ตอนที่ 529. มังกรรำพัน

ขงเบ้งมีทหารรักษาเมืองเสเสียเพียงสองพันห้าร้อยคน ดังนั้นในยามเข้าตาจนจึงได้ทำกลอุบายเมืองร้างอันลือลั่นในประวัติศาสตร์การสงคราม ทำให้สุมาอี้สำคัญว่าขงเบ้งซุ่มทหารไว้โจมตี จึงพาทหารล่าถอยกลับไป โดยไม่ฟังคำทักท้วงของสุมาเจียวผู้บุตร

            พิณโบราณที่เล่าปี่เคยเห็นวางเงียบสงบอยู่ ณ กระท่อมน้อยแห่งเขาโงลังกั๋ง  บัดนี้ได้สำแดงอานุภาพใหญ่หลวง สามารถขับไล่ทหารสิบห้าหมื่นของสุมาอี้ให้ล่าถอยกลับไปได้ แท้จริงแล้วความสำคัญหาได้อยู่ที่ตัวพิณไม่ หากอยู่ที่สติปัญญาของคนซึ่งบรรเลงเพลงพิณนั้นต่างหากเล่า

            ขงเบ้งเห็นกองทัพสุมาอี้ล่าถอยไปแล้วจึงวางมือลงจากพิณ ประจวบกับขณะนั้นสายพิณก็ขาดลง ขงเบ้งลุกขึ้นยืนปาดเหงื่อที่หยาดเต็มใบหน้า พลางถอนหายใจโล่งอก แล้วหันมาหัวเราะกับเด็กทั้งสองคน และเดินกลับเข้าไปที่หอรบ

            ทหารทั้งปวงซึ่งซุ่มสงบสรรพเสียงอยู่ด้านในพากันออกมาแสดงความยินดีกับขงเบ้ง ขงเบ้งรับแสดงความยินดีแล้วหัวเราะ ทหารทั้งปวงจึงถามว่า “สุมาอี้ยกทหารมาสิบห้าหมื่นจะทำร้ายท่าน การจวนตัวอยู่ถึงเพียงนี้ เหตุใดท่านจึงมิกลัว ตบมือหัวเราะเสียอีกเล่า”

            ขงเบ้งจึงว่า “ซึ่งเราหัวเราะทั้งนี้เพราะเห็นสุมาอี้รู้มิเท่าเรา สำคัญว่าเราซุ่มทหารไว้ก็ตกใจกลัวหนีไปเอง อันกลอุบายนี้เรามิทำก็จำทำ ด้วยจนใจจวนตัวอยู่แล้วก็จำเป็น”

            ขงเบ้งกล่าวสืบไปว่า สุมาอี้นั้นชำนาญการดนตรีมิได้ด้อยกว่าเราเลย ซึ่งสุมาอี้ต้องกลครั้งนี้ก็เพราะสุมาอี้ไม่รู้ว่าเรารู้ว่าสุมาอี้ชำนาญการดนตรี ดังนั้นเราจึงบรรเลงเพลงพิณเป็นปมซับซ้อนซ่อนเงื่อนลวงล่อไว้ สุมาอี้ไม่รู้กลจึงกลัวว่าเราซุ่มทหารแล้วหนีไป สุมาอี้มักขี้ระแวง ไม่พาทหารหนีกลับไปตามเส้นทางเดิมที่ยกมา กลับพาทหารยกหนีไปทางเขาบุกองสัน ก็จะเผชิญกับกองทัพของกวนหินและเตียวเปาซึ่งเราสั่งให้ไปซุ่มไว้ เห็นจะไม่เหนื่อยเสียทีเปล่า

            ทหารทั้งปวงได้ฟังคำไขของขงเบ้งดังนั้นก็พากันคุกเข่าลงคำนับ แล้วกล่าวว่า “ถ้าเป็นใจข้าพเจ้าทั้งปวงนี้ ที่ไหนจะแข็งใจอยู่ได้ จะทิ้งเมืองเสียพากันหนีไป”

            ขงเบ้งจึงว่า หากแม้นไม่ข่มใจทำแล้วหนีไป ไหนเลยจะหนีพ้นกองทัพใหญ่ของสุมาอี้ได้ สุมาอี้มีทหารเป็นอันมาก ก็จะไล่ตามตีเหมือนแมวไล่จับหนูฉะนั้น กล่าวแล้วขงเบ้งก็ปรบมือหัวเราะอีกครั้งหนึ่ง

            ครู่หนึ่งขงเบ้งจึงกล่าวว่า สุมาอี้ยกกลับไปครั้งนี้ยังวางใจมิได้ก่อน พอได้คิดหรือได้ข่าวคราวชัดเจนก็อาจยกกลับมาอีกครั้งหนึ่ง ว่าแล้วขงเบ้งจึงสั่งให้รีบกวาดต้อนอพยพชาวเมืองและพาเสบียงอาหารยกกลับเข้าเมืองฮันต๋งแต่เพลานั้น

            ฝ่ายสุมาอี้คุมทหารหนีไปทางช่องเขาบุกองสัน ได้ยินเสียงทหารโห่ร้องดังก้องอยู่บนยอดเขาเป็นอันมาก และกำลังยกลงมาจากภูเขา สำคัญว่าขงเบ้งซุ่มทหารไว้ก็ตกใจ ทหารทั้งปวงก็หวาดกลัวเกรงว่าจะถูกซุ่มโจมตี พากันทิ้งศาสตราวุธและเสบียงอาหาร รีบหนีรุดหน้าไปอย่างรวดเร็ว

            พอกองทัพสุมาอี้พ้นออกมาจากจุดซุ่มหน่อยหนึ่งก็เห็นธงประจำกองทัพแคว้นจ๊กยกลงมาถึงเชิงเขาทั้งด้านขวาและด้านซ้าย ธงหนึ่งจารึกชื่อเตียวเปาเป็นแม่ทัพ อีกธงหนึ่งจารึกชื่อกวนหินเป็นแม่ทัพ ในขณะที่เสียงโห่ร้องยังดังกึกก้องอยู่บนภูเขา สุมาอี้สำคัญว่าขงเบ้งซุ่มทหารไว้เป็นจำนวนมาก จึงรีบสั่งทหารให้รีบหนีต่อไป

            กวนหินและเตียวเปาทำทีเป็นไล่ตามตีไม่ทันตามที่ขงเบ้งได้สั่งการไว้ ครั้นเห็นกองทัพสุมาอี้ยกไปไกลแล้วจึงเก็บเสบียงอาหารและอาวุธที่ทิ้งไว้ แล้วพาทหารล่าทัพกลับไปหาขงเบ้ง

            ฝ่ายโจจิ๋นซึ่งรักษาเมืองไปเซีย พอทราบข่าวว่าขงเบ้งถอยทัพก็รีบยกทหารเพื่อจะไล่ตามตีกองทัพของขงเบ้ง แต่ยกมาได้กลางทางก็ถูกกองทัพของเกียงอุยและม้าต้ายซึ่งขงเบ้งสั่งให้เป็นกองระวังหลังตีสกัดไว้ ทหารของเกียงอุยและม้าต้ายตั้งซุ่มมั่นอยู่ก่อนจึงเป็นฝ่ายได้เปรียบ ฆ่าฟันทหารโจจิ๋นบาดเจ็บล้มตายลงเป็นอันมาก

            โจจิ๋นเห็นจะสู้ไม่ได้ จึงสั่งให้ทหารถอยทัพกลับเข้าไปตั้งอยู่ในเมืองไปเซียดังเก่า เกียงอุยและม้าต้ายเห็นโจจิ๋นถอยทัพกลับไปแล้ว จึงยกทหารตามกองทัพของขงเบ้งกลับไปเมืองฮันต๋ง

            ฝ่ายจูล่งและเตงจี๋ซึ่งขงเบ้งสั่งให้ยกมาตั้งอยู่ที่ตำบลกิก๊ก ครั้นได้ทราบหนังสือที่ขงเบ้งให้ทหารถือมาแจ้งว่าจะล่าถอยทัพกลับไปเมืองฮันต๋ง ให้รีบถอยทัพตามไป จึงปรึกษากันว่า เมื่อกองทัพหลวงถอยกลับไปเมืองฮันต๋งแล้ว กองทัพสุมาอี้คงจะยกกลับมาทางตำบลกิก๊ก จำจะคิดกลอุบายเพื่อพาทหารกลับไปเมืองฮันต๋งโดยปลอดภัย เตงจี๋จึงว่าจูล่งท่านเป็นผู้ชำนาญการศึก จะมีความคิดเห็นเป็นประการใด

            จูล่งจึงมอบธงประจำตัว “จูล่งชาวเสียงสาน” ให้กับเตงจี๋ แล้วว่าให้ท่านนำธงประจำตัวเราถอยไปก่อน หากสุมาอี้ไล่ติดตามก็ให้พาทหารหนีไปตามเส้นทางใหญ่ เราจะคุมทหารอีกกองหนึ่งเคลื่อนย้ายขนานไปในราวป่า เมื่อทหารสุมาอี้ไล่ตามตีเราก็จะยกทหารออกตีกระหนาบ เห็นว่ากองทัพสุมาอี้จะแตกหนีไป

            เตงจี๋ได้ฟังแผนการของจูล่งก็เห็นด้วย สองนายทหารจึงแบ่งทหารออกเป็นสองกอง กองหนึ่งเตงจี๋เป็นนายทัพคุมไปตามทางหลวง อีกกองหนึ่งจูล่งคุมซุ่มเดินทางในราวป่า

            ฝ่ายโกฉุยซึ่งสุมาอี้สั่งให้ยกมาตีสกัดกองทัพของจูล่งที่ตำบลกิก๊ก ครั้นทราบว่าจูล่งและเตงจี๋กำลังล่าถอยทัพกลับไปเมืองฮันต๋ง ก็คุมทหารออกไล่ตามตี และสั่งให้เชาหูเป็นกองหน้า

            โกฉุยได้กำชับเชาหูว่า “ตัวท่านคุมทหารกองหน้าไปบัดนี้ จงดูอัชฌาสัยอย่าประมาทแก่ข้าศึก ถ้าเห็นทหารจูล่งหนีแล้ว จงอย่าได้กระชั้นไล่ขึ้นไป รอรั้งทหารดูท่วงทีก่อน ด้วยจูล่งนั้นเป็นคนเจ้าความคิด มักแต่งกลลวงข้าศึกให้เสียที แล้วก็มีฝีมือเข้มแข็งนัก ให้เร่งถอยเสีย”

            เชาหูเป็นนายทหารหนุ่ม ไม่เคยประหรือเห็นฝีมือของจูล่งมาแต่ก่อน ได้ยินแต่กิตติศัพท์ว่าจูล่งในบัดนี้มีอายุเจ็ดสิบปีเศษแล้ว ได้ฟังคำของโกฉุยจึงท้วงว่าจะปรารมภ์อะไรกับฝีมือของคนแก่แบบจูล่ง ขอท่านจงยกทหารหนุนไปให้ทันท่วงทีเถิด แม้นปะทะกับจูล่งแล้วข้าพเจ้าก็จะจับทหารแก่ๆ มามอบแก่ท่านให้จงได้

            ครั้นจัดแจงทหารเสร็จแล้วเชาหูจึงเป็นกองหน้ายกไล่ตามกองทัพของจูล่ง ในขณะที่โกฉุยก็ยกทหารเป็นกองหนุนตามเชาหูไป

            เชาหูคุมทหารยกไปตามทางหลวง พอทันกับทหารของเตงจี๋ เห็นธงประจำตัวนายทัพจารึกชื่อว่าจูล่ง ก็สำคัญว่าเป็นกองทัพของจูล่ง จึงขับทหารให้ไล่ตามตี

            เตงจี๋รู้ว่าถูกตามตีก็สั่งทหารให้รีบหนี เชาหูเห็นได้ทีก็พาทหารไล่ตามไปเป็นระยะทางถึงสามสิบเส้น ในทันใดนั้นก็ได้ยินเสียงประทัดสัญญาณดังขึ้นจากแนวป่า แล้วมีกองทหารจ๊กก๊กกองหนึ่งยกออกมา ตัวนายทัพหนวดเคราขาวโพลน ร้องตะโกนตามหลังมาว่าตัวกูชื่อจูล่งอยู่นี่แล้ว

            เชาหูได้ยินเสียงก็หยุดม้าหันหลังกลับไปมอง ในพลันนั้นก็ตกใจเพราะทหารแก่คนหนึ่งซึ่งได้ยินเสียงอยู่แต่ไกลเมื่อครู่นี้ได้ขับม้าปรี่เข้ามาถึงตัวอย่างรวดเร็ว เชาหูไม่ทันจะชักม้าหันกลับเข้าเผชิญหน้ากับจูล่ง ก็ถูกจูล่งเอาทวนแทงตกม้าตาย

            ทหารวุยก๊กเห็นนายทัพเสียทีถูกฆ่าในพริบตาก็พากันแตกตื่นตกใจ วิ่งหนีกระจัดกระจายไปทุกทิศทาง จูล่งเห็นดังนั้นจึงพาทหารตามไปสมทบกับทหารของเตงจี๋

            ฝ่ายโกฉุยยกทหารหนุนตามเชาหูมา ครั้นได้ยินเสียงสู้รบดังขึ้นที่กองหน้า จึงสั่งให้บั้นเจ้งรีบคุมทหารรีบหนุนไป

            จูล่งเห็นทหารไล่ตามมาข้างหลัง ก็เร่งทหารให้รุดไปข้างหน้าก่อน ตัวจูล่งผู้เดียวชักม้าหันกลับมายืนขวางทางไว้ ในมือถือทวนเป็นสง่าอยู่บนหลังม้า

            บั้นเจ้งยกทหารตามมาใกล้ถึงตัวจูล่ง แม้เห็นว่าจูล่งยามนี้จะอยู่ในวัยชรา อายุกว่าเจ็ดสิบปีแล้ว แต่ท่วงท่าซึ่งยืนม้าถือทวนเป็นสง่าขวางอยู่กลางทางนั้นองอาจราวกับทหารเทพยดาก็รู้สึกครั่นคร้าม ประกอบกับบั้นเจ้งเคยได้ยินกิตติศัพท์จูล่งรบกับทหารของโจโฉร่วมร้อยหมื่นที่สะพานเตียงปันก็ยิ่งพรั่นใจ ไม่กล้ายกทหารรุดหน้าต่อไป

            จูล่งเห็นบั้นเจ้งคุมทหารหยุดอยู่กับที่ก็ยืนม้าสงบนิ่งเป็นปกติอยู่ เปลี่ยนเอาทวนมาถือไว้ในมือที่ถือบังเหียนม้า แล้วเอามือข้างขวาลูบหนวด แหงนหน้ามองท้องฟ้า แล้วจ้องมองมาที่บั้นเจ้ง บั้นเจ้งเห็นจูล่งมองมาก็พรั่นใจ สั่งทหารให้ระวังตัว เพราะไม่แน่แก่ใจว่าจูล่งจะปรี่ม้ารุดมาหรือไม่

            จูล่งเห็นบั้นเจ้งยืนม้าเกร็งอยู่จนถึงเวลาเย็น เป็นที่แน่แก่ใจแล้วว่าบั้นเจ้งจะไม่กล้าติดตาม จึงควบม้าอย่างช้า ๆ ตามเตงจี๋ไปจนลับหายไปในความมืด

            พอเวลาค่ำโกฉุยยกทหารมาถึง บั้นเจ้งจึงเข้าไปรายงานว่าข้าพเจ้ายกทหารตามมาพบกับจูล่ง เห็นจูล่งแต่ผู้เดียวยืนม้าขวางทางอยู่จึงไม่กล้าโจมตี ด้วยเกรงว่าจูล่งจะซุ่มทหารไว้ข้างทางแล้วจะเสียที

            โกฉุยได้ฟังดังนั้นจึงเร่งพาบั้นเจ้งและทหารยกตามจูล่งไป สั่งให้บั้นเจ้งเป็นกองหน้า โกฉุยเป็นกองหนุน พอกองหน้าของบั้นเจ้งมาถึงซอกเขาแห่งหนึ่งก็ได้ยินเสียงตวาดดังสนั่นประดุจฟ้าผ่าว่าตัวกูคือจูล่ง มารอส่งมึงไปยมโลก

            บั้นเจ้งได้ยินเสียงก็ตกตะลึง แต่ไม่ทันที่จะทำการประการใด จูล่งก็น้าวเกาทัณฑ์ยิงไปถูกหมวกของบั้นเจ้งหลุดออกจากศีรษะตกลงที่เท้าม้า ในพริบตานั่นเองจูล่งก็ควบม้ามาถึงตัว เอาปลายทวนจ่อที่ทรวงอกของบั้นเจ้ง แล้วตะคอกขึ้นด้วยเสียงอันดังว่า “แม้จะฆ่ามึงเสียบัดนี้ก็เหมือนฆ่าสตรี หาต้องการไม่ กูปล่อยเสียให้ทานชีวิต แล้วมึงเร่งกลับไปบอกให้นายมึงรีบยกกลับมาสู้กับกูเถิด กูจะคอยท่าอยู่”

            กล่าวแล้วจูล่งก็เอาปลายทวนดันไปที่เกราะของบั้นเจ้งแต่เบา ๆ บั้นเจ้งรู้ทีว่าจูล่งปล่อยตัวและให้รีบกลับไป ก็มีความยินดีว่าชีวิตได้รอดพ้นมาจากเงื้อมมือมัจจุราชจึงคำนับขอบคุณจูล่งแล้วรีบขี่ม้าพาทหารกลับไปหาโกฉุย รายงานความทั้งปวงให้ทราบ

            โกฉุยแม้เป็นทหารมีฝีมือ แต่ก็คร้ามเกรงกิตติศัพท์ของจูล่งเป็นอันมาก ดังนั้นตลอดทางจึงผลักดันให้บั้นเจ้งเป็นกองหน้า ครั้นได้ฟังรายงานของบั้นเจ้งก็คิดว่าบัดนี้เป็นเวลาค่ำแล้ว มิรู้ว่าจูล่งจะหลบซุ่มอยู่ที่ใด มาตรแม้นยกตามจูล่งไป ฝีมือเราก็สู้จูล่งไม่ได้ เห็นทีจะถึงแก่ความตายเป็นแน่

            โกฉุยคิดดังนั้นจึงแสร้งกล่าวกับบั้นเจ้งว่า เวลานี้เป็นเวลาค่ำมืดแล้ว แลทหารข้าศึกก็มิรู้มากแลน้อย หากวู่วามก็จะผิดคำสั่งของท่านแม่ทัพสุมาอี้ ถ้าเสียทีก็ยิ่งต้องโทษประหารชีวิต กระนั้นเลยเราจะยกกองทัพกลับไปก่อน

            บั้นเจ้งรีบเห็นด้วย ซึ่งต้องอัชฌาสัยของโกฉุยยิ่งนัก ดังนั้นทั้งโกฉุยและบั้นเจ้งจึงรีบคุมทหารยกกลับไป

            ฝ่ายจูล่งยืนม้าซุ่มรออยู่เป็นเวลาช้านานไม่เห็นทหารวุยก๊กยกตามมา จึงขี่ม้าตาม เตงจี๋ไป เมื่อทันกันแล้วจูล่งยังคงขี่ม้าอยู่ด้านหลังทหารทั้งปวง คอยป้องกันระวังหลังมิให้กองทัพเป็นอันตรายจนล่วงเข้าแดนเมืองฮันต๋ง

            ฝ่ายสุมาอี้พาทหารหนีกลับไปอย่างร้อนรนจนไกลจากเมืองเสเสียถึงห้าร้อยเส้นก็ได้ทราบข่าวจากหน่วยสอดแนมว่า กองทัพของขงเบ้งได้ล่าถอยกลับสู่เมืองฮันต๋งหมดสิ้นแล้ว แต่ที่เมืองเสเสียยังพอมีเสบียงหลงเหลืออยู่เพราะขนไปไม่หมด

            สุมาอี้ได้ยินดังนั้นก็คิดจะยึดเอาเสบียงที่หลงเหลืออยู่ ประกอบทั้งใจใคร่รู้ว่ากระบวนการตั้งค่ายและบัญชาทหารของขงเบ้งเป็นกลอุบายประการใด จึงรีบพากองทัพยกกลับไปที่เมืองเสเสีย แล้วให้ทหารไปควบคุมตัวชาวบ้านมาสอบถามถึงการตั้งค่ายและการดำเนินการสงครามของขงเบ้งในระหว่างที่อยู่เมืองเสเสียว่าเป็นประการใด

            ชาวบ้านได้ให้การตรงกันว่า “เมื่อขงเบ้งยกทหารมาตั้งอยู่นั้นมีทหารสองพันห้าร้อย แต่ล้วนพลเรือน ทหารที่มีฝีมือนั้นก็หามีไม่ อนึ่งกวนหิน เตียวเปา ซึ่งไปตั้งอยู่ตำบลเขาบุกองสันนั้นเล่า ก็มีทหารนายละสามพัน ทำกลวิ่งสับสนเปลี่ยนกันไปหัวเขาท้ายเขา จะได้มีทหารอื่นซุ่มซ่อนอยู่นอกเหนือจากนั้นอีกก็หามิได้”

            สุมาอี้ไต่สวนฟังความสิ้นกระแสแล้วทอดถอนใจใหญ่ เอามือลูบอก พลางรำพึงว่า “เรามิรู้เท่าความคิดขงเบ้งเลย”.

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

ตัวอย่างกระทู้ธรรม ธรรมศึกษาชั้นตรี 5

I miss you all กับ I miss all of you ต่างกันอย่างไร

ปัญหาและเฉลยวิชาธรรม นักธรรมชั้นโท สอบในสนามหลวง วันเสาร์ ที่ ๑๙ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๔๘