ตอนที่ 52. เปิดตัวต้นตำรับลวงโลก
สี่ทหารเอกฟังรับสั่งของพระเจ้าเหี้ยนเต้แล้วกราบบังคมทูลว่าพวกข้าพระพุทธเจ้าทำราชการมีความชอบมาแต่ก่อน แต่หามีผู้ใดกราบบังคมทูลเสนอความชอบให้ไม่ บัดนี้พวกข้าพระพุทธเจ้าประสงค์จะเป็นขุนนางรับราชการในเมืองหลวง จึงขอรับพระราชทานพระกรุณา
พระเจ้าเหี้ยนเต้ฟังคำกราบบังคมทูลก็รู้ความนัย จึงรับสั่งถามต่อไปว่าพวกเจ้าต้องการตำแหน่งใดขอให้ว่ามา สี่ทหารเอกฟังรับสั่งแล้วคิดไม่ทันว่าจะทูลขอรับพระราชทานตำแหน่งใดเพราะไม่ได้เตรียมตัวมาก่อน ทั้งไม่รู้สายสนกลในในการบริหารราชการแผ่นดิน จึงไม่สามารถกราบทูลต่อไปได้ ต่างคนต่างอ้ำอึ้งอยู่พักหนึ่งแล้วลิฉุย กุยกี จึงกราบทูลว่าข้าพระพุทธเจ้าขอเวลากลับไปปรึกษากันก่อนแล้วกราบถวายบังคมลา
ลาภวาสนาอันได้มาโดยบังเอิญ และบังเอิญเสียจนไม่รู้ว่าจะเอาอย่างไรกันดี คล้าย ๆ กับยาจกตกเข้าไปในแหล่งมหาสมบัติ ไม่รู้จะหยิบฉวยเอาสิ่งใด ได้แต่หูพร่าตาลาย ไม่ต่างกระไรกับคณะรัฐประหารบางคณะที่ยึดอำนาจแล้วไม่มีสติปัญญาคิดอ่านว่าจะทำการอย่างใดสืบไป จนในที่สุดกลับยกเอาอำนาจนั้นให้คนอื่นเสียดื้อ ๆ
แต่ลิฉุย กุยกี เตียวเจ และหวนเตียวนั้น แม้จะเป็นทหารบ้านนอก แต่ยังคงความเฉลียวฉลาดกว่าคณะรัฐประหารบางคณะ จึงขอเวลาตั้งหลักคิดอ่านกันใหม่
ครั้นกราบถวายบังคมลากลับมายังกองบัญชาการกองกำลังรักษาพระนครแล้ว จึงปรึกษากันว่าจะขอรับพระราชทานตำแหน่งใด แต่ในที่สุดก็ไม่รู้ว่าจะขอรับพระราชทานตำแหน่งใดจึงจะครองอำนาจรัฐไว้ได้ตามปกติ ดังนั้นจึงให้ไปเชิญเจ้ากรมกำลังพลและนักวิชาการมาปรึกษาว่าตำแหน่งใดที่ครองแล้วจะมีผลเป็นการครองอำนาจรัฐได้สืบไป
เมื่อปรึกษาตกลงกันแล้ว จึงทำเป็นหนังสือกราบบังคมทูลขอรับพระราชทานตำแหน่งให้ลิฉุยเป็นผู้สำเร็จราชการแผ่นดิน เป็นผู้บัญชาการกองทัพภาคกลาง และเป็นผู้บัญชาการกองกำลังรักษาพระนคร กุยกีเป็นผู้บัญชาการทหารส่วนหลัง และขุนนางผู้ใหญ่มีตำแหน่งเฝ้า เตียวเจเป็นผู้บัญชาการทหารฝ่ายซ้าย และหวนเตียวเป็นผู้บัญชาการทหารฝ่ายขวา
พระเจ้าเหี้ยนเต้ทอดพระเนตรหนังสือกราบบังคมทูลแล้ว ทรงโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งให้สี่ทหารเอกดำรงตำแหน่งตามที่เสนอ
นี่คือพระบรมราโชบายที่สอดคล้องกับวิถีแห่งฟ้า เป็นไปตามหลักพิชัยสงครามที่ไม่แตกหักเมื่อยังแตกหักไม่ได้ เป็นไปตามหลักสุดยอดกลยุทธ์หนึ่งในสามสิบหกประการ คือ “หนี” เมื่อยังเอาชนะไม่ได้นั่นเอง นับว่าพระเจ้าเหี้ยนเต้ซึ่งเป็นพระมหากษัตริย์เมื่อสองพันปีก่อนทรงมีพระสติปัญญายิ่งกว่าพระมหากษัตริย์พม่าที่แข็งกร้าวแตกหักกับอังกฤษ ทั้ง ๆ ที่ไม่มีน้ำยาที่จะต่อกรด้วยกองทัพของอังกฤษ เป็นเหตุให้พม่าต้องตกเป็นเมืองขึ้นอังกฤษในที่สุด
ครั้นได้รับพระมหากรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ได้รับตำแหน่งตามที่ทูลขอแล้ว ลิฉุย กุยกี จึงถอนทหารที่ล้อมพระราชวังยกออกมาตั้งที่กองบัญชาการกองกำลังรักษาพระนคร และให้เตียวเจ หวนเตียว คุมทหารยกไปรักษาเมืองฮองหลง ซึ่งเป็นเมืองหน้าด่านและเป็นเมืองยุทธศาสตร์สำคัญในการป้องกันข้าศึก
เมื่อได้อำนาจรัฐแล้วก็ลงมือเล่นพรรคเล่นพวกตามวิสัยของนักการเมือง เหตุนี้ลิฉุย กุยกี จึงแต่งตั้งให้ลิบ้องและอ่องหอง ลูกน้องเก่าของตั๋งโต๊ะที่เป็นพวกเดียวกันและเป็นไส้ศึกเปิดประตูเมืองรับกองทัพสี่ทหารเอกให้เป็นที่ขุนนาง ส่วนทหารที่มาด้วยกันในกองทัพที่เป็นตัวนายก็แต่งตั้งเป็นขุนนาง ระดับรอง ๆ ลงมาก็เลื่อนยศตำแหน่งให้ทั่วถึงกัน
นับว่าลิฉุย กุยกี เป็นนักการเมืองที่เอาพรรคเอาพวก เพียงขอให้เป็นพวกเท่านั้นย่อมบำเหน็จรางวัลและผลประโยชน์ให้ ดังนั้นจึงมีนักวิชาการ บัณฑิต สื่อมวลชน และขุนนางข้าราชการอื่น ๆ เข้ามาเป็นพวกด้วยจำนวนมาก
ครั้นใครมาเป็นพวกแล้วก็ใช้อำนาจของตัวเข้าปกป้องประดุจแม่ไก่ที่คอยกางปีกปกป้องลูกไก่ฉะนั้น เพราะเหตุนี้พรรคพวกของลิฉุย กุยกีจึงมีจิตคิดกำเริบกล้าทำชั่วช้าได้ทุกอย่างทุกประการ โดยไม่หวาดหวั่นยำเกรงกฏหมายบ้านเมือง เพราะถือดีว่ามีอำนาจรัฐปกป้องคุ้มครองอยู่ทุกกรณี ไม่ว่าจะผิดชั่วช้าขนาดไหน ประการใด
หลังจากใช้อำนาจรัฐเกื้อกูลพวกพ้องแล้วก็เผื่อแผ่ถึงคนตายที่เป็นนายเก่าของตัว ลิฉุย กุยกี จึงสั่งให้ตั้งคณะกรรมการฟื้นฟูเกียรติยศของตั๋งโต๊ะขึ้นคณะหนึ่ง ให้ทำการค้นหาซากศพของตั๋งโต๊ะเพื่อทำพิธีศพใหม่ให้สมเกียรติยศแล้วจะได้นำไปฝังตามธรรมเนียมต่อไป
คณะกรรมการชุดนี้ค้นหาได้แต่เศษเนื้อและกระดูกของตั๋งโต๊ะที่ถูกฝังอยู่นอกพระนคร ดังนั้นจึงให้ทำพิธีใหญ่เอาเศษเนื้อ และกระดูกใส่โลงอย่างดีสำหรับศพพระบรมราชวงศ์ แล้วให้เอาไม้จันทน์หอมแกะเป็นรูปตั๋งโต๊ะมีขนาดเท่าคนจริงเอามาตั้งในพิธีแล้วเซ่นไหว้อย่างธรรมเนียม
ลิฉุย กุยกี ต้องการให้ผู้คนเห็นว่าตั๋งโต๊ะนั้นเป็นรัฐบุรุษ มีคนเคารพรักอาลัยเป็นอันมาก จึงเกณฑ์คนมาร่วมพิธีเซ่นไหว้ศพเป็นเวลาสิบวันสิบคืน มีคนที่ถูกเกณฑ์มาเซ่นไหว้ศพในครั้งนี้ถึงสองล้านคน หากใครร้องไห้แบบสุดโศกเศร้าอาดูรก็จะมอบรางวัลให้
ดังนั้นจึงมีผู้คนมาร้องไห้ต่อหน้าพิธีศพเป็นจำนวนมากตลอดระยะเวลาสิบวัน อาการร้องไห้นั้นสุดแสนจะโศกเศร้าอาลัยรักเป็นหนักหนา ยิ่งเสียกว่าเป็นศพบิดามารดาของตัวเสียอีก และกลายเป็นธรรมเนียมร้องไห้หน้าศพต่อมาอีกนับพันปี
นี่แหละอานุภาพแห่งอำนาจเงินตรา ซึ่งอย่าว่าแต่ชั้นร้องไห้เพียงเท่านี้เลย ต่อให้เป็นชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ก็อาจถูกคนขายตัวขายได้อย่างไม่อาลัยใยดี
เหล่าขุนนางข้าราชการเห็นบ้านเมืองเข้าสู่ยุค “ตาหลิ่วก็หลิ่วตาตาม” จำนวนมากที่เคยร่วมอยู่ในเหตุการณ์สังหารตั๋งโต๊ะ หรือเคยร่วมสาปแช่งศพตั๋งโต๊ะก็พากันมาเซ่นไหว้ศพตั๋งโต๊ะกันเป็นการใหญ่
พระเจ้าเหี้ยนเต้แม้ยังทรงพระเยาว์ แต่ทรงทราบสถานการณ์ดีว่าควรต้องวางพระองค์อย่างไร ดังนั้นจึงทรงพระราชทานของเซ่นไหว้ศพตั๋งโต๊ะอย่างธรรมเนียมเชื้อพระวงศ์ชั้นผู้ใหญ่
ลิฉุย กุยกี เห็นเช่นนี้ก็ดีใจยิ่งนัก ภาพที่สร้างขึ้นเพื่อลวงโลกกลับมาหลอกตัวเองให้หลงไปว่าตั๋งโต๊ะนั้นมีผู้คนเคารพรักนับถือศรัทธาเป็นจำนวนมาก ดังนั้นจึงต้องประพฤติปฏิบัติตามแบบอย่างของตั๋งโต๊ะ และนำนโยบายต่าง ๆ ของ ตั๋งโต๊ะมาใช้ในการบริหารราชการแผ่นดินต่อไป
การบิดเบือนข้อเท็จจริงเพื่อหลอกลวงชาวบ้านเช่นนี้ถือเป็นต้นฉบับของการลวงโลก และเป็นแบบอย่างให้นักการเมืองในยุคสองพันปีต่อมานำไปใช้ โดยไม่คำนึงว่าสิ่งที่บิดเบือนหลอกลวงนั้นจะสร้างความรู้สึกที่เจ็บแค้นชิงชังแก่อาณาประชาราษฎรอย่างไร
ในขณะที่น้ำท่วมบ้านเรือนและทรัพย์สินราษฎร และกระแสน้ำพัดพาผู้คนล้มตายหายไปเป็นจำนวนมาก แทนที่จะยอมรับว่าเกิดอุทกภัยและบอกว่ามีแผนการแก้ไขอย่างไร กลับบิดเบือนหลอกลวงเสียว่านี่คือผลงานของรัฐบาลในการป้องกันแก้ไขปัญหาภัยแล้งอย่างได้ผล
ในบางปีภัยแล้งคุกคาม ฝนฟ้าไม่ตก อากาศร้อนและแล้งจัด ดินแตกระแหง สัตว์ไม่มีน้ำกิน พืชผลของเกษตรกรเสียหายทั่วประเทศ แทนที่จะยอมรับว่าเกิดภัยแล้งและบอกว่ามีแผนการแก้ไขอย่างไร กลับบิดเบือนหลอกลวงว่านี่คือผลงานของรัฐบาลในการแก้ไขปัญหาน้ำท่วมอย่างได้ผล
ครั้นสร้างหนี้สินจนบ้านเมืองมีหนี้สินล้นพ้นตัว ถึงขนาดที่ชาวนาทั้งประเทศต้องขายข้าวทั้งหมดที่ผลิตได้โดยไม่ต้องเหลือไว้กินก็ต้องใช้เวลาถึงสองร้อยห้าสิบปีจึงจะชดใช้หนี้ได้หมด แทนที่จะยอมรับความจริงแล้วแก้ไขความผิดพลาดกลับหลอกลวงบิดเบือนด้วยการออกคำนิยามว่า “หนี้สาธารณะ” เสียใหม่ ตัดเอายอดหนี้จำนวนมากออกไปแล้วบอกว่าหนี้สาธารณะมีจำนวนน้อยนิดเท่านั้น
หลังจากออกมาตรการบีบบังคับธนาคารและสถาบันการเงินเพื่อจะยึดมาเป็นของรัฐแล้วขายให้กับต่างชาติซึ่งผิดพลาดมหันต์ ส่งผลให้หนี้เน่าเกิดขึ้นท่วมทั้งระบบ แทนที่จะยอมรับความผิดพลาดกลับเอาหนี้เน่าออกจากระบบไปกองไว้หลังบ้าน คือไปใส่ไว้ในองค์กรอีกองค์กรหนึ่งแล้วหลอกลวงบิดเบือนว่าแก้ไขปัญหาหนี้เน่าได้สำเร็จแล้ว
การหลอกลวงบิดเบือนถึงขนาดที่แม้ว่าราษฎรไม่มีเงินในกระเป๋า ไม่มีจะกินและยากไร้ ซึ่งทุกผู้คนสัมผัสความจริงอยู่กับตัว แต่ยังกล้าหลอกลวงว่าสามารถแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจถูกต้อง ถูกทางแล้ว ทุกคนมีรายได้มากขึ้นแล้ว มีเงินในกระเป๋าเพิ่มขึ้นแล้ว รายได้ประชาชาติเพิ่มขึ้นแล้ว
การโกหกหลอกลวงบิดเบือนของนักการเมืองในยุคหลังดังกล่าวนี้ นับได้ว่าได้พัฒนาวิชาลวงโลกของลิฉุย กุยกี จนก้าวหน้ายิ่งกว่าต้นฉบับเดิมมากมายนัก ดังนั้นนักการเมืองลวงโลกเช่นนี้จึงย่อมถือได้ว่าเป็นพวกลูกศิษย์ หลานศิษย์ของลิฉุย กุยกี ลูกน้องผู้ซื่อสัตย์ของจอมทรราชย์ตั๋งโต๊ะ และต้องนับว่าเป็นลูกศิษย์หลานศิษย์ที่ยอดเยี่ยมยิ่งกว่าคนรุ่นปรมาจารย์เทียบกันไม่ติด
ครั้นเสร็จพิธีเซ่นไหว้ตามธรรมเนียมแล้ว จึงให้เชิญศพตั๋งโต๊ะไปทำพิธีฝัง ณ สุสานวีรชน แต่ครั้นจะทำพิธีฝังพระแม่ธรณีกลับลงทัณฑ์ สวรรค์กลับสาปส่งบันดาลให้เกิดพายุพัดแรงกล้า ฝนตกหนักห่าใหญ่ น้ำท่วมแผ่นดินถึงสองศอก เกิดอสุนีบาตผ่าถูกโลงศพตั๋งโต๊ะแตกกระจัดกระจาย เศษเนื้อและกระดูกกระจายไปสิ้น
ลิฉุย กุยกี รออยู่ในพิธีฝังศพตั๋งโต๊ะจนกระทั่งพายุสงบ ฝนสร่าง ฟ้ากระจ่างแล้ว จึงให้ทหารไปเก็บรวบรวมเศษเนื้อ เศษกระดูกมาผสมกันแล้วใส่ไว้ในโลงใหม่ กว่าจะเสร็จก็ล่วงยามเที่ยงคืน ครั้นจะเอาโลงศพนั้นลงฝังอีกก็เกิดพายุจัด ฝนตก แล้วฟ้าผ่าลงที่โลงนั้นซ้ำอีก โลงแตกกระจาย เศษเนื้อและกระดูกที่ปั้นเป็นรูปตั๋งโต๊ะก็แตกกระจายแหลกละเอียดสิ้น
ลิฉุย กุยกี ยังไม่ละความพยายาม พอฝนสร่างก็สั่งให้เก็บรวมรวมเศษเนื้อและกระดูกของตั๋งโต๊ะมาผสมเข้ากันอีกครั้งหนึ่ง แล้วนำไปใส่โลงใบใหม่เพื่อเตรียมฝังจนถึงเวลาใกล้จะสว่าง แต่ครั้นจะฝังอีกครั้งหนึ่งก็เกิดเหตุการณ์เช่นเดิมคือเกิดลมพายุพัดจัด ฝนกระหน่ำจนน้ำท่วมพื้นดินและเกิดฟ้าผ่าถูกโลงที่ใส่เศษเนื้อและกระดูกของตั๋งโต๊ะนั้นแหลกละเอียดกระจายจนไม่เป็นชิ้นดี ไม่สามารถจัดเก็บรวบรวมมาฝังได้อีกต่อไป
ตั๋งโต๊ะตายไปแล้ว ในตอนที่เป็นศพก็ถูกทหารเอาไส้ตะเกียงเจาะใส่ท้องจุดเป็นตะเกียงจนซากศพถูกเผาไหม้ด้วยไฟแห่งน้ำมือคน ครั้นเก็บเศษเนื้อและกระดูกมาทำพิธีฝังกลับถูกไฟแห่งสวรรค์บันดาลทำลายจนไม่สามารถฝังได้ตามธรรมเนียม นี่หาใช่เนื่องจากเหตุอื่นใดไม่ หากเนื่องเพราะผลกรรมที่ทำชั่วช้าไว้กับแผ่นดินและราษฎรจนแม้แต่ฟ้าก็ไม่อาจให้อยู่ใต้ แม้พระธรณีก็ไม่อาจให้อยู่บน
แต่กระนั้นพฤติกรรมลวงโลกของลิฉุย กุยกี ที่กระทำให้กับตั๋งโต๊ะนั้นก็ยังพอนับว่าเป็นลูกน้องที่ใช้ได้ เพราะได้แสดงออกถึงความจงรักภักดีต่อเจ้านายตัวจนถึงที่สุด ความดีของลิฉุย กุยกี ถ้าหากจะยกขึ้นแสดงก็คงมีประการนี้ประการเดียวเท่านั้น
ครั้นฝังศพตั๋งโต๊ะไม่สำเร็จเพราะฟ้าดินไม่ยอมรับเป็นที่คุ้มและรองรับคนแบบตั๋งโต๊ะแล้ว ลิฉุย กุยกี จึงจำเป็นต้องกลับเข้าเมืองหลวง เริ่มกิจกรรมที่ชั่วช้าทางการเมืองต่อไปด้วยการติดสินบนขันทีที่อยู่ในพระตำหนักของฮ่องเต้ให้เป็นสายลับคอยรายงานข่าวความเคลื่อนไหวของพระเจ้าเหี้ยนเต้ให้ทราบทุกประการ
แต่กระนั้นลิฉุย กุยกี ก็ยังคงเป็นทหารที่ไม่รู้การแผ่นดิน จะสั่งการใดๆ ในการบริหารราชการแผ่นดินก็ฟั่นเฟือนวิปริตผันแปร แต่ยังดีที่รู้สึกตัวว่าเป็นการไม่ถูกต้อง จึงให้หาจูฮีอดีตรองแม่ทัพใหญ่ปราบโจรโพกผ้าเหลืองที่ลาออกจากราชการเพราะไม่สามารถจ่ายเงินค่าส่วยสินบนแก่สิบขันทีให้กลับเข้ารับราชการอีกครั้งหนึ่ง ตั้งเป็นขุนนางผู้ใหญ่ในตำแหน่งที่ปรึกษาผู้สำเร็จราชการแผ่นดิน.
พระเจ้าเหี้ยนเต้ฟังคำกราบบังคมทูลก็รู้ความนัย จึงรับสั่งถามต่อไปว่าพวกเจ้าต้องการตำแหน่งใดขอให้ว่ามา สี่ทหารเอกฟังรับสั่งแล้วคิดไม่ทันว่าจะทูลขอรับพระราชทานตำแหน่งใดเพราะไม่ได้เตรียมตัวมาก่อน ทั้งไม่รู้สายสนกลในในการบริหารราชการแผ่นดิน จึงไม่สามารถกราบทูลต่อไปได้ ต่างคนต่างอ้ำอึ้งอยู่พักหนึ่งแล้วลิฉุย กุยกี จึงกราบทูลว่าข้าพระพุทธเจ้าขอเวลากลับไปปรึกษากันก่อนแล้วกราบถวายบังคมลา
ลาภวาสนาอันได้มาโดยบังเอิญ และบังเอิญเสียจนไม่รู้ว่าจะเอาอย่างไรกันดี คล้าย ๆ กับยาจกตกเข้าไปในแหล่งมหาสมบัติ ไม่รู้จะหยิบฉวยเอาสิ่งใด ได้แต่หูพร่าตาลาย ไม่ต่างกระไรกับคณะรัฐประหารบางคณะที่ยึดอำนาจแล้วไม่มีสติปัญญาคิดอ่านว่าจะทำการอย่างใดสืบไป จนในที่สุดกลับยกเอาอำนาจนั้นให้คนอื่นเสียดื้อ ๆ
แต่ลิฉุย กุยกี เตียวเจ และหวนเตียวนั้น แม้จะเป็นทหารบ้านนอก แต่ยังคงความเฉลียวฉลาดกว่าคณะรัฐประหารบางคณะ จึงขอเวลาตั้งหลักคิดอ่านกันใหม่
ครั้นกราบถวายบังคมลากลับมายังกองบัญชาการกองกำลังรักษาพระนครแล้ว จึงปรึกษากันว่าจะขอรับพระราชทานตำแหน่งใด แต่ในที่สุดก็ไม่รู้ว่าจะขอรับพระราชทานตำแหน่งใดจึงจะครองอำนาจรัฐไว้ได้ตามปกติ ดังนั้นจึงให้ไปเชิญเจ้ากรมกำลังพลและนักวิชาการมาปรึกษาว่าตำแหน่งใดที่ครองแล้วจะมีผลเป็นการครองอำนาจรัฐได้สืบไป
เมื่อปรึกษาตกลงกันแล้ว จึงทำเป็นหนังสือกราบบังคมทูลขอรับพระราชทานตำแหน่งให้ลิฉุยเป็นผู้สำเร็จราชการแผ่นดิน เป็นผู้บัญชาการกองทัพภาคกลาง และเป็นผู้บัญชาการกองกำลังรักษาพระนคร กุยกีเป็นผู้บัญชาการทหารส่วนหลัง และขุนนางผู้ใหญ่มีตำแหน่งเฝ้า เตียวเจเป็นผู้บัญชาการทหารฝ่ายซ้าย และหวนเตียวเป็นผู้บัญชาการทหารฝ่ายขวา
พระเจ้าเหี้ยนเต้ทอดพระเนตรหนังสือกราบบังคมทูลแล้ว ทรงโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งให้สี่ทหารเอกดำรงตำแหน่งตามที่เสนอ
นี่คือพระบรมราโชบายที่สอดคล้องกับวิถีแห่งฟ้า เป็นไปตามหลักพิชัยสงครามที่ไม่แตกหักเมื่อยังแตกหักไม่ได้ เป็นไปตามหลักสุดยอดกลยุทธ์หนึ่งในสามสิบหกประการ คือ “หนี” เมื่อยังเอาชนะไม่ได้นั่นเอง นับว่าพระเจ้าเหี้ยนเต้ซึ่งเป็นพระมหากษัตริย์เมื่อสองพันปีก่อนทรงมีพระสติปัญญายิ่งกว่าพระมหากษัตริย์พม่าที่แข็งกร้าวแตกหักกับอังกฤษ ทั้ง ๆ ที่ไม่มีน้ำยาที่จะต่อกรด้วยกองทัพของอังกฤษ เป็นเหตุให้พม่าต้องตกเป็นเมืองขึ้นอังกฤษในที่สุด
ครั้นได้รับพระมหากรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ได้รับตำแหน่งตามที่ทูลขอแล้ว ลิฉุย กุยกี จึงถอนทหารที่ล้อมพระราชวังยกออกมาตั้งที่กองบัญชาการกองกำลังรักษาพระนคร และให้เตียวเจ หวนเตียว คุมทหารยกไปรักษาเมืองฮองหลง ซึ่งเป็นเมืองหน้าด่านและเป็นเมืองยุทธศาสตร์สำคัญในการป้องกันข้าศึก
เมื่อได้อำนาจรัฐแล้วก็ลงมือเล่นพรรคเล่นพวกตามวิสัยของนักการเมือง เหตุนี้ลิฉุย กุยกี จึงแต่งตั้งให้ลิบ้องและอ่องหอง ลูกน้องเก่าของตั๋งโต๊ะที่เป็นพวกเดียวกันและเป็นไส้ศึกเปิดประตูเมืองรับกองทัพสี่ทหารเอกให้เป็นที่ขุนนาง ส่วนทหารที่มาด้วยกันในกองทัพที่เป็นตัวนายก็แต่งตั้งเป็นขุนนาง ระดับรอง ๆ ลงมาก็เลื่อนยศตำแหน่งให้ทั่วถึงกัน
นับว่าลิฉุย กุยกี เป็นนักการเมืองที่เอาพรรคเอาพวก เพียงขอให้เป็นพวกเท่านั้นย่อมบำเหน็จรางวัลและผลประโยชน์ให้ ดังนั้นจึงมีนักวิชาการ บัณฑิต สื่อมวลชน และขุนนางข้าราชการอื่น ๆ เข้ามาเป็นพวกด้วยจำนวนมาก
ครั้นใครมาเป็นพวกแล้วก็ใช้อำนาจของตัวเข้าปกป้องประดุจแม่ไก่ที่คอยกางปีกปกป้องลูกไก่ฉะนั้น เพราะเหตุนี้พรรคพวกของลิฉุย กุยกีจึงมีจิตคิดกำเริบกล้าทำชั่วช้าได้ทุกอย่างทุกประการ โดยไม่หวาดหวั่นยำเกรงกฏหมายบ้านเมือง เพราะถือดีว่ามีอำนาจรัฐปกป้องคุ้มครองอยู่ทุกกรณี ไม่ว่าจะผิดชั่วช้าขนาดไหน ประการใด
หลังจากใช้อำนาจรัฐเกื้อกูลพวกพ้องแล้วก็เผื่อแผ่ถึงคนตายที่เป็นนายเก่าของตัว ลิฉุย กุยกี จึงสั่งให้ตั้งคณะกรรมการฟื้นฟูเกียรติยศของตั๋งโต๊ะขึ้นคณะหนึ่ง ให้ทำการค้นหาซากศพของตั๋งโต๊ะเพื่อทำพิธีศพใหม่ให้สมเกียรติยศแล้วจะได้นำไปฝังตามธรรมเนียมต่อไป
คณะกรรมการชุดนี้ค้นหาได้แต่เศษเนื้อและกระดูกของตั๋งโต๊ะที่ถูกฝังอยู่นอกพระนคร ดังนั้นจึงให้ทำพิธีใหญ่เอาเศษเนื้อ และกระดูกใส่โลงอย่างดีสำหรับศพพระบรมราชวงศ์ แล้วให้เอาไม้จันทน์หอมแกะเป็นรูปตั๋งโต๊ะมีขนาดเท่าคนจริงเอามาตั้งในพิธีแล้วเซ่นไหว้อย่างธรรมเนียม
ลิฉุย กุยกี ต้องการให้ผู้คนเห็นว่าตั๋งโต๊ะนั้นเป็นรัฐบุรุษ มีคนเคารพรักอาลัยเป็นอันมาก จึงเกณฑ์คนมาร่วมพิธีเซ่นไหว้ศพเป็นเวลาสิบวันสิบคืน มีคนที่ถูกเกณฑ์มาเซ่นไหว้ศพในครั้งนี้ถึงสองล้านคน หากใครร้องไห้แบบสุดโศกเศร้าอาดูรก็จะมอบรางวัลให้
ดังนั้นจึงมีผู้คนมาร้องไห้ต่อหน้าพิธีศพเป็นจำนวนมากตลอดระยะเวลาสิบวัน อาการร้องไห้นั้นสุดแสนจะโศกเศร้าอาลัยรักเป็นหนักหนา ยิ่งเสียกว่าเป็นศพบิดามารดาของตัวเสียอีก และกลายเป็นธรรมเนียมร้องไห้หน้าศพต่อมาอีกนับพันปี
นี่แหละอานุภาพแห่งอำนาจเงินตรา ซึ่งอย่าว่าแต่ชั้นร้องไห้เพียงเท่านี้เลย ต่อให้เป็นชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ก็อาจถูกคนขายตัวขายได้อย่างไม่อาลัยใยดี
เหล่าขุนนางข้าราชการเห็นบ้านเมืองเข้าสู่ยุค “ตาหลิ่วก็หลิ่วตาตาม” จำนวนมากที่เคยร่วมอยู่ในเหตุการณ์สังหารตั๋งโต๊ะ หรือเคยร่วมสาปแช่งศพตั๋งโต๊ะก็พากันมาเซ่นไหว้ศพตั๋งโต๊ะกันเป็นการใหญ่
พระเจ้าเหี้ยนเต้แม้ยังทรงพระเยาว์ แต่ทรงทราบสถานการณ์ดีว่าควรต้องวางพระองค์อย่างไร ดังนั้นจึงทรงพระราชทานของเซ่นไหว้ศพตั๋งโต๊ะอย่างธรรมเนียมเชื้อพระวงศ์ชั้นผู้ใหญ่
ลิฉุย กุยกี เห็นเช่นนี้ก็ดีใจยิ่งนัก ภาพที่สร้างขึ้นเพื่อลวงโลกกลับมาหลอกตัวเองให้หลงไปว่าตั๋งโต๊ะนั้นมีผู้คนเคารพรักนับถือศรัทธาเป็นจำนวนมาก ดังนั้นจึงต้องประพฤติปฏิบัติตามแบบอย่างของตั๋งโต๊ะ และนำนโยบายต่าง ๆ ของ ตั๋งโต๊ะมาใช้ในการบริหารราชการแผ่นดินต่อไป
การบิดเบือนข้อเท็จจริงเพื่อหลอกลวงชาวบ้านเช่นนี้ถือเป็นต้นฉบับของการลวงโลก และเป็นแบบอย่างให้นักการเมืองในยุคสองพันปีต่อมานำไปใช้ โดยไม่คำนึงว่าสิ่งที่บิดเบือนหลอกลวงนั้นจะสร้างความรู้สึกที่เจ็บแค้นชิงชังแก่อาณาประชาราษฎรอย่างไร
ในขณะที่น้ำท่วมบ้านเรือนและทรัพย์สินราษฎร และกระแสน้ำพัดพาผู้คนล้มตายหายไปเป็นจำนวนมาก แทนที่จะยอมรับว่าเกิดอุทกภัยและบอกว่ามีแผนการแก้ไขอย่างไร กลับบิดเบือนหลอกลวงเสียว่านี่คือผลงานของรัฐบาลในการป้องกันแก้ไขปัญหาภัยแล้งอย่างได้ผล
ในบางปีภัยแล้งคุกคาม ฝนฟ้าไม่ตก อากาศร้อนและแล้งจัด ดินแตกระแหง สัตว์ไม่มีน้ำกิน พืชผลของเกษตรกรเสียหายทั่วประเทศ แทนที่จะยอมรับว่าเกิดภัยแล้งและบอกว่ามีแผนการแก้ไขอย่างไร กลับบิดเบือนหลอกลวงว่านี่คือผลงานของรัฐบาลในการแก้ไขปัญหาน้ำท่วมอย่างได้ผล
ครั้นสร้างหนี้สินจนบ้านเมืองมีหนี้สินล้นพ้นตัว ถึงขนาดที่ชาวนาทั้งประเทศต้องขายข้าวทั้งหมดที่ผลิตได้โดยไม่ต้องเหลือไว้กินก็ต้องใช้เวลาถึงสองร้อยห้าสิบปีจึงจะชดใช้หนี้ได้หมด แทนที่จะยอมรับความจริงแล้วแก้ไขความผิดพลาดกลับหลอกลวงบิดเบือนด้วยการออกคำนิยามว่า “หนี้สาธารณะ” เสียใหม่ ตัดเอายอดหนี้จำนวนมากออกไปแล้วบอกว่าหนี้สาธารณะมีจำนวนน้อยนิดเท่านั้น
หลังจากออกมาตรการบีบบังคับธนาคารและสถาบันการเงินเพื่อจะยึดมาเป็นของรัฐแล้วขายให้กับต่างชาติซึ่งผิดพลาดมหันต์ ส่งผลให้หนี้เน่าเกิดขึ้นท่วมทั้งระบบ แทนที่จะยอมรับความผิดพลาดกลับเอาหนี้เน่าออกจากระบบไปกองไว้หลังบ้าน คือไปใส่ไว้ในองค์กรอีกองค์กรหนึ่งแล้วหลอกลวงบิดเบือนว่าแก้ไขปัญหาหนี้เน่าได้สำเร็จแล้ว
การหลอกลวงบิดเบือนถึงขนาดที่แม้ว่าราษฎรไม่มีเงินในกระเป๋า ไม่มีจะกินและยากไร้ ซึ่งทุกผู้คนสัมผัสความจริงอยู่กับตัว แต่ยังกล้าหลอกลวงว่าสามารถแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจถูกต้อง ถูกทางแล้ว ทุกคนมีรายได้มากขึ้นแล้ว มีเงินในกระเป๋าเพิ่มขึ้นแล้ว รายได้ประชาชาติเพิ่มขึ้นแล้ว
การโกหกหลอกลวงบิดเบือนของนักการเมืองในยุคหลังดังกล่าวนี้ นับได้ว่าได้พัฒนาวิชาลวงโลกของลิฉุย กุยกี จนก้าวหน้ายิ่งกว่าต้นฉบับเดิมมากมายนัก ดังนั้นนักการเมืองลวงโลกเช่นนี้จึงย่อมถือได้ว่าเป็นพวกลูกศิษย์ หลานศิษย์ของลิฉุย กุยกี ลูกน้องผู้ซื่อสัตย์ของจอมทรราชย์ตั๋งโต๊ะ และต้องนับว่าเป็นลูกศิษย์หลานศิษย์ที่ยอดเยี่ยมยิ่งกว่าคนรุ่นปรมาจารย์เทียบกันไม่ติด
ครั้นเสร็จพิธีเซ่นไหว้ตามธรรมเนียมแล้ว จึงให้เชิญศพตั๋งโต๊ะไปทำพิธีฝัง ณ สุสานวีรชน แต่ครั้นจะทำพิธีฝังพระแม่ธรณีกลับลงทัณฑ์ สวรรค์กลับสาปส่งบันดาลให้เกิดพายุพัดแรงกล้า ฝนตกหนักห่าใหญ่ น้ำท่วมแผ่นดินถึงสองศอก เกิดอสุนีบาตผ่าถูกโลงศพตั๋งโต๊ะแตกกระจัดกระจาย เศษเนื้อและกระดูกกระจายไปสิ้น
ลิฉุย กุยกี รออยู่ในพิธีฝังศพตั๋งโต๊ะจนกระทั่งพายุสงบ ฝนสร่าง ฟ้ากระจ่างแล้ว จึงให้ทหารไปเก็บรวบรวมเศษเนื้อ เศษกระดูกมาผสมกันแล้วใส่ไว้ในโลงใหม่ กว่าจะเสร็จก็ล่วงยามเที่ยงคืน ครั้นจะเอาโลงศพนั้นลงฝังอีกก็เกิดพายุจัด ฝนตก แล้วฟ้าผ่าลงที่โลงนั้นซ้ำอีก โลงแตกกระจาย เศษเนื้อและกระดูกที่ปั้นเป็นรูปตั๋งโต๊ะก็แตกกระจายแหลกละเอียดสิ้น
ลิฉุย กุยกี ยังไม่ละความพยายาม พอฝนสร่างก็สั่งให้เก็บรวมรวมเศษเนื้อและกระดูกของตั๋งโต๊ะมาผสมเข้ากันอีกครั้งหนึ่ง แล้วนำไปใส่โลงใบใหม่เพื่อเตรียมฝังจนถึงเวลาใกล้จะสว่าง แต่ครั้นจะฝังอีกครั้งหนึ่งก็เกิดเหตุการณ์เช่นเดิมคือเกิดลมพายุพัดจัด ฝนกระหน่ำจนน้ำท่วมพื้นดินและเกิดฟ้าผ่าถูกโลงที่ใส่เศษเนื้อและกระดูกของตั๋งโต๊ะนั้นแหลกละเอียดกระจายจนไม่เป็นชิ้นดี ไม่สามารถจัดเก็บรวบรวมมาฝังได้อีกต่อไป
ตั๋งโต๊ะตายไปแล้ว ในตอนที่เป็นศพก็ถูกทหารเอาไส้ตะเกียงเจาะใส่ท้องจุดเป็นตะเกียงจนซากศพถูกเผาไหม้ด้วยไฟแห่งน้ำมือคน ครั้นเก็บเศษเนื้อและกระดูกมาทำพิธีฝังกลับถูกไฟแห่งสวรรค์บันดาลทำลายจนไม่สามารถฝังได้ตามธรรมเนียม นี่หาใช่เนื่องจากเหตุอื่นใดไม่ หากเนื่องเพราะผลกรรมที่ทำชั่วช้าไว้กับแผ่นดินและราษฎรจนแม้แต่ฟ้าก็ไม่อาจให้อยู่ใต้ แม้พระธรณีก็ไม่อาจให้อยู่บน
แต่กระนั้นพฤติกรรมลวงโลกของลิฉุย กุยกี ที่กระทำให้กับตั๋งโต๊ะนั้นก็ยังพอนับว่าเป็นลูกน้องที่ใช้ได้ เพราะได้แสดงออกถึงความจงรักภักดีต่อเจ้านายตัวจนถึงที่สุด ความดีของลิฉุย กุยกี ถ้าหากจะยกขึ้นแสดงก็คงมีประการนี้ประการเดียวเท่านั้น
ครั้นฝังศพตั๋งโต๊ะไม่สำเร็จเพราะฟ้าดินไม่ยอมรับเป็นที่คุ้มและรองรับคนแบบตั๋งโต๊ะแล้ว ลิฉุย กุยกี จึงจำเป็นต้องกลับเข้าเมืองหลวง เริ่มกิจกรรมที่ชั่วช้าทางการเมืองต่อไปด้วยการติดสินบนขันทีที่อยู่ในพระตำหนักของฮ่องเต้ให้เป็นสายลับคอยรายงานข่าวความเคลื่อนไหวของพระเจ้าเหี้ยนเต้ให้ทราบทุกประการ
แต่กระนั้นลิฉุย กุยกี ก็ยังคงเป็นทหารที่ไม่รู้การแผ่นดิน จะสั่งการใดๆ ในการบริหารราชการแผ่นดินก็ฟั่นเฟือนวิปริตผันแปร แต่ยังดีที่รู้สึกตัวว่าเป็นการไม่ถูกต้อง จึงให้หาจูฮีอดีตรองแม่ทัพใหญ่ปราบโจรโพกผ้าเหลืองที่ลาออกจากราชการเพราะไม่สามารถจ่ายเงินค่าส่วยสินบนแก่สิบขันทีให้กลับเข้ารับราชการอีกครั้งหนึ่ง ตั้งเป็นขุนนางผู้ใหญ่ในตำแหน่งที่ปรึกษาผู้สำเร็จราชการแผ่นดิน.