ตอนที่ 527. จากการรุก...สู่การถอย
ม้าเจ๊กนักวิชาการซึ่งสุมาอี้กล่าวว่าเป็นผู้โฉดเขลา ไม่ฟังคำอองเป๋งที่ให้ตั้งค่ายสกัดกองทัพสุมาอี้ที่ปากทางห้าแยกเข้าตำบลเกเต๋ง กลับตั้งค่ายบนภูเขา จึงถูกสุมาอี้ล้อมภูเขาไว้ทุกด้าน และตัดทางน้ำดื่มน้ำกิน ทหารของม้าเจ๊กทนกระหายน้ำไม่ได้ก็พากันรวนเรระส่ำระสาย
พอเวลาใกล้บ่ายทหารของม้าเจ๊กซึ่งทนกระหายน้ำไม่ได้ก็ทยอยพากันลงมามอบตัวแก่สุมาอี้ เพื่อนทหารที่อยู่บนภูเขาเห็นเพื่อนทหารยอมเข้ากับสุมาอี้แล้วก็ยิ่งเสียน้ำใจ พากันลงมามอบตัวแก่สุมาอี้เป็นจำนวนมาก
สุมาอี้เห็นทหารของม้าเจ๊กบนภูเขาที่เหลืออยู่ไม่ยอมจำนนเป็นแน่แล้ว จึงสั่งทหารให้จุดเพลิงเผาป่าจากเนินเขาขึ้นไปข้างบน ควันเพลิงถูกลมพัดขึ้นไปบนยอดเขา ทหารม้าเจ๊กพากันสำลักควัน ไม่อาจทนอยู่ต่อไปได้ ม้าเจ๊กเห็นดังนั้นจึงสั่งทหารให้สู้ตาย แล้วคุมทหารตีฝ่าลงมาจากยอดเขา
สุมาอี้เห็นทหารของม้าเจ๊กตกอยู่ในลักษณะบ้าเลือด เกรงว่าหากให้ทหารเข้าต้านทานป้องกันก็จะสูญเสียกำลังโดยใช่เหตุ จึงสั่งให้ทหารเปิดทางปล่อยให้ม้าเจ๊กหนีไปทางด้านที่เตียวคับคุมทหารคอยสกัดอยู่
ม้าเจ๊กตีฝ่าหนีลงมาจากยอดเขาแล้วจะหนีไปทางค่ายของอองเป๋ง พอถึงกลางทางก็ถูกเตียวคับสกัดไว้ ทหารทั้งสองฝ่ายได้สู้รบกันเป็นสามารถ เสียงสู้รบของทหารทั้งสองฝ่ายได้ยินไปถึงกองทหารของอุยเอี๋ยน ซึ่งขงเบ้งใช้ให้ยกทหารไปซุ่มอยู่ด้านหลังตำบลเกเต๋ง อุยเอี๋ยนพอทราบความก็รีบยกทหารมาช่วย เห็นทหารของม้าเจ๊กและเตียวคับกำลังต่อสู้กันเป็นชุลมุนก็สั่งทหารให้โจมตีทหารของเตียวคับ
เตียวคับเห็นทหารจ๊กก๊กยกหนุนมาดังนั้นจึงสั่งทหารให้ล่าถอย อุยเอี๋ยนเห็นได้ทีก็สั่งทหารให้ไล่ตามตี จนกระทั่งเตียวคับพาทหารถอยร่นไปถึงกองทัพหลวงของสุมาอี้ สุมาอี้เห็นดังนั้นจึงสั่งทหารให้โจมตีทหารของอุยเอี๋ยน
เตียวคับเห็นกองทัพหลวงหนุนเข้าช่วยจึงสั่งทหารให้กลับเข้ารบกับอุยเอี๋ยน สามก๊กฉบับเจ้าพระยาพระคลัง (หน) ระบุว่า “อุยเอี๋ยนเข้าอยู่ในระหว่างกลาง รบพุ่งฆ่าฟันตะลุมบอนกันเป็นอลหม่าน ขณะนั้นทหารอุยเอี๋ยนตายในที่รบกึ่งหนึ่ง”
ฝ่ายอองเป๋งเมื่อถอยกลับเข้าค่ายแล้ว ครั้นทราบว่ากองทัพของอุยเอี๋ยนยกมาช่วยม้าเจ๊กจึงยกทหารออกจากค่ายจะไปช่วยสมทบอีกแรงหนึ่ง ครั้นเห็นทหารของอุยเอี๋ยนและม้าเจ๊กกำลังสู้รบกับทหารของสุมาอี้ จึงสั่งทหารให้โจมตีทหารของสุมาอี้ อุยเอี๋ยนกำลังถูกทหารของสุมาอี้ล้อมอยู่ในระหว่างกลาง พอเห็นอองเป๋งยกทหารมาช่วยก็มีความยินดี
สุมาอี้กำลังคุมทหารให้ล้อมโจมตีทหารของอุยเอี๋ยนและม้าเจ๊ก แต่จู่ ๆ ก็ถูกทหารอีกกองหนึ่งยกตีกระหนาบเข้ามาทางด้านหลัง ก็ประหวั่นว่าจะถูกกลอุบายของขงเบ้ง จึงสั่งทหารให้ล่าถอย
เมื่อกองทัพของอุยเอี๋ยนได้บรรจบกับกองทัพของอองเป๋งแล้ว สองนายทหารจึงเข้ามาสวมกอดแสดงความยินดีแก่กันและกัน สามก๊กฉบับเจ้าพระยาพระคลัง (หน) ได้พรรณนาความหลังจากกองทัพทั้งสองได้บรรจบกันแล้วว่า “สองนายทหารก็คุมทหารบรรจบกันระดมตีกองทัพสุมาอี้ ฆ่าฟันทหารล้มตายลงเกลื่อนทั้งสองข้าง”
ครั้นอุยเอี๋ยนเห็นกองทัพสุมาอี้หนีพ้นจากการติดตามแล้ว จึงพากันกลับไปค่ายของอองเป๋ง แต่พอเข้าไปใกล้ค่ายก็เห็นภายในค่ายปักธงทิวปลิวไสวเกลื่อนไปด้วยธงของวุยก๊ก เนื่องจากซินต๋ำและซินหงีซึ่งรับคำสั่งจากสุมาอี้ให้ยกทหารมาซุ่มอยู่หน้าค่ายได้ยกกำลังเข้ายึดเอาค่ายอองเป๋งไว้ได้ ทั้งสองนายทหารจึงหันมาปรึกษากันว่าจะคิดอ่านประการใด
อุยเอี๋ยนจึงเสนอให้ยกทหารไปที่เมืองหลิวเซียเพื่อบรรจบกองทัพกับกองทัพของโกเสียง ซึ่งขงเบ้งใช้ให้มาช่วยรักษาเมืองหลิวเซีย คอยหนุนช่วยม้าเจ๊ก อองเป๋งและม้าเจ๊กเห็นชอบกับข้อเสนอของอุยเอี๋ยน จึงยกทหารไปที่เมืองหลิวเซีย
ในขณะนั้นโกเสียงซึ่งรักษาเมืองหลิวเซียทราบว่ากองทัพจ๊กก๊กที่รักษาเกเต๋งปะทะกับกองทัพของสุมาอี้ จึงยกทหารออกจากเมืองเพื่อจะหนุนช่วยกองทัพจ๊กก๊ก จึงสวนทางกับอุยเอี๋ยน สี่นายทหารจึงปรึกษากันว่าจะยกกองทัพเข้าชิงเอาตำบลเกเต๋งกลับคืนในคืนวันนี้
ครั้นปรึกษาเห็นชอบพร้อมกันแล้ว อุยเอี๋ยน อองเป๋ง และโกเสียงจึงจัดทหารเป็นสามกอง แยกกันคุมคนละกอง ให้ม้าเจ๊กไปกับกองทหารของอองเป๋ง ให้อุยเอี๋ยนเป็นกองหน้า อองเป๋งและโกเสียงเป็นกองหนุนยกตามไป
ฝ่ายสุมาอี้ครั้นล่าถอยจากการโจมตีของทหารจ๊กก๊กแล้ว จึงพาทหารไปตั้งค่ายที่ตำบลเกเต๋ง แล้วเรียกบรรดาแม่ทัพนายกองทั้งปวงมาปรึกษาว่ากองทัพเรายึดตำบลเกเต๋งได้แล้ว ชะรอยคืนนี้ทหารขงเบ้งจะยกกองทัพมาชิงเอาตำบลเกเต๋งกลับคืน ดังนั้นจึงให้ทหารทั้งปวงยกออกไปตั้งซุ่มอยู่นอกค่ายทั้งสี่ด้าน ถ้าทหารจ๊กก๊กยกมาปล้นค่ายก็ให้ตีกระหนาบเข้ามาพร้อมกัน
พอเวลาค่ำลงสุมาอี้ก็คุมทหารยกออกไปซุ่มอยู่นอกค่ายตามแผนการที่ได้วางไว้นั้น ครั้นเวลาปลายยามหนึ่งกองทัพหน้าของอุยเอี๋ยนยกมาถึงค่ายของสุมาอี้ ก็รู้สึกประหลาดใจเพราะภายในค่ายเงียบสนิทดุจดังค่ายร้าง ไม่มีฟืนไฟตามปกติ ก็รวนเรอยู่ว่าจะทำประการใด พอดีโกเสียงยกกองทัพหนุนตามมา แต่อองเป๋งนั้นเป็นกองหลังยังยกมาไม่ถึง
ในพลันนั้นเสียงประทัดสัญญาณก็ดังกึกก้องขึ้นทั้งสี่ด้าน เสียงทหารวุยก๊กโห่ร้องก้องฝ่าความมืด แล้วจุดคบเพลิงยกตีกระหนาบเข้ามาพร้อมกันทั้งสี่ด้านล้อมโกเสียงกับอุยเอี๋ยนไว้
อุยเอี๋ยนและโกเสียงเห็นดังนั้นจึงสั่งทหารให้สู้รบกับทหารวุยก๊ก ทั้งสองฝ่ายได้ต่อสู้กันเป็นสามารถ บาดเจ็บล้มตายลงเป็นอันมาก พอดีอองเป๋งยกกองทัพหนุนตามมาถึง เห็นทหารทั้งสองฝ่ายต่อสู้กัน จึงสั่งทหารให้จุดประทัดตีม้าล่อดังสนั่นหวั่นไหวทำให้เห็นว่ามีทหารเป็นอันมาก แล้วสั่งทหารให้ตีหักวงล้อมของทหารวุยก๊ก เข้าไปแก้เอาอุยเอี๋ยนและอองเป๋งออกจากที่ล้อมได้ แล้วพากันหนีไปทางเมืองหลิวเซีย
ฝ่ายโจจิ๋นซึ่งพระเจ้าโจยอยสั่งให้ยกทหารไปรักษาเมืองไปเซีย ได้รับหนังสือของสุมาอี้ให้ตั้งมั่นอยู่ในเมืองแล้ว จึงคอยติดตามความเคลื่อนไหวการสงครามอยู่อย่างใกล้ชิด ครั้นได้ทราบข่าวว่าสุมาอี้ได้ตำบลเกเต๋งแล้ว ก็คิดริษยาว่าสุมาอี้ทำการได้ตำบลเกเต๋งจะมีความชอบเป็นอันมาก ซึ่งสุมาอี้มีหนังสือมาให้เราตั้งมั่นอยู่ในเมืองเป็นการกีดกันมิให้ทำความชอบในการสงคราม
โจจิ๋นคิดดังนั้นแล้วมีดำริที่จะยกกองทัพไปตีเมืองหลิวเซียหวังจะได้ความชอบในทางราชการในการสงครามครั้งนี้ จึงตั้งให้โกฉุยเป็นแม่ทัพยกทหารไปตีเมืองหลิวเซีย
โกฉุยยกทหารมาถึงกลางทางก็พบกับกองทัพของโกเสียง อองเป๋งและอุยเอี๋ยนซึ่งแตกหนีมา ทั้งสองฝ่ายจึงต่อสู้กันเป็นสามารถ
โกเสียงเห็นทหารของโกฉุยมีเป็นจำนวนมากไม่อาจต้านทานได้ จึงพาทหารหนีไปทางด่านยังเผงก๋วน โกฉุยเห็นดังนั้นก็มิได้ไล่ตามตี และพาทหารตรงไปที่เมืองหลิวเซียตามคำสั่งของโจจิ๋น แต่พอยกไปใกล้กำแพงเมืองก็เห็นบนกำแพงเมืองประดับประดาด้วยธงทิวของวุยก๊กก็ประหลาดใจ
โกฉุยยกทหารเข้าไปใกล้ประตูเมืองก็เห็นสุมาอี้เยี่ยมหน้าออกมาจากหอรบ หัวเราะร่วนแล้วกล่าวกับโกฉุยว่า เราลอบยกมาชิงเอาเมืองหลิวเซียได้ก่อนนานแล้ว “ไฉนโกฉุยท่านจึงยกมาช้าล้าหลังฉะนี้เล่า”
โกฉุยเห็นดังนั้นก็คิดละอายแก่ใจ แต่เลื่อมใสว่าสุมาอี้นี้มีสติปัญญาในการสงครามราวกับเทพยดา ตัวเรามีสติปัญญาน้อย ไม่อาจเทียบกับสุมาอี้ได้ ตระหนักดังนั้นแล้วโกฉุยจึงพาทหารเข้าไปในเมือง แล้วเข้าไปคำนับสุมาอี้ตามธรรมเนียม
สุมาอี้เห็นดังนั้นก็รับคำนับทักทายแล้วกล่าวว่า เรารู้ว่าโกเสียงยกทหารจากเมืองหลิวเซียไปช่วยพรรคพวกที่ตำบลเกเต๋ง เมืองหลิวเซียจึงว่างอยู่ เราจึงรีบยกมายึดเอาได้โดยง่าย แลตำบลเกเต๋งนี้เป็นจุดยุทธศาสตร์สำคัญ เมื่อเราได้ตำบลเกเต๋งแล้วกองทัพของขงเบ้งก็ไม่อาจตั้งอยู่ในแดนวุยก๊กต่อไปได้ เห็นจะยกทัพกลับเมือง ฮันต๋งเป็นมั่นคง ฉะนั้นจึงให้ท่านกลับไปบอกโจจิ๋นให้ช่วยกันติดตามโจมตีขงเบ้ง แล้วจับตัวขงเบ้งให้จงได้
โกฉุยรับคำสุมาอี้แล้วคำนับลากลับไปเมืองไปเซีย พอโกฉุยกลับไปแล้วสุมาอี้จึงกล่าวกับเตียวคับว่าโจจิ๋นริษยาเรา คิดจะแบ่งเอาความชอบบ้าง จึงใช้ให้โกฉุยยกมาตีเมืองหลิวเซีย “ตัวเราเล่าก็มิได้ตั้งใจที่จะเอาความชอบแต่ผู้เดียว เป็นบุญของเราก็ได้ตลอดโดยสะดวกเอง แลบัดนี้โกเสียง อุยเอี๋ยน อองเป๋ง ม้าเจ๊ก สี่คนแตกไปนั้น เห็นจะเข้าไปตั้งอยู่ด่านยังเผงก๋วน ครั้นเราจะยกไปตีบัดนี้เล่าก็เกรงขงเบ้งจะยกทหารตีประทับหลังเข้าจะเสียที ท่านจงคุมทหารยกไปตั้งสกัดอยู่กลางทางที่จะเข้าไปยังด่านยังเผงก๋วน”
แล้วสุมาอี้จึงกล่าวสืบไปว่าซึ่งขงเบ้งจะถอยทัพกลับเมืองฮันต๋งนั้น แม้ไม่ไปทางด่านยังเผงก๋วนก็จะไปทางเมืองเสเสีย แต่เมืองเสเสียนั้นได้ซ่องสุมเสบียงไว้เป็นอันมาก ตัวเราจะยกไปตีเมืองเสเสียเอง หากได้เมืองเสเสียแล้วก็จะได้เมืองลำอั๋น และเมืองเทียนซุยด้วย ให้ท่านยกไปตั้งอยู่ระหว่างทางที่จะไปด่านยังเผงก๋วน ถ้าพบขงเบ้งถอยกลับไป ก็ให้ยกทหารเข้าโจมตีและจับตัวขงเบ้งให้จงได้
เตียวคับรับคำสุมาอี้แล้วจึงคำนับลาออกไปจัดแจงทหารแล้วยกไปตั้งซุ่มอยู่ที่กลางทางซึ่งจะไปยังด่านยังเผงก๋วน
พอเตียวคับออกไปแล้ว สุมาอี้จึงตั้งให้ซินต๋ำและซินหงีอยู่รักษาเมืองหลิวเซีย ส่วนสุมาอี้คุมกองทัพหลวงยกไปที่เมืองเสเสีย
ฝ่ายทหารของอองเป๋งซึ่งอองเป๋งสั่งให้ถือแผนที่นำไปมอบให้แก่ขงเบ้งที่เขากิสานนั้น ครั้นเข้าไปพบขงเบ้งแล้วจึงรายงานว่าอองเป๋งใช้ให้เอาแผนที่การตั้งค่ายของม้าเจ๊กและภูมิประเทศตำบลเกเต๋งมามอบแก่มหาอุปราช
ขงเบ้งรับเอาแผนที่ออกมาคลี่ดู สามก๊กฉบับเจ้าพระยาพระคลัง (หน) พรรณนาว่า ในพลันที่ขงเบ้งเห็นแผนที่ ก็เอามือทุบโต๊ะดังปัง! กระทืบเท้าเดินวนไปวนมา แล้วกล่าวว่า “ไฉนม้าเจ๊กจึงไปตั้งค่ายบนเขาฉะนี้ แม้ข้าศึกยกมาล้อมไว้ปิดทางน้ำเสีย ทหารทั้งปวงก็จะเกิดจลาจลกันขึ้นเอง จะมิเสียการแล้วหรือ ทำทั้งนี้จะแกล้งฆ่าทหารเราตายสิ้น”
เอียวหงีเห็นขงเบ้งวุ่นวายใจดังนั้นจึงกล่าวว่า แม้นม้าเจ๊กทำการไม่ถูกต้อง ก็ขอให้มหาอุปราชเรียกตัวม้าเจ๊กกลับมา ข้าพเจ้าจะขออาสาไปรักษาตำบลเกเต๋งเอง
ขงเบ้งได้ฟังดังนั้นจึงเดินไปที่โต๊ะหนังสือ เขียนคำสั่งเรียกตัวม้าเจ๊กกลับมาที่เขากิสาน และตั้งให้เอียวหงีเป็นผู้รักษาตำบลเกเต๋งแทน แล้วจัดทหารให้เอียวหงีรีบยกไปที่ตำบลเกเต๋งตั้งแต่เพลานั้น
อยู่มาวันหนึ่งหน่วยสอดแนมได้เข้ามารายงานแก่ขงเบ้งว่า บัดนี้ตำบลเกเต๋งและเมืองหลิวเซียเสียแก่สุมาอี้แล้ว ขงเบ้งพอได้ยินก็ลุกขึ้นกระทืบเท้า หมุนตัวไปมาแล้วร้องไห้ พลางกล่าวว่า “การใหญ่ของเราครั้งนี้เสียแล้ว จะเสียทหารทั้งปวงสิ้น”
ขงเบ้งหยุดตรึกตรองอยู่ครู่หนึ่ง จึงเรียกกวนหินและเตียวเปาเข้ามาหา แล้วสั่งว่าเจ้าทั้งสองจงคุมทหารคนละสามพันยกไปตั้งซุ่มอยู่ที่สองข้างทางน้อยริมเขาบุกองสัน และกำชับว่า “ถ้าเห็นทหารสุมาอี้ยกมาก็อย่าให้ออกรบพุ่งเลย แต่ตีม้าล่อโห่ร้องไว้ให้กลัว แม้ว่าทหารสุมาอี้กลับถอยไปก็อย่าให้ติดตาม จงยกทหารรีบไปยังด่านยังเผงก๋วน”
กวนหินและเตียวเปาได้ยินและได้เห็นอาการของขงเบ้งมีลักษณะร้อนใจผิดไปจากแต่ก่อนก็รีบรับคำ แล้วคำนับลาออกไปจัดแจงทหารยกไปตามคำสั่งของขงเบ้งแต่เวลานั้น
พอกวนหินและเตียวเปาออกไปแล้ว ขงเบ้งจึงเรียกแม่ทัพนายกองทั้งปวงเข้ามาปรึกษาว่า บัดนี้เราเสียตำบลเกเต๋งแล้ว ไม่อาจตั้งอยู่ในแดนวุยก๊กได้ต่อไป จำจะต้องถอยทัพกลับไปเมืองฮันต๋ง แต่การถอยทัพกลับยิ่งยากกว่าการบุกโจมตีมากมายนัก.
พอเวลาใกล้บ่ายทหารของม้าเจ๊กซึ่งทนกระหายน้ำไม่ได้ก็ทยอยพากันลงมามอบตัวแก่สุมาอี้ เพื่อนทหารที่อยู่บนภูเขาเห็นเพื่อนทหารยอมเข้ากับสุมาอี้แล้วก็ยิ่งเสียน้ำใจ พากันลงมามอบตัวแก่สุมาอี้เป็นจำนวนมาก
สุมาอี้เห็นทหารของม้าเจ๊กบนภูเขาที่เหลืออยู่ไม่ยอมจำนนเป็นแน่แล้ว จึงสั่งทหารให้จุดเพลิงเผาป่าจากเนินเขาขึ้นไปข้างบน ควันเพลิงถูกลมพัดขึ้นไปบนยอดเขา ทหารม้าเจ๊กพากันสำลักควัน ไม่อาจทนอยู่ต่อไปได้ ม้าเจ๊กเห็นดังนั้นจึงสั่งทหารให้สู้ตาย แล้วคุมทหารตีฝ่าลงมาจากยอดเขา
สุมาอี้เห็นทหารของม้าเจ๊กตกอยู่ในลักษณะบ้าเลือด เกรงว่าหากให้ทหารเข้าต้านทานป้องกันก็จะสูญเสียกำลังโดยใช่เหตุ จึงสั่งให้ทหารเปิดทางปล่อยให้ม้าเจ๊กหนีไปทางด้านที่เตียวคับคุมทหารคอยสกัดอยู่
ม้าเจ๊กตีฝ่าหนีลงมาจากยอดเขาแล้วจะหนีไปทางค่ายของอองเป๋ง พอถึงกลางทางก็ถูกเตียวคับสกัดไว้ ทหารทั้งสองฝ่ายได้สู้รบกันเป็นสามารถ เสียงสู้รบของทหารทั้งสองฝ่ายได้ยินไปถึงกองทหารของอุยเอี๋ยน ซึ่งขงเบ้งใช้ให้ยกทหารไปซุ่มอยู่ด้านหลังตำบลเกเต๋ง อุยเอี๋ยนพอทราบความก็รีบยกทหารมาช่วย เห็นทหารของม้าเจ๊กและเตียวคับกำลังต่อสู้กันเป็นชุลมุนก็สั่งทหารให้โจมตีทหารของเตียวคับ
เตียวคับเห็นทหารจ๊กก๊กยกหนุนมาดังนั้นจึงสั่งทหารให้ล่าถอย อุยเอี๋ยนเห็นได้ทีก็สั่งทหารให้ไล่ตามตี จนกระทั่งเตียวคับพาทหารถอยร่นไปถึงกองทัพหลวงของสุมาอี้ สุมาอี้เห็นดังนั้นจึงสั่งทหารให้โจมตีทหารของอุยเอี๋ยน
เตียวคับเห็นกองทัพหลวงหนุนเข้าช่วยจึงสั่งทหารให้กลับเข้ารบกับอุยเอี๋ยน สามก๊กฉบับเจ้าพระยาพระคลัง (หน) ระบุว่า “อุยเอี๋ยนเข้าอยู่ในระหว่างกลาง รบพุ่งฆ่าฟันตะลุมบอนกันเป็นอลหม่าน ขณะนั้นทหารอุยเอี๋ยนตายในที่รบกึ่งหนึ่ง”
ฝ่ายอองเป๋งเมื่อถอยกลับเข้าค่ายแล้ว ครั้นทราบว่ากองทัพของอุยเอี๋ยนยกมาช่วยม้าเจ๊กจึงยกทหารออกจากค่ายจะไปช่วยสมทบอีกแรงหนึ่ง ครั้นเห็นทหารของอุยเอี๋ยนและม้าเจ๊กกำลังสู้รบกับทหารของสุมาอี้ จึงสั่งทหารให้โจมตีทหารของสุมาอี้ อุยเอี๋ยนกำลังถูกทหารของสุมาอี้ล้อมอยู่ในระหว่างกลาง พอเห็นอองเป๋งยกทหารมาช่วยก็มีความยินดี
สุมาอี้กำลังคุมทหารให้ล้อมโจมตีทหารของอุยเอี๋ยนและม้าเจ๊ก แต่จู่ ๆ ก็ถูกทหารอีกกองหนึ่งยกตีกระหนาบเข้ามาทางด้านหลัง ก็ประหวั่นว่าจะถูกกลอุบายของขงเบ้ง จึงสั่งทหารให้ล่าถอย
เมื่อกองทัพของอุยเอี๋ยนได้บรรจบกับกองทัพของอองเป๋งแล้ว สองนายทหารจึงเข้ามาสวมกอดแสดงความยินดีแก่กันและกัน สามก๊กฉบับเจ้าพระยาพระคลัง (หน) ได้พรรณนาความหลังจากกองทัพทั้งสองได้บรรจบกันแล้วว่า “สองนายทหารก็คุมทหารบรรจบกันระดมตีกองทัพสุมาอี้ ฆ่าฟันทหารล้มตายลงเกลื่อนทั้งสองข้าง”
ครั้นอุยเอี๋ยนเห็นกองทัพสุมาอี้หนีพ้นจากการติดตามแล้ว จึงพากันกลับไปค่ายของอองเป๋ง แต่พอเข้าไปใกล้ค่ายก็เห็นภายในค่ายปักธงทิวปลิวไสวเกลื่อนไปด้วยธงของวุยก๊ก เนื่องจากซินต๋ำและซินหงีซึ่งรับคำสั่งจากสุมาอี้ให้ยกทหารมาซุ่มอยู่หน้าค่ายได้ยกกำลังเข้ายึดเอาค่ายอองเป๋งไว้ได้ ทั้งสองนายทหารจึงหันมาปรึกษากันว่าจะคิดอ่านประการใด
อุยเอี๋ยนจึงเสนอให้ยกทหารไปที่เมืองหลิวเซียเพื่อบรรจบกองทัพกับกองทัพของโกเสียง ซึ่งขงเบ้งใช้ให้มาช่วยรักษาเมืองหลิวเซีย คอยหนุนช่วยม้าเจ๊ก อองเป๋งและม้าเจ๊กเห็นชอบกับข้อเสนอของอุยเอี๋ยน จึงยกทหารไปที่เมืองหลิวเซีย
ในขณะนั้นโกเสียงซึ่งรักษาเมืองหลิวเซียทราบว่ากองทัพจ๊กก๊กที่รักษาเกเต๋งปะทะกับกองทัพของสุมาอี้ จึงยกทหารออกจากเมืองเพื่อจะหนุนช่วยกองทัพจ๊กก๊ก จึงสวนทางกับอุยเอี๋ยน สี่นายทหารจึงปรึกษากันว่าจะยกกองทัพเข้าชิงเอาตำบลเกเต๋งกลับคืนในคืนวันนี้
ครั้นปรึกษาเห็นชอบพร้อมกันแล้ว อุยเอี๋ยน อองเป๋ง และโกเสียงจึงจัดทหารเป็นสามกอง แยกกันคุมคนละกอง ให้ม้าเจ๊กไปกับกองทหารของอองเป๋ง ให้อุยเอี๋ยนเป็นกองหน้า อองเป๋งและโกเสียงเป็นกองหนุนยกตามไป
ฝ่ายสุมาอี้ครั้นล่าถอยจากการโจมตีของทหารจ๊กก๊กแล้ว จึงพาทหารไปตั้งค่ายที่ตำบลเกเต๋ง แล้วเรียกบรรดาแม่ทัพนายกองทั้งปวงมาปรึกษาว่ากองทัพเรายึดตำบลเกเต๋งได้แล้ว ชะรอยคืนนี้ทหารขงเบ้งจะยกกองทัพมาชิงเอาตำบลเกเต๋งกลับคืน ดังนั้นจึงให้ทหารทั้งปวงยกออกไปตั้งซุ่มอยู่นอกค่ายทั้งสี่ด้าน ถ้าทหารจ๊กก๊กยกมาปล้นค่ายก็ให้ตีกระหนาบเข้ามาพร้อมกัน
พอเวลาค่ำลงสุมาอี้ก็คุมทหารยกออกไปซุ่มอยู่นอกค่ายตามแผนการที่ได้วางไว้นั้น ครั้นเวลาปลายยามหนึ่งกองทัพหน้าของอุยเอี๋ยนยกมาถึงค่ายของสุมาอี้ ก็รู้สึกประหลาดใจเพราะภายในค่ายเงียบสนิทดุจดังค่ายร้าง ไม่มีฟืนไฟตามปกติ ก็รวนเรอยู่ว่าจะทำประการใด พอดีโกเสียงยกกองทัพหนุนตามมา แต่อองเป๋งนั้นเป็นกองหลังยังยกมาไม่ถึง
ในพลันนั้นเสียงประทัดสัญญาณก็ดังกึกก้องขึ้นทั้งสี่ด้าน เสียงทหารวุยก๊กโห่ร้องก้องฝ่าความมืด แล้วจุดคบเพลิงยกตีกระหนาบเข้ามาพร้อมกันทั้งสี่ด้านล้อมโกเสียงกับอุยเอี๋ยนไว้
อุยเอี๋ยนและโกเสียงเห็นดังนั้นจึงสั่งทหารให้สู้รบกับทหารวุยก๊ก ทั้งสองฝ่ายได้ต่อสู้กันเป็นสามารถ บาดเจ็บล้มตายลงเป็นอันมาก พอดีอองเป๋งยกกองทัพหนุนตามมาถึง เห็นทหารทั้งสองฝ่ายต่อสู้กัน จึงสั่งทหารให้จุดประทัดตีม้าล่อดังสนั่นหวั่นไหวทำให้เห็นว่ามีทหารเป็นอันมาก แล้วสั่งทหารให้ตีหักวงล้อมของทหารวุยก๊ก เข้าไปแก้เอาอุยเอี๋ยนและอองเป๋งออกจากที่ล้อมได้ แล้วพากันหนีไปทางเมืองหลิวเซีย
ฝ่ายโจจิ๋นซึ่งพระเจ้าโจยอยสั่งให้ยกทหารไปรักษาเมืองไปเซีย ได้รับหนังสือของสุมาอี้ให้ตั้งมั่นอยู่ในเมืองแล้ว จึงคอยติดตามความเคลื่อนไหวการสงครามอยู่อย่างใกล้ชิด ครั้นได้ทราบข่าวว่าสุมาอี้ได้ตำบลเกเต๋งแล้ว ก็คิดริษยาว่าสุมาอี้ทำการได้ตำบลเกเต๋งจะมีความชอบเป็นอันมาก ซึ่งสุมาอี้มีหนังสือมาให้เราตั้งมั่นอยู่ในเมืองเป็นการกีดกันมิให้ทำความชอบในการสงคราม
โจจิ๋นคิดดังนั้นแล้วมีดำริที่จะยกกองทัพไปตีเมืองหลิวเซียหวังจะได้ความชอบในทางราชการในการสงครามครั้งนี้ จึงตั้งให้โกฉุยเป็นแม่ทัพยกทหารไปตีเมืองหลิวเซีย
โกฉุยยกทหารมาถึงกลางทางก็พบกับกองทัพของโกเสียง อองเป๋งและอุยเอี๋ยนซึ่งแตกหนีมา ทั้งสองฝ่ายจึงต่อสู้กันเป็นสามารถ
โกเสียงเห็นทหารของโกฉุยมีเป็นจำนวนมากไม่อาจต้านทานได้ จึงพาทหารหนีไปทางด่านยังเผงก๋วน โกฉุยเห็นดังนั้นก็มิได้ไล่ตามตี และพาทหารตรงไปที่เมืองหลิวเซียตามคำสั่งของโจจิ๋น แต่พอยกไปใกล้กำแพงเมืองก็เห็นบนกำแพงเมืองประดับประดาด้วยธงทิวของวุยก๊กก็ประหลาดใจ
โกฉุยยกทหารเข้าไปใกล้ประตูเมืองก็เห็นสุมาอี้เยี่ยมหน้าออกมาจากหอรบ หัวเราะร่วนแล้วกล่าวกับโกฉุยว่า เราลอบยกมาชิงเอาเมืองหลิวเซียได้ก่อนนานแล้ว “ไฉนโกฉุยท่านจึงยกมาช้าล้าหลังฉะนี้เล่า”
โกฉุยเห็นดังนั้นก็คิดละอายแก่ใจ แต่เลื่อมใสว่าสุมาอี้นี้มีสติปัญญาในการสงครามราวกับเทพยดา ตัวเรามีสติปัญญาน้อย ไม่อาจเทียบกับสุมาอี้ได้ ตระหนักดังนั้นแล้วโกฉุยจึงพาทหารเข้าไปในเมือง แล้วเข้าไปคำนับสุมาอี้ตามธรรมเนียม
สุมาอี้เห็นดังนั้นก็รับคำนับทักทายแล้วกล่าวว่า เรารู้ว่าโกเสียงยกทหารจากเมืองหลิวเซียไปช่วยพรรคพวกที่ตำบลเกเต๋ง เมืองหลิวเซียจึงว่างอยู่ เราจึงรีบยกมายึดเอาได้โดยง่าย แลตำบลเกเต๋งนี้เป็นจุดยุทธศาสตร์สำคัญ เมื่อเราได้ตำบลเกเต๋งแล้วกองทัพของขงเบ้งก็ไม่อาจตั้งอยู่ในแดนวุยก๊กต่อไปได้ เห็นจะยกทัพกลับเมือง ฮันต๋งเป็นมั่นคง ฉะนั้นจึงให้ท่านกลับไปบอกโจจิ๋นให้ช่วยกันติดตามโจมตีขงเบ้ง แล้วจับตัวขงเบ้งให้จงได้
โกฉุยรับคำสุมาอี้แล้วคำนับลากลับไปเมืองไปเซีย พอโกฉุยกลับไปแล้วสุมาอี้จึงกล่าวกับเตียวคับว่าโจจิ๋นริษยาเรา คิดจะแบ่งเอาความชอบบ้าง จึงใช้ให้โกฉุยยกมาตีเมืองหลิวเซีย “ตัวเราเล่าก็มิได้ตั้งใจที่จะเอาความชอบแต่ผู้เดียว เป็นบุญของเราก็ได้ตลอดโดยสะดวกเอง แลบัดนี้โกเสียง อุยเอี๋ยน อองเป๋ง ม้าเจ๊ก สี่คนแตกไปนั้น เห็นจะเข้าไปตั้งอยู่ด่านยังเผงก๋วน ครั้นเราจะยกไปตีบัดนี้เล่าก็เกรงขงเบ้งจะยกทหารตีประทับหลังเข้าจะเสียที ท่านจงคุมทหารยกไปตั้งสกัดอยู่กลางทางที่จะเข้าไปยังด่านยังเผงก๋วน”
แล้วสุมาอี้จึงกล่าวสืบไปว่าซึ่งขงเบ้งจะถอยทัพกลับเมืองฮันต๋งนั้น แม้ไม่ไปทางด่านยังเผงก๋วนก็จะไปทางเมืองเสเสีย แต่เมืองเสเสียนั้นได้ซ่องสุมเสบียงไว้เป็นอันมาก ตัวเราจะยกไปตีเมืองเสเสียเอง หากได้เมืองเสเสียแล้วก็จะได้เมืองลำอั๋น และเมืองเทียนซุยด้วย ให้ท่านยกไปตั้งอยู่ระหว่างทางที่จะไปด่านยังเผงก๋วน ถ้าพบขงเบ้งถอยกลับไป ก็ให้ยกทหารเข้าโจมตีและจับตัวขงเบ้งให้จงได้
เตียวคับรับคำสุมาอี้แล้วจึงคำนับลาออกไปจัดแจงทหารแล้วยกไปตั้งซุ่มอยู่ที่กลางทางซึ่งจะไปยังด่านยังเผงก๋วน
พอเตียวคับออกไปแล้ว สุมาอี้จึงตั้งให้ซินต๋ำและซินหงีอยู่รักษาเมืองหลิวเซีย ส่วนสุมาอี้คุมกองทัพหลวงยกไปที่เมืองเสเสีย
ฝ่ายทหารของอองเป๋งซึ่งอองเป๋งสั่งให้ถือแผนที่นำไปมอบให้แก่ขงเบ้งที่เขากิสานนั้น ครั้นเข้าไปพบขงเบ้งแล้วจึงรายงานว่าอองเป๋งใช้ให้เอาแผนที่การตั้งค่ายของม้าเจ๊กและภูมิประเทศตำบลเกเต๋งมามอบแก่มหาอุปราช
ขงเบ้งรับเอาแผนที่ออกมาคลี่ดู สามก๊กฉบับเจ้าพระยาพระคลัง (หน) พรรณนาว่า ในพลันที่ขงเบ้งเห็นแผนที่ ก็เอามือทุบโต๊ะดังปัง! กระทืบเท้าเดินวนไปวนมา แล้วกล่าวว่า “ไฉนม้าเจ๊กจึงไปตั้งค่ายบนเขาฉะนี้ แม้ข้าศึกยกมาล้อมไว้ปิดทางน้ำเสีย ทหารทั้งปวงก็จะเกิดจลาจลกันขึ้นเอง จะมิเสียการแล้วหรือ ทำทั้งนี้จะแกล้งฆ่าทหารเราตายสิ้น”
เอียวหงีเห็นขงเบ้งวุ่นวายใจดังนั้นจึงกล่าวว่า แม้นม้าเจ๊กทำการไม่ถูกต้อง ก็ขอให้มหาอุปราชเรียกตัวม้าเจ๊กกลับมา ข้าพเจ้าจะขออาสาไปรักษาตำบลเกเต๋งเอง
ขงเบ้งได้ฟังดังนั้นจึงเดินไปที่โต๊ะหนังสือ เขียนคำสั่งเรียกตัวม้าเจ๊กกลับมาที่เขากิสาน และตั้งให้เอียวหงีเป็นผู้รักษาตำบลเกเต๋งแทน แล้วจัดทหารให้เอียวหงีรีบยกไปที่ตำบลเกเต๋งตั้งแต่เพลานั้น
อยู่มาวันหนึ่งหน่วยสอดแนมได้เข้ามารายงานแก่ขงเบ้งว่า บัดนี้ตำบลเกเต๋งและเมืองหลิวเซียเสียแก่สุมาอี้แล้ว ขงเบ้งพอได้ยินก็ลุกขึ้นกระทืบเท้า หมุนตัวไปมาแล้วร้องไห้ พลางกล่าวว่า “การใหญ่ของเราครั้งนี้เสียแล้ว จะเสียทหารทั้งปวงสิ้น”
ขงเบ้งหยุดตรึกตรองอยู่ครู่หนึ่ง จึงเรียกกวนหินและเตียวเปาเข้ามาหา แล้วสั่งว่าเจ้าทั้งสองจงคุมทหารคนละสามพันยกไปตั้งซุ่มอยู่ที่สองข้างทางน้อยริมเขาบุกองสัน และกำชับว่า “ถ้าเห็นทหารสุมาอี้ยกมาก็อย่าให้ออกรบพุ่งเลย แต่ตีม้าล่อโห่ร้องไว้ให้กลัว แม้ว่าทหารสุมาอี้กลับถอยไปก็อย่าให้ติดตาม จงยกทหารรีบไปยังด่านยังเผงก๋วน”
กวนหินและเตียวเปาได้ยินและได้เห็นอาการของขงเบ้งมีลักษณะร้อนใจผิดไปจากแต่ก่อนก็รีบรับคำ แล้วคำนับลาออกไปจัดแจงทหารยกไปตามคำสั่งของขงเบ้งแต่เวลานั้น
พอกวนหินและเตียวเปาออกไปแล้ว ขงเบ้งจึงเรียกแม่ทัพนายกองทั้งปวงเข้ามาปรึกษาว่า บัดนี้เราเสียตำบลเกเต๋งแล้ว ไม่อาจตั้งอยู่ในแดนวุยก๊กได้ต่อไป จำจะต้องถอยทัพกลับไปเมืองฮันต๋ง แต่การถอยทัพกลับยิ่งยากกว่าการบุกโจมตีมากมายนัก.