจากการติดตามของทหารจ๊กก๊กแล้ว จึงพากันกลับไปหาสุมาอี้แล้วแจ้งเนื้อความซึ่งได้รบพุ่งกับทหารของขงเบ้งให้สุมาอี้ทราบทุกประการ และขอให้สุมาอี้ลงโทษตามพระอัยการศึก

            สุมาอี้ได้ฟังรายงานแล้วจึงว่า ไยจะต้องลงโทษพวกท่านด้วยเล่า ซึ่งเสียทีขงเบ้งมาครั้งนี้เป็นเพราะความผิดของเราเอง ที่คาดคิดไม่ทันว่าขงเบ้งจะยกทัพบุกเข้ายึดเมืองปูเต๋าและเมืองอิมเป๋งไว้ได้อย่างรวดเร็วถึงปานนี้ มิหนำซ้ำยังคิดกลอุบายยกตลบหลังมาสกัดตีกองทัพของพวกท่านอีก เราเองยังคาดคิดไม่ถึง จึงไม่เอาโทษพวกท่าน

            กล่าวแล้วสุมาอี้จึงกล่าวกับโกฉุยและซุนเล้ว่า เมื่อขงเบ้งได้เมืองปูเต๋าและเมืองอิมเป๋งแล้ว เห็นจะยกทหารไปตีเมืองไปเซียและเมืองหยงจิ๋ว ให้ท่านทั้งสองรีบยกทหารไปรักษาเมืองไปเซียและเมืองหยงจิ๋ว และให้รีบยกไปในวันนี้ เมื่อไปถึงแล้วให้ตั้งมั่นอยู่แต่ในเมือง อย่าได้ออกไปรบกับขงเบ้งเป็นอันขาด เพราะขงเบ้งนั้นมากด้วยกลอุบาย หากยกออกไปเห็นจะต้องกลอุบายของขงเบ้งเป็นมั่นคง จงตั้งมั่นรักษาเมืองไว้ให้กองทัพขงเบ้งขาดเสบียงอาหารแล้วก็จะล่าถอยกลับไปเอง

            โกฉุยและซุนเล้รับคำสั่งสุมาอี้แล้วออกไปรับกองทหารแล้วรีบยกไปเมืองไปเซียและเมืองหยงจิ๋ว
เมื่อโกฉุยและซุนเล้กลับออกไปแล้ว สุมาอี้จึงกล่าวกับเตียวคับและไต้เหลงว่า “บัดนี้ขงเบ้งตีได้เมืองปูเต๋าและเมืองอิมเป๋งนั้น เห็นจะไม่อยู่ค่าย ตัวจะเข้าไปเกลี้ยกล่อมผู้คนอยู่ในเมือง ท่านจงคุมทหารหมื่นหนึ่งลัดทางน้อยอ้อมเข้าหลังค่ายให้จงได้ ถ้าได้สมคะเนแล้วจะกลัวอะไรแก่ขงเบ้ง จะคิดกำจัดเสียภายหลังก็จะง่ายดอก”

            สุมาอี้กำชับให้เตียวคับและไต้เหลงรีบคุมทหารหมื่นหนึ่งลัดเลาะเส้นทางลัดวกเข้าอ้อมตีด้านหลังค่ายของขงเบ้งที่ตั้งอยู่นอกเมืองปูเต๋าและเมืองอิมเป๋ง แล้วยึดเอาเมืองทั้งสองคืน หากทำการสำเร็จก็จะเป็นเงื่อนไขที่จะตีกองทัพขงเบ้งให้ล่าถอยกลับไปได้

            เตียวคับและไต้เหลงรับคำสั่งสุมาอี้แล้วคำนับลาออกไปจัดแจงทหาร แล้วยกไปตามคำสั่งของสุมาอี้ตามเส้นทางลัด.

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

ตัวอย่างกระทู้ธรรม ธรรมศึกษาชั้นตรี 5

I miss you all กับ I miss all of you ต่างกันอย่างไร

ปัญหาและเฉลยวิชาธรรม นักธรรมชั้นโท สอบในสนามหลวง วันเสาร์ ที่ ๑๙ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๔๘