ตอนที่ 531. กล "เปลี่ยนรับเป็นรุก"
พระพุทธศาสนายุกาลล่วงแล้วได้เจ็ดร้อยเจ็ดสิบเอ็ดพรรษา เดือนเจ็ด หลังจากที่เสียเกเต๋งแก่สุมาอี้แล้วสองเดือน ขงเบ้งได้ออกคำสั่งประหารชีวิตม้าเจ๊ก แต่พอเห็นนายทหารซึ่งควบคุมการประหารเอาศีรษะม้าเจ๊กเข้ามารายงาน ขงเบ้งก็ร้องไห้
เจียวอ้วนเห็นดังนั้นจึงถามขงเบ้งว่า ก็แลเมื่อท่านลงโทษประหารชีวิตม้าเจ๊กแล้ว เหตุไฉนจึงร้องไห้อาลัยม้าเจ๊กอีกเล่า
ขงเบ้งจึงว่า ที่ข้าพเจ้าร้องไห้ดังนี้มิใช่ว่าร้องไห้ด้วยน้ำใจรักม้าเจ๊ก แต่เป็นเพราะข้าพเจ้าคิดถึงพระเจ้าเล่าปี่ และรำลึกขึ้นได้ว่าเมื่อครั้งที่พระเจ้าเล่าปี่ประชวรหนักใกล้จะสิ้นพระชนม์อยู่ที่เมืองเป๊กเต้นั้น ได้ตรัสกำชับแก่ข้าพเจ้าไว้ว่าม้าเจ๊กผู้นี้ปากรู้มากกว่าใจ ซึ่งจะใช้การใหญ่ไปในภายหน้าให้ระมัดระวังจงดี ข้าพเจ้าลืมคำของพระเจ้าเล่าปี่เสีย ตามใจให้ม้าเจ๊กอาสายกไปรักษาตำบลเกเต๋ง จึงเสียทีแก่ข้าศึกถึงเพียงนี้ พอได้เห็นศีรษะม้าเจ๊กแล้วข้าพเจ้ารำลึกถึงคำสั่งเสียของพระเจ้าเล่าปี่ได้ จึงเสียใจร้องไห้
ขงเบ้งกล่าวกับเจียวอ้วนแล้วจึงหันมาสั่งนายทหารซึ่งถือถาดใส่ศีรษะม้าเจ๊กว่า ให้เอาศีรษะม้าเจ๊กเสียบไม้ตระเวนประจานไปรอบเมือง มิให้ผู้ใดเอาเป็นเยี่ยงอย่าง ตามอย่างธรรมเนียมการลงโทษผู้กระทำความผิดอย่างใหญ่ เมื่อเสร็จการแล้วจึงให้เอาศีรษะม้าเจ๊กและศพไปกระทำพิธีฝังตามอย่างธรรมเนียมขุนนางผู้ใหญ่ที่เมืองเสฉวน
แล้วขงเบ้งจึงสั่งให้จัดแจงข้าวของเงินทองเป็นอันมากเอาไปมอบให้แก่บุตรภรรยาของม้าเจ๊ก และให้ทำนุบำรุงดูแลครอบครัวของม้าเจ๊กให้ดีกว่าแต่ก่อน เสร็จแล้วจึงเชิญเจียวอ้วนพักผ่อน ค่อยเดินทางกลับเมืองเสฉวนในวันรุ่งขึ้น
ค่ำลงขงเบ้งจึงแต่งฎีกากราบบังคมทูลพระเจ้าเล่าเสี้ยนว่า “ข้าพเจ้ายกทหารไปทำการรบพุ่งด้วยสุมาอี้ครั้งนี้เบาแก่การ มิรู้ถึงความ เสียทีแก่ข้าศึก ให้ทหารเสียในการสงครามเป็นอันมาก โทษข้าพเจ้าใหญ่หลวงนัก แลบัดนี้ข้าพเจ้าจะขอถอดตัวออกจากที่ตามโทษานุโทษ”
วันรุ่งขึ้นขงเบ้งจึงมอบฎีกานั้นแก่เจียวอ้วน ขอให้นำไปกราบทูลพระเจ้าเล่าเสี้ยน เจียวอ้วนรับคำแล้วคำนับลาขงเบ้งกลับไปเมืองเสฉวน นำความขึ้นกราบบังคมทูลพระเจ้าเล่าเสี้ยนให้ทรงทราบทุกประการ
พระเจ้าเล่าเสี้ยนทรงทราบความแล้วจึงตรัสกับขุนนางทั้งปวงท่ามกลางมหาสมาคมว่า ประเพณีการสงครามย่อมมีแพ้แลชนะ ซึ่งมหาอุปราชเสียทีแก่ข้าศึกในครั้งนี้ก็เป็นประเพณีการสงคราม ไยจะต้องลงโทษตนเองด้วยการถวายบังคมลาออกจากตำแหน่งเล่า
บิฮุยซึ่งเป็นขุนนางผู้ใหญ่มาแต่ครั้งพระเจ้าเล่าปี่ ได้ฟังพระราชปรารภดังนั้นจึงกราบทูลว่า “อันกฎหมายอย่างธรรมเนียมสำหรับแผ่นดินมาแต่ก่อนนั้น ข้าพเจ้าแจ้งอยู่ว่านายทัพนายกองทั้งปวงซึ่งพระเจ้าหมื่นปีตรัสใช้ให้ถือพลไปทำการสงคราม ก็ย่อมถือกฎหมายเป็นบรรทัด แลซึ่งขงเบ้งเป็นมหาอุปราชเสียทีแก่ข้าศึกมาทั้งนี้ก็ต้องด้วยกฎหมายอย่างธรรมเนียมอยู่แล้ว ครั้นพระองค์จะยกโทษเสีย มิทำตามธรรมเนียมบัดนี้ ประเพณีแผ่นดินก็จะฟั่นเฟือนไป ขอให้กระทำตามเรื่องราวมหาอุปราชเถิด”
เจียวอ้วนได้ยินคำทูลดังนั้นจึงถวายบังคมพระเจ้าเล่าเสี้ยน แล้วกราบทูลว่าซึ่งจะลงโทษมหาอุปราชตามกฎหมายอย่างธรรมเนียมแต่ก่อนนั้นก็ชอบอยู่ แต่โทษซึ่งจะลงถึงขนาดถอดออกจากตำแหน่งนั้นเกินการแก่ความผิด มหาอุปราชมีความชอบต่อแผ่นดินใหญ่หลวงมาแต่ครั้งพระเจ้าเล่าปี่ แผ่นดินเมืองเสฉวนบัดนี้ก็เป็นน้ำพักน้ำแรงแลกำลังสติปัญญาของมหาอุปราชเป็นส่วนมาก ควรที่จะลงโทษแต่เพียงลดชั้นตำแหน่งลงสามชั้น อย่าให้ถึงถอดออกจากตำแหน่งในราชการเลย
พระเจ้าเล่าเสี้ยนได้ฟังคำเจียวอ้วนก็ทรงเห็นชอบ จึงโปรดเกล้าให้ขงเบ้งลดขั้นตำแหน่งลงสามขั้น ให้พ้นจากตำแหน่งมหาอุปราช แต่ให้คงตำแหน่งขุนนางผู้ใหญ่บังคับบัญชาทหารและพลเรือน ตลอดจนหน้าที่ในราชการทั้งปวงดังเดิม
เสร็จแล้วทรงตรัสสั่งให้บิฮุยเชิญพระบรมราชโองการไปมอบแก่ขงเบ้งที่เมืองฮันต๋ง ครั้นบิฮุยเดินทางไปถึงเมืองฮันต๋งแล้ว ก็คิดเกรงว่าซึ่งพระเจ้าเล่าเสี้ยนลงโทษขงเบ้งครั้งนี้จะเป็นที่อัปยศอดสูใจของขงเบ้ง บิฮุยจึงมอบพระบรมราชโองการแก่ขงเบ้งแล้วกล่าวว่า พระเจ้าเล่าเสี้ยนทรงสรรเสริญมหาอุปราชว่ามีสติปัญญาในการสงคราม สามารถตีบ้านเมืองข้าศึกได้สามร้อยกว่าหัวเมือง ราษฎรทั้งปวงก็พลอยมีความยินดี
ขงเบ้งได้ฟังคำบิฮุยแล้วสำคัญว่าบิฮุยกล่าวความประชดประชันก็โกรธ จึงกล่าวว่าครั้งแรกเราตีได้หัวเมืองเป็นอันมากก็จริงอยู่ แต่มาภายหลังก็เสียทีแก่ข้าศึก เสียหัวเมืองไปทั้งสิ้นแล้ว ท่านมากล่าวความฉะนี้จะเยาะเย้ยเราหรือ
สามก๊กฉบับเจ้าพระยาพระคลัง (หน) ระบุว่า “บิฮุยเห็นขงเบ้งโกรธก็แกล้งทำเฉย ทำเป็นไม่รู้ จึงไถลว่าพระเจ้าเล่าเสี้ยนแจ้งไปว่ามหาอุปราชได้เกียงอุยทหารพระเจ้าโจยอยมาไว้ก็ยินดีนักหนา”
ขงเบ้งได้ฟังบิฮุยกล่าวประชดซ้ำดังนั้นจึงว่า เราทำการเสียทีแก่ข้าศึก เสียทหารไปเป็นอันมาก ได้เกียงอุยมาแต่ผู้เดียว ไหนเลยจะคุ้มกันเล่า ท่านมากล่าวฉะนี้จะให้เรายิ่งได้ความอัปยศ
บิฮุยไม่ตอบคำ คงถามต่อไปว่ามหาอุปราชยกมาตั้งในเมืองฮันต๋งได้กิตติศัพท์ว่าซ่องสุมทหารไว้ได้ถึงสามสิบสี่สิบหมื่น ดังนี้ยังจะคิดยกไปทำการแก้มือหรือหาไม่
ขงเบ้งจึงว่า “ครั้งก่อนเรายกทหารไป ทำเสียการแก่ข้าศึกที่ตำบลกิก๊กนั้นเป็นอันมาก ทุกวันนี้เหมือนเป็นฝีอยู่ในอก ช้ำใจนัก ก็คิดจะไปทำการแก้แค้นให้ได้ ท่านอุตส่าห์ทำการด้วยเราเถิด”
บิฮุยได้ฟังคำชวนขงเบ้งก็มีความยินดี กล่าวว่ามหาอุปราชและข้าพเจ้าล้วนเป็น ขุนนางเก่าที่ภักดีต่อพระเจ้าเล่าปี่มาแต่ก่อน ร่วมทุกข์ร่วมสุขร่วมแพ้แลชนะในการสงครามหลายครั้งหลายหน อันการสงครามย่อมมีประเพณีแพ้แลชนะ มหาอุปราชอย่าได้วิตกอัปยศสืบไปเลย ข้าพเจ้าพร้อมที่จะร่วมไปทำการกับมหาอุปราชจนสุดชีวิต มหาอุปราชจัดแจงทหารพร้อมเมื่อใด ให้แจ้งขึ้นไปให้ข้าพเจ้าทราบ จะได้กราบบังคมทูลไปกับท่านด้วย
วันรุ่งขึ้นบิฮุยจึงเดินทางกลับไปเมืองเสฉวน หลังจากวันนั้นขงเบ้งก็เร่งซ่องสุมทหาร ฝึกหัดซักซ้อมกระบวนรบครบถ้วนแห่งกระบวนสงครามทุกประการ และให้สร้างสมเสบียงอาหารเตรียมที่จะยกไปทำการกับวุยก๊กต่อไป
ฝ่ายพระเจ้าโจยอยครั้นได้ทราบรายงานจากหน่วยสอดแนมว่าขงเบ้งตั้งมั่นอยู่ที่เมืองฮันต๋ง ซ่องสุมเสบียงอาหารและไพร่พลฝึกหัดกระบวนรบดังนั้นก็ทรงพระวิตก ตรัสสั่งให้หาสุมาอี้มาปรึกษาว่าขงเบ้งเตรียมการทั้งนี้เห็นจะยกกองทัพมาตีเมืองเรา หากจะคอยท่าให้ขงเบ้งพร้อมรบแล้ว การจะรับมือย่อมยากลำบากนัก ชอบที่จะยกกองทัพไปตีเมืองเสฉวนเสียก่อน
สุมาอี้ได้ฟังปรารภดังนั้นจึงกราบทูลว่า ซึ่งพระองค์ทรงพระวิตกว่าขงเบ้งจะยกกองทัพมาตีเมืองเรานั้น เห็นจะยังไม่อาจยกมาได้ ด้วยฤดูนี้เป็นเทศกาลหน้าร้อน อากาศร้อนจัดจ้า แม้กองทัพเราจะยกไปตีเมืองเสฉวนเล่าก็ขัดสนดุจเดียวกัน
พระเจ้าโจยอยได้ฟังคำทูลก็ทรงเห็นชอบ แต่ทรงติงว่าเมื่อเราจะไม่ยกกองทัพไปตีเมืองข้าศึก แม้ว่าข้าศึกยกกองทัพมาตีเมืองเราก่อนเล่า ท่านจะคิดอ่านประการใด
สุมาอี้จึงกราบทูลว่า ซึ่งขงเบ้งจัดแจงซ่องสุมเสบียงอาหารและไพร่พลนั้น ข้าพเจ้าทราบจากหน่วยสอดแนมสิ้นแล้ว แม้วันหน้าขงเบ้งจะยกมาก็จะไม่มาทางด้านตำบลเขากิสาน เห็นจะยกมาทางตำบลตันฉอง ข้าพระองค์จะแต่งทหารไปก่อกำแพงปิดกั้นปากทางซึ่งขงเบ้งจะยกมานั้นเสีย เห็นขงเบ้งจะไม่อาจยกมาได้
พระเจ้าโจยอยได้ฟังคำสุมาอี้แสดงความมั่นใจดังนั้นจึงตรัสถามว่า ท่านจะตั้งให้นายทหารผู้ใดยกไปทำการครั้งนี้
สุมาอี้กราบทูลว่า “เฮกเจียวซึ่งเป็นที่จบป๋าจงกุ๋นเจ้าเมืองโหไสนี้มีกำลัง ตัวสูงได้หกศอกเศษ แล้วประกอบด้วยปัญญาความคิดมาก เห็นจะต่อสู้กับขงเบ้งนั้นได้ ข้าพเจ้าจะแต่งให้ออกไปขัดทัพอยู่”
พระเจ้าโจยอยทรงเห็นชอบตามคำกราบทูลของสุมาอี้ จึงมีพระบรมราชโองการให้ สุมาอี้เชิญไปมอบให้แก่เฮกเจียว ณ เมืองโหไส
เฮกเจียวทราบพระบรมราชโองการของพระเจ้าโจยอยแล้ว จึงยกกองทัพไปตั้งขัดตาทัพขงเบ้งอยู่ที่ตำบลตันฉองตามแผนการของสุมาอี้ทุกประการ
อยู่มาวันหนึ่งโจฮิวผู้บัญชาการทหารสูงสุดซึ่งรักษาเมืองเอียงจิ๋วได้ส่งฎีกาเข้ามากราบทูลพระเจ้าโจยอยว่า บัดนี้จิวหองเจ้าเมืองกวนหยงซึ่งขึ้นกับเมืองกังตั๋งได้ยอมเข้ามาสวามิภักดิ์ ยกเมืองกวนหยงให้อยู่ในขอบขัณฑสีมาของวุยก๊กแล้ว และกราบบังคมทูลรายงานความถึงเจ็ดประการ ประการหนึ่งนั้นกราบทูลเสนอให้พระเจ้าโจยอยจัดส่งกองทัพไปตีเมืองกังตั๋ง
พระเจ้าโจยอยทรงทราบความแล้วจึงปรึกษากับสุมาอี้ว่า ซึ่งโจฮิวแต่งฎีกาเสนอความเห็นตามข้อเสนอของจิวหองให้ยกกองทัพไปตีเมืองกังตั๋งครั้งนี้ ท่านจะเห็นประการใด
สุมาอี้จึงกราบทูลว่า การที่ง่อก๊กเกิดความแตกแยกขึ้นภายในแล้วขุนนางแปรพักตร์เอาใจออกหากมาสวามิภักดิ์กับพระองค์นั้น เป็นนิมิตหมายว่าแผ่นดินง่อก๊กจะดับสูญแล้ว ชอบที่พระองค์จะส่งกองทัพไปตีเมืองกังตั๋ง ข้าพระองค์ขออาสานำกองทัพไปตีเอาเมืองกังตั๋งให้จงได้
ฝ่ายกากุ๋ยขุนนางผู้ใหญ่ได้ยินคำสุมาอี้กราบทูลดังนั้น จึงถวายบังคมพระเจ้าโจยอยแล้วกราบทูลว่า “ซึ่งท่านจะให้สุมาอี้ยกกองทัพไปนั้นข้าพเจ้าไม่เห็นด้วย อันชาวเมืองกังตั๋งนั้นเป็นคนหาความสัตย์มิได้ พูดจาเหลาะแหละลอมแลมนัก ไม่มีความจริง จิวหองนี้เป็นชาวเมืองกังตั๋ง แล้วก็มีปัญญาความคิดมาก ซึ่งจะมาอ่อนน้อมโดยสุจริตนั้นผิดอยู่ เห็นจะคิดเป็นกลอุบายล่อลวงให้หลงยกไปตีเอาเมืองกังตั๋ง แล้วภายหลังจะย้อนทำร้าย เราจะเชื่อฟังมิได้”
สุมาอี้ได้ฟังดังนั้นก็แย้งว่า ความคิดชาวเมืองกังตั๋งประการใดเราก็แจ้งอยู่ ไยจะต้องเกรงกลัวชาวเมืองกังตั๋งด้วยเล่า มาตรแม้นชาวเมืองกังตั๋งทำกลอุบายมา เราก็จะซ้อนกลยึดเอาเมืองกังตั๋งให้จงได้
พระเจ้าโจยอยทรงเห็นชอบกับความคิดของสุมาอี้ จึงโปรดเกล้าตั้งให้สุมาอี้เป็นแม่ทัพยกไปตีเมืองกังตั๋ง แต่เนื่องจากทรงเห็นว่ากากุ๋ยเป็นขุนนางผู้ใหญ่ รู้กิจการด้านเมืองกังตั๋งเป็นอย่างดี จึงตรัสสั่งตั้งให้กากุ๋ยเป็นปลัดทัพไปกับสุมาอี้ด้วย
สุมาอี้ถวายบังคมลาพระเจ้าโจยอยแล้วออกไปจัดแจงทหาร ครั้นถึงวันฤกษ์ดีก็ยกกองทัพออกจากเมืองลกเอี๋ยง สั่งให้ทหารซึ่งเกณฑ์จากหัวเมืองทั้งปวงยกไปบรรจบทัพพร้อมกันที่เมืองเอียวจิ๋ว
ครั้นยกไปถึงเมืองเอียวจิ๋วแล้ว สุมาอี้จึงสั่งให้จัดกองทัพเป็นสามกอง ให้โจฮิวยกไปทางเมืองอ้วนเซียกองหนึ่ง ให้กากุ๋ยและหมันทองกับเฮาจิดยกไปทางเมืองหยงเซียกองหนึ่ง ตัวสุมาอี้คุมกองทัพหลวงยกไปทางเมืองกำเหลง กำหนดให้กองทัพทุกกองยกไปถึงเมืองกังตั๋งพร้อมกัน
ฝ่ายพระเจ้าซุนกวนครั้นทราบข่าวศึกก็ทรงปรึกษากับบรรดาขุนนาง ข้าราชการและแม่ทัพนายกองทั้งปวง ปรารภความว่าเราได้ให้จิวหองทำทีไปเข้าด้วยโจฮิว ลวงให้ยกกองทัพมาตีเมืองกังตั๋ง แล้วจะตีโต้รุกเข้าไปยึดเอาเมืองลกเอี๋ยง บัดนี้กองทัพของวุยก๊กยกมาตามแผนการแล้ว ท่านทั้งปวงจะเห็นประการใด
โกะหยงซึ่งเป็นขุนนางผู้ใหญ่จึงกราบทูลว่า ซึ่งจะทำกลลวงเปลี่ยนรับเป็นรุกบุกเข้ายึดเอาเมืองลกเอี๋ยงนั้นเป็นการใหญ่หลวง ชอบที่จะแต่งผู้มีสติปัญญาในการสงครามเป็นแม่ทัพยกไปทำการ ข้าพเจ้าเห็นแต่ลกซุนผู้เดียวที่จะเป็นแม่ทัพยกไปทำการครั้งนี้ได้.
เจียวอ้วนเห็นดังนั้นจึงถามขงเบ้งว่า ก็แลเมื่อท่านลงโทษประหารชีวิตม้าเจ๊กแล้ว เหตุไฉนจึงร้องไห้อาลัยม้าเจ๊กอีกเล่า
ขงเบ้งจึงว่า ที่ข้าพเจ้าร้องไห้ดังนี้มิใช่ว่าร้องไห้ด้วยน้ำใจรักม้าเจ๊ก แต่เป็นเพราะข้าพเจ้าคิดถึงพระเจ้าเล่าปี่ และรำลึกขึ้นได้ว่าเมื่อครั้งที่พระเจ้าเล่าปี่ประชวรหนักใกล้จะสิ้นพระชนม์อยู่ที่เมืองเป๊กเต้นั้น ได้ตรัสกำชับแก่ข้าพเจ้าไว้ว่าม้าเจ๊กผู้นี้ปากรู้มากกว่าใจ ซึ่งจะใช้การใหญ่ไปในภายหน้าให้ระมัดระวังจงดี ข้าพเจ้าลืมคำของพระเจ้าเล่าปี่เสีย ตามใจให้ม้าเจ๊กอาสายกไปรักษาตำบลเกเต๋ง จึงเสียทีแก่ข้าศึกถึงเพียงนี้ พอได้เห็นศีรษะม้าเจ๊กแล้วข้าพเจ้ารำลึกถึงคำสั่งเสียของพระเจ้าเล่าปี่ได้ จึงเสียใจร้องไห้
ขงเบ้งกล่าวกับเจียวอ้วนแล้วจึงหันมาสั่งนายทหารซึ่งถือถาดใส่ศีรษะม้าเจ๊กว่า ให้เอาศีรษะม้าเจ๊กเสียบไม้ตระเวนประจานไปรอบเมือง มิให้ผู้ใดเอาเป็นเยี่ยงอย่าง ตามอย่างธรรมเนียมการลงโทษผู้กระทำความผิดอย่างใหญ่ เมื่อเสร็จการแล้วจึงให้เอาศีรษะม้าเจ๊กและศพไปกระทำพิธีฝังตามอย่างธรรมเนียมขุนนางผู้ใหญ่ที่เมืองเสฉวน
แล้วขงเบ้งจึงสั่งให้จัดแจงข้าวของเงินทองเป็นอันมากเอาไปมอบให้แก่บุตรภรรยาของม้าเจ๊ก และให้ทำนุบำรุงดูแลครอบครัวของม้าเจ๊กให้ดีกว่าแต่ก่อน เสร็จแล้วจึงเชิญเจียวอ้วนพักผ่อน ค่อยเดินทางกลับเมืองเสฉวนในวันรุ่งขึ้น
ค่ำลงขงเบ้งจึงแต่งฎีกากราบบังคมทูลพระเจ้าเล่าเสี้ยนว่า “ข้าพเจ้ายกทหารไปทำการรบพุ่งด้วยสุมาอี้ครั้งนี้เบาแก่การ มิรู้ถึงความ เสียทีแก่ข้าศึก ให้ทหารเสียในการสงครามเป็นอันมาก โทษข้าพเจ้าใหญ่หลวงนัก แลบัดนี้ข้าพเจ้าจะขอถอดตัวออกจากที่ตามโทษานุโทษ”
วันรุ่งขึ้นขงเบ้งจึงมอบฎีกานั้นแก่เจียวอ้วน ขอให้นำไปกราบทูลพระเจ้าเล่าเสี้ยน เจียวอ้วนรับคำแล้วคำนับลาขงเบ้งกลับไปเมืองเสฉวน นำความขึ้นกราบบังคมทูลพระเจ้าเล่าเสี้ยนให้ทรงทราบทุกประการ
พระเจ้าเล่าเสี้ยนทรงทราบความแล้วจึงตรัสกับขุนนางทั้งปวงท่ามกลางมหาสมาคมว่า ประเพณีการสงครามย่อมมีแพ้แลชนะ ซึ่งมหาอุปราชเสียทีแก่ข้าศึกในครั้งนี้ก็เป็นประเพณีการสงคราม ไยจะต้องลงโทษตนเองด้วยการถวายบังคมลาออกจากตำแหน่งเล่า
บิฮุยซึ่งเป็นขุนนางผู้ใหญ่มาแต่ครั้งพระเจ้าเล่าปี่ ได้ฟังพระราชปรารภดังนั้นจึงกราบทูลว่า “อันกฎหมายอย่างธรรมเนียมสำหรับแผ่นดินมาแต่ก่อนนั้น ข้าพเจ้าแจ้งอยู่ว่านายทัพนายกองทั้งปวงซึ่งพระเจ้าหมื่นปีตรัสใช้ให้ถือพลไปทำการสงคราม ก็ย่อมถือกฎหมายเป็นบรรทัด แลซึ่งขงเบ้งเป็นมหาอุปราชเสียทีแก่ข้าศึกมาทั้งนี้ก็ต้องด้วยกฎหมายอย่างธรรมเนียมอยู่แล้ว ครั้นพระองค์จะยกโทษเสีย มิทำตามธรรมเนียมบัดนี้ ประเพณีแผ่นดินก็จะฟั่นเฟือนไป ขอให้กระทำตามเรื่องราวมหาอุปราชเถิด”
เจียวอ้วนได้ยินคำทูลดังนั้นจึงถวายบังคมพระเจ้าเล่าเสี้ยน แล้วกราบทูลว่าซึ่งจะลงโทษมหาอุปราชตามกฎหมายอย่างธรรมเนียมแต่ก่อนนั้นก็ชอบอยู่ แต่โทษซึ่งจะลงถึงขนาดถอดออกจากตำแหน่งนั้นเกินการแก่ความผิด มหาอุปราชมีความชอบต่อแผ่นดินใหญ่หลวงมาแต่ครั้งพระเจ้าเล่าปี่ แผ่นดินเมืองเสฉวนบัดนี้ก็เป็นน้ำพักน้ำแรงแลกำลังสติปัญญาของมหาอุปราชเป็นส่วนมาก ควรที่จะลงโทษแต่เพียงลดชั้นตำแหน่งลงสามชั้น อย่าให้ถึงถอดออกจากตำแหน่งในราชการเลย
พระเจ้าเล่าเสี้ยนได้ฟังคำเจียวอ้วนก็ทรงเห็นชอบ จึงโปรดเกล้าให้ขงเบ้งลดขั้นตำแหน่งลงสามขั้น ให้พ้นจากตำแหน่งมหาอุปราช แต่ให้คงตำแหน่งขุนนางผู้ใหญ่บังคับบัญชาทหารและพลเรือน ตลอดจนหน้าที่ในราชการทั้งปวงดังเดิม
เสร็จแล้วทรงตรัสสั่งให้บิฮุยเชิญพระบรมราชโองการไปมอบแก่ขงเบ้งที่เมืองฮันต๋ง ครั้นบิฮุยเดินทางไปถึงเมืองฮันต๋งแล้ว ก็คิดเกรงว่าซึ่งพระเจ้าเล่าเสี้ยนลงโทษขงเบ้งครั้งนี้จะเป็นที่อัปยศอดสูใจของขงเบ้ง บิฮุยจึงมอบพระบรมราชโองการแก่ขงเบ้งแล้วกล่าวว่า พระเจ้าเล่าเสี้ยนทรงสรรเสริญมหาอุปราชว่ามีสติปัญญาในการสงคราม สามารถตีบ้านเมืองข้าศึกได้สามร้อยกว่าหัวเมือง ราษฎรทั้งปวงก็พลอยมีความยินดี
ขงเบ้งได้ฟังคำบิฮุยแล้วสำคัญว่าบิฮุยกล่าวความประชดประชันก็โกรธ จึงกล่าวว่าครั้งแรกเราตีได้หัวเมืองเป็นอันมากก็จริงอยู่ แต่มาภายหลังก็เสียทีแก่ข้าศึก เสียหัวเมืองไปทั้งสิ้นแล้ว ท่านมากล่าวความฉะนี้จะเยาะเย้ยเราหรือ
สามก๊กฉบับเจ้าพระยาพระคลัง (หน) ระบุว่า “บิฮุยเห็นขงเบ้งโกรธก็แกล้งทำเฉย ทำเป็นไม่รู้ จึงไถลว่าพระเจ้าเล่าเสี้ยนแจ้งไปว่ามหาอุปราชได้เกียงอุยทหารพระเจ้าโจยอยมาไว้ก็ยินดีนักหนา”
ขงเบ้งได้ฟังบิฮุยกล่าวประชดซ้ำดังนั้นจึงว่า เราทำการเสียทีแก่ข้าศึก เสียทหารไปเป็นอันมาก ได้เกียงอุยมาแต่ผู้เดียว ไหนเลยจะคุ้มกันเล่า ท่านมากล่าวฉะนี้จะให้เรายิ่งได้ความอัปยศ
บิฮุยไม่ตอบคำ คงถามต่อไปว่ามหาอุปราชยกมาตั้งในเมืองฮันต๋งได้กิตติศัพท์ว่าซ่องสุมทหารไว้ได้ถึงสามสิบสี่สิบหมื่น ดังนี้ยังจะคิดยกไปทำการแก้มือหรือหาไม่
ขงเบ้งจึงว่า “ครั้งก่อนเรายกทหารไป ทำเสียการแก่ข้าศึกที่ตำบลกิก๊กนั้นเป็นอันมาก ทุกวันนี้เหมือนเป็นฝีอยู่ในอก ช้ำใจนัก ก็คิดจะไปทำการแก้แค้นให้ได้ ท่านอุตส่าห์ทำการด้วยเราเถิด”
บิฮุยได้ฟังคำชวนขงเบ้งก็มีความยินดี กล่าวว่ามหาอุปราชและข้าพเจ้าล้วนเป็น ขุนนางเก่าที่ภักดีต่อพระเจ้าเล่าปี่มาแต่ก่อน ร่วมทุกข์ร่วมสุขร่วมแพ้แลชนะในการสงครามหลายครั้งหลายหน อันการสงครามย่อมมีประเพณีแพ้แลชนะ มหาอุปราชอย่าได้วิตกอัปยศสืบไปเลย ข้าพเจ้าพร้อมที่จะร่วมไปทำการกับมหาอุปราชจนสุดชีวิต มหาอุปราชจัดแจงทหารพร้อมเมื่อใด ให้แจ้งขึ้นไปให้ข้าพเจ้าทราบ จะได้กราบบังคมทูลไปกับท่านด้วย
วันรุ่งขึ้นบิฮุยจึงเดินทางกลับไปเมืองเสฉวน หลังจากวันนั้นขงเบ้งก็เร่งซ่องสุมทหาร ฝึกหัดซักซ้อมกระบวนรบครบถ้วนแห่งกระบวนสงครามทุกประการ และให้สร้างสมเสบียงอาหารเตรียมที่จะยกไปทำการกับวุยก๊กต่อไป
ฝ่ายพระเจ้าโจยอยครั้นได้ทราบรายงานจากหน่วยสอดแนมว่าขงเบ้งตั้งมั่นอยู่ที่เมืองฮันต๋ง ซ่องสุมเสบียงอาหารและไพร่พลฝึกหัดกระบวนรบดังนั้นก็ทรงพระวิตก ตรัสสั่งให้หาสุมาอี้มาปรึกษาว่าขงเบ้งเตรียมการทั้งนี้เห็นจะยกกองทัพมาตีเมืองเรา หากจะคอยท่าให้ขงเบ้งพร้อมรบแล้ว การจะรับมือย่อมยากลำบากนัก ชอบที่จะยกกองทัพไปตีเมืองเสฉวนเสียก่อน
สุมาอี้ได้ฟังปรารภดังนั้นจึงกราบทูลว่า ซึ่งพระองค์ทรงพระวิตกว่าขงเบ้งจะยกกองทัพมาตีเมืองเรานั้น เห็นจะยังไม่อาจยกมาได้ ด้วยฤดูนี้เป็นเทศกาลหน้าร้อน อากาศร้อนจัดจ้า แม้กองทัพเราจะยกไปตีเมืองเสฉวนเล่าก็ขัดสนดุจเดียวกัน
พระเจ้าโจยอยได้ฟังคำทูลก็ทรงเห็นชอบ แต่ทรงติงว่าเมื่อเราจะไม่ยกกองทัพไปตีเมืองข้าศึก แม้ว่าข้าศึกยกกองทัพมาตีเมืองเราก่อนเล่า ท่านจะคิดอ่านประการใด
สุมาอี้จึงกราบทูลว่า ซึ่งขงเบ้งจัดแจงซ่องสุมเสบียงอาหารและไพร่พลนั้น ข้าพเจ้าทราบจากหน่วยสอดแนมสิ้นแล้ว แม้วันหน้าขงเบ้งจะยกมาก็จะไม่มาทางด้านตำบลเขากิสาน เห็นจะยกมาทางตำบลตันฉอง ข้าพระองค์จะแต่งทหารไปก่อกำแพงปิดกั้นปากทางซึ่งขงเบ้งจะยกมานั้นเสีย เห็นขงเบ้งจะไม่อาจยกมาได้
พระเจ้าโจยอยได้ฟังคำสุมาอี้แสดงความมั่นใจดังนั้นจึงตรัสถามว่า ท่านจะตั้งให้นายทหารผู้ใดยกไปทำการครั้งนี้
สุมาอี้กราบทูลว่า “เฮกเจียวซึ่งเป็นที่จบป๋าจงกุ๋นเจ้าเมืองโหไสนี้มีกำลัง ตัวสูงได้หกศอกเศษ แล้วประกอบด้วยปัญญาความคิดมาก เห็นจะต่อสู้กับขงเบ้งนั้นได้ ข้าพเจ้าจะแต่งให้ออกไปขัดทัพอยู่”
พระเจ้าโจยอยทรงเห็นชอบตามคำกราบทูลของสุมาอี้ จึงมีพระบรมราชโองการให้ สุมาอี้เชิญไปมอบให้แก่เฮกเจียว ณ เมืองโหไส
เฮกเจียวทราบพระบรมราชโองการของพระเจ้าโจยอยแล้ว จึงยกกองทัพไปตั้งขัดตาทัพขงเบ้งอยู่ที่ตำบลตันฉองตามแผนการของสุมาอี้ทุกประการ
อยู่มาวันหนึ่งโจฮิวผู้บัญชาการทหารสูงสุดซึ่งรักษาเมืองเอียงจิ๋วได้ส่งฎีกาเข้ามากราบทูลพระเจ้าโจยอยว่า บัดนี้จิวหองเจ้าเมืองกวนหยงซึ่งขึ้นกับเมืองกังตั๋งได้ยอมเข้ามาสวามิภักดิ์ ยกเมืองกวนหยงให้อยู่ในขอบขัณฑสีมาของวุยก๊กแล้ว และกราบบังคมทูลรายงานความถึงเจ็ดประการ ประการหนึ่งนั้นกราบทูลเสนอให้พระเจ้าโจยอยจัดส่งกองทัพไปตีเมืองกังตั๋ง
พระเจ้าโจยอยทรงทราบความแล้วจึงปรึกษากับสุมาอี้ว่า ซึ่งโจฮิวแต่งฎีกาเสนอความเห็นตามข้อเสนอของจิวหองให้ยกกองทัพไปตีเมืองกังตั๋งครั้งนี้ ท่านจะเห็นประการใด
สุมาอี้จึงกราบทูลว่า การที่ง่อก๊กเกิดความแตกแยกขึ้นภายในแล้วขุนนางแปรพักตร์เอาใจออกหากมาสวามิภักดิ์กับพระองค์นั้น เป็นนิมิตหมายว่าแผ่นดินง่อก๊กจะดับสูญแล้ว ชอบที่พระองค์จะส่งกองทัพไปตีเมืองกังตั๋ง ข้าพระองค์ขออาสานำกองทัพไปตีเอาเมืองกังตั๋งให้จงได้
ฝ่ายกากุ๋ยขุนนางผู้ใหญ่ได้ยินคำสุมาอี้กราบทูลดังนั้น จึงถวายบังคมพระเจ้าโจยอยแล้วกราบทูลว่า “ซึ่งท่านจะให้สุมาอี้ยกกองทัพไปนั้นข้าพเจ้าไม่เห็นด้วย อันชาวเมืองกังตั๋งนั้นเป็นคนหาความสัตย์มิได้ พูดจาเหลาะแหละลอมแลมนัก ไม่มีความจริง จิวหองนี้เป็นชาวเมืองกังตั๋ง แล้วก็มีปัญญาความคิดมาก ซึ่งจะมาอ่อนน้อมโดยสุจริตนั้นผิดอยู่ เห็นจะคิดเป็นกลอุบายล่อลวงให้หลงยกไปตีเอาเมืองกังตั๋ง แล้วภายหลังจะย้อนทำร้าย เราจะเชื่อฟังมิได้”
สุมาอี้ได้ฟังดังนั้นก็แย้งว่า ความคิดชาวเมืองกังตั๋งประการใดเราก็แจ้งอยู่ ไยจะต้องเกรงกลัวชาวเมืองกังตั๋งด้วยเล่า มาตรแม้นชาวเมืองกังตั๋งทำกลอุบายมา เราก็จะซ้อนกลยึดเอาเมืองกังตั๋งให้จงได้
พระเจ้าโจยอยทรงเห็นชอบกับความคิดของสุมาอี้ จึงโปรดเกล้าตั้งให้สุมาอี้เป็นแม่ทัพยกไปตีเมืองกังตั๋ง แต่เนื่องจากทรงเห็นว่ากากุ๋ยเป็นขุนนางผู้ใหญ่ รู้กิจการด้านเมืองกังตั๋งเป็นอย่างดี จึงตรัสสั่งตั้งให้กากุ๋ยเป็นปลัดทัพไปกับสุมาอี้ด้วย
สุมาอี้ถวายบังคมลาพระเจ้าโจยอยแล้วออกไปจัดแจงทหาร ครั้นถึงวันฤกษ์ดีก็ยกกองทัพออกจากเมืองลกเอี๋ยง สั่งให้ทหารซึ่งเกณฑ์จากหัวเมืองทั้งปวงยกไปบรรจบทัพพร้อมกันที่เมืองเอียวจิ๋ว
ครั้นยกไปถึงเมืองเอียวจิ๋วแล้ว สุมาอี้จึงสั่งให้จัดกองทัพเป็นสามกอง ให้โจฮิวยกไปทางเมืองอ้วนเซียกองหนึ่ง ให้กากุ๋ยและหมันทองกับเฮาจิดยกไปทางเมืองหยงเซียกองหนึ่ง ตัวสุมาอี้คุมกองทัพหลวงยกไปทางเมืองกำเหลง กำหนดให้กองทัพทุกกองยกไปถึงเมืองกังตั๋งพร้อมกัน
ฝ่ายพระเจ้าซุนกวนครั้นทราบข่าวศึกก็ทรงปรึกษากับบรรดาขุนนาง ข้าราชการและแม่ทัพนายกองทั้งปวง ปรารภความว่าเราได้ให้จิวหองทำทีไปเข้าด้วยโจฮิว ลวงให้ยกกองทัพมาตีเมืองกังตั๋ง แล้วจะตีโต้รุกเข้าไปยึดเอาเมืองลกเอี๋ยง บัดนี้กองทัพของวุยก๊กยกมาตามแผนการแล้ว ท่านทั้งปวงจะเห็นประการใด
โกะหยงซึ่งเป็นขุนนางผู้ใหญ่จึงกราบทูลว่า ซึ่งจะทำกลลวงเปลี่ยนรับเป็นรุกบุกเข้ายึดเอาเมืองลกเอี๋ยงนั้นเป็นการใหญ่หลวง ชอบที่จะแต่งผู้มีสติปัญญาในการสงครามเป็นแม่ทัพยกไปทำการ ข้าพเจ้าเห็นแต่ลกซุนผู้เดียวที่จะเป็นแม่ทัพยกไปทำการครั้งนี้ได้.