ตอนที่ 538. กล "ขโมยลูกเสือ"

พระพุทธศาสนายุกาลล่วงแล้วได้เจ็ดร้อยเจ็ดสิบเอ็ดพรรษา ปลายเดือนยี่ กองทัพของขงเบ้งขาดเสบียงอาหารลง จึงจำต้องล่าถอยทัพกลับเมืองฮันต๋ง แต่ขงเบ้งไม่ยอมล่าถอยมือเปล่า กลับคิดกลอุบายให้อุยเอี๋ยนสังหารอองสงยอดนายทหารของวุยก๊ก แล้วอุยเอี๋ยนจึงคุมทหารจ๊กก๊กหน่วยสุดท้ายล่าถอยกลับเข้าเมืองฮันต๋งโดยปลอดภัย

            ขงเบ้งทราบรายงานจากอุยเอี๋ยนแล้วมีความยินดีเป็นอันมาก สั่งให้แต่งโต๊ะเลี้ยง แม่ทัพนายกองและปูนบำเหน็จแก่ทหารซึ่งมีความชอบถ้วนหน้ากัน

            ฝ่ายโจจิ๋นครั้นทราบข่าวว่าอุยเอี๋ยนทำกลอุบายสังหารอองสงแล้วก็รู้สึกเสียใจ สั่งการให้เตียวคับ ซุนเล้ โกฉุย อยู่รักษาด่านตามแนวชายแดนเมืองเตียงอันทุกตำบล เสร็จแล้วจึงเลิกทัพกลับไปเมืองลกเอี๋ยง

            ฝ่ายพระเจ้าซุนกวน หลังจากลกซุนได้รับชัยชนะแก่กองทัพของโจฮิวแล้ว ก็ได้ให้หน่วยสอดแนมติดตามข่าวคราวการสงครามระหว่างจ๊กก๊กและวุยก๊กอย่างใกล้ชิด ต่อมาหน่วยสอดแนมได้ทูลความแก่ซุนกวนว่า ซึ่งขงเบ้งยกกองทัพบุกวุยก๊กครั้งนี้ได้ฆ่าฟันทหารของวุยก๊กบาดเจ็บล้มตายลงเป็นอันมาก ทหารของวุยก๊กอ่อนล้าอิดโรยลงแล้ว ชอบที่พระองค์จะยกกองทัพไปตีวุยก๊ก เห็นจะได้โดยง่าย ซุนกวนได้ฟังดังนั้นก็มิได้ตรัส

            เตียวเจียวขุนนางผู้ใหญ่จึงทูลว่า “บัดนี้เมืองกังตั๋งมีฝูงหงส์เข้ามาร้องอยู่ทุกเวลา อนึ่งมังกรก็สำแดงฤทธิ์ในท้องพระมหาสมุทร เหมือนจะบอกว่าเทศกาลนี้เป็นมงคลอันประเสริฐ ขอพระองค์ให้ตั้งการพิธีราชาภิเษกเสียก่อน แล้วจึงยกพลทหารไปตีเมืองลกเอี๋ยง”

            ซุนกวนได้ฟังคำเตียวเจียวก็คิดว่าการบัดนี้โจยอยและเล่าเสี้ยนที่ตั้งตนเป็นเจ้านั้นได้ราชาภิเษกตนเองขึ้นเป็นพระมหากษัตริย์แล้ว แม้ว่าตัวเราจะได้ตั้งตนขึ้นเป็นฮ่องเต้เมื่อแปดปีก่อน แต่ยังมิได้ประกอบพิธีราชาภิเษกตามอย่างประเพณี จึงคงมีฐานะเสมอชั้นอ๋องเท่านั้น แลบัดนี้แผ่นดินได้แตกออกเป็นสามก๊ก ต่างมีกำลังกล้าแข็งตั้งเป็นใหญ่ไม่ขึ้นแก่กัน หากไม่กระทำพิธีราชาภิเษกเป็นพระมหากษัตริย์ให้เสมอกับพระเจ้าโจยอยและพระเจ้าเล่าเสี้ยนแล้วก็จะเป็นที่น้อยหน้าของชาวเมืองกังตั๋ง ดังนั้นซุนกวนจึงเห็นชอบตามที่เตียวเจียวเสนอ และตรัสสั่งให้เตียวเจียวตั้งการพิธีราชาภิเษก

            สามก๊กฉบับสมบูรณ์ระบุว่า “จึงกำหนดเลือกวันเปี๊ยะอิ๊ง คือวันธาตุเสือไฟ เดือนสี่ คิมหันตฤดู สร้างพระแท่นราชพิธี ณ ชานเมืองบู๊เชียง … คณะขุนนางอัญเชิญซุนกวนเสด็จขึ้นบนแท่นพระราชพิธีราชาภิเษกเป็นจักรพรรดิครองราชสมบัติ เปลี่ยนอึ๊งบู๊ศกปีที่แปด เป็นอึ้งเล้งศกปีที่หนึ่ง พระราชทานเกียรตินามให้ซุนเกี๋ยนบิดาผู้ล่วงลับเป็นบู๊เลี๊ยกฮ่องเต้ ให้โง้วสีผู้เป็นมารดาเป็นบู๊เลี๊ยกฮองเฮา ซุนเซ็กผู้พี่เป็นเชี่ยงซา ฮ่วงอ๋อง ทรงโปรดแต่งตั้งให้ซุนเต๋งเป็นราชโอรส ให้จูกัดเก็กบุตรคนโตของจูกัดกิ๋นเป็นผู้ช่วยเหลือราชบุตรฝ่ายซ้าย ให้เตียวหิวบุตรคนรองของเตียวเจียวเป็นผู้ช่วยเหลือราชบุตรฝ่ายขวา”

            สามก๊กฉบับเจ้าพระยาพระคลัง (หน) ระบุว่า “ครั้นถึงเดือนสี่ปีพุทธศักราชเจ็ดร้อยเจ็ดสิบสองก็ให้แต่งการพระราชพิธีพร้อมเสร็จทุกประการตามประเพณีแต่ก่อน ตั้งพระองค์เป็นใหญ่ในเมืองกังตั๋ง ครั้นวันศุภมงคลฤกษ์จึงตั้งซุนเต๋งพระราชบุตรเป็นฝ่ายหน้า ให้จูกัดเก๊กบุตรจูกัดกิ๋นเป็นเสนาบดีฝ่ายขวา ให้เตียวหิวบุตรเตียวเจียวเป็นเสนาบดีฝ่ายซ้าย ช่วยทำนุบำรุงพระราชบุตรตามประเพณี”

            ตำแหน่งของซุนเต๋งซึ่งเป็นโอรสของซุนกวนที่ได้รับแต่งตั้งในครั้งนี้เทียบได้กับตำแหน่งกรมพระราชวังบวร ซึ่งเป็นตำแหน่งมหาอุปราชวังหน้า ส่วนจูกัดเก๊กซึ่งเป็นบุตรของจูกัดกิ๋นพี่ชายขงเบ้งนั้น ซุนกวนโปรดปรานมาตั้งแต่น้อย เมื่อครั้งที่อายุได้หกขวบจูกัดกิ๋นพาเข้าไปกินโต๊ะในจวนของซุนกวน ซุนกวนเห็นใบหน้าของจูกัดเก๊กรีคล้ายกับโล่ก็ทรงพอพระทัย สั่งให้ทหารเอาโล่มาให้แล้วซุนกวนจึงเรียกเอาพู่กันมาเขียนที่โล่ว่าจูกัดเก๊ก ขุนนางทั้งปวงเห็นดังนั้นก็พากันหัวเราะ จูกัดเก๊กจึงลุกออกไปหยิบพู่กันมาเขียนความว่า “โล่ของ” ไว้ข้างหน้าตัวหนังสือที่ซุนกวนได้เขียนไว้ รวมเป็นความว่าโล่ของจูกัดเก๊ก ซุนกวนและขุนนางทั้งปวงเห็นจูกัดเก๊กเฉลียวฉลาดและองอาจกล้าหาญก็พากันชื่นชมสรรเสริญ ซุนกวนเองมีความประทับใจจูกัดเก๊กยิ่งกว่าบุตรขุนนางผู้อื่นตั้งแต่นั้นมา เป็นเหตุให้โปรดเกล้าแต่งตั้งเป็นขุนนางประจำวังหน้าในราชบุตร และเมื่อราชาภิเษกเป็นฮ่องเต้แล้ว ซุนกวนได้ยกเลิกศักราชเดิมเมื่อครั้งตั้งตนเป็นเจ้าแล้วตั้งศักราชใหม่ตามประเพณี

            พระเจ้าซุนกวนเข้าพิธีบรมราชาภิเษกแล้วก็กำเริบในพระทัย ตรัสสั่งให้เตรียมกองทัพจะยกไปตีเมืองลกเอี๋ยง แต่เตียวเจียวได้กราบทูลทัดทานว่าพระองค์เพิ่งผ่านพระราชพิธีมงคล ไม่ชอบที่จะเสด็จไปในราชการสงคราม ชอบที่จะงดกองทัพไว้ก่อน แล้วเสริมสร้างสัมพันธไมตรีกับเมืองเสฉวนให้แน่นแฟ้น ให้เมืองเสฉวนยกไปตีเมืองลกเอี๋ยงให้เพลี่ยงพล้ำลงก่อนแล้วเราจึงค่อยยกไป ในระหว่างนี้ชอบที่พระองค์จะได้ซ่องสุมเสบียงอาหารและไพร่พลให้พรักพร้อมก่อน ก็จะสำเร็จดังพระราชประสงค์เป็นมั่นคง

            ซุนกวนได้ฟังดังนั้นก็เห็นชอบ จึงแต่งราชทูตไปกระชับสัมพันธไมตรีกับเมืองเสฉวน และชักชวนให้พระเจ้าเล่าเสี้ยนยกกองทัพไปตีเมืองลกเอี๋ยง

            พระเจ้าเล่าเสี้ยนเสด็จออกต้อนรับราชทูตของพระเจ้าซุนกวนแล้ว จึงปรึกษากับขุนนางทั้งปวงว่าซึ่งพระเจ้าซุนกวนทรงชักชวนให้ยกกองทัพไปกำจัดพระเจ้าโจยอยนี้ ท่านทั้งปวงจะเห็นเป็นประการใด

            ขุนนางทั้งปวงได้กราบบังคมทูลว่า การสงครามเป็นการใหญ่ของแผ่นดิน ซึ่งพระเจ้าซุนกวนเจริญพระราชสาส์นมาในครั้งนี้ยังวางใจไม่ได้ ชอบที่พระองค์จะปรึกษากับมหาอุปราชก่อน พระเจ้าเล่าเสี้ยนได้ฟังดังนั้นก็ทรงเห็นชอบ ตรัสสั่งให้ข้าหลวงรีบเดินทางไปเมืองฮันต๋งเพื่อปรึกษากับขงเบ้ง

            ขงเบ้งทราบกระแสรับสั่งแล้วจึงแต่งฎีกาให้ข้าหลวงนำความกลับมากราบบังคมทูลพระเจ้าเล่าเสี้ยนว่า “ซึ่งเมืองเสฉวนกับเมืองกังตั๋งจะเป็นทองแผ่นเดียวกันนั้นก็ควรอยู่ แต่ทว่าบัดนี้พระเจ้าซุนกวนก็พึ่งเสร็จการพระราชพิธีใหม่ ๆ ขอพระองค์ให้แต่งบรรณาการไปถามข่าวเยี่ยมพระเจ้าซุนกวน ฟังดูกิตติศัพท์ประเพณีแผ่นดินให้แน่นอนก่อน แม้พระเจ้าซุนกวนจะเป็นไมตรีด้วยพระองค์โดยสุจริตแล้ว ก็ให้มั่นคงตามสัตยานุสัตย์ ในภายหน้าอย่าให้แปรปรวนฟั่นเฟือนเสีย”

            พระเจ้าเล่าเสี้ยนทรงทราบฎีกาของขงเบ้งแล้ว จึงโปรดเกล้าตั้งให้ตันจิ๋นเป็นราชทูตเชิญของบรรณาการและพระราชสาส์นไปถวายแก่พระเจ้าซุนกวนตามความที่ขงเบ้งได้กราบทูลมานั้นทุกประการ และกราบทูลขอให้ซุนกวนยกกองทัพเมืองกังตั๋งไปตีเมืองลกเอี๋ยง ฝ่ายเมืองเสฉวนจะยกกองทัพตีกระทบไปจากทางตะวันตก เห็นจะกำจัดพระเจ้าโจยอยได้เป็นมั่นคง

            ฝ่ายพระเจ้าซุนกวนครั้นได้ฟังคำกราบทูลของราชทูต และรับเครื่องราชบรรณาการพร้อมด้วยพระราชสาส์นของพระเจ้าเล่าเสี้ยนแล้วก็ทรงดีพระทัย ตรัสสั่งให้แต่งโต๊ะเลี้ยงราชทูตตามประเพณี และโปรดให้แต่งเครื่องราชบรรณาการและพระราชสาส์นตอบรับปฏิญญาทางไมตรีกับพระเจ้าเล่าเสี้ยนมอบแก่ตันจิ๋นราชทูต

            ครั้นตันจิ๋นเสร็จการแล้วจึงถวายบังคมลาพระเจ้าซุนกวนเดินทางกลับเมืองเสฉวนแล้วเข้าไปเฝ้าพระเจ้าเล่าเสี้ยน ถวายรายงานให้ทรงทราบทุกประการ

            พอตันจิ๋นกลับไปแล้วพระเจ้าซุนกวนจึงปรึกษาด้วยลกซุนว่า ซึ่งพระเจ้าเล่าเสี้ยนพระราชทานของบรรณาการมาถวายในครั้งนี้ ท่านจะเห็นเป็นประการใด

            ลกซุนจึงกราบทูลว่า “ซึ่งพระเจ้าเล่าเสี้ยนมาเป็นไมตรีด้วยทั้งนี้ก็เพราะความคิดขงเบ้งกลัวสุมาอี้ จึงมาเป็นไมตรีด้วย การของเราก็จะให้ได้ ทางไมตรีก็มิให้เสีย จำจะบอกไปถึงเมืองเสฉวนว่าเราจะยกทัพไปตีเมืองลกเอี๋ยง ให้ขงเบ้งยกทัพไปกองหนึ่ง สุมาอี้ก็จะยกออกมาสู้กันกับขงเบ้ง ฝ่ายเราก็จะลอบยกเข้าไปตีเอาเมืองลกเอี๋ยงได้โดยง่าย”

            ลกซุนกราบบังคมทูลเสนอกลอุบายขโมยลูกเสือ โดยล่อแม่เสือให้ออกจากถ้ำก่อน จึงเสนอให้ซุนกวนมีพระราชสาส์นไปถวายพระเจ้าเล่าเสี้ยนให้ขงเบ้งยกกองทัพไปตีเมืองลกเอี๋ยง ขงเบ้งก็จะต้องเดินทัพเข้าตีเมืองลกเอี๋ยงทางทิศตะวันตก พระเจ้าโจยอยก็จะโปรดเกล้าตั้งให้สุมาอี้เป็นแม่ทัพคุมทหารไปรับศึกที่ภาคตะวันตก เมืองลกเอี๋ยงซึ่งเป็นเมืองหลวงก็จะมีทหารเหลือแต่เบาบาง ง่อก๊กจะถือเอาโอกาสนั้นกรีฑาทัพเข้าตีเมืองลกเอี๋ยง

            พระเจ้าซุนกวนได้ฟังแผนการของลกซุนก็ทรงเห็นชอบ จึงตั้งราชทูตเชิญพระราชสาส์นไปแจ้งแก่พระเจ้าเล่าเสี้ยนตามแผนการของลกซุน แล้วตรัสสั่งให้เกณฑ์ทหารจากบรรดาหัวเมืองทั้งปวงที่ขึ้นต่อเมืองกังตั๋ง จัดแจงกองทัพเตรียมพร้อมที่จะยกไปตีเมืองลกเอี๋ยง

            พระเจ้าเล่าเสี้ยนได้รับพระราชสาส์นของซุนกวนแล้ว ไม่ทันกลของลกซุนที่ประสงค์ให้จ๊กก๊กยกกองทัพไปรบกับวุยก๊กให้อ่อนล้าลงก่อนแล้วค่อยซ้ำเติมในภายหลัง จึงมีหมายรับสั่งให้ขงเบ้งรีบยกกองทัพไปตีวุยก๊ก

            ครั้นขงเบ้งได้รับหมายรับสั่งก็มีความวิตกด้วยเพิ่งเสร็จศึกวุยก๊กครั้งที่สองเพียงไม่กี่เดือน ทหารทั้งปวงยังอ่อนล้าอิดโรย เสบียงอาหารก็ยังไม่พรั่งพร้อม แต่การซึ่งจะขัดรับสั่งก็ไม่ชอบด้วยประเพณี ขงเบ้งจึงได้แต่ครุ่นคิดแผนการว่าจะทำประการใด

            ในคืนวันนั้นขงเบ้งนั่งไตร่ตรองแผนการสงครามและความเมืองระหว่างสามก๊กว่าซึ่งพระเจ้าเล่าเสี้ยนมีหมายรับสั่งมาครั้งนี้เป็นเพราะลกซุนเสนอพระเจ้าซุนกวนให้มีพระราชสาส์นขอให้พระเจ้าเล่าเสี้ยนยกกองทัพไปตีวุยก๊ก เห็นกองทัพเมืองกังตั๋งจะหน่วงรั้งให้ล่าช้าคอยท่าจนวุยก๊กอิดโรยลงแล้วจึงจะยกเข้าตี หากเรายกเป็นกองทัพใหญ่ไปตีเมืองลกเอี๋ยงก็จะเป็นการตีงูให้กากิน สมการตามความคิดของลกซุน ครั้นจะไม่ยกไปเล่าก็เป็นการขัดรับสั่ง ทั้งทำให้ชาวเมืองกังตั๋งระวังตัว ฉะนั้นสงครามครั้งนี้จำจะใช้กองทัพม้าขนาดเล็กเคลื่อนที่รุกรบล่าถอยได้รวดเร็ว ให้ชาวเมืองกังตั๋งเห็นว่าเรายกไปทำการตามความคิดแล้วก็จะยกไปตีเมืองลกเอี๋ยง เราจึงค่อยยกกองทัพใหญ่ซ้ำตีในภายหลัง ขงเบ้งคิดการทั้งทางการเมือง การทหารระหว่างสามก๊กเสร็จแล้ว จึงเข้านอนด้วยความเบิกบานใจ

            วันรุ่งขึ้นขงเบ้งจึงสั่งให้ทหารหน่วยสอดแนมติดตามข่าวคราวความเคลื่อนไหวของทหารวุยก๊กที่ตำบลตันฉองว่าเป็นประการใด ต่อมาหน่วยสอดแนมได้กลับมารายงานว่า บัดนี้เฮ็กเจียวซึ่งรักษาตำบลตันฉองกำลังป่วยหนัก

            ขงเบ้งได้ทราบดังนั้นก็มีความยินดี สั่งให้จัดแจงกองทัพม้า ให้อุยเอี๋ยนและเกียงอุยเป็นกองทัพหน้าคุมทหารแต่เพียงห้าพัน สั่งให้รีบเดินทัพเข้าประชิดกำแพงเมืองตำบลตันฉองและถ้าเมื่อใดเห็นแสงเพลิงลุกขึ้นทางด้านหลังตำบลตันฉองแล้ว ก็ให้รีบยกทหารเข้าโจมตีหักเอาเมืองให้จงได้

            อุยเอี๋ยนได้ฟังคำสั่งก็ฉงนใจว่าแสงเพลิงจะลุกขึ้นทางด้านหลังตำบลตันฉองได้อย่างไร แต่เห็นท่วงท่าขงเบ้งแล้วก็รู้ว่ามีความนัยอยู่ จึงถามไปอีกทางหนึ่งว่า ซึ่งท่านจะให้ยกกองทัพไปตำบลตันฉองนี้จะให้ยกไปเมื่อใด

            ขงเบ้งจึงว่า ให้รีบยกไปให้ทันภายในสามวันนี้ เมื่อจัดแจงทหารพร้อมแล้วก็ให้ยกไปในทันที ไม่ต้องมาลาไปทัพตามธรรมเนียมอีก

            ครั้นอุยเอี๋ยนและเกียงอุยออกไปแล้ว ขงเบ้งได้เรียกกวนหินและเตียวเปาเข้าไปที่ข้างใน แล้วสั่งการเป็นความลับ กำชับว่าให้ทำตามแผนการนี้อย่าให้ขาดเกิน เห็นจะได้ชัยชนะเป็นมั่นคง กวนหินและเตียวเปาคำนับรับคำขงเบ้งแล้วออกไปจัดแจงทหาร พอค่ำลงก็ลอบยกกองทัพม้าออกไปจากเมืองฮันต๋งอย่างเงียบเชียบ.

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

ตัวอย่างกระทู้ธรรม ธรรมศึกษาชั้นตรี 5

I miss you all กับ I miss all of you ต่างกันอย่างไร

ปัญหาและเฉลยวิชาธรรม นักธรรมชั้นโท สอบในสนามหลวง วันเสาร์ ที่ ๑๙ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๔๘