ตอนที่ 525. มังกรสงคราม

พระพุทธศาสนายุกาลล่วงแล้วได้เจ็ดร้อยเจ็ดสิบเอ็ดพรรษา เดือนสามขึ้นปีใหม่แล้ว วุยก๊กได้คืนตำแหน่งและอำนาจให้แก่สุมาอี้ และแต่งตั้งเป็นแม่ทัพใหญ่ยกไปรบกับขงเบ้ง พลันที่สุมาอี้ยกกองทัพถึงเมืองเตียงอัน ก็ได้กำหนดให้ตำบลเกเต๋งเป็นยุทธศาสตร์หลักในการตีกองทัพขงเบ้งให้ถอยกลับเมืองฮันต๋ง และในพลันที่ขงเบ้งทราบว่าสุมาอี้เป็นแม่ทัพก็คิดว่าสุมาอี้จะต้องเข้าตีและยึดเอาตำบลเกเต๋ง จึงวิตกเป็นอันมาก

            ขงเบ้งได้กล่าวกับม้าเจ๊กต่อไปว่า ยุทธภูมิเกเต๋งจะเป็นจุดชี้ขาดแพ้ชนะของสงครามในครั้งนี้ หากสามารถรักษาตำบลเกเต๋งไว้ได้ กองทัพของเราก็จะสามารถรุดหน้าต่อไปได้ แต่ถ้าหากสูญเสียเกเต๋งแล้ว ทั้งกองทัพก็จะตกอยู่ในอันตรายสิ้น และอาจต้องถอยทัพกลับเข้าสู่ฮันต๋ง

            ว่าแล้วขงเบ้งจึงปรึกษากับม้าเจ๊กว่า ผู้ใดมีความสามารถสมควรที่จะให้ไปรักษาเกเต๋งได้ ม้าเจ๊กได้ฟังดังนั้นก็ขันอาสาว่า ข้าพเจ้าจะขอไปรักษาตำบลเกเต๋งเอง

            ขงเบ้งจึงว่า “ซึ่งท่านจะไปรักษาตำบลเกเต๋งนั้นก็ขอบใจ อันที่เกเต๋งนี้ตำบลน้อยก็จริง แต่ว่าเป็นที่สำคัญนัก แล้วหากำแพงไม่ จะป้องกันรักษาก็ยาก ถึงว่าท่านมีฝีมือเข้มแข็งก็จะประมาทไปบ้าง ถ้าเกเต๋งตำบลเดียวเสียแก่ข้าศึก ทหารทั้งปวงก็จะเป็นอันตรายสิ้น”

            ขงเบ้งมีความเห็นเช่นเดียวกับสุมาอี้ว่ายุทธภูมิเกเต๋งนี้เป็นยุทธภูมิสำคัญที่อาจชี้ขาดแพ้ชนะของสงครามวุยก๊กครั้งแรก แม้ว่าจะเป็นเมืองน้อยแต่ถ้าเป็นหมากรุกก็เป็นตาที่มีความสำคัญสูงสุด ที่หากพ่ายแพ้แล้วก็จะทำให้พ่ายแพ้ทั้งกระดาน ดังนั้นในบางครั้ง การอันน้อย ที่อันเล็ก ซึ่งอาจดูเหมือนว่าไม่มีความสำคัญเท่าใดนัก แต่ถ้าหากมีฐานะที่ประดุจดังหมากตาสำคัญที่ส่งผลแพ้ชนะทั้งกระดานแล้ว ก็ย่อมไม่อาจดูแคลนได้เป็นอันขาด

            ม้าเจ๊กได้ฟังดังนั้นจึงว่า “เสียแรงข้าพเจ้าเป็นทหารเรียนวิชาการมาแต่น้อยจนใหญ่ ทำศึกมาก็ช้านาน แต่ตำบลเกเต๋งเท่านี้รักษาไว้มิได้ ก็ตายเสียดีกว่าอยู่”

            ขงเบ้งได้ฟังคำม้าเจ๊กก็ยังไม่วายกังวล จึงกล่าวสืบไปว่า “อันสุมาอี้นี้มีปัญญาความคิดมาก ฝีมือก็เข้มแข็ง อนึ่งเตียวคับทหารเอกก็เป็นกองหน้ามาด้วย แต่ล้วนคนดี ซึ่งท่านจะไปรักษาเกเต๋งไว้นั้น ยังกระไรอยู่หรือ”

            ม้าเจ๊กจึงว่า ซึ่งจะรักษาเกเต๋งตำบลน้อยนี้ อย่าว่าแต่แค่สุมาอี้จะเป็นแม่ทัพยกมาเลย ต่อให้พระเจ้าโจยอยยกทัพกษัตริย์มาเอง ข้าพเจ้าก็ไม่ได้เกรงกลัว มาตรแม้นมหาอุปราชยังวิตกอยู่ ข้าพเจ้าจะขอทำทัณฑ์บนไว้ให้ ถ้าหากเสียทีแก่ข้าศึกก็ให้มหาอุปราชตัดศีรษะข้าพเจ้า ตลอดจนบุตรภรรยาเสียให้สิ้น

            ขงเบ้งได้ฟังคำม้าเจ๊กกล่าวคำยืนยันมั่นเหมาะ น้ำใจก็คล้อยตามคำพูดของม้าเจ๊ก ลืมนึกไปถึงคำสั่งเสียของพระเจ้าเล่าปี่ก่อนสิ้นพระชนม์ที่สู้อุตส่าห์ขับม้าเจ๊กให้ออกไปไกลจากพระแท่นที่บรรทม แล้วกระซิบบอกแก่ขงเบ้งว่าอันม้าเจ๊กผู้นี้มักเจรจาเกินความรู้แลตัวเองนัก หากจะใช้ราชการไปเบื้องหน้า “ให้ท่านพิเคราะห์จงดี”

            ม้าเจ๊กเห็นขงเบ้งนิ่งอยู่ก็รู้ทีว่าขงเบ้งเห็นชอบ จึงลุกขึ้นเขียนทัณฑ์บนให้ไว้กับขงเบ้งว่า ข้าพเจ้าม้าเจ๊กขออาสาพาทหารไปป้องกันตำบลเกเต๋ง หากเสียตำบลเกเต๋งแก่ข้าศึกก็ให้ขงเบ้งประหารชีวิตตัว ตลอดจนบุตรภรรยาเสียให้สิ้น

            พอเขียนทัณฑ์บนเสร็จแล้ว ม้าเจ๊กจึงเอาทัณฑ์บนนั้นมอบให้แก่ขงเบ้ง

            ขงเบ้งรับเอาทัณฑ์บนของม้าเจ๊กไว้ในขณะที่ยังไม่ค่อยรู้สึกวางใจเท่าใดนัก แต่เห็นว่าม้าเจ๊กขันอาสามั่นคง กล้าเอาตัวตลอดจนบุตรภรรยาเป็นประกัน จึงค่อยคลายใจ แล้วจัดแจงทหารสองหมื่นห้าพันให้แก่ม้าเจ๊กยกไปรักษาตำบลเกเต๋ง และให้อองเป๋งเป็นรองแม่ทัพร่วมไปกับม้าเจ๊กด้วย

            ก่อนม้าเจ๊กจะเคลื่อนทัพ ขงเบ้งได้กำชับม้าเจ๊กและอองเป๋งว่า “ตัวท่านมีสติปัญญาอย่าได้ประมาท จงช่วยกันตรึกตรองคิดอ่านผ่อนผันให้จงดี แลจะตั้งค่ายคูทำการทั้งปวงจงปรึกษาปรองดองให้พร้อมกัน อย่าแก่งแย่งให้เสียการ จงทำแผนที่มาให้แก่เรา ถ้าท่านช่วยกันรักษาตำบลเกเต๋งไว้ได้ก็จะมีความชอบ”

            ทั้งม้าเจ๊กและอองเป๋งได้ฟังคำกำชับดังนั้นก็คำนับรับคำขงเบ้งพร้อมกันว่า มหาอุปราชจงวางใจเถิด ข้าพเจ้าทั้งสองคนจะปรองดองช่วยกันคิดอ่านรักษาตำบลเกเต๋งไว้ให้จงได้

            ขงเบ้งยืนส่งกองทัพม้าเจ๊กจนลับตาแล้วยังรู้สึกไม่ค่อยวางใจ จึงเรียกโกเสียงมาสั่งว่า “อันม้าเจ๊กกับอองเป๋งจะไปรักษาเกเต๋งนั้น เราก็มีความวิตกอยู่มิวางใจเลย ด้วยเมืองหลิวเซียนั้นใกล้กับกับเกเต๋ง แล้วเป็นซอกเขาป่าดงรกชัฏ มีที่จะซุ่มทแกล้วทหารไว้ได้มาก ท่านจงคุมทหารหมื่นหนึ่งยกไปตั้ง ณ เมืองหลิวเซีย ซุ่มทหารไว้ ถ้าเห็นเกเต๋งจะเป็นประการใด จงยกทหารไปช่วยม้าเจ๊ก อองเป๋ง ให้ทันที”

            โกเสียงได้ฟังคำสั่งก็รับคำ และให้คำมั่นว่าจะช่วยเหลือม้าเจ๊กและอองเป๋งรักษาเกเต๋งไว้ให้จงได้ ขงเบ้งได้ยินดังนั้นก็มีความยินดี จึงจัดทหารหมื่นหนึ่งให้โกเสียงยกไปตั้งซุ่มอยู่ในป่าแดนเมืองหลิวเซีย

            ครั้นโกเสียงยกทหารไปแล้วขงเบ้งได้ใคร่ครวญประเมินประมาณกำลังความคิดสติปัญญาของสุมาอี้และความสำคัญของตำบลเกเต๋งแล้วก็ยังไม่วางใจ จึงเรียกอุยเอี๋ยนมาพบแล้วปรารภว่า การศึกครั้งนี้ตำบลเกเต๋งเป็นจุดยุทธศาสตร์สำคัญ ชี้ขาดแพ้แลชนะของสงคราม เราได้ให้โกเสียงยกทหารไปตั้งซุ่มอยู่ที่แดนเมืองหลิวเซีย จะได้ช่วยเหลือม้าเจ๊กและอองเป๋งให้ทันท่วงทีแต่ยังไม่วางใจ จะให้ท่านยกทหารไปซุ่มอยู่ด้านหลังตำบลเกเต๋ง ถ้าหากกองทัพเราเสียทีแก่ข้าศึก ก็จะได้ช่วยกันแก้ไขชิงเอาตำบลเกเต๋งกลับคืน

            อุยเอี๋ยนได้ฟังจึงว่าซึ่งมหาอุปราชจะให้ข้าพเจ้ายกไปช่วยรักษาตำบลเกเต๋งนั้นไม่สมควร ตัวข้าพเจ้านี้เป็นแม่ทัพกองทัพหน้า หากมีการศึกหนักเบาประการใด ควรที่มหาอุปราชจะใช้ให้ข้าพเจ้ายกไปทำการเอาความชอบก่อน แต่บัดนี้มหาอุปราชให้คนอื่นยกไปทำการเอาความชอบแล้ว ไยจะต้องให้ข้าพเจ้ายกทหารไปให้ซ้ำซ้อนด้วยเล่า

            ขงเบ้งจึงว่า “ท่านอย่าน้อยใจเลย อันม้าเจ๊กแลอองเป๋ง โกเสียงนั้นเห็นจะสู้ เตียวคับมิได้ ท่านยกไปเป็นกองหลังครั้งนี้เห็นจะได้ทำการมีความชอบ อีกแล้วตำบลเกเต๋งนั้นท่านอย่าคิดว่าเล็กน้อย เป็นที่สำคัญอยู่อย่าได้ประมาท อุตส่าห์ตรวจตราป้องกันเป็นกวดขันอย่าให้เป็นอันตรายได้”

            ขงเบ้งเห็นความสำคัญของตำบลเกเต๋งจึงสู้เกณฑ์พลถึงสามครั้งสามหน ทั้ง ๆ ที่ทำให้กองทัพของขงเบ้งซึ่งอยู่ ณ ริมแม่น้ำอุยโหมีกำลังลดน้อยถอยลงเป็นอันมาก และมีผลทำให้กองทัพของขงเบ้งต้องพะว้าพะวังห่วงหน้าพะวงหลัง สมดังที่สุมาอี้ได้คาดการณ์ไว้ทุกประการ การแข็งขืนของอุยเอี๋ยนในครั้งนี้นับเป็นครั้งที่สอง ซึ่งขงเบ้งก็รู้นัยและเห็นว่าอุยเอี๋ยนเป็นคนโลภ มักได้ลาภยศ จึงปลอบใจให้เห็นถึงความสำคัญของตำบลเกเต๋งและการซึ่งจะได้ความชอบแต่เพียงผู้เดียว ซึ่งต้องด้วยอัธยาศัยของอุยเอี๋ยน และนี่ก็ได้กลายเป็นหนึ่งในสรรนิพนธ์ของขงเบ้งบทที่ว่าด้วยการใช้คน ซึ่งระบุว่าการจะใช้คนโลภให้ได้ผลก็ด้วยเอาลาภเข้าล่อนั่นแล

            อุยเอี๋ยนได้ฟังคำอธิบายของขงเบ้งแล้วจึงรับคำ ขงเบ้งจึงจัดทหารอีกหมื่นหนึ่งให้อุยเอี๋ยนยกไปตั้งซุ่มอยู่ด้านหลังตำบลเกเต๋ง

            ครั้นอุยเอี๋ยนยกกองทัพไปแล้ว ขงเบ้งจึงเรียกจูล่งและเตงจี๋มาพบ แล้วปรารภว่าการสงครามระยะนี้อยู่ในภาวะคับขัน กองทัพเราต้องจัดกำลังไปป้องกันตำบลเกเต๋งทางหนึ่ง ส่วนทางข้างหน้านั้นจุดยุทธศาสตร์สำคัญคือตำบลกิก๊ก และเมืองไปเซีย ซึ่งเป็นประดุจแขนซ้ายขวาของเมืองเตียงอัน หากได้สองตำบลนี้แล้วก็จะรุดหน้าเข้าตีเมืองเตียงอันได้โดยสะดวก

            ขงเบ้งเห็นจูล่งและเตงจี๋นิ่งฟังเป็นอันดี จึงกล่าวสืบไปว่าให้ท่านทั้งสองยกกองทัพไปล่อกองทัพสุมาอี้ที่ตำบลกิก๊ก ตัวเราจะยกกองทัพรุดเข้าตีเมืองไปเซีย จูล่งและเตงจี๋ได้ฟังดังนั้นก็รับคำ ขงเบ้งจึงจัดแจงทหารให้จูล่งและเตงจี๋ยกไปที่ตำบลกิก๊ก ส่วนขงเบ้งตั้งให้เกียงอุยเป็นกองทัพหน้า ขงเบ้งเป็นกองทัพหลวง จะยกไปที่ตำบลไปเซีย

            ขงเบ้งจัดแจงกองทัพทั้งรุกหน้าและระวังหลังดังนี้เป็นไปดังที่สุมาอี้ได้คาดคะเนไว้ และขงเบ้งก็ได้คาดคะเนแผนการของสุมาอี้ที่จัดทหารเป็นสามสาย รุกรับทั้งสามตำบลได้เสมอกัน ความแตกต่างอยู่ตรงที่ความจัดเจนในภูมิประเทศ ซึ่งสุมาอี้เป็นคนพื้นที่วุยก๊ก รู้แจ้งในภูมิประเทศยิ่งกว่า จึงบัญชาการรบได้โดยสอดคล้องกับสภาพภูมิประเทศนั้น ในขณะที่ขงเบ้งไม่แจ้งสภาพภูมิประเทศของตำบลเกเต๋ง จึงต้องกำชับให้ม้าเจ๊กและอองเป๋งต้องเขียนแผนที่การตั้งค่ายและกองทัพส่งมาให้ดู พญามังกรสงครามสองตัวกำลังเผชิญหน้ากัน แม้ความได้เปรียบเสียเปรียบจะมีเพียงเท่าปลายเข็ม ก็สามารถกำหนดแพ้ชนะของสงครามได้แล้ว

            ฝ่ายม้าเจ๊กครั้นยกกองทัพไปถึงตำบลเกเต๋ง เห็นสภาพภูมิประเทศก็หัวเราะ แล้วกล่าวกับนายทหารทั้งปวงว่า “ตำบลเกเต๋งนี้มีซอกห้วยธารเขาเป็นอันมาก ที่ไหนทหาร สุมาอี้จะยกมาได้ มหาอุปราชนี้ปรารมภ์หาต้องการไม่”

            อองเป๋งได้ฟังคำม้าเจ๊กเห็นตั้งอยู่ในความประมาทและดูแคลนความคิดของขงเบ้งจึงท้วงว่า “อันตำบลเกเต๋งนี้ มหาอุปราชกำชับมาว่าเป็นที่คับขันอยู่ เราอย่าประมาท ขอให้ท่านตั้งค่ายใหญ่ครอบปากทางนี้ลงไว้ ด้วยมีทางน้อยแยกเป็นห้าทาง เข้ามารวมกันในต้นทางนี้ เกลือกจะมีข้าศึกแต่งกองทัพแยกมาบรรจบกัน จะไว้ใจมิได้”

            อองเป๋งยังคงเคารพศรัทธาในสติปัญญาของขงเบ้ง ที่เล็งเห็นว่าตำบลเกเต๋งเป็นยุทธภูมิสำคัญ ชี้ขาดแพ้ชนะของสงคราม และเห็นว่าสภาพภูมิประเทศนั้นฝ่ายตั้งรับรักษาพื้นที่จะเป็นฝ่ายได้เปรียบ เพราะทางที่จะเข้ามาตำบลเกเต๋งนั้นเป็นซอกเขาเล็ก และมีลำธารห้วยหนองทุรกันดาร ยากที่กองทัพใหญ่จะยกมาได้ แต่ข้าศึกอาจแบ่งแยกกำลังเป็นหน่วยย่อย ๆ ยกมาตามซอกเขาแคบ ๆ ทั้งห้าทางแล้วมาบรรจบกันที่ปากทางเข้าตำบลเกเต๋ง ดังนั้นถ้าหากตั้งค่ายรับมือข้าศึกไว้ที่ทุ่งกว้างปากทางห้าแยกแล้ว ข้าศึกก็ไม่อาจยกล่วงเข้ามาได้

            ม้าเจ๊กเป็นนักวิชาการติดยึดในคัมภีร์ โดยไม่คำนึงว่าสอดคล้องกับภูมิประเทศที่เป็นจริงหรือไม่ อันเป็นลักษณะเช่นเดียวกันกับนักวิชาการในยุคหลัง ๆ ที่ลอกกากตำราฝรั่ง และยกขึ้นข่มประชาชาติเดียวกันอย่างไม่ละอายแก่ใจว่า ภายในสมองของตนนั้นหาได้มีสิ่งใดเป็นแก่นสารไม่ คงมีแต่กากตำราที่ฝรั่งเขาทิ้งแล้ว สุมกองอยู่เต็มหัวเท่านั้น ครั้นได้ฟังอองเป๋งจึงแย้งว่า “อันจะตั้งค่ายลงในกลางทางนี้หามีธรรมเนียมไม่ แลเขาริมทางนี้ก็โดดอยู่เขาเดียว ข้างตีนเขาเล่าก็มีป่าไม้รกชัฏ เหมือนเทพยดามาแต่งที่ชัยชนะไว้ให้เรา เราจะยกทหารขึ้นไปตั้งซุ่มอยู่บนยอดเขาจะมิดีกว่าหรือ”

            ความเห็นของม้าเจ๊กนี้เห็นว่าการตั้งค่ายไว้กลางทางซึ่งเป็นที่ราบกว้างปากทางห้าแยก เป็นบัญชรภูมิที่ฝ่ายข้าศึกหรือฝ่ายเราสามารถสัญจรไปมาได้ ซึ่งเป็นความเพียงส่วนหนึ่งของคัมภีร์พิชัยสงคราม แต่กลางทางที่ว่านี้มิใช่กลางทางเสียทีเดียว ไม่อาจถือเป็นบัญชรภูมิได้ เพราะเหตุเป็นปากทางห้าแยกที่สามารถสกัดกั้นทหารหน่วยเล็กหน่วยน้อยที่จะลอบยกมาตามซอกเขามิให้ยกล่วงเข้ามาได้ ความคิดของม้าเจ๊กจึงไม่สอดคล้องกับบทแห่งพิชัยสงครามที่ว่า การดำเนินสงครามต้องพลิกพลิ้วไปตามสถานการณ์และภูมิประเทศ เปรียบประดุจดังสีมีเพียงห้า แต่จิตรกรที่ปรีชาสามารถก็ปรุงแต่งสีได้นับหมื่นแสนไม่รู้จักจบสิ้น จึงมีความเห็นที่จะให้ยกทหารไปตั้งซุ่มอยู่บน ภูเขาโดดเดี่ยวหลังทุ่งกว้าง ด้วยหวังว่าเมื่อกองทัพสุมาอี้ยกมาถึงทุ่งกว้างแล้วจะได้ยกเข้าโจมตี

            อองเป๋งจึงท้วงอีกว่า “จะทิ้งที่สำคัญเสียไม่เห็นด้วย แม้ตั้งค่ายปิดปากทางนี้ลงไว้แล้ว ถึงว่าข้าศึกจะยกมาสักสิบหมื่น ก็ไม่เห็นจะหักทางล่วงเราไปได้ ถ้าท่านจะคุมทหารขึ้นไปตั้งอยู่บนเขานั้น ข้าศึกรู้ ยกทหารมาล้อมไว้ทั้งสี่ด้าน จะมิจนเสียหรือ”

            ม้าเจ๊กไม่ฟังคำท้วง พอได้ฟังคำอองเป๋งก็หัวเราะเยาะ แล้วกล่าวว่า “ท่านว่าทั้งนี้เหมือนความคิดผู้หญิง โบราณว่าไว้ถ้าจะรบศึกให้อยู่ที่สูง ถึงจะต่อด้วยศัตรูก็ได้เปรียบ อาจเอาชัยชนะได้โดยเร็ว เสมือนผ่าไม้ไผ่ แม้ทหารสุมาอี้ออกยกมา เราจะไล่ให้แตกหนีไป มิให้มีเกราะติดตัวเลย”.

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

ตัวอย่างกระทู้ธรรม ธรรมศึกษาชั้นตรี 5

I miss you all กับ I miss all of you ต่างกันอย่างไร

ปัญหาและเฉลยวิชาธรรม นักธรรมชั้นโท สอบในสนามหลวง วันเสาร์ ที่ ๑๙ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๔๘