ตอนที่ 536. อุบาย "ล่อปลาหิว"
ขงเบ้งถูกทหารวุยก๊กที่รักษาตำบลตันฉองอาศัยชัยภูมิที่ดีเลิศป้องกันรักษายุทธภูมิอย่างเหนียวแน่น ไม่อาจรุกฝ่าเข้าไปได้ จึงจำต้องลอบยกกองทัพวกอ้อมไปทางตำบลจำก๊กเพื่อจะยกไปทางเขากิสาน และให้เกียงอุยทำกลลวงให้โจจิ๋นออกมารบ แต่ปีเอียวนายทหารผู้ใหญ่ของโจจิ๋นเกรงว่าจะเป็นกลอุบาย จึงอาสายกไปทำการแทน
ปีเอียวให้ทหารตั้งค่ายเสร็จแล้วเห็นทหารเมืองเสฉวนยกมาท้ารบ จึงคุมทหารออกจากค่ายจะไปโจมตีทหารเมืองเสฉวน แต่พอยกทหารออกไปพ้นหน้าค่าย ทหารเมืองเสฉวนก็กลับล่าถอยไปดื้อ ๆ ปีเอียวไม่กล้ายกทหารตามไปเกรงว่าจะต้องกลอุบาย จึงให้ทหารถอยกลับเข้าค่าย
พอทหารปีเอียวถอยกลับเข้าค่าย ทหารเมืองเสฉวนก็ยกมาประชิดค่ายท้ารบอีก ครั้นปีเอียวยกทหารออกไปรบทหารเมืองเสฉวนก็ล่าถอยอีก ล่อกันไปถอยกันมาตั้งแต่บ่ายยันค่ำ ตั้งแต่กลางคืนยันรุ่ง ทหารของปีเอียวไม่เป็นอันกินอันนอน พากันอิดโรยอ่อนล้าลง ครั้งสุดท้ายเป็นเวลารุ่งสาง พอปีเอียวยกทหารออกไล่ตามตีด้วยคิดว่าทหารเมืองเสฉวนคงจะล่าถอยกลับไปเช่นที่เคย
ปีเอียวคุมทหารไล่ตามทหารเมืองเสฉวนด้วยความลืมตัวจนไกลออกไปจากค่ายกว่าทุกครั้งที่ผ่านมา ก็รู้สึกเฉลียวใจว่ายกทหารออกมาไกลเกินไป จึงสั่งทหารให้ถอยกลับเข้าค่าย ในทันใดนั้นเสียงประทัดสัญญาณก็ดังขึ้นจากทั้งสี่ทิศ ทหารเมือง เสฉวนได้ยกออกมาจากหุบเขาและชายป่า ตีกระหนาบล้อมเข้ามาพร้อมกัน
ทหารของปีเอียวจะตีฝ่าออกไปก็ไม่กล้า ด้วยทหารเมืองเสฉวนล้อมกระชับเข้ามาทุกทิศไม่รู้ว่ามากแลน้อยเท่าใด ปีเอียวได้แต่ละล้าละลังมิรู้ที่จะทำการประการใด ในทันใดนั้นแนวล้อมด้านทิศตะวันตกก็เปิดออก เห็นขงเบ้งขี่เกวียนน้อยออกมาข้างหน้าทหาร แต่งตัวเคร่งขรึม ในมือถือพัดขนนก ร้องมายังปีเอียวว่าพวกท่านถูกเราล้อมไว้ไม่มีทางรอดแล้ว ขอเชิญตัวนายทัพออกมาสนทนากันสักหน่อยหนึ่ง
ปีเอียวได้ยินดังนั้นจึงหันมาสั่งนายทหารว่า เราจะทำทีออกไปเจรจากับขงเบ้ง เป็นที แล้วให้ตีหักออกไปทางด้านหลัง พอถึงกลางทางเราจะให้ทหารยกอ้อมกลับไปตีค่ายของ ขงเบ้ง แล้วจะจุดเพลิงขึ้นเป็นสัญญาณให้ทหารทุกกองจู่โจมเข้ายึดค่ายขงเบ้งพร้อมกัน สั่งการแล้วปีเอียวจึงชักม้าออกไปข้างหน้าทหาร
ขงเบ้งสำคัญว่าโจจิ๋นยกกองทัพมาเอง แต่เห็นเป็นปีเอียวขี่ม้าออกมาข้างหน้าทหารจึงกล่าวกับปีเอียวว่า ตัวท่านเป็นแต่ทหารผู้น้อย ไม่คู่ควรที่จะมาเจรจากับเรา จงไปเชิญโจจิ๋นออกมาเจรจาว่ากล่าวกับเราเองเถิด
ปีเอียวได้ฟังดังนั้นก็โกรธ ด่าขงเบ้งว่า “นายเราเป็นคนตั้งอยู่ในสัตย์ในธรรม หรือจะควรมาเจรจาด้วยท่านเป็นคนพาลทรยศต่อแผ่นดิน นายเราเหมือนหนึ่งพฤกษาชาติซึ่งมีลำต้นเป็นเงิน มีใบแลดอกผลเป็นทอง ก็ควรจะตั้งอยู่ในยอดเขา อันจะตั้งอยู่ในพื้นแผ่นดินหาควรไม่”
ขงเบ้งได้ยินดังนั้นก็ทำทีเป็นโกรธ สั่งทหารให้เข้าโจมตีปีเอียว ปีเอียวเห็นได้โอกาสที่ทหารกำลังเคลื่อนตัว จึงคุมทหารตีฝ่ากลับออกมาทางด้านหลัง ปรากฏว่าทหารเมืองเสฉวนด้านนั้นเบาบางนัก ปีเอียวจึงคุมทหารตีฝ่าออกไปได้โดยสะดวก
ปีเอียวพาทหารถอยไปได้สองร้อยเส้นก็เห็นแสงเพลิงลุกขึ้นทางด้านหลังค่ายของ ขงเบ้ง ปีเอียวสำคัญว่าเกียงอุยทราบว่าโจจิ๋นยกมาตีค่ายขงเบ้ง จึงให้ทหารจุดเพลิงสัญญาณขึ้นตามที่ตกลงไว้กับโจจิ๋นก็มีความยินดี จึงคุมทหารยกย้อนเข้ารบกับขงเบ้งอีกครั้งหนึ่งตามแผนการที่เกียงอุยได้มีหนังสือลับไปยังโจจิ๋นนั้น
พอปีเอียวคุมทหารเข้าไปใกล้ก็เห็นทหารเมืองเสฉวนล่าถอยกลับลงไป ปีเอียวสำคัญว่าขงเบ้งเกรงว่าค่ายถูกข้าศึกโจมตี จึงพาทหารกลับไปรักษาค่าย ก็ยิ่งสำคัญว่าการเป็นไปตามแผนการของเกียงอุย จึงขี่ม้าขึ้นหน้าทหารรุกไล่ตามตีทหารเมืองเสฉวน
ปีเอียวขี่ม้านำหน้าทหารไล่ตามตีทหารเมืองเสฉวนมาถึงแนวป่าแห่งหนึ่งก็รู้สึกพรั่นใจ เกรงว่าข้าศึกจะซุ่มซ่อนทหารไว้ในแนวป่า จึงชักม้ากลับ ขับทหารให้รีบถอย
ในทันใดนั้นเสียงประทัดสัญญาณก็ดังขึ้นจากแนวป่าทั้งสองข้างทาง ทหารเมืองเสฉวนได้โห่ร้องก้องสนั่นทั้งแนวป่าและระดมยิงเกาทัณฑ์มาที่ทหารของปีเอียวราว ห่าฝน ทหารของปีเอียวไม่รู้ว่าข้าศึกซุ่มซ่อนอยู่ที่ไหน กว่าจะรู้ตัวก็ถูกเกาทัณฑ์ล้มตายลงเป็นใบไม้ร่วง
ปีเอียวรู้ว่าต้องกลจึงรีบขี่ม้าหนีออกจากแนวป่า เห็นเกียงอุยคุมทหารขี่ม้ายืนสกัดขวางทางไว้ก็โกรธ ร้องด่าเกียงอุยว่าไอ้คนทรยศต่อแผ่นดิน น้ำใจคดแล้วยังใช้น้ำคำคดลวงนายเราให้มาหลงกลอีกเล่า ดีที่บุญนายเรายังมากอยู่ จึงไม่ได้หลงกลชั่วในครั้งนี้
เกียงอุยได้ยินก็หัวเราะ แล้วกล่าวว่าตัวกูตั้งใจจะจับเสือ ไม่คาดคิดว่าสุนัขอย่างท่านจะหลงมาติดบ่วงแทน จงรีบลงจากหลังม้ามาคำนับเราแต่โดยดี เราก็จะไว้ชีวิต
ปีเอียวได้ฟังก็โกรธ คิดจะเข้ารบกับเกียงอุย แต่เห็นเกียงอุยคุมทหารอยู่เป็นอันมากก็ชักม้ากลับไปอีกด้านหนึ่ง แต่ทหารเมืองเสฉวนได้สกัดไว้ ปีเอียวเห็นทหารเมืองเสฉวนล้อมหน้าล้อมหลังไว้แน่นหนาไม่อาจหนีออกไปได้ จึงชักกระบี่ออกเชือดคอตาย
ทหารวุยก๊กที่เหลืออยู่เห็นตัวนายตายก็พากันอ่อนน้อมต่อเกียงอุยสิ้น เกียงอุยคุมตัวเชลยศึก ศาสตราวุธ และม้าเสร็จแล้วจึงพาทหารกลับไปหาขงเบ้ง แล้วรายงานความทั้งปวงให้ทราบ ขงเบ้งทราบความแล้วก็มีความยินดี สั่งให้ปูนบำเหน็จแก่ทหารซึ่งมีความชอบเป็นอันมาก
ฝ่ายโจจิ๋นครั้นทราบข่าวศึกว่าปีเอียวเสียทีแก่ข้าศึกถึงแก่ชีวิตแล้วก็เสียใจ รีบแต่งฎีกาเข้าไปกราบบังคมทูลพระเจ้าโจยอยให้ทรงทราบความทุกประการ
พระเจ้าโจยอยทรงทราบฎีกาของโจจิ๋นแล้วก็ตกพระทัย ตรัสสั่งให้หาสุมาอี้เข้ามาปรึกษาว่าจะคิดอ่านประการใด
สุมาอี้จึงกราบทูลว่า “ซึ่งกองทัพเมืองเสฉวนจะยกมาทางตันฉองนั้นขัดสนมามิได้ จึงยกกองทัพตลบมาเดินทางตำบลกิสานนี้ หวังจะแยกพลทหารมาตามทางลัด ข้าพเจ้าจะแต่งทหารยกออกไปตั้งปิดทางลัดทั้งปวงเสียให้สิ้น อย่าให้เข้ามาได้ ถ้าช้าอยู่ประมาณสองเดือนแล้วกองทัพขงเบ้งก็จะขัดสนข้าวปลาอาหาร เห็นจะเลิกไปเอง ฝ่ายเราได้ทีก็จะยกทหารโจมตีเอา เห็นจะจับตัวขงเบ้งได้โดยง่าย ขอให้มีหนังสือไปกำชับโจจิ๋นเสีย อย่าให้ยกทหารล่วงไป จงยับยั้งดูท่วงทีชั้นเชิงขงเบ้งให้แน่นอนก่อน ให้ระมัดระวังกลของขงเบ้งซึ่งจะแต่งล่อลวงนั้นให้จงได้”
สุมาอี้อาศัยความชำนาญภูมิประเทศแดนวุยก๊กที่กระจ่างดุจดังนิ้วในฝ่ามือ พอทราบข่าวว่าขงเบ้งยกทหารมาทางตำบลจำก๊กก็คะเนการได้ว่า ขงเบ้งไม่อาจหักด่านตำบลตันฉองมาได้ จึงต้องกระจายกำลังยกมาตามเส้นทางเล็กเส้นทางน้อยของตำบลจำก๊ก พร้อมแล้วก็จะยกไปที่ตำบลเขากิสาน แต่การเดินทัพลักษณะเช่นนี้ยากที่จะลำเลียงเสบียงอาหารเพื่อทำการสงครามใหญ่ได้ เมื่อเสบียงอาหารของกองทัพขงเบ้งลำเลียงมาตามซอกเขาจึงลำเลียงได้น้อย อีกไม่เกินสองเดือนก็จะขาดเสบียงลง สุมาอี้จึงกำหนดยุทธวิธีตั้งรับโดยสกัดเส้นทางเล็กเส้นทางน้อยเสีย และประวิงเวลารบให้เวลาผ่านพ้นไปเพียงสองเดือน กองทัพขงเบ้งสิ้นเสบียงลงก็จะต้องถอยทัพกลับไปเอง แต่สุมาอี้เกรงว่าขงเบ้งจะใช้กลอุบายทำลายแผนประวิงเวลานี้ โดยทำกลลวงให้โจจิ๋นหลงเข้ารบก่อนที่เวลาสองเดือนจะผ่านพ้นไป ดังนั้นจึงกราบบังคมทูลพระเจ้าโจยอยให้มีพระบรมราชโองการไปกำชับโจจิ๋นอย่าให้ออกรบ
พระเจ้าโจยอยทรงฟังแผนการตามที่สุมาอี้กราบทูลแล้วก็ทรงเห็นชอบ จึงมีพระบรมราชโองการให้หันค่ายเชิญไปให้แก่โจจิ๋น สุมาอี้เห็นดังนั้นจึงเรียกข้าหลวงผู้ถือหนังสือมากำชับว่า ซึ่งท่านจะเชิญพระบรมราชโองการไปให้โจจิ๋นในครั้งนี้ ถ้าหากโจจิ๋นซักถามว่าผู้ใดเป็นผู้กราบทูลเสนอให้ทรงกำชับมาแล้ว ก็อย่าได้บอกแก่โจจิ๋นว่าเราเป็นผู้กราบทูลเป็นอันขาด ด้วยโจจิ๋นจะคิดน้อยใจแก่เรา การทั้งปวงก็จะเสียไป
หันค่ายรับคำสุมาอี้แล้วจึงถวายบังคมลาพระเจ้าโจยอยแล้วเชิญพระบรมราชโองการเอาไปมอบแก่โจจิ๋น
ฝ่ายโจจิ๋นครั้นได้ทราบข้อรับสั่งของพระเจ้าโจยอย จึงหันไปถามโกฉุยว่าซึ่งฮ่องเต้มีรับสั่งมาครั้งนี้ ท่านจะเห็นเป็นประการใด
โกฉุยตอบว่าซึ่งมีรับสั่งมาดังนี้เห็นจะเป็นเพราะสุมาอี้ริษยาท่าน เกรงว่าจะทำการได้ชัยชนะแก่ขงเบ้งแล้วจะมีความชอบเป็นอันมาก จึงเพ็ดทูลให้มีรับสั่งห้ามท่านมิให้ออกรบ ตัวสุมาอี้จะออกไปรบเอง หวังจะเอาความชอบไว้แต่ผู้เดียว
โจจิ๋นได้ฟังก็เห็นด้วย จึงถามโกฉุยต่อไปว่า หากเราทำตามรับสั่งนี้แล้วกองทัพเมืองเสฉวนไม่ล่าถอยกลับไปก็ดี หรือยกเข้าตีเมืองเราก็ดี จะคิดอ่านประการใด
โกฉุยจึงว่า ชอบที่ท่านแม่ทัพจะสั่งการไปยังอองสงให้ยกทหารโอบโจมตีกองเสบียงของขงเบ้งเสีย เมื่อขงเบ้งเสียเสบียงแล้วก็จะเลิกทัพกลับไป ความชอบก็จะมีแก่ท่านเป็นอันมาก
ซุนเล้ซึ่งเป็นนายทหารผู้ใหญ่อีกคนหนึ่งได้ฟังโกฉุยเสนอเช่นนั้นจึงกล่าวว่า ซึ่งโกฉุยเห็นว่ากองทัพของขงเบ้งขาดเสบียงอาหารนั้นต้องด้วยความเห็นของข้าพเจ้า กองทัพของขงเบ้งซึ่งขาดเสบียงนี้เหมือนหนึ่งปลาที่หิวโซ ย่อมดิ้นรนหาเหยื่อ เห็นจะให้หน่วยสอดแนมสืบหาข่าวคราวการลำเลียงเสบียงอาหารของกองทัพเราเพื่อจะแย่งยึดเอาไปบำรุงกองทัพ ดังนี้เสบียงอาหารก็จะกลายเป็นเหยื่อล่อขงเบ้งให้มาติดกับได้
โกฉุยได้ยินจึงถามว่า ท่านกล่าวความเหมือนจะมีกลนัย จงไขให้แจ้งเถิด
ซุนเล้จึงกล่าวสืบไปว่า “ถ้าแลขงเบ้งขัดอาหารเข้าดังนั้น ข้าพเจ้าจะเอาดินประสิวสุพรรณถันบรรทุกเกวียนให้มาก แล้วจะเอาหญ้าแลฟางปกเสีย จะคุมทหารเข็นเกวียนไปทำดังหนึ่งจะมาส่งลำเลียงท่าน จึงจะแต่งให้คนสอดแนมไปแจ้งแก่ขงเบ้ง ขงเบ้งขัดเสบียงอยู่ก็จะให้ทหารมาตีเอา ข้าพเจ้าก็จะทิ้งเกวียนเสีย ทหารขงเบ้งก็จะกลุ้มกันเข้าชิงเสบียง จึงเอาเกาทัณฑ์เพลิงยิงเข้าไป ให้เพลิงติดขึ้นเผาทหารขงเบ้งเสียแล้วจะยกออกโจมตีให้แตกไป”
โจจิ๋นเห็นแผนการอุบายของซุนเล้สอดคล้องต้องกับสถานการณ์กองทัพของขงเบ้ง เห็นว่ากองทัพของขงเบ้งจะต้องมาติดกับกลอุบายนี้เป็นมั่นคง จึงมีความยินดีเป็นยิ่งนัก สรรเสริญซุนเล้ว่าแผนการท่านครั้งนี้ล้ำลึกยิ่ง ขงเบ้งจะต้องถูกจับตัวเป็นมั่นคง
กล่าวแล้วโจจิ๋นจึงสั่งทหารให้ไปบอกอองสงให้ยกทหารเข้าปล้นชิงเสบียงของ ขงเบ้ง เพื่อเร่งให้กองทัพของขงเบ้งขาดเสบียงลง แล้วสั่งให้โกฉุยยกทหารไปรักษาเส้นทางเล็กซอกเขาน้อยที่จะมาแต่ตำบลเกเต๋งและตำบลกิก๊ก อย่าให้กองทัพของขงเบ้งยกมาสมทบกันเป็นกองทัพใหญ่ได้ ส่วนทางเล็กทางน้อยที่ทหารพอจะเดินทางได้ตามบริเวณตำบลข้างเคียงก็แต่งทหารไปสกัดไว้ทั้งสิ้น แล้วกำชับทหารไม่ให้ออกไปรบตามรับสั่ง
ฝ่ายขงเบ้งปลงทัพอยู่ที่ตำบลจำก๊กแดนเขากิสาน เห็นกองทัพโจจิ๋นมิได้ยกมารบพุ่งแต่กลับให้ทหารคอยปล้นกองเสบียงที่ลำเลียงเสบียงอาหารมาส่ง จึงปรึกษากับเกียงอุยว่ากองทัพเราถูกข้าศึกลอบปล้นเสบียงอาหารดังนี้ เห็นทีจะขัดสนเสบียงอาหารภายในเดือนหนึ่งข้างหน้านี้ จะคิดอ่านประการใด
ในขณะที่กำลังปรึกษาอยู่นั้น หน่วยสอดแนมได้เข้ามารายงานว่าชาวเมืองเสหลงได้มาแจ้งแก่หน่วยสอดแนมว่าขณะนี้ซุนเล้กำลังคุมเสบียงอาหารมาจากเมืองเตียงอันจะไปส่งให้แก่กองทัพของโจจิ๋น
ขงเบ้งได้ฟังรายงานแล้วจึงเรียกทหารวุยก๊กที่เข้าสวามิภักดิ์มาสอบถามว่าซุนเล้นี้เป็นผู้ใด
ทหารเมืองลกเอี๋ยงคนหนึ่งที่ถูกจับตัวเป็นเชลยได้รายงานว่า ซุนเล้นี้เดิมเป็นขุนนางพลเรือนชั้นผู้น้อย ครั้งหนึ่งได้ตามเสด็จพระเจ้าโจยอยไปประพาสป่า พระเจ้าโจยอยทรงม้าไกลออกไปจากทหารองครักษ์ ถูกเสือไล่กัด ทหารองครักษ์เข้าช่วยไม่ทัน ซุนเล้เป็นพลทหารรักษาการณ์เห็นดังนั้นก็มิได้เกรงกลัว ฉวยเอากระบี่เข้าไปขวางหน้าเสือไว้ แล้วเอากระบี่แทงเสือถึงแก่ความตาย พระเจ้าโจยอยจึงทรงโปรดและตั้งให้เป็นนายทหารชั้นผู้ใหญ่.
ปีเอียวให้ทหารตั้งค่ายเสร็จแล้วเห็นทหารเมืองเสฉวนยกมาท้ารบ จึงคุมทหารออกจากค่ายจะไปโจมตีทหารเมืองเสฉวน แต่พอยกทหารออกไปพ้นหน้าค่าย ทหารเมืองเสฉวนก็กลับล่าถอยไปดื้อ ๆ ปีเอียวไม่กล้ายกทหารตามไปเกรงว่าจะต้องกลอุบาย จึงให้ทหารถอยกลับเข้าค่าย
พอทหารปีเอียวถอยกลับเข้าค่าย ทหารเมืองเสฉวนก็ยกมาประชิดค่ายท้ารบอีก ครั้นปีเอียวยกทหารออกไปรบทหารเมืองเสฉวนก็ล่าถอยอีก ล่อกันไปถอยกันมาตั้งแต่บ่ายยันค่ำ ตั้งแต่กลางคืนยันรุ่ง ทหารของปีเอียวไม่เป็นอันกินอันนอน พากันอิดโรยอ่อนล้าลง ครั้งสุดท้ายเป็นเวลารุ่งสาง พอปีเอียวยกทหารออกไล่ตามตีด้วยคิดว่าทหารเมืองเสฉวนคงจะล่าถอยกลับไปเช่นที่เคย
ปีเอียวคุมทหารไล่ตามทหารเมืองเสฉวนด้วยความลืมตัวจนไกลออกไปจากค่ายกว่าทุกครั้งที่ผ่านมา ก็รู้สึกเฉลียวใจว่ายกทหารออกมาไกลเกินไป จึงสั่งทหารให้ถอยกลับเข้าค่าย ในทันใดนั้นเสียงประทัดสัญญาณก็ดังขึ้นจากทั้งสี่ทิศ ทหารเมือง เสฉวนได้ยกออกมาจากหุบเขาและชายป่า ตีกระหนาบล้อมเข้ามาพร้อมกัน
ทหารของปีเอียวจะตีฝ่าออกไปก็ไม่กล้า ด้วยทหารเมืองเสฉวนล้อมกระชับเข้ามาทุกทิศไม่รู้ว่ามากแลน้อยเท่าใด ปีเอียวได้แต่ละล้าละลังมิรู้ที่จะทำการประการใด ในทันใดนั้นแนวล้อมด้านทิศตะวันตกก็เปิดออก เห็นขงเบ้งขี่เกวียนน้อยออกมาข้างหน้าทหาร แต่งตัวเคร่งขรึม ในมือถือพัดขนนก ร้องมายังปีเอียวว่าพวกท่านถูกเราล้อมไว้ไม่มีทางรอดแล้ว ขอเชิญตัวนายทัพออกมาสนทนากันสักหน่อยหนึ่ง
ปีเอียวได้ยินดังนั้นจึงหันมาสั่งนายทหารว่า เราจะทำทีออกไปเจรจากับขงเบ้ง เป็นที แล้วให้ตีหักออกไปทางด้านหลัง พอถึงกลางทางเราจะให้ทหารยกอ้อมกลับไปตีค่ายของ ขงเบ้ง แล้วจะจุดเพลิงขึ้นเป็นสัญญาณให้ทหารทุกกองจู่โจมเข้ายึดค่ายขงเบ้งพร้อมกัน สั่งการแล้วปีเอียวจึงชักม้าออกไปข้างหน้าทหาร
ขงเบ้งสำคัญว่าโจจิ๋นยกกองทัพมาเอง แต่เห็นเป็นปีเอียวขี่ม้าออกมาข้างหน้าทหารจึงกล่าวกับปีเอียวว่า ตัวท่านเป็นแต่ทหารผู้น้อย ไม่คู่ควรที่จะมาเจรจากับเรา จงไปเชิญโจจิ๋นออกมาเจรจาว่ากล่าวกับเราเองเถิด
ปีเอียวได้ฟังดังนั้นก็โกรธ ด่าขงเบ้งว่า “นายเราเป็นคนตั้งอยู่ในสัตย์ในธรรม หรือจะควรมาเจรจาด้วยท่านเป็นคนพาลทรยศต่อแผ่นดิน นายเราเหมือนหนึ่งพฤกษาชาติซึ่งมีลำต้นเป็นเงิน มีใบแลดอกผลเป็นทอง ก็ควรจะตั้งอยู่ในยอดเขา อันจะตั้งอยู่ในพื้นแผ่นดินหาควรไม่”
ขงเบ้งได้ยินดังนั้นก็ทำทีเป็นโกรธ สั่งทหารให้เข้าโจมตีปีเอียว ปีเอียวเห็นได้โอกาสที่ทหารกำลังเคลื่อนตัว จึงคุมทหารตีฝ่ากลับออกมาทางด้านหลัง ปรากฏว่าทหารเมืองเสฉวนด้านนั้นเบาบางนัก ปีเอียวจึงคุมทหารตีฝ่าออกไปได้โดยสะดวก
ปีเอียวพาทหารถอยไปได้สองร้อยเส้นก็เห็นแสงเพลิงลุกขึ้นทางด้านหลังค่ายของ ขงเบ้ง ปีเอียวสำคัญว่าเกียงอุยทราบว่าโจจิ๋นยกมาตีค่ายขงเบ้ง จึงให้ทหารจุดเพลิงสัญญาณขึ้นตามที่ตกลงไว้กับโจจิ๋นก็มีความยินดี จึงคุมทหารยกย้อนเข้ารบกับขงเบ้งอีกครั้งหนึ่งตามแผนการที่เกียงอุยได้มีหนังสือลับไปยังโจจิ๋นนั้น
พอปีเอียวคุมทหารเข้าไปใกล้ก็เห็นทหารเมืองเสฉวนล่าถอยกลับลงไป ปีเอียวสำคัญว่าขงเบ้งเกรงว่าค่ายถูกข้าศึกโจมตี จึงพาทหารกลับไปรักษาค่าย ก็ยิ่งสำคัญว่าการเป็นไปตามแผนการของเกียงอุย จึงขี่ม้าขึ้นหน้าทหารรุกไล่ตามตีทหารเมืองเสฉวน
ปีเอียวขี่ม้านำหน้าทหารไล่ตามตีทหารเมืองเสฉวนมาถึงแนวป่าแห่งหนึ่งก็รู้สึกพรั่นใจ เกรงว่าข้าศึกจะซุ่มซ่อนทหารไว้ในแนวป่า จึงชักม้ากลับ ขับทหารให้รีบถอย
ในทันใดนั้นเสียงประทัดสัญญาณก็ดังขึ้นจากแนวป่าทั้งสองข้างทาง ทหารเมืองเสฉวนได้โห่ร้องก้องสนั่นทั้งแนวป่าและระดมยิงเกาทัณฑ์มาที่ทหารของปีเอียวราว ห่าฝน ทหารของปีเอียวไม่รู้ว่าข้าศึกซุ่มซ่อนอยู่ที่ไหน กว่าจะรู้ตัวก็ถูกเกาทัณฑ์ล้มตายลงเป็นใบไม้ร่วง
ปีเอียวรู้ว่าต้องกลจึงรีบขี่ม้าหนีออกจากแนวป่า เห็นเกียงอุยคุมทหารขี่ม้ายืนสกัดขวางทางไว้ก็โกรธ ร้องด่าเกียงอุยว่าไอ้คนทรยศต่อแผ่นดิน น้ำใจคดแล้วยังใช้น้ำคำคดลวงนายเราให้มาหลงกลอีกเล่า ดีที่บุญนายเรายังมากอยู่ จึงไม่ได้หลงกลชั่วในครั้งนี้
เกียงอุยได้ยินก็หัวเราะ แล้วกล่าวว่าตัวกูตั้งใจจะจับเสือ ไม่คาดคิดว่าสุนัขอย่างท่านจะหลงมาติดบ่วงแทน จงรีบลงจากหลังม้ามาคำนับเราแต่โดยดี เราก็จะไว้ชีวิต
ปีเอียวได้ฟังก็โกรธ คิดจะเข้ารบกับเกียงอุย แต่เห็นเกียงอุยคุมทหารอยู่เป็นอันมากก็ชักม้ากลับไปอีกด้านหนึ่ง แต่ทหารเมืองเสฉวนได้สกัดไว้ ปีเอียวเห็นทหารเมืองเสฉวนล้อมหน้าล้อมหลังไว้แน่นหนาไม่อาจหนีออกไปได้ จึงชักกระบี่ออกเชือดคอตาย
ทหารวุยก๊กที่เหลืออยู่เห็นตัวนายตายก็พากันอ่อนน้อมต่อเกียงอุยสิ้น เกียงอุยคุมตัวเชลยศึก ศาสตราวุธ และม้าเสร็จแล้วจึงพาทหารกลับไปหาขงเบ้ง แล้วรายงานความทั้งปวงให้ทราบ ขงเบ้งทราบความแล้วก็มีความยินดี สั่งให้ปูนบำเหน็จแก่ทหารซึ่งมีความชอบเป็นอันมาก
ฝ่ายโจจิ๋นครั้นทราบข่าวศึกว่าปีเอียวเสียทีแก่ข้าศึกถึงแก่ชีวิตแล้วก็เสียใจ รีบแต่งฎีกาเข้าไปกราบบังคมทูลพระเจ้าโจยอยให้ทรงทราบความทุกประการ
พระเจ้าโจยอยทรงทราบฎีกาของโจจิ๋นแล้วก็ตกพระทัย ตรัสสั่งให้หาสุมาอี้เข้ามาปรึกษาว่าจะคิดอ่านประการใด
สุมาอี้จึงกราบทูลว่า “ซึ่งกองทัพเมืองเสฉวนจะยกมาทางตันฉองนั้นขัดสนมามิได้ จึงยกกองทัพตลบมาเดินทางตำบลกิสานนี้ หวังจะแยกพลทหารมาตามทางลัด ข้าพเจ้าจะแต่งทหารยกออกไปตั้งปิดทางลัดทั้งปวงเสียให้สิ้น อย่าให้เข้ามาได้ ถ้าช้าอยู่ประมาณสองเดือนแล้วกองทัพขงเบ้งก็จะขัดสนข้าวปลาอาหาร เห็นจะเลิกไปเอง ฝ่ายเราได้ทีก็จะยกทหารโจมตีเอา เห็นจะจับตัวขงเบ้งได้โดยง่าย ขอให้มีหนังสือไปกำชับโจจิ๋นเสีย อย่าให้ยกทหารล่วงไป จงยับยั้งดูท่วงทีชั้นเชิงขงเบ้งให้แน่นอนก่อน ให้ระมัดระวังกลของขงเบ้งซึ่งจะแต่งล่อลวงนั้นให้จงได้”
สุมาอี้อาศัยความชำนาญภูมิประเทศแดนวุยก๊กที่กระจ่างดุจดังนิ้วในฝ่ามือ พอทราบข่าวว่าขงเบ้งยกทหารมาทางตำบลจำก๊กก็คะเนการได้ว่า ขงเบ้งไม่อาจหักด่านตำบลตันฉองมาได้ จึงต้องกระจายกำลังยกมาตามเส้นทางเล็กเส้นทางน้อยของตำบลจำก๊ก พร้อมแล้วก็จะยกไปที่ตำบลเขากิสาน แต่การเดินทัพลักษณะเช่นนี้ยากที่จะลำเลียงเสบียงอาหารเพื่อทำการสงครามใหญ่ได้ เมื่อเสบียงอาหารของกองทัพขงเบ้งลำเลียงมาตามซอกเขาจึงลำเลียงได้น้อย อีกไม่เกินสองเดือนก็จะขาดเสบียงลง สุมาอี้จึงกำหนดยุทธวิธีตั้งรับโดยสกัดเส้นทางเล็กเส้นทางน้อยเสีย และประวิงเวลารบให้เวลาผ่านพ้นไปเพียงสองเดือน กองทัพขงเบ้งสิ้นเสบียงลงก็จะต้องถอยทัพกลับไปเอง แต่สุมาอี้เกรงว่าขงเบ้งจะใช้กลอุบายทำลายแผนประวิงเวลานี้ โดยทำกลลวงให้โจจิ๋นหลงเข้ารบก่อนที่เวลาสองเดือนจะผ่านพ้นไป ดังนั้นจึงกราบบังคมทูลพระเจ้าโจยอยให้มีพระบรมราชโองการไปกำชับโจจิ๋นอย่าให้ออกรบ
พระเจ้าโจยอยทรงฟังแผนการตามที่สุมาอี้กราบทูลแล้วก็ทรงเห็นชอบ จึงมีพระบรมราชโองการให้หันค่ายเชิญไปให้แก่โจจิ๋น สุมาอี้เห็นดังนั้นจึงเรียกข้าหลวงผู้ถือหนังสือมากำชับว่า ซึ่งท่านจะเชิญพระบรมราชโองการไปให้โจจิ๋นในครั้งนี้ ถ้าหากโจจิ๋นซักถามว่าผู้ใดเป็นผู้กราบทูลเสนอให้ทรงกำชับมาแล้ว ก็อย่าได้บอกแก่โจจิ๋นว่าเราเป็นผู้กราบทูลเป็นอันขาด ด้วยโจจิ๋นจะคิดน้อยใจแก่เรา การทั้งปวงก็จะเสียไป
หันค่ายรับคำสุมาอี้แล้วจึงถวายบังคมลาพระเจ้าโจยอยแล้วเชิญพระบรมราชโองการเอาไปมอบแก่โจจิ๋น
ฝ่ายโจจิ๋นครั้นได้ทราบข้อรับสั่งของพระเจ้าโจยอย จึงหันไปถามโกฉุยว่าซึ่งฮ่องเต้มีรับสั่งมาครั้งนี้ ท่านจะเห็นเป็นประการใด
โกฉุยตอบว่าซึ่งมีรับสั่งมาดังนี้เห็นจะเป็นเพราะสุมาอี้ริษยาท่าน เกรงว่าจะทำการได้ชัยชนะแก่ขงเบ้งแล้วจะมีความชอบเป็นอันมาก จึงเพ็ดทูลให้มีรับสั่งห้ามท่านมิให้ออกรบ ตัวสุมาอี้จะออกไปรบเอง หวังจะเอาความชอบไว้แต่ผู้เดียว
โจจิ๋นได้ฟังก็เห็นด้วย จึงถามโกฉุยต่อไปว่า หากเราทำตามรับสั่งนี้แล้วกองทัพเมืองเสฉวนไม่ล่าถอยกลับไปก็ดี หรือยกเข้าตีเมืองเราก็ดี จะคิดอ่านประการใด
โกฉุยจึงว่า ชอบที่ท่านแม่ทัพจะสั่งการไปยังอองสงให้ยกทหารโอบโจมตีกองเสบียงของขงเบ้งเสีย เมื่อขงเบ้งเสียเสบียงแล้วก็จะเลิกทัพกลับไป ความชอบก็จะมีแก่ท่านเป็นอันมาก
ซุนเล้ซึ่งเป็นนายทหารผู้ใหญ่อีกคนหนึ่งได้ฟังโกฉุยเสนอเช่นนั้นจึงกล่าวว่า ซึ่งโกฉุยเห็นว่ากองทัพของขงเบ้งขาดเสบียงอาหารนั้นต้องด้วยความเห็นของข้าพเจ้า กองทัพของขงเบ้งซึ่งขาดเสบียงนี้เหมือนหนึ่งปลาที่หิวโซ ย่อมดิ้นรนหาเหยื่อ เห็นจะให้หน่วยสอดแนมสืบหาข่าวคราวการลำเลียงเสบียงอาหารของกองทัพเราเพื่อจะแย่งยึดเอาไปบำรุงกองทัพ ดังนี้เสบียงอาหารก็จะกลายเป็นเหยื่อล่อขงเบ้งให้มาติดกับได้
โกฉุยได้ยินจึงถามว่า ท่านกล่าวความเหมือนจะมีกลนัย จงไขให้แจ้งเถิด
ซุนเล้จึงกล่าวสืบไปว่า “ถ้าแลขงเบ้งขัดอาหารเข้าดังนั้น ข้าพเจ้าจะเอาดินประสิวสุพรรณถันบรรทุกเกวียนให้มาก แล้วจะเอาหญ้าแลฟางปกเสีย จะคุมทหารเข็นเกวียนไปทำดังหนึ่งจะมาส่งลำเลียงท่าน จึงจะแต่งให้คนสอดแนมไปแจ้งแก่ขงเบ้ง ขงเบ้งขัดเสบียงอยู่ก็จะให้ทหารมาตีเอา ข้าพเจ้าก็จะทิ้งเกวียนเสีย ทหารขงเบ้งก็จะกลุ้มกันเข้าชิงเสบียง จึงเอาเกาทัณฑ์เพลิงยิงเข้าไป ให้เพลิงติดขึ้นเผาทหารขงเบ้งเสียแล้วจะยกออกโจมตีให้แตกไป”
โจจิ๋นเห็นแผนการอุบายของซุนเล้สอดคล้องต้องกับสถานการณ์กองทัพของขงเบ้ง เห็นว่ากองทัพของขงเบ้งจะต้องมาติดกับกลอุบายนี้เป็นมั่นคง จึงมีความยินดีเป็นยิ่งนัก สรรเสริญซุนเล้ว่าแผนการท่านครั้งนี้ล้ำลึกยิ่ง ขงเบ้งจะต้องถูกจับตัวเป็นมั่นคง
กล่าวแล้วโจจิ๋นจึงสั่งทหารให้ไปบอกอองสงให้ยกทหารเข้าปล้นชิงเสบียงของ ขงเบ้ง เพื่อเร่งให้กองทัพของขงเบ้งขาดเสบียงลง แล้วสั่งให้โกฉุยยกทหารไปรักษาเส้นทางเล็กซอกเขาน้อยที่จะมาแต่ตำบลเกเต๋งและตำบลกิก๊ก อย่าให้กองทัพของขงเบ้งยกมาสมทบกันเป็นกองทัพใหญ่ได้ ส่วนทางเล็กทางน้อยที่ทหารพอจะเดินทางได้ตามบริเวณตำบลข้างเคียงก็แต่งทหารไปสกัดไว้ทั้งสิ้น แล้วกำชับทหารไม่ให้ออกไปรบตามรับสั่ง
ฝ่ายขงเบ้งปลงทัพอยู่ที่ตำบลจำก๊กแดนเขากิสาน เห็นกองทัพโจจิ๋นมิได้ยกมารบพุ่งแต่กลับให้ทหารคอยปล้นกองเสบียงที่ลำเลียงเสบียงอาหารมาส่ง จึงปรึกษากับเกียงอุยว่ากองทัพเราถูกข้าศึกลอบปล้นเสบียงอาหารดังนี้ เห็นทีจะขัดสนเสบียงอาหารภายในเดือนหนึ่งข้างหน้านี้ จะคิดอ่านประการใด
ในขณะที่กำลังปรึกษาอยู่นั้น หน่วยสอดแนมได้เข้ามารายงานว่าชาวเมืองเสหลงได้มาแจ้งแก่หน่วยสอดแนมว่าขณะนี้ซุนเล้กำลังคุมเสบียงอาหารมาจากเมืองเตียงอันจะไปส่งให้แก่กองทัพของโจจิ๋น
ขงเบ้งได้ฟังรายงานแล้วจึงเรียกทหารวุยก๊กที่เข้าสวามิภักดิ์มาสอบถามว่าซุนเล้นี้เป็นผู้ใด
ทหารเมืองลกเอี๋ยงคนหนึ่งที่ถูกจับตัวเป็นเชลยได้รายงานว่า ซุนเล้นี้เดิมเป็นขุนนางพลเรือนชั้นผู้น้อย ครั้งหนึ่งได้ตามเสด็จพระเจ้าโจยอยไปประพาสป่า พระเจ้าโจยอยทรงม้าไกลออกไปจากทหารองครักษ์ ถูกเสือไล่กัด ทหารองครักษ์เข้าช่วยไม่ทัน ซุนเล้เป็นพลทหารรักษาการณ์เห็นดังนั้นก็มิได้เกรงกลัว ฉวยเอากระบี่เข้าไปขวางหน้าเสือไว้ แล้วเอากระบี่แทงเสือถึงแก่ความตาย พระเจ้าโจยอยจึงทรงโปรดและตั้งให้เป็นนายทหารชั้นผู้ใหญ่.