ตอนที่ 53. สงครามขุนศึกภาคพายัพ

 การสร้างภาพลวงโลกที่ลิฉุย กุยกีได้จัดฉากสร้างขึ้นในงานพิธีศพของ     ตั๋งโต๊ะได้กลับมาหลอกลวงแล้วครอบงำความคิดของลิฉุย กุยกีว่าพฤติกรรมและการกระทำแบบตั๋งโต๊ะคือแบบอย่างอันเป็นที่เคารพรักของราษฎร ดังนั้นรัฐบาลของลิฉุย กุยกี จึงสืบทอดเจตนารมย์ นโยบาย และพฤติกรรม ตลอดจนการกระทำต่าง ๆ ของตั๋งโต๊ะเอามาใช้

            แต่หาได้สังวรณ์และเฉลียวใจถึงเหตุการณ์ในพิธีฝังศพของตั๋งโต๊ะที่แม้แต่พระแม่ธรณียังไม่ยอมรับเรือนร่าง และสวรรค์ก็ไม่ยอมรับให้อยู่ภายใต้หล้า ว่านั่นเป็นผลจากความชั่วช้าเลวทรามที่กระทำไว้แต่ประการใด

            เหตุนี้รัฐบาลของลิฉุย กุยกีจึงเป็นรัฐบาลทรราชย์แบบเดียวกับรัฐบาลของตั๋งโต๊ะเกือบทุกประการ ยกเว้นก็แต่เพียงสองอย่างเท่านั้นคือ ไม่ตั้งตัวเป็นบิดาบุญธรรมของฮ่องเต้อย่างหนึ่ง และไม่ถึงกับเอาคนเป็น ๆ มาทอดในงานเลี้ยงโต๊ะอีกอย่างหนึ่ง

            เมื่อเป็นเช่นนี้บรรดาขุนนางข้าราชการและราษฎรจึงได้รับความเดือดร้อนเหมือนกับครั้งตั๋งโต๊ะอีกครั้งหนึ่ง ส่งผลให้หัวเมืองบางเมืองมีความคิดที่จะล้มล้างรัฐบาล และในหมู่ประชาชนหลายพื้นที่ก็เกิดการเคลื่อนไหวที่จะลุกขึ้นสู้อีกครั้งหนึ่ง เชื้อไฟขบวนการกู้ชาติของโจรโพกผ้าเหลืองจึงเริ่มปะทุขึ้นอีกครั้งหนึ่งด้วย

            ในด้านขุนศึกนั้นม้าเท้งเจ้าเมืองเสเหลียงและคู่เกลอคือหันซุยเจ้าเมืองเป๊งจิ๋ว ซึ่งเป็นเจ้าเมืองครองดินแดนภาคพายัพ ได้รับทราบข่าวการก่อกรรมทำเข็ญของรัฐบาล   ลิฉุย กุยกีแล้ว จึงปรึกษากันว่าบัดนี้รัฐบาลของลิฉุย กุยกีเป็นทรราชย์เหมือนกับรัฐบาลของตั๋งโต๊ะ จะปล่อยไว้อีกไม่ได้จำเป็นต้องกำจัดเสีย ดังนั้นจึงต้องวางไส้ศึกไว้ในเมืองหลวงเพื่อจะได้กำจัดลิฉุย กุยกีได้โดยสะดวก

            สองเกลอปรึกษากันแล้ว จึงทำหนังสือลับถึงมหาดเล็กในพระเจ้าเหี้ยนเต้สามคน ซึ่งสนิทสนมไว้วางใจกันมาแต่ก่อนคือ ม้าฮู, ตงเซียง และเลาเฉีย ให้ทำการเป็นไส้ศึกอยู่ในเมืองหลวง และให้นำความกราบบังคมทูลพระเจ้าเหี้ยนเต้ทรงทราบว่าเจ้าเมืองทั้งสองจะยกกองทัพเข้าเมืองหลวงเพื่อล้มรัฐบาลของลิฉุย       กุยกีเสีย

            มหาดเล็กทั้งสามคนได้รับหนังสือลับของเจ้าเมืองทั้งสองแล้ว มีความเห็นพ้องต้องกันที่จะต้องร่วมล้มล้างรัฐบาลของลิฉุย กุยกี จึงพากันไปเฝ้าพระเจ้าเหี้ยนเต้เป็นการส่วนพระองค์ถึงข้างในพระตำหนักที่ประทับ กราบบังคมทูลให้ทรงทราบความตามที่สองเจ้าเมืองบอกมานั้น

            พระเจ้าเหี้ยนเต้ทรงทราบความแล้วมีพระทัยยินดียิ่งนัก จึงมีพระราชหัตถเลขาไปยังสองเจ้าเมืองว่าทรงขอบใจที่สองเจ้าเมืองเป็นเดือดแค้นด้วยแผ่นดินและราษฎร หากทำการสำเร็จแล้วจะโปรดให้เป็นขุนนางผู้ใหญ่

            สามมหาดเล็กรับพระราชทานพระราชหัตถเลขาแล้ว ก็นำไปมอบแก่ทหารเดินสารของม้าเท้ง หันซุย เพื่อนำไปมอบแก่สองเจ้าเมืองต่อไป

            ครั้นม้าเท้ง หันซุย ได้รับพระราชหัตถเลขาและทราบพระราชประสงค์แล้วมีความยินดียิ่งนัก จึงสั่งการให้เตรียมกองทัพจากทั้งสองเมืองกำลังพลสิบสองหมื่นเคลื่อนทัพจากภาคพายัพสู่เมืองหลวง

            เส้นทางเดินทัพจากเมืองเสเหลียงและเมืองเป๊งจิ๋ว ไปเมืองเตียงอันเป็นระยะทางไกลกว่าสามร้อยกิโลเมตร เส้นทางทุรกันดาร กลางวันร้อนจัด กลางคืนหนาวจัด ดังนั้นแม้กองทัพทั้งสองเมืองจะเป็นกองทัพม้าที่เก่งกล้าสามารถก็ต้องหยุดพักเป็น    ระยะ ๆ

            ครั้นเดินทัพมาถึงกลางทางหน่วยลาดตระเวนของเมืองหลวงก็ได้รับข่าวศึกจึงรีบส่งใบบอกรายงานให้รัฐบาลทราบ ลิฉุย กุยกี จึงให้หาเตียวเจ และหวนเตียว ซึ่งเป็นแกนนำสำคัญของรัฐบาลพร้อมด้วยกาเซี่ยงกุนซือคนสำคัญมาประชุมเพื่อเตรียมรับมือกับสงครามขุนศึกภาคพายัพ และปรึกษาว่าจะคิดอ่านวางแผนการสงครามประการใด 

            กาเซี่ยงกุนซือคนสำคัญของรัฐบาล ได้เสนอความเห็นว่าการศึกครั้งนี้ไม่น่าหนักใจแต่ประการใด แล้วยกสถานการณ์ของทั้งสองฝ่ายขึ้นแสดงต่อที่ประชุมว่าข้าศึกเดินทัพมาแต่ทางไกล และไม่มีหัวเมืองรายทางเข้าร่วมด้วย ดังนั้นยิ่งเดินทัพลึกเข้ามาทางเมืองหลวงมากเท่าใด ไพร่พลย่อมยากลำบากและอ่อนล้าลงมากขึ้นเท่านั้น การลำเลียงเสบียงก็จะไม่สามารถลำเลียงสนับสนุนได้ทันต่อความต้องการ ยิ่งใกล้เมืองหลวงเท่าใดเสบียงอาหารก็จะลำเลียงได้น้อยลงเท่านั้น ในที่สุดก็จะคงเหลือเพียงเสบียงที่ติดตัวมาซึ่งใช้ในกองทัพได้ไม่นาน

            หลังจากแสดงสภาพการณ์ของฝ่ายข้าศึกแล้ว กาเซี่ยงก็ได้แสดงสภาพการณ์ของฝ่ายเมืองหลวงว่าฝ่ายเมืองหลวงตั้งมั่นอยู่ในพระนคร มีกำแพงเชิงเทิน ค่ายคู หอรบพร้อมสรรพ ทหารก็พร้อม เสบียงก็มาก กำลังของเมืองหลวงในยามปะทะข้าศึกจะมีความสดชื่นยิ่งกว่าข้าศึกที่อ่อนล้าอิดโรย

            กาเซี่ยงจึงสรุปว่าสถานการณ์สงครามของทั้งสองฝ่ายเป็นดั่งนี้ ทำให้เวลายิ่งเนิ่นนานไปเพียงใดย่อมเป็นโทษแก่ข้าศึกเพียงนั้น และเป็นคุณแก่ฝ่ายเมืองหลวงเพียงนั้น ว่าแล้วจึงถามที่ประชุมว่าสภาพการศึกครั้งนี้เป็นดั่งนี้ใช่หรือไม่

            ที่ประชุมยอมรับสภาพการสงครามระหว่างข้าศึกกับฝ่ายเมืองหลวงตามที่      กาเซี่ยงได้กล่าวมาทั้งนั้น ลิฉุยจึงให้กาเซี่ยงเสนอแผนยุทธการต่อไป

            กาเซี่ยงจึงว่าเมื่อปัจจัยพื้นฐานของสงครามระหว่างข้าศึกกับเราเป็นดั่งนี้แล้ว ปัจจัยพื้นฐานเหล่านั้นจึงกำหนดยุทธการให้ฝ่ายเมืองหลวงเป็นฝ่ายตั้งรับ และรอคอยโอกาสโจมตี ทั้งกำหนดแผนการยุทธ์ให้ข้าศึกยกล่วงมาถึงชานกำแพงพระนคร ในที่สุดข้าศึกก็จะหมดเสบียงแล้วต้องถอนทัพกลับไป ถึงเวลานั้นฝ่ายเมืองหลวงจึงยกตามตีย่อมจะได้รับชัยชนะเป็นมั่นคง

            ลิบ้องกับอ่องหอง สองขุนนางที่ได้รับแต่งตั้งใหม่เป็นบำเหน็จความชอบที่เปิดประตูเมืองรับทัพลิฉุย กุยกี ไม่เห็นด้วยกับแผนยุทธการของกาเซี่ยง และเสนอแผนยุทธการใหม่ให้ฝ่ายเมืองหลวงยกกองทัพไปโจมตีข้าศึก มิให้ยกล่วงเข้ามาถึงพระนครได้ โดยอ้างว่าจะก่อให้เกิดความตระหนกตกใจแก่ราษฎร

            แล้วว่าข้าพเจ้าทั้งสองขอนำทหารเพียงหมื่นคนไปตัดเอาศีรษะม้าเท้ง หันซุย มาให้จงได้

            ลิฉุย กุยกี เห็นชอบตามแผนการยุทธ์ของสองขุนนาง แต่กาเซี่ยงท้วงติงว่าการยกทัพไปครั้งนี้จะเสียทีแก่ข้าศึกเป็นมั่นคง เพราะเมื่อฝ่ายเรายกทัพไปทางไกลก็จะสูญเสียความได้เปรียบที่มีอยู่จากการตั้งรับและมีสภาพไม่ต่างกับข้าศึก แต่เนื่องจากข้าศึกมีกำลังพลมากกว่า ทั้งการยุทธ์จะเกิดขึ้นในพื้นราบรบกันด้วยกำลังทหารม้าย่อมมีสภาพเป็นรองฝ่ายกองทัพเมืองเสเหลียงที่มีความเชี่ยวชาญการรบบนหลังม้า ฝ่ายเมืองหลวงจึงเสียเปรียบในทุกทาง

            ลิบ้อง อ่องหอง ฟังคำกาเซี่ยงแล้วไม่พอใจจึงว่าการยกไปครั้งนี้ถ้าหากไม่ได้หัวม้าเท้ง หันซุย กลับมาก็ขอให้เอาหัวของข้าพเจ้าสองคนแทน แต่ถ้าข้าพเจ้าได้หัวของสองเจ้าเมืองมาแล้วก็ให้กาเซี่ยงมอบศีรษะแก่ข้าพเจ้า

            กาเซี่ยงไม่รับคำท้าของสองขุนนาง ยังคงเสนอต่อไปว่าถ้าจะให้ลิบ้อง อ่องหอง ยกไปก็จะเสียทีแก่ข้าศึกเป็นแม่นมั่น แต่เพื่อไม่ให้เสียการข้าพเจ้าขอเสนอให้ท่านแม่ทัพเตียวเจ และหวนเตียว ยกทหารอีกหมื่นหนึ่งไปตั้งมั่นไว้ที่เขาเจียวจิด ซึ่งอยู่ทางทิศตะวันตกห่างจากเมืองหลวงไประยะทางสองพันห้าร้อยเส้น หรือประมาณหนึ่งร้อยกิโลเมตร ณ เขาลูกนี้เป็นชัยภูมิสำคัญ เพราะภูมิประเทศมีทางเดินทัพเฉพาะตามซอกเขาเท่านั้น ถึงข้าศึกมีกำลังพลมากกว่าก็ถูกสภาพภูมิประเทศบีบบังคับให้เสมือนน้อย หากลิบ้อง อ่องหอง เสียทีมาฝ่ายเมืองหลวงก็ยังคงสามารถยันทัพข้าศึกไว้ได้ ณ ที่นี้ การสงครามครั้งนี้เราก็จะไม่เสียทีแก่ข้าศึก

            ปรากฏว่าคณะฝ่ายทหารทั้งหมดในที่ประชุมไม่เห็นด้วยกับข้อเสนอของกาเซี่ยง ดังนั้นลิฉุย จึงสั่งให้จัดกองทัพพลหมื่นห้าพันคนให้ลิบ้อง และอ่องหองยกไปรบด้วยม้าเท้งและหันซุยตามแผนของสองขุนนางดังกล่าว

            กาเซี่ยงที่ปรึกษาเห็นเช่นนั้นก็มิได้ว่ากล่าวประการใด คงรำพึงแต่ในใจว่า “แล้วจะได้เห็นดีกัน”

            ลิบ้อง อ่องหอง ยกกองทัพออกจากเมืองหลวง เดินทัพไปได้ประมาณสองพันเส้นก็เผชิญหน้ากับกองทัพภาคพายัพของม้าเท้งและหันซุย ดังนั้นทั้งสองฝ่ายจึงตั้งค่ายลงในลักษณะประชิดกัน เตรียมการยุทธ์ขั้นแตกหักต่อไป

            ครั้นรุ่งขึ้นทหารของทั้งสองฝ่ายจึงยกออกจากค่าย ตั้งขบวนเรียงหน้ากระดานเข้าหากัน เว้นพื้นที่เป็นลานรบไว้ตรงกลาง แม่ทัพนายกองของทั้งสองฝ่ายออกมายืนม้าอยู่หน้าทหารของฝ่ายตน เป็นการเตรียมการทำศึกโดยอาศัยฝีมือทหารเอก

            หลังจากเปิดฉากด่ากันตามธรรมเนียมแล้ว กองทัพภาคพายัพจึงส่งม้าเฉียวผู้เป็นบุตรม้าเท้งและเป็นทหารเอกออกรบ

            ม้าเฉียวนั้น สามก๊กฉบับเจ้าพระยาพระคลัง (หน) ว่า “อายุสิบแปดปี หน้าดังสีหยก กิริยาว่องไว” แต่สามก๊กฉบับสมบูรณ์กล่าวว่าเป็น “หนุ่มน้อยสีหน้าดังหยกขาว ดวงตาดุจดาวตก ร่างดุจพยัคฆ์ แขนคล้ายวานร ท้องเหมือนเสือดาว เอวดั่งสุนัขจิ้งจอก” ซึ่งดูออกจะมีลักษณะพิกล จึงเอาเป็นว่าม้าเฉียวนั้นอายุสิบแปดปี มีหน้าขาวประดุจดังหยก ดวงตาคมวาว แข็งแรง แคล่วคล่องว่องไว

            ม้าเฉียวรับคำสั่งแล้วก็ขับม้าศึกมือถือทวนยาวออกมากลางลานรบ ฝ่ายอ่องหองเห็นม้าเฉียวยังเป็นเด็กนักคิดว่าจะเอาชัยได้โดยง่ายจึงชักม้าออกมากลางลานรบ

            ทั้งสองฝ่ายขับม้าประอาวุธกันเพียงห้าเพลง ม้าเฉียวก็เอาทวนแทงอ่องหองตกม้าตาย แล้วชักม้าหันหลังจะกลับเข้ามาในแถวทหารของเมืองเสเหลียง ฝ่ายลิบ้องเห็นอ่องหองตายก็โกรธ ขับม้าถือง้าวไล่ตามมาข้างหลังม้าเฉียว แต่ม้าเฉียวทำเป็นไม่เห็น ฝ่ายม้าเท้งผู้บิดาเป็นห่วงม้าเฉียวจึงร้องตะโกนให้ระวังว่าข้าศึกกำลังไล่ตามมาข้างหลัง พอดีลิบ้องขับม้าเข้ามาใกล้ได้จังหวะง้าวจึงเงื้อง้าวขึ้นจะฟันม้าเฉียว

            ม้าเฉียวสังเกตความเคลื่อนไหวของลิบ้องอยู่ทุกฝีเท้า ครั้นเห็นลิบ้องเอาง้าวฟันลงมาก็เอี้ยวตัวหลบพร้อมกับชักม้าเข้าประกบม้าของลิบ้อง แล้วกระโจนไปบนหลังม้าของลิบ้องจับลิบ้องได้บนหลังม้านั้น แล้วเอามาส่งแก่ม้าเท้งผู้บิดา

            ม้าเท้งเห็นได้ทีจึงให้สัญญาณทหารบุกเข้าโจมตีกองทัพของลิบ้อง อ่องหอง ซึ่งกำลังขวัญเสียเพราะสูญเสียแม่ทัพไปทั้งหมด จึงแตกตื่นวิ่งหนีถูกทหารภาคพายัพฆ่าตายเป็นจำนวนมาก และที่ถูกจับเป็นก็ไม่น้อย กองทัพลิบ้อง อ่องหอง จึงแตกพ่ายไป

            ม้าเท้งและหันซุยได้รับชัยชนะในศึกยกแรกแล้ว จึงเคลื่อนทัพภาคพายัพเดินทางเข้าเมืองหลวง แล้วตั้งค่ายประชิดกำแพงพระนคร ครั้นตั้งค่ายเสร็จแล้วจึงสั่งให้ตัดศีรษะลิบ้องและอ่องหองเสียบประจานไว้ที่หน้าค่าย

            ลิฉุย กุยกี ทราบข่าวศึกว่าลิบ้อง อ่องหอง เสียทีแก่ข้าศึกและกองทัพภาคพายัพยกล่วงมาประชิดกำแพงพระนคร จึงเรียกประชุมแม่ทัพนายกอง ณ กองบัญชาการกองกำลังรักษาพระนคร และสั่งให้หากาเซี่ยงที่ปรึกษาเข้าร่วมประชุมด้วย

            ลิฉุยเปิดประชุมแล้วกล่าวว่าเป็นความผิดของเราเองที่ไม่ฟังคำกาเซี่ยง การจึงเสียทีแก่ข้าศึกถึงเพียงนี้ เราได้พิจารณาการประมาณการศึกและแผนยุทธการของกาเซี่ยงอีกครั้งหนึ่งแล้วเห็นว่าเป็นแผนการที่จะเอาชนะข้าศึกได้ ดังนั้นจากนี้ไปให้ปฏิบัติตามแผนของกาเซี่ยงทุกประการ

            แล้วลิฉุยจึงมีคำสั่งให้ทหารทุกหน่วยตั้งมั่นรับศึกในพระนครให้ระมัดระวังรักษาเชิงเทิน ค่ายคู หอรบต่าง ๆ ให้มั่นคงทุกด้าน

            สงครามกับขุนศึกภาคพายัพที่ดำเนินการมาถึงชั้นนี้ ได้ให้ข้อพิสูจน์ที่ชัดเจนอย่างหนึ่งว่าความผิดถูกนั้นหาได้ขึ้นอยู่กับเสียงข้างมากแต่ประการใดไม่ หากขึ้นอยู่กับสติปัญญาและข้อมูลข่าวสารที่ถูกต้องถ่องแท้ต่างหาก แม้จะเป็นเสียงข้างน้อยแต่ถ้าหากมีสติปัญญากำหนดแผนการขึ้นบนพื้นฐานของข้อมูลข่าวสารที่ถูกต้องแล้ว ยังดีเสียกว่าเสียงข้างมากที่ไร้สติปัญญาและปราศจากข้อมูลข่าวสารที่ถูกต้อง

            พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงตรัสว่าการประชุมที่ไม่มีบัณฑิตย่อมไม่ถือว่าเป็นการประชุม ซึ่งหากจะกล่าวโดยสำนวนของกิมย้งก็ต้องกล่าวว่าการประชุมที่ไม่มีบัณฑิตก็คือการผายลมนั่นเอง.

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

ตัวอย่างกระทู้ธรรม ธรรมศึกษาชั้นตรี 5

ปัญหาและเฉลยวิชาธรรม นักธรรมชั้นโท สอบในสนามหลวง วันเสาร์ ที่ ๑๙ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๔๘

I miss you all กับ I miss all of you ต่างกันอย่างไร