ตอนที่ 526. กองทัพหมู
สุมาอี้กำหนดยุทธภูมิเป็นสามจุด คือที่ตำบลกิก๊ก เมืองไปเซีย และตำบลเกเต๋ง โดยถือเอาตำบลเกเต๋งเป็นจุดแตกหักของสงคราม ส่วนตำบลกิก๊กและเมืองไปเซียคือเป็นจุดตั้งรับ ขงเบ้งก็แจ้งในแผนการดังกล่าวจึงจัดกำลังป้องกันตำบลเกเต๋ง และเคลื่อนกองทัพรุกไปที่ตำบลกิก๊กและเมืองไปเซีย แต่ม้าเจ๊กและอองเป๋งซึ่งขงเบ้งใช้ให้ไปรักษาตำบลเกเต๋งกลับขัดแย้งกันว่าจะตั้งค่ายรับมือข้าศึกที่จุดไหน
อองเป๋งได้ยินม้าเจ๊กอ้างคัมภีร์พิชัยสงครามที่ระบุให้ตั้งกองทัพในที่สูงแต่ด้านเดียวก็แย้งว่า “โบราณว่าทำสงครามให้อยู่สูงก็ชอบอยู่ ถ้าแลจะตั้งอยู่บนเขานั้น ข้าศึกยกมาล้อมไว้ปิดทางน้ำเสีย ทหารเราจะอดน้ำกระหายอยู่ เมื่อเป็นฉะนั้นแล้วจะคิดประการใด”
ม้าเจ๊กได้ฟังก็แย้งอีกว่า “ท่านหารู้จักทำการศึกไม่ โบราณว่าจะทำสงครามให้ตั้งที่ตายก่อนแล้วจึงตั้งที่เป็น แม้ข้าศึกล้อมเราไว้ให้ทหารทั้งปวงอดน้ำก็เหมือนทำโทษใส่ตัวเอง ด้วยทำทหารเราอดน้ำแล้ว หรือจะสู้ตายกับที่ ก็จะมีใจกำเริบโกรธมุขึ้น ถึงมาตรว่าคนหนึ่งก็จะสู้ได้ถึงร้อยคน จะหักออกไปให้จงได้ ข้าศึกก็จะแตกกระจายไป ตัวเราก็ได้เรียนรู้ในกลสงคราม ทำการศึกมาก็หลายครั้ง ถึงมหาอุปราชก็ได้ปรึกษาหารืออยู่เนือง ๆ เหตุไฉนตัวท่านเพียงนี้จะมาดูหมิ่นขัดขวางเรา”
ม้าเจ๊กไม่อาจทานเหตุผลความคิดในการดำเนินสงครามของอองเป๋งได้จึงพาลใช้อำนาจ อ้างฐานะอันสำคัญของตัวที่ขงเบ้งเคยปรึกษาหารือและประสบการณ์ในอดีต ตลอดจนตำแหน่งแม่ทัพข่มความคิดของอองเป๋งให้ยอมสยบ โดยที่ถ้อยคำของม้าเจ๊กเองนั้นก็แสดงอยู่ในตัวว่าการตั้งทหารไว้บนภูเขาและถูกข้าศึกล้อมไว้ก็จะกลายเป็นฝ่ายรับในทันที แทนที่จะเป็นฝ่ายคอยโจมตีในขณะที่ข้าศึกยังไม่พร้อมที่จะรบ และต้องเป็นฝ่ายตีฝ่าหาทางรอด นี่แล้วที่โบราณว่ากองทัพราชสีห์ที่มีหมูเป็นผู้นำก็คือกองทัพหมู ต่างกับกองทัพหมูที่มีราชสีห์เป็นผู้นำก็จะกลายเป็นกองทัพราชสีห์ เหตุนี้โบราณจึงสอนใจให้ผู้มีสติปัญญาทั้งปวงต้องใคร่ครวญไตร่ตรองในการเลือกหานายให้จงหนัก มิฉะนั้นก็จะพากันฉิบหายสิ้น
อองเป๋งแม้จะจำยอมในอำนาจแม่ทัพของม้าเจ๊ก แต่เห็นว่าการซึ่งขงเบ้งกำชับมานั้นใหญ่หลวงนัก ไม่อาจทอดธุระประมาทได้ จึงกล่าวว่า “ถ้าท่านมิฟังจะยกทหารขึ้นไปตั้งบนเขาก็ตามใจ ขอแบ่งทหารให้ข้าพเจ้ากึ่งหนึ่งเถิด จะไปตั้งค่ายอยู่ข้างทิศใต้ แม้ข้าศึกยกมาล้อมท่าน ข้าพเจ้าจะได้รบพุ่งต้านทานไว้”
ในขณะที่กำลังโต้เถียงกันนั้น หน่วยสอดแนมได้เข้ามารายงานแก่ม้าเจ๊กว่าขณะนี้กองทัพของสุมาอี้กำลังเคลื่อนมาที่ตำบลเกเต๋ง อีกไม่ช้ากองหน้าก็คงยกมาถึง
ม้าเจ๊กได้ฟังรายงานดังนั้นจึงตัดสินใจออกคำสั่งให้อองเป๋งคุมทหารห้าพันยกไปตั้งค่ายอยู่ทางด้านทิศใต้ ส่วนม้าเจ๊กยกกองทัพขึ้นไปอยู่บนยอดภูเขา และยังข่มอองเป๋งต่อไปว่า “เราก็จะยกกองทัพขึ้นไปตั้งบนเขา ถ้าแลทำการกำจัดข้าศึกเสียได้มีชัยชนะแล้ว เราก็มิบอกความชอบให้แก่ท่าน”
อองเป๋งได้ยินคำม้าเจ๊กก็ไม่ตอบคำ คำนับลาม้าเจ๊กตามธรรมเนียม แล้วพาทหารห้าพันยกไปตั้งค่ายไกลภูเขาโดดลูกนั้นร้อยเส้น และรีบทำแผนที่การตั้งค่ายของม้าเจ๊กให้ทหารรีบถือไปให้แก่ขงเบ้ง
ฝ่ายสุมาอี้เมื่อเคลื่อนกองทัพมาที่ตำบลเกเต๋งได้ให้สุมาเจียวผู้บุตรคุมทหารเป็นกองหน้ายกล่วงเข้าไปใกล้ตำบลเกเต๋ง และกำชับว่าอย่าได้ประมาทแก่ความคิดของขงเบ้งว่าจะคิดไม่ทันเรา แล้วไม่คิดอ่านป้องกันรักษาตำบลเกเต๋ง หากขงเบ้งแต่งทหารมาตั้งซุ่มไว้ที่ตำบลเกเต๋ง กองทัพเราก็จะเป็นอันตราย ฉะนั้นการเดินทัพต้องระมัดระวังอย่างสูงสุด “ถ้าไปถึงตำบลเกเต๋งอย่าเพ่อวู่วาม จงยับยั้งซับทราบดู แม้เห็นขงเบ้งให้ทหารยกไปตั้งอยู่แล้ว จงรีบมาบอกให้แจ้ง”
สุมาอี้แม้จะกำหนดแผนการที่ถือเอาเกเต๋งเป็นตำบลสำคัญในสงครามครั้งนี้ แต่ใจหนึ่งก็คาดว่าขงเบ้งจะไม่ล่วงรู้ความคิดและไม่ส่งกองทหารมาป้องกันรักษา ในขณะที่ใจหนึ่งก็กริ่งว่าขงเบ้งอาจล่วงรู้ความคิดตัว และถ้าหากขงเบ้งแต่งทหารมาป้องกันรักษาตำบลเกเต๋งแล้ว ตั้งกองทัพไว้ที่ปากทางห้าแยก กองทัพสุมาอี้ก็ไม่มีทางที่จะยกล่วงเข้าไปได้ ทั้งยังเกรงว่าขงเบ้งจะแต่งกลอุบายซุ่มทหารไว้โจมตี จึงกำชับสุมาเจียวผู้บุตรเป็นแข็งขันว่าต้องส่งหน่วยลาดตระเวนระยะไกลออกไปสอดแนมก่อน หากแม้นขงเบ้งแต่งทหารมาป้องกันรักษาเกเต๋งแล้วก็อย่าไปรบเป็นอันขาด ให้รีบกลับมารายงานปรึกษาหารือกันก่อน
พอกองหน้าของสุมาเจียวยกถึงตำบลเกเต๋ง หน่วยสอดแนมระยะไกลก็รีบมารายงานว่าขงเบ้งแต่งทหารมาตั้งอยู่ที่ตำบลเกเต๋งสมดังที่แม่ทัพสุมาอี้ได้คาดคะเนไว้ และได้รายงานสภาพที่ทหารเมืองเสฉวนยกไปตั้งอยู่บนภูเขาให้ทราบทุกประการ สุมาเจียวทราบรายงานแล้วจึงนำความกลับไปแจ้งให้สุมาอี้ทราบ
สุมาอี้พอทราบรายงานจากสุมาเจียวก็ตกใจ ทอดถอนใจใหญ่รำพึงว่า “ขงเบ้งนี้มีปัญญารู้ตลอดล่วงไปประดุจหนึ่งเทพยดา เรานี้รู้มิถึงเลย”
สุมาเจียวเห็นบิดาท้อแท้ดังนั้นจึงว่า ไฉนบิดาเพียงแค่ได้ฟังว่าขงเบ้งส่งทหารมารักษาตำบลเกเต๋งก็ท้อถอย ทอดถอนใจใหญ่ฉะนี้ อันตำบลเกเต๋งนี้แม้ขงเบ้งส่งทหารมารักษาก็ตาม ยังคงสามารถที่จะโจมตียึดเอาได้แต่โดยง่าย หาควรที่บิดาจะวิตกเช่นนี้ไม่
สุมาอี้ได้ฟังคำบุตรก็รีบถามด้วยความสนใจว่า ไฉนเจ้าจึงกล่าวความประมาทความคิดขงเบ้งดังนี้
สุมาเจียวจึงตอบว่า “ข้าพเจ้าไปสอดแนมดู เห็นตำบลเกเต๋งนั้นทหารขงเบ้งจะได้ตั้งค่ายอยู่ในที่สำคัญหามิได้ ขึ้นไปตั้งอยู่บนเขา” แล้วสุมาเจียวจึงรายงานภูมิประเทศทางเข้าตำบลเกเต๋งและการตั้งค่ายของม้าเจ๊กให้สุมาอี้ทราบทุกประการ
สุมาอี้ได้ฟังรายงานจากสุมาเจียวผู้บุตรดังนั้นก็อุทานด้วยความตื่นเต้นลืมตัวว่า สวรรค์เข้าข้างเราแล้ว แม้การเป็นดังคำเจ้า “ก็เหมือนเทพยดาช่วยเราจะให้ได้ความชอบเป็นมั่นคง”
สุมาอี้กล่าวแล้วก็หยุดตรึกตรองอยู่อีกครู่หนึ่งด้วยสีหน้าที่ฉงนใจ แล้วกล่าวว่าเราจำเป็นจะต้องไปตรวจตราด้วยตนเองให้แน่แก่ใจก่อนจึงจะคิดอ่านทำการสืบไป ซึ่งเจ้าเห็นว่าทหารขงเบ้งยกทหารไปตั้งอยู่บนภูเขานั้นอาจจะเป็นกลลวง แม้รีบยกทหารรุดหน้าไป ก็จะเสียทีแก่ข้าศึก
ว่าแล้วสุมาอี้จึงแต่งตัวใส่เกราะ ขี่ม้าพาทหารร้อยคนเศษพร้อมกับสุมาเจียวผู้บุตรลอบไปที่ตำบลเกเต๋ง ตรวจตราดูสภาพภูมิประเทศและการตั้งกองทหารของม้าเจ๊กเห็นสมตามคำของสุมาเจียวทุกประการก็มีความยินดีเป็นอันมาก รีบบอกสุมาเจียวและทหารซึ่งติดตามไปนั้นว่าพวกเรารีบกลับไปที่ค่าย กล่าวแล้วสุมาอี้ก็เร่งฝีเท้าม้ากลับไป
ฝ่ายม้าเจ๊กครั้นตั้งค่ายให้ทหารพักบนภูเขาแล้ว ก็สั่งทหารทั้งปวงว่าถ้ากองทัพ สุมาอี้ยกมา เราจะโบกธงสัญญาณเป็นสำคัญ ให้ทหารทั้งปวงยกเข้าตีทหารสุมาอี้ให้แตกพ่ายไปให้จงได้
ฝ่ายสุมาอี้ครั้นกลับมาถึงค่าย ก็นั่งไตร่ตรองแผนการศึก พลันก็สะดุดใจว่าเหตุไฉนทหารขงเบ้งจึงตั้งค่ายฉะนี้ หรืออาจเป็นกลอุบายประการใดประการหนึ่ง แต่จะเป็นกลอุบายประการใดนั้นย่อมขึ้นอยู่กับสติปัญญาของผู้เป็นแม่ทัพ ซึ่งไม่แจ้งว่าเป็นผู้ใด สุมาอี้เฉลียวใจดังนั้นแล้ว ด้วยอุปนิสัยที่หวาดระแวงคล้ายคลึงกับโจโฉ แต่มีความรอบคอบยิ่งนัก จึงคิดว่าจำจะต้องรู้ตัวแม่ทัพของขงเบ้งเสียก่อน จึงจะสามารถอ่านแผนการศึกได้ทะลุปรุโปร่ง
สุมาอี้คิดดังนั้นแล้วจึงสั่งให้หน่วยสอดแนมรีบไปสืบว่าผู้ใดเป็นแม่ทัพของจ๊กก๊กที่ยกมารักษาตำบลเกเต๋ง
ครั้นหน่วยสอดแนมกลับมารายงานว่า แม่ทัพฝ่ายจ๊กก๊กซึ่งรักษาเกเต๋งมีชื่อว่าม้าเจ๊ก แลม้าเจ๊กนี้เป็นน้องม้าเลี้ยง
สุมาอี้ได้ยินดังนั้นก็ดีใจเป็นอันมาก ปรบมือ หัวเราะแล้วกล่าวว่า “ม้าเจ๊กคนนี้ปรากฏก็แต่ชื่อ เป็นคนหาปัญญาไม่ ขงเบ้งใช้คนโฉดเขลาฉะนี้ก็จะเสียการเป็นมั่นคง”
แม้กระนั้นแล้วสุมาอี้ก็ยังคงไม่วางใจ ถามหน่วยสอดแนมต่อไปว่า ม้าเจ๊กยกทหารมาตั้งอยู่บนภูเขาแต่กองเดียวเท่านั้นหรือ หน่วยสอดแนมได้รายงานสืบไปว่าที่ไกลออกไปจากภูเขาร้อยเส้นมีอองเป๋งคุมทหารตั้งค่ายอยู่อีกค่ายหนึ่ง
สุมาอี้ได้ฟังดังนั้นก็พยักหน้า แล้วโบกมือให้หน่วยสอดแนมกลับออกไป พอหน่วยสอดแนมกลับออกไปแล้ว สุมาอี้จึงสั่งให้ตามเตียวคับ ซินต๋ำ และซินหงี เข้ามาพบ แล้วสั่งว่าให้เตียวคับคุมทหารลอบยกไปตั้งอยู่ระหว่างกลางภูเขาที่ม้าเจ๊กตั้งค่ายอยู่กับค่ายของ อองเป๋ง คอยตีสกัดอย่าให้อองเป๋งยกมาช่วยม้าเจ๊กได้ ส่วนซินต๋ำและซินหงีนั้นให้ลอบยกทหารไปปิดทางน้ำที่ไหลผ่านมาทางเชิงเขา อย่าให้มีน้ำไหลมาถึงเชิงเขาได้ เมื่อทหารของม้าเจ๊กขาดน้ำก็จะอิดโรยและยอมจำนนในที่สุด
สุมาอี้ได้สั่งการต่อไปว่า ถ้าเห็นว่าเมื่อใดที่เรายกทหารเข้าทำการกับม้าเจ๊กเป็นทีแล้ว ก็ให้ยกทหารเข้ามาช่วยพร้อมกัน เพื่อยึดเกเต๋งให้ได้เบ็ดเสร็จเด็ดขาด เมื่อเรายึดเกเต๋งได้แล้ว ให้ซินต๋ำและซินหงีรีบยกทหารไปซุ่มอยู่ที่หน้าค่ายของอองเป๋ง หากเห็นอองเป๋งยกทหารไปช่วยม้าเจ๊กก็ให้ยึดค่ายของอองเป๋งให้จงได้ เตียวคับ ซินต๋ำ และซินหงี รับคำสั่งแล้วจึงออกไปจัดแจงทหาร แล้วยกไปตามแผนการของสุมาอี้ตั้งแต่คืนวันนั้น
ครั้นเตียวคับ ซินต๋ำ และซินหงีออกไปแล้ว สุมาอี้จึงเรียกบรรดาแม่ทัพนายกองมาสั่งการจัดแจงแต่งกองทัพให้พร้อมไว้ตั้งแต่เวลากลางคืน พอเวลาหลังสองยามก็ยกกองทัพลัดเลาะไปตามซอกเขาทั้งห้าทาง กำชับให้ไปถึงปากทางห้าแยกพร้อมกันก่อนสว่าง แล้วจึงยกเข้าล้อมภูเขาที่ม้าเจ๊กตั้งค่ายอยู่นั้น
พอฟ้าสางม้าเจ๊กเห็นทหารสุมาอี้ล้อมภูเขาไว้ทุกด้านก็โบกธงสัญญาณให้ทหารทุกหน่วยยกลงจากภูเขาเข้าโจมตีตามแผนการ แต่ทหารของม้าเจ๊กเห็นทหารของสุมาอี้อยู่บนที่ราบแน่นหนา ต่างพากันกลัวว่าจะไม่สามารถโจมตีข้าศึกให้แตกถอยไปได้ จึงพากันรวนเรอยู่บนภูเขานั้น
ม้าเจ๊กเห็นทหารประหวั่นพรั่นพรึงไม่ยกลงไปโจมตีทหารของสุมาอี้ตามแผนการก็โกรธ เห็นนายกองทหารสองคนอยู่ในที่ใกล้จึงสั่งให้ทหารคนสนิทจับตัวแล้วตัดศีรษะเพื่อให้ทหารทั้งปวงเกรงกลัวอาญาสิทธิ์ แล้วจะยกเข้าโจมตีทหารสุมาอี้
ทหารของม้าเจ๊กเห็นนายกองถูกประหารชีวิตถึงสองคนก็กลัวอาญา พากันลงจากยอดเขาเข้ารบพุ่งกับทหารของสุมาอี้ ฝ่ายหนึ่งเคลื่อนกำลังจากที่สูงมิได้มั่นคง ในขณะที่อีกฝ่ายหนึ่งตั้งรับมั่นคงอยู่บนพื้นราบ ทหารของสุมาอี้ซึ่งได้เปรียบในเชิงการยุทธ์กว่าจึงตีโต้ทหารของม้าเจ๊กจนต้องถอยกลับขึ้นไปบนภูเขา
ม้าเจ๊กเห็นทหารไม่สามารถโจมตีให้กองทัพสุมาอี้ล่าถอยไปได้ ความกลัวภัยในสมองของนักวิชาการก็กำเริบขึ้น ฝีปากที่คมกล้าและปัญญาที่เคยโอ่อวดได้ถูกความกลัว บดบังไปจนหมดสิ้น มิรู้ที่จะทำประการใด จึงสั่งทหารให้ตั้งมั่นอยู่บนภูเขาหวังว่าเมื่ออองเป๋งทราบข่าวศึกก็จะยกทหารมาช่วย
ฝ่ายอองเป๋งครั้นตั้งค่ายเสร็จแล้วก็ให้ทหารสอดแนมลาดตระเวนมิได้ประมาท พอใกล้รุ่งก็ทราบว่าสุมาอี้ยกกองทัพมาล้อมภูเขาที่ม้าเจ๊กตั้งค่ายอยู่ จึงพาทหารออกจากค่ายจะมาช่วยม้าเจ๊ก ครั้นมาถึงกลางทางก็ถูกกองทัพของเตียวคับสกัดไว้ ทั้งสองฝ่ายได้รบพุ่งกันเป็นสามารถจนถึงเวลาสาย อองเป๋งเห็นจะหักออกไปไม่ได้ จึงสั่งทหารให้ล่าถอยกลับไปค่าย
ฝ่ายสุมาอี้ครั้นตีโต้ทหารของม้าเจ๊กจนต้องถอยกลับขึ้นไปบนภูเขาแล้ว ก็ได้กำชับสั่งทหารให้กวดขันลาดตระเวนอย่าให้ทหารม้าเจ๊กเล็ดลอดลงจากเขาไปหาน้ำท่าดื่มกินได้
ทหารของม้าเจ๊กถูกล้อมไว้บนภูเขา ครั้นเวลาเที่ยงก็หิวน้ำ จะเล็ดลอดลงจาก ภูเขาไปที่ลำธารหาน้ำดื่มกินก็ไม่ได้เพราะทหารสุมาอี้ล้อมไว้อย่างแน่นหนา ก็พากันเสียน้ำใจ เวลาเที่ยงจัดไปใกล้บ่ายทหารของม้าเจ๊กก็กระหายน้ำเป็นกำลัง พากันเรรวนระส่ำระสายไม่คิดอ่านสู้รบ.
อองเป๋งได้ยินม้าเจ๊กอ้างคัมภีร์พิชัยสงครามที่ระบุให้ตั้งกองทัพในที่สูงแต่ด้านเดียวก็แย้งว่า “โบราณว่าทำสงครามให้อยู่สูงก็ชอบอยู่ ถ้าแลจะตั้งอยู่บนเขานั้น ข้าศึกยกมาล้อมไว้ปิดทางน้ำเสีย ทหารเราจะอดน้ำกระหายอยู่ เมื่อเป็นฉะนั้นแล้วจะคิดประการใด”
ม้าเจ๊กได้ฟังก็แย้งอีกว่า “ท่านหารู้จักทำการศึกไม่ โบราณว่าจะทำสงครามให้ตั้งที่ตายก่อนแล้วจึงตั้งที่เป็น แม้ข้าศึกล้อมเราไว้ให้ทหารทั้งปวงอดน้ำก็เหมือนทำโทษใส่ตัวเอง ด้วยทำทหารเราอดน้ำแล้ว หรือจะสู้ตายกับที่ ก็จะมีใจกำเริบโกรธมุขึ้น ถึงมาตรว่าคนหนึ่งก็จะสู้ได้ถึงร้อยคน จะหักออกไปให้จงได้ ข้าศึกก็จะแตกกระจายไป ตัวเราก็ได้เรียนรู้ในกลสงคราม ทำการศึกมาก็หลายครั้ง ถึงมหาอุปราชก็ได้ปรึกษาหารืออยู่เนือง ๆ เหตุไฉนตัวท่านเพียงนี้จะมาดูหมิ่นขัดขวางเรา”
ม้าเจ๊กไม่อาจทานเหตุผลความคิดในการดำเนินสงครามของอองเป๋งได้จึงพาลใช้อำนาจ อ้างฐานะอันสำคัญของตัวที่ขงเบ้งเคยปรึกษาหารือและประสบการณ์ในอดีต ตลอดจนตำแหน่งแม่ทัพข่มความคิดของอองเป๋งให้ยอมสยบ โดยที่ถ้อยคำของม้าเจ๊กเองนั้นก็แสดงอยู่ในตัวว่าการตั้งทหารไว้บนภูเขาและถูกข้าศึกล้อมไว้ก็จะกลายเป็นฝ่ายรับในทันที แทนที่จะเป็นฝ่ายคอยโจมตีในขณะที่ข้าศึกยังไม่พร้อมที่จะรบ และต้องเป็นฝ่ายตีฝ่าหาทางรอด นี่แล้วที่โบราณว่ากองทัพราชสีห์ที่มีหมูเป็นผู้นำก็คือกองทัพหมู ต่างกับกองทัพหมูที่มีราชสีห์เป็นผู้นำก็จะกลายเป็นกองทัพราชสีห์ เหตุนี้โบราณจึงสอนใจให้ผู้มีสติปัญญาทั้งปวงต้องใคร่ครวญไตร่ตรองในการเลือกหานายให้จงหนัก มิฉะนั้นก็จะพากันฉิบหายสิ้น
อองเป๋งแม้จะจำยอมในอำนาจแม่ทัพของม้าเจ๊ก แต่เห็นว่าการซึ่งขงเบ้งกำชับมานั้นใหญ่หลวงนัก ไม่อาจทอดธุระประมาทได้ จึงกล่าวว่า “ถ้าท่านมิฟังจะยกทหารขึ้นไปตั้งบนเขาก็ตามใจ ขอแบ่งทหารให้ข้าพเจ้ากึ่งหนึ่งเถิด จะไปตั้งค่ายอยู่ข้างทิศใต้ แม้ข้าศึกยกมาล้อมท่าน ข้าพเจ้าจะได้รบพุ่งต้านทานไว้”
ในขณะที่กำลังโต้เถียงกันนั้น หน่วยสอดแนมได้เข้ามารายงานแก่ม้าเจ๊กว่าขณะนี้กองทัพของสุมาอี้กำลังเคลื่อนมาที่ตำบลเกเต๋ง อีกไม่ช้ากองหน้าก็คงยกมาถึง
ม้าเจ๊กได้ฟังรายงานดังนั้นจึงตัดสินใจออกคำสั่งให้อองเป๋งคุมทหารห้าพันยกไปตั้งค่ายอยู่ทางด้านทิศใต้ ส่วนม้าเจ๊กยกกองทัพขึ้นไปอยู่บนยอดภูเขา และยังข่มอองเป๋งต่อไปว่า “เราก็จะยกกองทัพขึ้นไปตั้งบนเขา ถ้าแลทำการกำจัดข้าศึกเสียได้มีชัยชนะแล้ว เราก็มิบอกความชอบให้แก่ท่าน”
อองเป๋งได้ยินคำม้าเจ๊กก็ไม่ตอบคำ คำนับลาม้าเจ๊กตามธรรมเนียม แล้วพาทหารห้าพันยกไปตั้งค่ายไกลภูเขาโดดลูกนั้นร้อยเส้น และรีบทำแผนที่การตั้งค่ายของม้าเจ๊กให้ทหารรีบถือไปให้แก่ขงเบ้ง
ฝ่ายสุมาอี้เมื่อเคลื่อนกองทัพมาที่ตำบลเกเต๋งได้ให้สุมาเจียวผู้บุตรคุมทหารเป็นกองหน้ายกล่วงเข้าไปใกล้ตำบลเกเต๋ง และกำชับว่าอย่าได้ประมาทแก่ความคิดของขงเบ้งว่าจะคิดไม่ทันเรา แล้วไม่คิดอ่านป้องกันรักษาตำบลเกเต๋ง หากขงเบ้งแต่งทหารมาตั้งซุ่มไว้ที่ตำบลเกเต๋ง กองทัพเราก็จะเป็นอันตราย ฉะนั้นการเดินทัพต้องระมัดระวังอย่างสูงสุด “ถ้าไปถึงตำบลเกเต๋งอย่าเพ่อวู่วาม จงยับยั้งซับทราบดู แม้เห็นขงเบ้งให้ทหารยกไปตั้งอยู่แล้ว จงรีบมาบอกให้แจ้ง”
สุมาอี้แม้จะกำหนดแผนการที่ถือเอาเกเต๋งเป็นตำบลสำคัญในสงครามครั้งนี้ แต่ใจหนึ่งก็คาดว่าขงเบ้งจะไม่ล่วงรู้ความคิดและไม่ส่งกองทหารมาป้องกันรักษา ในขณะที่ใจหนึ่งก็กริ่งว่าขงเบ้งอาจล่วงรู้ความคิดตัว และถ้าหากขงเบ้งแต่งทหารมาป้องกันรักษาตำบลเกเต๋งแล้ว ตั้งกองทัพไว้ที่ปากทางห้าแยก กองทัพสุมาอี้ก็ไม่มีทางที่จะยกล่วงเข้าไปได้ ทั้งยังเกรงว่าขงเบ้งจะแต่งกลอุบายซุ่มทหารไว้โจมตี จึงกำชับสุมาเจียวผู้บุตรเป็นแข็งขันว่าต้องส่งหน่วยลาดตระเวนระยะไกลออกไปสอดแนมก่อน หากแม้นขงเบ้งแต่งทหารมาป้องกันรักษาเกเต๋งแล้วก็อย่าไปรบเป็นอันขาด ให้รีบกลับมารายงานปรึกษาหารือกันก่อน
พอกองหน้าของสุมาเจียวยกถึงตำบลเกเต๋ง หน่วยสอดแนมระยะไกลก็รีบมารายงานว่าขงเบ้งแต่งทหารมาตั้งอยู่ที่ตำบลเกเต๋งสมดังที่แม่ทัพสุมาอี้ได้คาดคะเนไว้ และได้รายงานสภาพที่ทหารเมืองเสฉวนยกไปตั้งอยู่บนภูเขาให้ทราบทุกประการ สุมาเจียวทราบรายงานแล้วจึงนำความกลับไปแจ้งให้สุมาอี้ทราบ
สุมาอี้พอทราบรายงานจากสุมาเจียวก็ตกใจ ทอดถอนใจใหญ่รำพึงว่า “ขงเบ้งนี้มีปัญญารู้ตลอดล่วงไปประดุจหนึ่งเทพยดา เรานี้รู้มิถึงเลย”
สุมาเจียวเห็นบิดาท้อแท้ดังนั้นจึงว่า ไฉนบิดาเพียงแค่ได้ฟังว่าขงเบ้งส่งทหารมารักษาตำบลเกเต๋งก็ท้อถอย ทอดถอนใจใหญ่ฉะนี้ อันตำบลเกเต๋งนี้แม้ขงเบ้งส่งทหารมารักษาก็ตาม ยังคงสามารถที่จะโจมตียึดเอาได้แต่โดยง่าย หาควรที่บิดาจะวิตกเช่นนี้ไม่
สุมาอี้ได้ฟังคำบุตรก็รีบถามด้วยความสนใจว่า ไฉนเจ้าจึงกล่าวความประมาทความคิดขงเบ้งดังนี้
สุมาเจียวจึงตอบว่า “ข้าพเจ้าไปสอดแนมดู เห็นตำบลเกเต๋งนั้นทหารขงเบ้งจะได้ตั้งค่ายอยู่ในที่สำคัญหามิได้ ขึ้นไปตั้งอยู่บนเขา” แล้วสุมาเจียวจึงรายงานภูมิประเทศทางเข้าตำบลเกเต๋งและการตั้งค่ายของม้าเจ๊กให้สุมาอี้ทราบทุกประการ
สุมาอี้ได้ฟังรายงานจากสุมาเจียวผู้บุตรดังนั้นก็อุทานด้วยความตื่นเต้นลืมตัวว่า สวรรค์เข้าข้างเราแล้ว แม้การเป็นดังคำเจ้า “ก็เหมือนเทพยดาช่วยเราจะให้ได้ความชอบเป็นมั่นคง”
สุมาอี้กล่าวแล้วก็หยุดตรึกตรองอยู่อีกครู่หนึ่งด้วยสีหน้าที่ฉงนใจ แล้วกล่าวว่าเราจำเป็นจะต้องไปตรวจตราด้วยตนเองให้แน่แก่ใจก่อนจึงจะคิดอ่านทำการสืบไป ซึ่งเจ้าเห็นว่าทหารขงเบ้งยกทหารไปตั้งอยู่บนภูเขานั้นอาจจะเป็นกลลวง แม้รีบยกทหารรุดหน้าไป ก็จะเสียทีแก่ข้าศึก
ว่าแล้วสุมาอี้จึงแต่งตัวใส่เกราะ ขี่ม้าพาทหารร้อยคนเศษพร้อมกับสุมาเจียวผู้บุตรลอบไปที่ตำบลเกเต๋ง ตรวจตราดูสภาพภูมิประเทศและการตั้งกองทหารของม้าเจ๊กเห็นสมตามคำของสุมาเจียวทุกประการก็มีความยินดีเป็นอันมาก รีบบอกสุมาเจียวและทหารซึ่งติดตามไปนั้นว่าพวกเรารีบกลับไปที่ค่าย กล่าวแล้วสุมาอี้ก็เร่งฝีเท้าม้ากลับไป
ฝ่ายม้าเจ๊กครั้นตั้งค่ายให้ทหารพักบนภูเขาแล้ว ก็สั่งทหารทั้งปวงว่าถ้ากองทัพ สุมาอี้ยกมา เราจะโบกธงสัญญาณเป็นสำคัญ ให้ทหารทั้งปวงยกเข้าตีทหารสุมาอี้ให้แตกพ่ายไปให้จงได้
ฝ่ายสุมาอี้ครั้นกลับมาถึงค่าย ก็นั่งไตร่ตรองแผนการศึก พลันก็สะดุดใจว่าเหตุไฉนทหารขงเบ้งจึงตั้งค่ายฉะนี้ หรืออาจเป็นกลอุบายประการใดประการหนึ่ง แต่จะเป็นกลอุบายประการใดนั้นย่อมขึ้นอยู่กับสติปัญญาของผู้เป็นแม่ทัพ ซึ่งไม่แจ้งว่าเป็นผู้ใด สุมาอี้เฉลียวใจดังนั้นแล้ว ด้วยอุปนิสัยที่หวาดระแวงคล้ายคลึงกับโจโฉ แต่มีความรอบคอบยิ่งนัก จึงคิดว่าจำจะต้องรู้ตัวแม่ทัพของขงเบ้งเสียก่อน จึงจะสามารถอ่านแผนการศึกได้ทะลุปรุโปร่ง
สุมาอี้คิดดังนั้นแล้วจึงสั่งให้หน่วยสอดแนมรีบไปสืบว่าผู้ใดเป็นแม่ทัพของจ๊กก๊กที่ยกมารักษาตำบลเกเต๋ง
ครั้นหน่วยสอดแนมกลับมารายงานว่า แม่ทัพฝ่ายจ๊กก๊กซึ่งรักษาเกเต๋งมีชื่อว่าม้าเจ๊ก แลม้าเจ๊กนี้เป็นน้องม้าเลี้ยง
สุมาอี้ได้ยินดังนั้นก็ดีใจเป็นอันมาก ปรบมือ หัวเราะแล้วกล่าวว่า “ม้าเจ๊กคนนี้ปรากฏก็แต่ชื่อ เป็นคนหาปัญญาไม่ ขงเบ้งใช้คนโฉดเขลาฉะนี้ก็จะเสียการเป็นมั่นคง”
แม้กระนั้นแล้วสุมาอี้ก็ยังคงไม่วางใจ ถามหน่วยสอดแนมต่อไปว่า ม้าเจ๊กยกทหารมาตั้งอยู่บนภูเขาแต่กองเดียวเท่านั้นหรือ หน่วยสอดแนมได้รายงานสืบไปว่าที่ไกลออกไปจากภูเขาร้อยเส้นมีอองเป๋งคุมทหารตั้งค่ายอยู่อีกค่ายหนึ่ง
สุมาอี้ได้ฟังดังนั้นก็พยักหน้า แล้วโบกมือให้หน่วยสอดแนมกลับออกไป พอหน่วยสอดแนมกลับออกไปแล้ว สุมาอี้จึงสั่งให้ตามเตียวคับ ซินต๋ำ และซินหงี เข้ามาพบ แล้วสั่งว่าให้เตียวคับคุมทหารลอบยกไปตั้งอยู่ระหว่างกลางภูเขาที่ม้าเจ๊กตั้งค่ายอยู่กับค่ายของ อองเป๋ง คอยตีสกัดอย่าให้อองเป๋งยกมาช่วยม้าเจ๊กได้ ส่วนซินต๋ำและซินหงีนั้นให้ลอบยกทหารไปปิดทางน้ำที่ไหลผ่านมาทางเชิงเขา อย่าให้มีน้ำไหลมาถึงเชิงเขาได้ เมื่อทหารของม้าเจ๊กขาดน้ำก็จะอิดโรยและยอมจำนนในที่สุด
สุมาอี้ได้สั่งการต่อไปว่า ถ้าเห็นว่าเมื่อใดที่เรายกทหารเข้าทำการกับม้าเจ๊กเป็นทีแล้ว ก็ให้ยกทหารเข้ามาช่วยพร้อมกัน เพื่อยึดเกเต๋งให้ได้เบ็ดเสร็จเด็ดขาด เมื่อเรายึดเกเต๋งได้แล้ว ให้ซินต๋ำและซินหงีรีบยกทหารไปซุ่มอยู่ที่หน้าค่ายของอองเป๋ง หากเห็นอองเป๋งยกทหารไปช่วยม้าเจ๊กก็ให้ยึดค่ายของอองเป๋งให้จงได้ เตียวคับ ซินต๋ำ และซินหงี รับคำสั่งแล้วจึงออกไปจัดแจงทหาร แล้วยกไปตามแผนการของสุมาอี้ตั้งแต่คืนวันนั้น
ครั้นเตียวคับ ซินต๋ำ และซินหงีออกไปแล้ว สุมาอี้จึงเรียกบรรดาแม่ทัพนายกองมาสั่งการจัดแจงแต่งกองทัพให้พร้อมไว้ตั้งแต่เวลากลางคืน พอเวลาหลังสองยามก็ยกกองทัพลัดเลาะไปตามซอกเขาทั้งห้าทาง กำชับให้ไปถึงปากทางห้าแยกพร้อมกันก่อนสว่าง แล้วจึงยกเข้าล้อมภูเขาที่ม้าเจ๊กตั้งค่ายอยู่นั้น
พอฟ้าสางม้าเจ๊กเห็นทหารสุมาอี้ล้อมภูเขาไว้ทุกด้านก็โบกธงสัญญาณให้ทหารทุกหน่วยยกลงจากภูเขาเข้าโจมตีตามแผนการ แต่ทหารของม้าเจ๊กเห็นทหารของสุมาอี้อยู่บนที่ราบแน่นหนา ต่างพากันกลัวว่าจะไม่สามารถโจมตีข้าศึกให้แตกถอยไปได้ จึงพากันรวนเรอยู่บนภูเขานั้น
ม้าเจ๊กเห็นทหารประหวั่นพรั่นพรึงไม่ยกลงไปโจมตีทหารของสุมาอี้ตามแผนการก็โกรธ เห็นนายกองทหารสองคนอยู่ในที่ใกล้จึงสั่งให้ทหารคนสนิทจับตัวแล้วตัดศีรษะเพื่อให้ทหารทั้งปวงเกรงกลัวอาญาสิทธิ์ แล้วจะยกเข้าโจมตีทหารสุมาอี้
ทหารของม้าเจ๊กเห็นนายกองถูกประหารชีวิตถึงสองคนก็กลัวอาญา พากันลงจากยอดเขาเข้ารบพุ่งกับทหารของสุมาอี้ ฝ่ายหนึ่งเคลื่อนกำลังจากที่สูงมิได้มั่นคง ในขณะที่อีกฝ่ายหนึ่งตั้งรับมั่นคงอยู่บนพื้นราบ ทหารของสุมาอี้ซึ่งได้เปรียบในเชิงการยุทธ์กว่าจึงตีโต้ทหารของม้าเจ๊กจนต้องถอยกลับขึ้นไปบนภูเขา
ม้าเจ๊กเห็นทหารไม่สามารถโจมตีให้กองทัพสุมาอี้ล่าถอยไปได้ ความกลัวภัยในสมองของนักวิชาการก็กำเริบขึ้น ฝีปากที่คมกล้าและปัญญาที่เคยโอ่อวดได้ถูกความกลัว บดบังไปจนหมดสิ้น มิรู้ที่จะทำประการใด จึงสั่งทหารให้ตั้งมั่นอยู่บนภูเขาหวังว่าเมื่ออองเป๋งทราบข่าวศึกก็จะยกทหารมาช่วย
ฝ่ายอองเป๋งครั้นตั้งค่ายเสร็จแล้วก็ให้ทหารสอดแนมลาดตระเวนมิได้ประมาท พอใกล้รุ่งก็ทราบว่าสุมาอี้ยกกองทัพมาล้อมภูเขาที่ม้าเจ๊กตั้งค่ายอยู่ จึงพาทหารออกจากค่ายจะมาช่วยม้าเจ๊ก ครั้นมาถึงกลางทางก็ถูกกองทัพของเตียวคับสกัดไว้ ทั้งสองฝ่ายได้รบพุ่งกันเป็นสามารถจนถึงเวลาสาย อองเป๋งเห็นจะหักออกไปไม่ได้ จึงสั่งทหารให้ล่าถอยกลับไปค่าย
ฝ่ายสุมาอี้ครั้นตีโต้ทหารของม้าเจ๊กจนต้องถอยกลับขึ้นไปบนภูเขาแล้ว ก็ได้กำชับสั่งทหารให้กวดขันลาดตระเวนอย่าให้ทหารม้าเจ๊กเล็ดลอดลงจากเขาไปหาน้ำท่าดื่มกินได้
ทหารของม้าเจ๊กถูกล้อมไว้บนภูเขา ครั้นเวลาเที่ยงก็หิวน้ำ จะเล็ดลอดลงจาก ภูเขาไปที่ลำธารหาน้ำดื่มกินก็ไม่ได้เพราะทหารสุมาอี้ล้อมไว้อย่างแน่นหนา ก็พากันเสียน้ำใจ เวลาเที่ยงจัดไปใกล้บ่ายทหารของม้าเจ๊กก็กระหายน้ำเป็นกำลัง พากันเรรวนระส่ำระสายไม่คิดอ่านสู้รบ.