ตอนที่ 530. ชะตากรรมของคนรู้มาก
พิณน้อยที่เคยตั้งสงบอยู่ ณ เขาโงลังกั๋ง ยามขงเบ้งถือพิณนั้นเดินหนีขึ้นเกวียน ก็กลายเป็นกลอุบายทำลายกองทัพรถเกราะเหล็กเมืองเสเกี๋ยงจนพินาศ ยามขงเบ้งใช้พิณนี้บรรเลงเพลงบนเชิงเทินเมืองเสเสีย ก็สามารถขับไล่กองทัพสิบห้าหมื่นของสุมาอี้ให้ล่าถอยไปได้ ทำให้กองทัพเมืองเสฉวนสามารถล่าถอยกลับคืนเมืองฮันต๋งได้อย่างปลอดภัย
สุมาอี้แจ้งในกลอุบายของขงเบ้งแล้วมิรู้ที่จะทำประการใดได้ เพราะกองทัพจ๊กก๊กได้ยกคืนเข้าแดนเมืองฮันต๋งหมดสิ้นแล้ว สุมาอี้จึงจำต้องพักทหารอยู่ที่เมืองเสเสีย จัดแจงการปกครองบ้านเมืองให้เป็นปกติ เสร็จแล้วจึงยกกองทัพกลับไปเมืองเตียงอัน กราบบังคมทูลให้พระเจ้าโจยอยทราบความศึกทุกประการ
พระเจ้าโจยอยทราบรายงานข่าวชัยชนะแล้ว ทรงมีความยินดีในพระทัยเป็นอันมาก ตรัสกับสุมาอี้ว่าท่านมีชัยชนะแก่จ๊กก๊กในครั้งนี้เป็นความชอบใหญ่หลวง หัวเมืองทั้งปวงที่เคยเสียแก่ขงเบ้งก็ได้กลับคืนมาจนสิ้น
สุมาอี้จึงกราบทูลว่า แม้ว่าขงเบ้งจะยกกองทัพพ้นแดนเมืองเราแล้วก็จริงอยู่ แต่เห็นการศึกจะยังไม่สงบ ด้วยการล่าถอยทัพของขงเบ้งมิได้สูญเสียทหาร เห็นขงเบ้งจะพักกองทัพอยู่ที่เมืองฮันต๋ง ซ่องสุมบำรุงกองทัพพร้อมเมื่อใดแล้วคงจะยกมารุกแดนเมืองเราอีก ฉะนั้นเพื่อตัดไฟเสียแต่ต้นลม ข้าพระองค์ขออาสานำกองทัพใหญ่ยกไปตีเมืองฮันต๋งเสียทีเดียว แม้นได้เมืองฮันต๋งแล้วขอบขัณฑสีมาแห่งวุยก๊กทั้งปวงก็จะมีความสงบสุขสืบไป
พระเจ้าโจยอยได้ฟังคำทูลก็เห็นด้วย จึงโปรดเกล้าให้เกณฑ์ทหารสิ้นทั้งแดนวุยก๊ก ให้ยกมาพร้อมกันที่เมืองเตียงอัน แล้วจะยกไปตีเมืองฮันต๋ง
ซุนจู้ซึ่งเป็นขุนนางที่ปรึกษาชั้นผู้ใหญ่ได้ฟังดังนั้นจึงกราบบังคมทูลพระเจ้าโจยอยในท่ามกลางมหาสมาคมว่า แต่ครั้งที่พระเจ้าวุยอ๋องโจโฉยังมีพระชนม์อยู่นั้น เคยยกกองทัพไปตีเมืองฮันต๋ง ครั้งนั้นทรงออกพระโอษฐ์ตรัสว่า “เมืองฮันต๋งคับขันนัก ประดุจหนึ่งตั้งอยู่ในปากเหว หากบุญเราจึงได้สำเร็จ แม้วาสนาหาไม่ ก็จะพาทหารทั้งปวงตายเสียเหมือนหนึ่งตกลงในเหว”
ซุนจู้กราบทูลต่อไปว่า แม้พระเจ้าวุยอ๋องทรงเปี่ยมด้วยพระปรีชาสามารถในการสงคราม ยังออกพระโอษฐ์ถึงเพียงนี้ แผ่นดินนี้ข้าพระองค์มองไม่เห็นผู้ใดที่จะมีสติปัญญาชำนาญการสงครามเหมือนพระเจ้าวุยอ๋องเลย แม้ว่าพระเจ้าวุยอ๋องจะสิ้นบุญนานแล้ว แต่สิ่งซึ่งได้ออกพระโอษฐ์ไว้ก็ไม่ควรที่จะถูกละเลยดูแคลน
อนึ่งซึ่งจะป้องกันเมืองเรามิให้เป็นอันตรายจากการรุกรานของจ๊กก๊กนั้น ข้าพระองค์เห็นว่าที่ตำบลจำก๊กนั้นเป็นหัวเมืองแดนต่อแดนระหว่างวุยก๊กกับจ๊กก๊ก มีอาณาเขตยาวไกลถึงห้าพันเส้น “แต่ล้วนซอกห้วยธารเขาป่าดงรกชัฏ หนทางที่จะยกพลทหารเดินขบวนทัพไปนั้นก็ยากขัดสน ซึ่งจะยกไปเห็นจะได้ความลำบาก”
เพราะเหตุนั้นจึงชอบที่พระองค์จะได้แต่งนายทหารผู้ชำนาญการสงครามออกไปตั้งรักษาด่านให้มั่นไว้ทุกตำบล กวดขันระมัดระวังอย่าให้ศัตรูยกล่วงล้ำแดนเข้ามาได้ “พักศึกอยู่ปลูกเลี้ยงบำรุงทหารทั้งปวงให้มีกำลังแกล้วกล้าขึ้นไว้คอยดูท่วงทีเมืองเสฉวนกับเมืองกังตั๋งด้วยเป็นอริกันอยู่ เห็นว่าสองเมืองนี้จะเกิดจลาจลกันขึ้นเองเป็นมั่นคง ฝ่ายเราเห็นได้ทีแล้ว จึงยกทหารเดินสบาย เข้าไปเอาเมืองเสฉวน ก็จะได้เปรียบดีกว่ายกไปบัดนี้อีก”
พระเจ้าโจยอยได้ฟังคำทูลท้วงติงดังนั้น จึงหันมาทางสุมาอี้แล้วตรัสถามว่า ท่านแม่ทัพจะมีความเห็นเป็นประการใด
สุมาอี้ได้ฟังคำตรัสก็คิดว่าซุนจู้ผู้นี้ฉลาดเฉลียวในเชิงชั้นเจรจา ยกเอาพระเจ้าวุยอ๋องตั้งขึ้นเป็นหลัก หากเรามิฟังก็เป็นทางที่จะถูกใส่ไคล้กล่าวหาในเบื้องหน้าได้ว่าอวดกล้าถือดีว่ามีสติปัญญายิ่งกว่าพระเจ้าวุยอ๋องซึ่งเป็นพระอัยกาของฮ่องเต้องค์ปัจจุบัน หากเบื้องนั้นพลั้งพลาดแล้วอันตรายย่อมจะเกิดแก่ตัวเรา ทั้งการซึ่งจะยกไปเมืองฮันต๋งนั้นก็ยังไม่แน่นอนว่าจะได้ชัยชนะแต่ถ่ายเดียว เพราะขงเบ้งก็มีสติปัญญาและยังมีทหารอยู่เป็นอันมาก หากพลาดพลั้งเสียทีตัวเราก็จะไม่พ้นผิด ยิ่งกว่านั้นตัวเราเพิ่งได้ฟื้นคืนตำแหน่งและอำนาจทางการทหาร สถานการณ์ทางการเมืองยังไม่มั่นคง อาจถูกศัตรูปองร้ายกราบทูลให้พระเจ้าโจยอยคิดระแวง เราก็จะเป็นอันตรายอีก
สุมาอี้คิดเห็นแต่ทางเสียถ่ายเดียวดังนั้นแล้ว จึงคล้อยตามคำทัดทานของซุนจู้แล้วกราบทูลว่า ซุนจู้กราบทูลความเมืองแลความทหารลึกซึ้งหลักแหลมนัก ชอบที่จะปฏิบัติตามคำกราบทูลนั้น
ซุนจู้ได้ยินคำสุมาอี้ก็ดีใจ พระเจ้าโจยอยจึงมีพระบรมราชโองการตั้งให้สุมาอี้เป็นแม่ทัพใหญ่ประจำภาคตะวันตก ให้เกณฑ์ทหารรักษาด่านและชายแดนทุกตำบล
พระเจ้าโจยอยได้ตรัสสั่งตั้งให้โกฉุยและเตียวคับคุมทหารอยู่รักษาเมืองเตียงอัน จากนั้นจึงเสด็จนิวัติกลับเมืองลกเอี๋ยง แล้วจัดงานเฉลิมฉลองสถาปนาเมืองลกเอี๋ยงเป็นราชธานีแห่งใหม่ตามประเพณี
ฝ่ายขงเบ้งครั้นยกกองทัพกลับไปถึงเมืองฮันต๋งแล้ว ได้สั่งให้สำรวจตรวจกำลังพลทั้งนายทหารและพลทหาร เห็นจูล่ง เตงจี๋และทหารในสังกัดขาดไปก็เป็นทุกข์ใจว่ากองทัพของจูล่งอยู่ลึกเข้าไปในแดนวุยก๊ก หรืออาจล่าถอยไม่ทันแล้วถูกกองทัพวุยก๊กโอบล้อมโจมตีจนเสียทีแล้ว แต่น้ำใจหนึ่งขงเบ้งก็คิดว่าจูล่งนั้นแม้ชราภาพแต่ชำนาญการสงคราม และมีฝีมือกล้าแข็ง เห็นจะรักษาตัวรอดพาทหารกลับเมืองฮันต๋งได้
ในขณะที่ขงเบ้งกำลังวิตกด้วยจูล่งนั้น ทหารรักษาการณ์ได้เข้ามารายงานว่า บัดนี้จูล่งและเตงจี๋ได้ยกทหารกลับถึงแดนเมืองฮันต๋งแล้ว และกำลังยกมาใกล้ประตูเมือง ขงเบ้งได้ยินดังนั้นก็มีความยินดี รีบพาทหารคนสนิทและทหารองครักษ์ออกไปต้อนรับจูล่งถึงหน้าประตูเมือง
จูล่งคุมกองทัพมาถึงประตูเมืองฮันต๋ง เห็นขงเบ้งขี่เกวียนน้อยออกมาตั้งขบวนคอยท่าอยู่ก็ตกใจ รีบลงจากหลังม้าเข้าไปคุกเข่าคำนับขงเบ้งที่หน้าเกวียน แล้วกล่าวว่าด้วยพระบารมีของฮ่องเต้ ข้าพเจ้าได้นำทหารกลับคืนเมืองฮันต๋งโดยปลอดภัย มิได้สูญเสียแม้แต่ทหารสักคนหรือม้าสักตัวหนึ่ง แต่กระนั้นข้าพเจ้าก็ได้ชื่อว่าเป็นทหารพ่ายแพ้เสียทีแก่ข้าศึก ไยมหาอุปราชจึงต้องออกมาต้อนรับข้าพเจ้าถึงนอกเมืองด้วยเล่า
ขงเบ้งได้ฟังดังนั้นจึงลุกลงจากเกวียน เข้าไปประคองจูล่งให้ลุกขึ้น แล้วกล่าวว่า “ครั้งนี้ข้าพเจ้าผิด มิได้พินิจว่าคนดีแลชั่ว ใช้ไปจึงทำให้เสียการ ท่านทั้งหลายจึงได้ความลำบากทั้งนี้ก็เพราะเราผู้เดียว เสียทแกล้วทหารทุกหมวดทุกกองเป็นอันมาก แต่ท่านผู้เดียวทำประการใดจึงมิได้มีอันตราย”
เตงจี๋เห็นจูล่งอ้ำอึ้งยากที่จะกล่าวคำ จึงชิงกล่าวรายงานให้ขงเบ้งทราบถึงแผนการอุบายของจูล่งในการถอยทัพกลับคืนเมืองฮันต๋งทุกประการ ขงเบ้งได้ฟังรายงานจากเตงจี๋แล้วก็กล่าวสรรเสริญจูล่งว่า ซึ่งจะถอยทัพออกจากแดนข้าศึกนั้นอันตรายยิ่งกว่ารุกเข้าไปอีก จูล่งท่านสมแล้วที่เรืองนามเป็นยอดทหารเอก มีสติปัญญาแลฝีมือหาผู้ใดเสมอเหมือนมิได้ จึงพาทหารถอยกลับมาโดยมิได้เป็นอันตรายเลย
ขงเบ้งกล่าวแล้วก็สั่งให้เคลื่อนขบวนเข้าไปในเมืองฮันต๋ง ตัวขงเบ้งเดินไปขึ้นเกวียนนำขบวนกลับเข้าไปในเมือง แล้วสั่งให้เอาทองสิบชั่งปูนบำเหน็จความชอบแก่จูล่ง และให้เบิกแพรอย่างดีหมื่นพับแจกจ่ายแก่ทหารทั้งปวง
จูล่งเห็นของบำเหน็จก็ปฏิเสธไม่ยอมรับ กล่าวกับขงเบ้งว่าข้าพเจ้าเสียทีข้าศึก บุญยังมีอยู่จึงกลับคืนเมืองได้โดยปลอดภัย มิได้มีความชอบสิ่งใดจึงไม่ควรที่จะรับเอาของบำเหน็จความชอบทั้งนี้เลย ขอให้มหาอุปราชรับคืนเข้าพระคลังหลวง ไว้ถึงกำหนดแจกจ่ายเบี้ยหวัดผ้าปีแล้วจะได้แจกจ่ายแก่ทหาร
ขงเบ้งได้ฟังคำจูล่งดังนั้นก็หวนรำลึกถึงคำตรัสของพระเจ้าเล่าปี่ที่เคยตรัสสรรเสริญจูล่งว่า “จูล่งนี้เป็นคนซื่อ” ก็เห็นสมจริงทุกประการ สามก๊กฉบับเจ้าพระยาพระคลัง (หน) ระบุว่า นับแต่นั้นมาขงเบ้งก็มีความศรัทธานับถือจูล่งเป็นอันมาก
ขงเบ้งขัดจูล่งไม่ได้จึงรับของบำเหน็จคืนกลับพระคลังหลวง ในขณะนั้นทหารรักษาการณ์ได้เข้ามารายงานว่าขณะนี้ม้าเจ๊ก อองเป๋ง อุยเอี๋ยน และโกเสียง ได้พาทหารกลับมาถึงเมืองฮันต๋งแล้ว รออยู่ด้านนอกที่ว่าราชการ
ขงเบ้งได้ฟังจึงสั่งให้หาอองเป๋งเข้ามาในที่ว่าราชการก่อน อองเป๋งเข้ามาเห็น ขงเบ้งก็คุกเข่าคำนับ ขงเบ้งรีบถามขึ้นก่อนว่าตัวท่านเป็นขุนนางผู้ใหญ่ เราวางใจให้ไปกำกับการรักษาตำบลเกเต๋ง เหตุไฉนจึงปล่อยให้ม้าเจ๊กทำผิดจนต้องเสียตำบลเกเต๋ง และทำให้กองทัพเราพ่ายแพ้ยับเยินดังนี้เล่า
อองเป๋งจึงกล่าวว่า “ซึ่งมหาอุปราชกำชับแก่ข้าพเจ้าไปนั้น จะได้ละลืมเสียหา มิได้ เมื่อไปถึงตำบลเกเต๋งนั้น ข้าพเจ้าได้ทัดทานเป็นหลายครั้ง ม้าเจ๊กขึ้งโกรธมิฟังข้าพเจ้าจึงเสียการไป” แล้วอองเป๋งจึงรายงานความซึ่งได้โต้เถียงกับม้าเจ๊กในการรักษาตำบลเกเต๋งให้ขงเบ้งทราบทุกประการ
ขงเบ้งได้ฟังก็พยักหน้า แล้วสั่งให้อองเป๋งกลับออกไปก่อน และสั่งทหารให้หาม้าเจ๊กเข้ามา ม้าเจ๊กสำนึกตัวดีว่าทำความผิดใหญ่หลวง มีโทษถึงตาย จึงให้ทหารเอาเชือกมัดตัวเองแล้วเข้ามาหาขงเบ้งในที่ว่าราชการนั้น
ขงเบ้งเห็นม้าเจ๊กคุกเข่าลงคำนับแล้วนิ่งอยู่จึงถามว่า “ตัวท่านมีสติปัญญา ได้เรียนรู้ในกลสงครามมาแต่น้อยจนใหญ่ แลขันอาสาไปครั้งนี้ เราก็ได้กำชับเป็นกวดขันว่าตำบลเกเต๋งนั้นเป็นที่สำคัญอยู่ ท่านอวดรู้ทำทัณฑ์บนให้แก่เรา บัดนี้ก็ไม่เหมือนทัณฑ์บน ทำให้เสียการทั้งนี้โทษท่านก็ใหญ่หลวง ครั้นจะมิเอาโทษตามพระอัยการศึกนั้น สืบไปเบื้องหน้าทหารทั้งปวงก็จะดูเบาแก่ราชการ แม้ท่านตายเสียผู้เดียวก็จะเป็นกฎหมายอย่างธรรมเนียมไป ราชการก็จะไม่แปรปรวนฟั่นเฟือนเสีย ท่านอย่าน้อยใจเราเลย อันบุตรภรรยาอยู่ภายหลัง เราจะช่วยทำนุบำรุงเลี้ยงไปดังตัวท่านยังอยู่ เกิดมาเป็นชาติทหารแล้วอย่าได้อาลัยแก่ชีวิตเลย จงสู้ตายตามโทษานุโทษนั้นเถิด”
กล่าวแล้วขงเบ้งก็เบือนหน้าไปอีกด้านหนึ่ง แล้วออกคำสั่งให้คุมตัวม้าเจ๊กไปตัดศีรษะมิให้เป็นเยี่ยงอย่างแก่คนทั้งปวงสืบไป
ม้าเจ๊กคิดไม่ถึงว่าขงเบ้งจะลงโทษเฉียบขาดถึงประหารชีวิต เพราะคิดว่ามีความใกล้ชิดสนิทสนมกับขงเบ้งเป็นอย่างดี แม้โทษหนักถึงตายก็น่าจะได้รับการผ่อนปรนเป็นเบา พอได้ยินคำสั่งก็ร้องไห้อ้อนวอนขอให้ขงเบ้งไว้ชีวิตสักครั้งหนึ่ง
ขงเบ้งเห็นม้าเจ๊กร้องไห้อาลัยรักชีวิตเป็นหนักหนาดังนั้นก็รู้สึกสงสาร กลั้นน้ำตาไว้ไม่ได้ น้ำตาขงเบ้งไหลซึมสองครรลองนัยน์ตาโดยไม่รู้สึกตัว หวนรำลึกถึงไมตรีที่มีมากับม้าเจ๊กแต่หนหลัง จึงปลอบใจม้าเจ๊กว่าซึ่งเราลงโทษประหารชีวิตท่านในครั้งนี้ หาใช่เพราะความขึ้งโกรธเคียดแค้นแม้ปลายนิ้ว ตัวเรากับท่านใกล้ชิดสนิทสนมไว้วางใจดุจพี่น้องร่วมอุทร แต่หากไม่ทำตามพระอัยการศึก สืบไปเบื้องหน้าก็จะเป็นแบบอย่างแก่ทหารทั้งปวง ไหนเลยจะมีผู้ใดยำเกรงอาญาศึก เห็นจะรักษาบ้านเมืองไว้ไม่ได้ ท่านอย่าน้อยใจแก่เราเลย บุตรภรรยาท่านอยู่ข้างหลังเราจะเลี้ยงดูแลเป็นอย่างดี
ขงเบ้งกล่าวแล้วก็โบกมือเป็นทีให้ทหารคุมตัวม้าเจ๊กเอาไปประหารชีวิต ในขณะที่ทหารคุมตัวม้าเจ๊กไปถึงลานประหารนั้น เจียวอ้วนขุนนางผู้ใหญ่เพิ่งเดินทางมาจากเมืองเสฉวน ทราบเหตุจึงเข้าไปห้ามทหารว่าอย่าเพ่อประหารชีวิตม้าเจ๊ก เราจะเข้าไปว่ากล่าวกับขงเบ้งก่อน
เจียวอ้วนเห็นนายทหารซึ่งคุมการประหารนิ่งอึ้งก็สำคัญว่ารับคำ จึงรีบเข้าไปหาขงเบ้ง แล้วกล่าวว่าความผิดของม้าเจ๊กครั้งนี้ใหญ่หลวง ท่านลงโทษประหารชีวิตก็ชอบอยู่ แต่บ้านเมืองยังไม่สิ้นการศึกสงคราม ซึ่งมหาอุปราชจะประหารชีวิตนายทหารผู้ใหญ่ก็เหมือนหนึ่งตัดแขนขาของบ้านเมือง จะไม่คิดเสียดายบ้างละหรือ
ขงเบ้งจึงว่า ข้าพเจ้าออกคำสั่งประหารชีวิตม้าเจ๊กใช่ว่าจะอาศัยน้ำใจชัง แต่จำใจต้องทำตามพระอัยการศึก
ขงเบ้งกล่าวยังไม่ทันสิ้นคำ นายทหารซึ่งคุมการประหารก็เอาศีรษะม้าเจ๊กใส่ถาดเข้ามาหาขงเบ้ง คำนับแล้วกล่าวว่าข้าพเจ้าได้ทำการประหารชีวิตม้าเจ๊กตามคำสั่งแล้ว กล่าวแล้วก็หันไปคำนับเจียวอ้วน แล้วว่าขออภัยท่านเถิด ข้าพเจ้าถือคำสั่งของมหาอุปราชให้ทำหน้าที่ประหารชีวิตม้าเจ๊ก หากไม่ฟังคำ ความผิดก็จะมีอยู่แก่ข้าพเจ้า ท่านอย่าได้ถือโทษเลย.
สุมาอี้แจ้งในกลอุบายของขงเบ้งแล้วมิรู้ที่จะทำประการใดได้ เพราะกองทัพจ๊กก๊กได้ยกคืนเข้าแดนเมืองฮันต๋งหมดสิ้นแล้ว สุมาอี้จึงจำต้องพักทหารอยู่ที่เมืองเสเสีย จัดแจงการปกครองบ้านเมืองให้เป็นปกติ เสร็จแล้วจึงยกกองทัพกลับไปเมืองเตียงอัน กราบบังคมทูลให้พระเจ้าโจยอยทราบความศึกทุกประการ
พระเจ้าโจยอยทราบรายงานข่าวชัยชนะแล้ว ทรงมีความยินดีในพระทัยเป็นอันมาก ตรัสกับสุมาอี้ว่าท่านมีชัยชนะแก่จ๊กก๊กในครั้งนี้เป็นความชอบใหญ่หลวง หัวเมืองทั้งปวงที่เคยเสียแก่ขงเบ้งก็ได้กลับคืนมาจนสิ้น
สุมาอี้จึงกราบทูลว่า แม้ว่าขงเบ้งจะยกกองทัพพ้นแดนเมืองเราแล้วก็จริงอยู่ แต่เห็นการศึกจะยังไม่สงบ ด้วยการล่าถอยทัพของขงเบ้งมิได้สูญเสียทหาร เห็นขงเบ้งจะพักกองทัพอยู่ที่เมืองฮันต๋ง ซ่องสุมบำรุงกองทัพพร้อมเมื่อใดแล้วคงจะยกมารุกแดนเมืองเราอีก ฉะนั้นเพื่อตัดไฟเสียแต่ต้นลม ข้าพระองค์ขออาสานำกองทัพใหญ่ยกไปตีเมืองฮันต๋งเสียทีเดียว แม้นได้เมืองฮันต๋งแล้วขอบขัณฑสีมาแห่งวุยก๊กทั้งปวงก็จะมีความสงบสุขสืบไป
พระเจ้าโจยอยได้ฟังคำทูลก็เห็นด้วย จึงโปรดเกล้าให้เกณฑ์ทหารสิ้นทั้งแดนวุยก๊ก ให้ยกมาพร้อมกันที่เมืองเตียงอัน แล้วจะยกไปตีเมืองฮันต๋ง
ซุนจู้ซึ่งเป็นขุนนางที่ปรึกษาชั้นผู้ใหญ่ได้ฟังดังนั้นจึงกราบบังคมทูลพระเจ้าโจยอยในท่ามกลางมหาสมาคมว่า แต่ครั้งที่พระเจ้าวุยอ๋องโจโฉยังมีพระชนม์อยู่นั้น เคยยกกองทัพไปตีเมืองฮันต๋ง ครั้งนั้นทรงออกพระโอษฐ์ตรัสว่า “เมืองฮันต๋งคับขันนัก ประดุจหนึ่งตั้งอยู่ในปากเหว หากบุญเราจึงได้สำเร็จ แม้วาสนาหาไม่ ก็จะพาทหารทั้งปวงตายเสียเหมือนหนึ่งตกลงในเหว”
ซุนจู้กราบทูลต่อไปว่า แม้พระเจ้าวุยอ๋องทรงเปี่ยมด้วยพระปรีชาสามารถในการสงคราม ยังออกพระโอษฐ์ถึงเพียงนี้ แผ่นดินนี้ข้าพระองค์มองไม่เห็นผู้ใดที่จะมีสติปัญญาชำนาญการสงครามเหมือนพระเจ้าวุยอ๋องเลย แม้ว่าพระเจ้าวุยอ๋องจะสิ้นบุญนานแล้ว แต่สิ่งซึ่งได้ออกพระโอษฐ์ไว้ก็ไม่ควรที่จะถูกละเลยดูแคลน
อนึ่งซึ่งจะป้องกันเมืองเรามิให้เป็นอันตรายจากการรุกรานของจ๊กก๊กนั้น ข้าพระองค์เห็นว่าที่ตำบลจำก๊กนั้นเป็นหัวเมืองแดนต่อแดนระหว่างวุยก๊กกับจ๊กก๊ก มีอาณาเขตยาวไกลถึงห้าพันเส้น “แต่ล้วนซอกห้วยธารเขาป่าดงรกชัฏ หนทางที่จะยกพลทหารเดินขบวนทัพไปนั้นก็ยากขัดสน ซึ่งจะยกไปเห็นจะได้ความลำบาก”
เพราะเหตุนั้นจึงชอบที่พระองค์จะได้แต่งนายทหารผู้ชำนาญการสงครามออกไปตั้งรักษาด่านให้มั่นไว้ทุกตำบล กวดขันระมัดระวังอย่าให้ศัตรูยกล่วงล้ำแดนเข้ามาได้ “พักศึกอยู่ปลูกเลี้ยงบำรุงทหารทั้งปวงให้มีกำลังแกล้วกล้าขึ้นไว้คอยดูท่วงทีเมืองเสฉวนกับเมืองกังตั๋งด้วยเป็นอริกันอยู่ เห็นว่าสองเมืองนี้จะเกิดจลาจลกันขึ้นเองเป็นมั่นคง ฝ่ายเราเห็นได้ทีแล้ว จึงยกทหารเดินสบาย เข้าไปเอาเมืองเสฉวน ก็จะได้เปรียบดีกว่ายกไปบัดนี้อีก”
พระเจ้าโจยอยได้ฟังคำทูลท้วงติงดังนั้น จึงหันมาทางสุมาอี้แล้วตรัสถามว่า ท่านแม่ทัพจะมีความเห็นเป็นประการใด
สุมาอี้ได้ฟังคำตรัสก็คิดว่าซุนจู้ผู้นี้ฉลาดเฉลียวในเชิงชั้นเจรจา ยกเอาพระเจ้าวุยอ๋องตั้งขึ้นเป็นหลัก หากเรามิฟังก็เป็นทางที่จะถูกใส่ไคล้กล่าวหาในเบื้องหน้าได้ว่าอวดกล้าถือดีว่ามีสติปัญญายิ่งกว่าพระเจ้าวุยอ๋องซึ่งเป็นพระอัยกาของฮ่องเต้องค์ปัจจุบัน หากเบื้องนั้นพลั้งพลาดแล้วอันตรายย่อมจะเกิดแก่ตัวเรา ทั้งการซึ่งจะยกไปเมืองฮันต๋งนั้นก็ยังไม่แน่นอนว่าจะได้ชัยชนะแต่ถ่ายเดียว เพราะขงเบ้งก็มีสติปัญญาและยังมีทหารอยู่เป็นอันมาก หากพลาดพลั้งเสียทีตัวเราก็จะไม่พ้นผิด ยิ่งกว่านั้นตัวเราเพิ่งได้ฟื้นคืนตำแหน่งและอำนาจทางการทหาร สถานการณ์ทางการเมืองยังไม่มั่นคง อาจถูกศัตรูปองร้ายกราบทูลให้พระเจ้าโจยอยคิดระแวง เราก็จะเป็นอันตรายอีก
สุมาอี้คิดเห็นแต่ทางเสียถ่ายเดียวดังนั้นแล้ว จึงคล้อยตามคำทัดทานของซุนจู้แล้วกราบทูลว่า ซุนจู้กราบทูลความเมืองแลความทหารลึกซึ้งหลักแหลมนัก ชอบที่จะปฏิบัติตามคำกราบทูลนั้น
ซุนจู้ได้ยินคำสุมาอี้ก็ดีใจ พระเจ้าโจยอยจึงมีพระบรมราชโองการตั้งให้สุมาอี้เป็นแม่ทัพใหญ่ประจำภาคตะวันตก ให้เกณฑ์ทหารรักษาด่านและชายแดนทุกตำบล
พระเจ้าโจยอยได้ตรัสสั่งตั้งให้โกฉุยและเตียวคับคุมทหารอยู่รักษาเมืองเตียงอัน จากนั้นจึงเสด็จนิวัติกลับเมืองลกเอี๋ยง แล้วจัดงานเฉลิมฉลองสถาปนาเมืองลกเอี๋ยงเป็นราชธานีแห่งใหม่ตามประเพณี
ฝ่ายขงเบ้งครั้นยกกองทัพกลับไปถึงเมืองฮันต๋งแล้ว ได้สั่งให้สำรวจตรวจกำลังพลทั้งนายทหารและพลทหาร เห็นจูล่ง เตงจี๋และทหารในสังกัดขาดไปก็เป็นทุกข์ใจว่ากองทัพของจูล่งอยู่ลึกเข้าไปในแดนวุยก๊ก หรืออาจล่าถอยไม่ทันแล้วถูกกองทัพวุยก๊กโอบล้อมโจมตีจนเสียทีแล้ว แต่น้ำใจหนึ่งขงเบ้งก็คิดว่าจูล่งนั้นแม้ชราภาพแต่ชำนาญการสงคราม และมีฝีมือกล้าแข็ง เห็นจะรักษาตัวรอดพาทหารกลับเมืองฮันต๋งได้
ในขณะที่ขงเบ้งกำลังวิตกด้วยจูล่งนั้น ทหารรักษาการณ์ได้เข้ามารายงานว่า บัดนี้จูล่งและเตงจี๋ได้ยกทหารกลับถึงแดนเมืองฮันต๋งแล้ว และกำลังยกมาใกล้ประตูเมือง ขงเบ้งได้ยินดังนั้นก็มีความยินดี รีบพาทหารคนสนิทและทหารองครักษ์ออกไปต้อนรับจูล่งถึงหน้าประตูเมือง
จูล่งคุมกองทัพมาถึงประตูเมืองฮันต๋ง เห็นขงเบ้งขี่เกวียนน้อยออกมาตั้งขบวนคอยท่าอยู่ก็ตกใจ รีบลงจากหลังม้าเข้าไปคุกเข่าคำนับขงเบ้งที่หน้าเกวียน แล้วกล่าวว่าด้วยพระบารมีของฮ่องเต้ ข้าพเจ้าได้นำทหารกลับคืนเมืองฮันต๋งโดยปลอดภัย มิได้สูญเสียแม้แต่ทหารสักคนหรือม้าสักตัวหนึ่ง แต่กระนั้นข้าพเจ้าก็ได้ชื่อว่าเป็นทหารพ่ายแพ้เสียทีแก่ข้าศึก ไยมหาอุปราชจึงต้องออกมาต้อนรับข้าพเจ้าถึงนอกเมืองด้วยเล่า
ขงเบ้งได้ฟังดังนั้นจึงลุกลงจากเกวียน เข้าไปประคองจูล่งให้ลุกขึ้น แล้วกล่าวว่า “ครั้งนี้ข้าพเจ้าผิด มิได้พินิจว่าคนดีแลชั่ว ใช้ไปจึงทำให้เสียการ ท่านทั้งหลายจึงได้ความลำบากทั้งนี้ก็เพราะเราผู้เดียว เสียทแกล้วทหารทุกหมวดทุกกองเป็นอันมาก แต่ท่านผู้เดียวทำประการใดจึงมิได้มีอันตราย”
เตงจี๋เห็นจูล่งอ้ำอึ้งยากที่จะกล่าวคำ จึงชิงกล่าวรายงานให้ขงเบ้งทราบถึงแผนการอุบายของจูล่งในการถอยทัพกลับคืนเมืองฮันต๋งทุกประการ ขงเบ้งได้ฟังรายงานจากเตงจี๋แล้วก็กล่าวสรรเสริญจูล่งว่า ซึ่งจะถอยทัพออกจากแดนข้าศึกนั้นอันตรายยิ่งกว่ารุกเข้าไปอีก จูล่งท่านสมแล้วที่เรืองนามเป็นยอดทหารเอก มีสติปัญญาแลฝีมือหาผู้ใดเสมอเหมือนมิได้ จึงพาทหารถอยกลับมาโดยมิได้เป็นอันตรายเลย
ขงเบ้งกล่าวแล้วก็สั่งให้เคลื่อนขบวนเข้าไปในเมืองฮันต๋ง ตัวขงเบ้งเดินไปขึ้นเกวียนนำขบวนกลับเข้าไปในเมือง แล้วสั่งให้เอาทองสิบชั่งปูนบำเหน็จความชอบแก่จูล่ง และให้เบิกแพรอย่างดีหมื่นพับแจกจ่ายแก่ทหารทั้งปวง
จูล่งเห็นของบำเหน็จก็ปฏิเสธไม่ยอมรับ กล่าวกับขงเบ้งว่าข้าพเจ้าเสียทีข้าศึก บุญยังมีอยู่จึงกลับคืนเมืองได้โดยปลอดภัย มิได้มีความชอบสิ่งใดจึงไม่ควรที่จะรับเอาของบำเหน็จความชอบทั้งนี้เลย ขอให้มหาอุปราชรับคืนเข้าพระคลังหลวง ไว้ถึงกำหนดแจกจ่ายเบี้ยหวัดผ้าปีแล้วจะได้แจกจ่ายแก่ทหาร
ขงเบ้งได้ฟังคำจูล่งดังนั้นก็หวนรำลึกถึงคำตรัสของพระเจ้าเล่าปี่ที่เคยตรัสสรรเสริญจูล่งว่า “จูล่งนี้เป็นคนซื่อ” ก็เห็นสมจริงทุกประการ สามก๊กฉบับเจ้าพระยาพระคลัง (หน) ระบุว่า นับแต่นั้นมาขงเบ้งก็มีความศรัทธานับถือจูล่งเป็นอันมาก
ขงเบ้งขัดจูล่งไม่ได้จึงรับของบำเหน็จคืนกลับพระคลังหลวง ในขณะนั้นทหารรักษาการณ์ได้เข้ามารายงานว่าขณะนี้ม้าเจ๊ก อองเป๋ง อุยเอี๋ยน และโกเสียง ได้พาทหารกลับมาถึงเมืองฮันต๋งแล้ว รออยู่ด้านนอกที่ว่าราชการ
ขงเบ้งได้ฟังจึงสั่งให้หาอองเป๋งเข้ามาในที่ว่าราชการก่อน อองเป๋งเข้ามาเห็น ขงเบ้งก็คุกเข่าคำนับ ขงเบ้งรีบถามขึ้นก่อนว่าตัวท่านเป็นขุนนางผู้ใหญ่ เราวางใจให้ไปกำกับการรักษาตำบลเกเต๋ง เหตุไฉนจึงปล่อยให้ม้าเจ๊กทำผิดจนต้องเสียตำบลเกเต๋ง และทำให้กองทัพเราพ่ายแพ้ยับเยินดังนี้เล่า
อองเป๋งจึงกล่าวว่า “ซึ่งมหาอุปราชกำชับแก่ข้าพเจ้าไปนั้น จะได้ละลืมเสียหา มิได้ เมื่อไปถึงตำบลเกเต๋งนั้น ข้าพเจ้าได้ทัดทานเป็นหลายครั้ง ม้าเจ๊กขึ้งโกรธมิฟังข้าพเจ้าจึงเสียการไป” แล้วอองเป๋งจึงรายงานความซึ่งได้โต้เถียงกับม้าเจ๊กในการรักษาตำบลเกเต๋งให้ขงเบ้งทราบทุกประการ
ขงเบ้งได้ฟังก็พยักหน้า แล้วสั่งให้อองเป๋งกลับออกไปก่อน และสั่งทหารให้หาม้าเจ๊กเข้ามา ม้าเจ๊กสำนึกตัวดีว่าทำความผิดใหญ่หลวง มีโทษถึงตาย จึงให้ทหารเอาเชือกมัดตัวเองแล้วเข้ามาหาขงเบ้งในที่ว่าราชการนั้น
ขงเบ้งเห็นม้าเจ๊กคุกเข่าลงคำนับแล้วนิ่งอยู่จึงถามว่า “ตัวท่านมีสติปัญญา ได้เรียนรู้ในกลสงครามมาแต่น้อยจนใหญ่ แลขันอาสาไปครั้งนี้ เราก็ได้กำชับเป็นกวดขันว่าตำบลเกเต๋งนั้นเป็นที่สำคัญอยู่ ท่านอวดรู้ทำทัณฑ์บนให้แก่เรา บัดนี้ก็ไม่เหมือนทัณฑ์บน ทำให้เสียการทั้งนี้โทษท่านก็ใหญ่หลวง ครั้นจะมิเอาโทษตามพระอัยการศึกนั้น สืบไปเบื้องหน้าทหารทั้งปวงก็จะดูเบาแก่ราชการ แม้ท่านตายเสียผู้เดียวก็จะเป็นกฎหมายอย่างธรรมเนียมไป ราชการก็จะไม่แปรปรวนฟั่นเฟือนเสีย ท่านอย่าน้อยใจเราเลย อันบุตรภรรยาอยู่ภายหลัง เราจะช่วยทำนุบำรุงเลี้ยงไปดังตัวท่านยังอยู่ เกิดมาเป็นชาติทหารแล้วอย่าได้อาลัยแก่ชีวิตเลย จงสู้ตายตามโทษานุโทษนั้นเถิด”
กล่าวแล้วขงเบ้งก็เบือนหน้าไปอีกด้านหนึ่ง แล้วออกคำสั่งให้คุมตัวม้าเจ๊กไปตัดศีรษะมิให้เป็นเยี่ยงอย่างแก่คนทั้งปวงสืบไป
ม้าเจ๊กคิดไม่ถึงว่าขงเบ้งจะลงโทษเฉียบขาดถึงประหารชีวิต เพราะคิดว่ามีความใกล้ชิดสนิทสนมกับขงเบ้งเป็นอย่างดี แม้โทษหนักถึงตายก็น่าจะได้รับการผ่อนปรนเป็นเบา พอได้ยินคำสั่งก็ร้องไห้อ้อนวอนขอให้ขงเบ้งไว้ชีวิตสักครั้งหนึ่ง
ขงเบ้งเห็นม้าเจ๊กร้องไห้อาลัยรักชีวิตเป็นหนักหนาดังนั้นก็รู้สึกสงสาร กลั้นน้ำตาไว้ไม่ได้ น้ำตาขงเบ้งไหลซึมสองครรลองนัยน์ตาโดยไม่รู้สึกตัว หวนรำลึกถึงไมตรีที่มีมากับม้าเจ๊กแต่หนหลัง จึงปลอบใจม้าเจ๊กว่าซึ่งเราลงโทษประหารชีวิตท่านในครั้งนี้ หาใช่เพราะความขึ้งโกรธเคียดแค้นแม้ปลายนิ้ว ตัวเรากับท่านใกล้ชิดสนิทสนมไว้วางใจดุจพี่น้องร่วมอุทร แต่หากไม่ทำตามพระอัยการศึก สืบไปเบื้องหน้าก็จะเป็นแบบอย่างแก่ทหารทั้งปวง ไหนเลยจะมีผู้ใดยำเกรงอาญาศึก เห็นจะรักษาบ้านเมืองไว้ไม่ได้ ท่านอย่าน้อยใจแก่เราเลย บุตรภรรยาท่านอยู่ข้างหลังเราจะเลี้ยงดูแลเป็นอย่างดี
ขงเบ้งกล่าวแล้วก็โบกมือเป็นทีให้ทหารคุมตัวม้าเจ๊กเอาไปประหารชีวิต ในขณะที่ทหารคุมตัวม้าเจ๊กไปถึงลานประหารนั้น เจียวอ้วนขุนนางผู้ใหญ่เพิ่งเดินทางมาจากเมืองเสฉวน ทราบเหตุจึงเข้าไปห้ามทหารว่าอย่าเพ่อประหารชีวิตม้าเจ๊ก เราจะเข้าไปว่ากล่าวกับขงเบ้งก่อน
เจียวอ้วนเห็นนายทหารซึ่งคุมการประหารนิ่งอึ้งก็สำคัญว่ารับคำ จึงรีบเข้าไปหาขงเบ้ง แล้วกล่าวว่าความผิดของม้าเจ๊กครั้งนี้ใหญ่หลวง ท่านลงโทษประหารชีวิตก็ชอบอยู่ แต่บ้านเมืองยังไม่สิ้นการศึกสงคราม ซึ่งมหาอุปราชจะประหารชีวิตนายทหารผู้ใหญ่ก็เหมือนหนึ่งตัดแขนขาของบ้านเมือง จะไม่คิดเสียดายบ้างละหรือ
ขงเบ้งจึงว่า ข้าพเจ้าออกคำสั่งประหารชีวิตม้าเจ๊กใช่ว่าจะอาศัยน้ำใจชัง แต่จำใจต้องทำตามพระอัยการศึก
ขงเบ้งกล่าวยังไม่ทันสิ้นคำ นายทหารซึ่งคุมการประหารก็เอาศีรษะม้าเจ๊กใส่ถาดเข้ามาหาขงเบ้ง คำนับแล้วกล่าวว่าข้าพเจ้าได้ทำการประหารชีวิตม้าเจ๊กตามคำสั่งแล้ว กล่าวแล้วก็หันไปคำนับเจียวอ้วน แล้วว่าขออภัยท่านเถิด ข้าพเจ้าถือคำสั่งของมหาอุปราชให้ทำหน้าที่ประหารชีวิตม้าเจ๊ก หากไม่ฟังคำ ความผิดก็จะมีอยู่แก่ข้าพเจ้า ท่านอย่าได้ถือโทษเลย.