ตอนที่ 524. กล "กำหนดสมรภูมิรบ"
เบ้งตัดประมาทว่ากองทัพสุมาอี้จะไม่ยกมาตีเมืองซงหยง ครั้นกองทัพสุมาอี้ยกมาถึงก็ต้องถอยร่นเข้ามาตั้งรับอยู่ในตัวเมือง เมื่อทราบว่าซินต๋ำและซินหงียกทหารมาทางด้านหลังเมืองซงหยง ก็สำคัญว่าซินต๋ำและซินหงียกมาช่วย จึงพาทหารไปที่ประตูเมืองด้านหลังหวังจะต้อนรับสองเจ้าเมือง
เบ้งตัดสั่งให้นายประตูเมืองเปิดประตูแล้วพาทหารออกไปต้อนรับซินต๋ำและซินหงีโดยมิได้ระแวงสงสัยแต่ประการใด
พอเบ้งตัดพาทหารออกไปพ้นประตูเมือง ก็เห็นซินต๋ำและซินหงีขี่ม้าตรงเข้ามาหา แล้วร้องด่าเบ้งตัดว่า “อ้ายขบถ มึงคิดทรยศต่อเจ้า เร่งไปหาที่ตายเถิด” สิ้นคำทหารของซินต๋ำและซินหงีก็พากันจู่โจมตามมาอย่างรวดเร็ว
เบ้งตัดเห็นดังนั้นก็ตกใจ ควบม้าจะหนีกลับเข้าเมือง แต่ประตูเมืองก็ถูกปิดลงอย่างรวดเร็ว เบ้งตัดมองขึ้นไปบนเชิงเทินเห็นเตงเหียนและลิจูซึ่งคุมทหารรักษากำแพงเมือง สั่งทหารให้ระดมยิงเกาทัณฑ์สกัดหน้าเบ้งตัดไว้ไม่ให้เข้าใกล้ประตูเมือง และร้องด่าลงมาว่า อ้ายขบถ มึงไม่ใช่ข้าแผ่นดินวุยก๊กแล้ว จะด้านหน้าเข้ามาในเมืองนี้อีกหรือ
เบ้งตัดได้ฟังก็ตกใจ ชักม้าหันหลังกลับเห็นทหารของซินต๋ำและซินหงียกตรงมาก็ตัดใจขี่ม้าพาทหารตีฝ่าจะออกจากที่ล้อม ซินต๋ำเห็นเบ้งตัดตีฝ่าจะออกพ้นจากแนวล้อมก็ขี่ม้าไล่ตามไป พอทันกับเบ้งตัดจึงเอาทวนแทงเบ้งตัดตกจากหลังม้าถึงแก่ความตาย แล้วตัดศีรษะเบ้งตัดเอาไปให้สุมาอี้
เตงเหียนกับลิจูซึ่งรักษาเมืองซงหยง ได้เปิดประตูเมืองต้อนรับกองทัพสุมาอี้เข้ามาในเมือง และรายงานความทั้งปวงให้ทราบ สุมาอี้จัดแจงบ้านเมืองเป็นปกติแล้ว จึงจัดแจงกองทัพเกณฑ์ทหารเมืองซงหยงเข้าร่วมในกองทัพ และให้ทหารคุมศีรษะของเบ้งตัดเดินทางล่วงหน้าไปถวายพระเจ้าโจยอย และทำฎีกากราบบังคมทูลว่าซินต๋ำและซินหงีมีความชอบเป็นอันมาก ขอกราบทูลเสนอให้โปรดเกล้าแต่งตั้งเป็นขุนนางผู้ใหญ่ แลลิจูนั้นสมควรตั้งเป็นเจ้าเมืองซินเสีย ส่วนเตงเหียนนั้นเสนอให้ตั้งเป็นเจ้าเมืองซงหยง
พระเจ้าโจยอยกำลังจะเคลื่อนทัพออกจากเมืองลกเอี๋ยงได้ทราบฎีกาของสุมาอี้แล้วตรัสสรรเสริญว่าสุมาอี้มีสติปัญญาหลักแหลมเป็นอันมาก แล้วโปรดเกล้าแต่งตั้งขุนนางและเจ้าเมืองตามฎีกาของสุมาอี้ทุกประการ และให้เอาศีรษะของเบ้งตัดไปเสียบประจานไว้ที่ทางสามแพร่งมิให้เป็นเยี่ยงอย่างแก่คนทั้งปวงสืบไป
พระเจ้าโจยอยมีรับสั่งให้เจ้าหน้าที่อาลักษณ์ทำหมายไปถึงสุมาอี้ให้รีบยกกองทัพไปบรรจบกับกองทัพหลวงที่เมืองเตียงอัน ครั้นจัดแจงการทั้งปวงเสร็จแล้วพระเจ้าโจยอยจึงยกกองทัพออกจากเมืองลกเอี๋ยง
ฝ่ายสุมาอี้เมื่อได้รับหมายรับสั่งของพระเจ้าโจยอย ก็สั่งให้เคลื่อนทัพออกจากเมืองซงหยงยกไปที่เมืองเตียงอัน ครั้นถึงเมืองเตียงอันทราบว่าพระเจ้าโจยอยเสด็จเข้าประทับอยู่ในเมืองแล้ว สุมาอี้จึงให้ตั้งค่ายอยู่นอกเมือง แล้วเข้าไปเฝ้าพระเจ้าโจยอยตามประเพณี
พระเจ้าโจยอยทอดพระเนตรเห็นสุมาอี้เข้ามาเฝ้าก็ดีพระทัย รับสั่งว่าซึ่งเราทำผิดถอดถอนท่านออกจากตำแหน่งหน้าที่ในราชการนั้นเป็นเพราะเราหลงกลของขงเบ้ง ท่านอย่าได้น้อยใจเลย เราขออภัยต่อท่าน การครั้งนี้เบ้งตัดเป็นขบถ “หากว่าท่านรู้ หาไม่เมืองก็จะเป็นอันตราย”
สุมาอี้จึงกราบทูลว่า ข้าพระองค์เป็นข้าแผ่นดินวุยก๊กมาแต่ครั้งพระเจ้าวุยอ๋อง เป็นที่ไว้วางพระราชหฤทัยสืบมาจนถึงพระเจ้าโจผี ก็ได้ฝากการแผ่นดินไว้กับข้าพระองค์ เป็นพระมหากรุณาธิคุณเป็นล้นพ้น ซึ่งพระองค์ได้โปรดเกล้าให้คืนตำแหน่งและแต่งตั้งข้าพระองค์เป็นแม่ทัพในครั้งนี้เป็นพระมหากรุณาธิคุณยิ่งแล้ว ข้าพระองค์จะทำการถวายโดยมิเสียดายแก่ชีวิต
สุมาอี้กราบทูลต่อไปว่า “เมื่อซินหงีให้ทหารไปบอกข้าพเจ้าว่าเบ้งตัดเป็นขบถนั้น ข้าพเจ้าก็คิดอยู่ว่าเบ้งตัดเป็นขุนนางผู้ใหญ่ จะบอกหนังสือขึ้นไปกราบทูลพระองค์ให้มีหนังสือลงมาก่อนก็กลัวจะช้าไป ซึ่งข้าพเจ้าทำการละเมิดนอกรับสั่ง โทษข้าพเจ้าก็ผิดอยู่ตามแต่พระองค์จะโปรด”
กราบทูลดังนั้นแล้วสุมาอี้จึงเอาหนังสือของขงเบ้งที่ยึดได้จากทหารของเบ้งตัดขึ้นทูลเกล้าถวายเพื่อเป็นหลักฐาน
พระเจ้าโจยอยเห็นดังนั้นก็รู้ว่าสุมาอี้ระมัดระวังตัวป้องกันมิให้ผู้ใดกราบทูลใส่ร้ายในภายหลังว่าทำการนอกรับสั่ง จึงตรัสว่า “ท่านนี้มีสติปัญญาหลักแหลม หาผู้เสมอมิได้ แต่นี้ไปเมื่อหน้าถ้าผู้ใดทำความผิดโทษถึงตายแล้วก็ให้ฆ่าเสียเถิด อย่าบอกเราให้รู้เลย”
พระเจ้าโจยอยรับสั่งเช่นนั้นแล้วจึงพระราชทานเครื่องยศให้แก่สุมาอี้ และปูนบำเหน็จความชอบเป็นอันมาก สามก๊กฉบับเจ้าพระยาพระคลัง (หน) ระบุว่าพระเจ้าโจยอย “พระราชทานเครื่องยศสำหรับกษัตริย์ให้สุมาอี้เป็นอันมาก” ส่วนฉบับภาษาจีนระบุแต่เพียงว่าเครื่องยศที่พระราชทานในครั้งนี้เป็นเครื่องยศเสมอด้วยชั้นก๋ง แต่การที่พระราชทานอำนาจแก่สุมาอี้ถึงขนาดว่าถ้าผู้ใดกระทำความผิดโทษถึงตายก็ให้ประหารชีวิตได้โดยไม่ต้องกราบทูลนั้น เป็นการซ้ำรอยการที่พระเจ้าเหี้ยนเต้พระราชทานอำนาจให้แก่โจโฉ ซึ่งได้กลายเป็นเงื่อนไขให้โจผีชิงราชบัลลังก์ในเวลาต่อมา ทำให้การคาดคะเนของโจโฉที่เคยสั่งความไว้กับคนใกล้ชิดว่า สุมาอี้นี้ในภายหน้าอย่าให้มีอำนาจทางทหารเพราะจะเป็นขบถ ได้เริ่มก่อเค้าลางที่จะเป็นไปตามความคาดคะเนนั้น หรือว่านี่คือลิขิตของสวรรค์ที่กรรมย่อมสนองกรรมนั่นแล้ว
สุมาอี้ได้ยินรับสั่งของพระเจ้าโจยอยแล้วจึงถวายบังคมขอบพระทัย แล้วกราบทูลว่าในการศึกครั้งนี้ข้าพระองค์จะขอตัวนายทหารเสือคนสำคัญที่มีฝีมือประจักษ์มาแต่ก่อนไปด้วยจะได้ช่วยกันทำการสนองพระเดชพระคุณให้สำเร็จดังพระราชประสงค์
พระเจ้าโจยอยตรัสถามว่านายทหารผู้นี้เป็นผู้ใด สุมาอี้จึงกราบทูลว่าเป็นเตียวคับยอดทหารเสือของพระเจ้าวุยอ๋อง พระเจ้าโจยอยได้ฟังก็ดีพระทัย โปรดเกล้าอนุญาตตามที่สุมาอี้ทูลขอแล้วตรัสสั่งให้สุมาอี้เร่งยกกองทัพไปรบกับขงเบ้ง
สุมาอี้ถวายบังคมลาพระเจ้าโจยอยแล้วจึงกลับออกไปที่ค่าย แล้วพาเตียวคับยกกองทัพไปที่เขากิสาน
ครั้นสุมาอี้กลับออกไปแล้วพระเจ้าโจยอยจึงตรัสสั่งให้ซินผีและซุนเล้คุมทหารอีกกองหนึ่งยกไปช่วยโจจิ๋นซึ่งยกทหารไปตั้งหลักรักษาเมืองไปเซีย
สุมาอี้ยกกองทัพพ้นด่านปลายแดนเมืองเตียงอันแล้วให้ทหารตั้งค่ายไว้ แล้วเรียกเตียวคับมาปรึกษาว่า ซึ่งจะทำศึกกับขงเบ้งนั้นจะวู่วามมิได้เป็นอันขาด ด้วยขงเบ้งนี้มีสติปัญญา เจ้าความคิด หลักแหลม หากพลาดพลั้งก็จะเสียทีแก่ข้าศึก เตียวคับจึงถามว่าท่านแม่ทัพจะคิดอ่านประการใด
สุมาอี้จึงว่าขงเบ้งยกกองทัพล่วงลึกเข้ามาในแดนวุยก๊กย่อมวิตกระวังหลังเป็นแน่แท้ ดังนั้นกองทัพของขงเบ้งข้างหนึ่งคิดจะรุดไปข้างหน้า ข้างหนึ่งก็ต้องคิดระวังหลัง
สุมาอี้อรรถาธิบายต่อไปว่า ข้างที่จะรุดไปข้างหน้านั้นเห็นขงเบ้งจะแต่งกองทัพแยกออกเป็นสองกอง ยกไปตีเมืองไปเซียกองหนึ่ง และยกไปที่ตำบลกิก๊กอีกกองหนึ่ง ข้างที่ระวังหลังนั้นเห็นจะยกทหารไปรักษาเมืองหลิวเซียอีกกองหนึ่ง กลวิธีจะรับศึกสามเมืองนี้เราจะให้มีหนังสือไปถึงโจจิ๋นให้ตั้งมั่นอยู่แต่ในเมืองไปเซีย คอยระมัดระวังรักษาเมืองไว้มิให้เป็นอันตราย ยันกองทัพของขงเบ้งไว้อีกไม่นานก็จะต้องล่าถอยไปเอง แล้วเราจะมีหนังสือไปให้ซินผีกับซุนเล้ยกทหารไปตั้งซุ่มอยู่ที่ตำบลกิก๊ก หาก ขงเบ้งยกไปก็ให้จู่โจมรุกเข้าตีอย่าให้ทันตั้งตัว ส่วนเมืองหลิวเซียนั้นเราจะยกไปเอง
เตียวคับจึงถามว่า ไฉนท่านแม่ทัพจึงไม่ยกทหารไปรบกับขงเบ้ง กลับจะยกกองทัพไกลไปถึงเมืองหลิวเซียเล่า
สุมาอี้จึงว่าเมืองหลิวเซียนั้นเป็นที่คับขัน เนื่องเพราะอยู่ใกล้กับตำบลเกเต๋ง ซึ่งเป็นประดุจคอหอยของเมืองฮันต๋ง บรรดาเสบียงทั้งปวงของกองทัพขงเบ้งล้วนลำเลียงผ่านตำบลเกเต๋งทั้งสิ้น และเมืองเกเต๋งนี้ยังเป็นเส้นทางสำคัญที่ถ้าหากขงเบ้งจะถอยทัพแล้วก็จะต้องถอยทัพกลับเมืองฮันต๋งผ่านตำบลเกเต๋งด้วย อันการสงครามนั้นหาจำต้องรบตามสมรภูมิรบที่ข้าศึกกำหนดไม่ ขุนพลที่ปรีชาย่อมสามารถกำหนดสมรภูมิรบตามที่ต้องการ หากเราจะยกกองทัพไปเผชิญหน้ากับขงเบ้งก็เปลืองแรงแก่ทหารเสียเปล่า แต่หากเรายกกองทัพไปที่เมืองหลิวเซียแล้วยึดตำบลเกเต๋งให้ได้ ขงเบ้งก็จะต้องถอยทัพกลับไปเอง เพราะหากขืนรุดหน้าต่อไปทหารขาดเสบียงอาหารก็จะต้องพ่ายแพ้โดยไม่ต้องสงสัย ทั้งขงเบ้งจะต้องห่วงกังวลว่าเมื่อเราได้ตำบลเกเต๋งแล้วก็จะปิดทางถอยแล้วล้อมตีกระหนาบ ทหารเสฉวนก็จะตายสิ้น เห็นขงเบ้งจะต้องถอยทัพลงมาเมืองหลิวเซียเป็นมั่นคง
เตียวคับได้ฟังดังนั้นก็สรรเสริญความคิดของสุมาอี้เป็นอันมากว่าคิดอ่านวางแผนการสงครามดุจเทพยดา แล้วถามต่อไปว่าท่านแม่ทัพจะจัดแจงกำลังทหารในการนี้ประการใด
สุมาอี้จึงว่า “เราจะยกกองทัพไปซุ่มอยู่ อย่าให้ทันรู้ เห็นขงเบ้งจะประมาท สำคัญว่าโจจิ๋นเลินเล่ออยู่จะไม่ตระเตรียมทหารป้องกันเมืองไปเซีย ก็จะยกกองทัพรีบไปตีเอา ถ้าเราเห็นกองทัพขงเบ้งล่วงตำบลเกเต๋งเข้าไปแล้ว เราจะสกัดทางเสีย ขงเบ้งก็จะจนอยู่ แม้จะเลี้ยวไปทางเมืองหลงเส เราจะแต่งทหารไปตั้งสกัดทางน้อยทางใหญ่เสีย อย่าให้ทหารขงเบ้งออกเที่ยวหาเสบียงได้ก็จะขัดลง อยู่มิได้จะพาทหารหนีไปทางฮันต๋ง ฝ่ายเราได้ทีก็จะยกกองทัพออกโจมตีเอา เห็นจะได้ชัยชนะฝ่ายเดียว”
ครั้นปรึกษากันเสร็จแล้ว สุมาอี้จึงแต่งหนังสือให้ทหารเดินสารถือไปให้แก่โจจิ๋น ณ เมืองไปเซีย และแจ้งให้โจจิ๋นสั่งซินผีกับซุนเล้ให้ยกทหารไปซุ่มอยู่ที่ตำบลกิก๊กตามแผนการทุกประการ
สั่งการเสร็จสรรพแล้วสุมาอี้จึงกล่าวกับเตียวคับอีกว่า “เราจะคิดกลอุบายทั้งปวงถึงเห็นชอบด้วยกันก็ดี แต่ทว่าอย่าประมาท อันขงเบ้งนั้นจะเหมือนเบ้งตัดหามิได้”
แล้วสุมาอี้จึงสั่งให้เตียวคับเป็นแม่ทัพกองทัพหน้า ยกไปที่ตำบลหลิวเซีย กำชับว่าในการเคลื่อนทัพอย่าได้ดูเบาประมาทแก่ขงเบ้ง ให้ค่อย ๆ เคลื่อนทัพไปอย่างมั่นคง ให้แต่งกองลาดตระเวนระยะไกล ทำการลาดตระเวนให้ไกลที่สุด หากเห็นว่าปลอดภัยแล้วจึงค่อยยกไป แต่ถ้าหากยังมิได้ตรวจตราภูมิประเทศและการซุ่มโจมตีให้ละเอียดถี่ถ้วนแล้ว อย่าให้เคลื่อนกองทัพไปเป็นอันขาด หากมัวเห็นแต่จะได้ที ไม่ทำการระมัดระวังดังที่กำชับนี้แล้ว เห็นจะต้องกลของขงเบ้งโดยไม่ทันรู้ตัว
สุมาอี้กำชับเตียวคับถึงสามครั้งสามคราเตียวคับก็รับคำแล้วคำนับลาสุมาอี้ยกทหารเป็นกองหน้าไปที่เมืองหลิวเซีย
ฝ่ายขงเบ้งปลงทัพอยู่ที่เขากิสาน ได้ให้ทหารลาดตระเวนสอดแนมหาข่าวคราวอย่างละเอียดถี่ถ้วนเพื่อเตรียมยกกองทัพรุดหน้าต่อไป อยู่มาวันหนึ่งหน่วยสอดแนมได้กลับมารายงานว่า สุมาอี้ได้ยกกองทัพไปที่เมืองซงหยง เบ้งตัดประมาทว่าสุมาอี้จะยกกองทัพมาเมืองเตียงอัน จึงถูกสุมาอี้ยึดเมืองซงหยงและเบ้งตัดก็ถึงแก่ความตายแล้ว ขณะนี้สุมาอี้ได้ยกกองทัพมาที่เมืองเตียงอันและให้เตียวคับเป็นกองทัพหน้า สุมาอี้เป็นกองทัพหลวง จะยกมารบกับกองทัพเรา
ขงเบ้งพอทราบข่าวก็ตกใจ รีบเดินกลับเข้าไปในค่ายบัญชาการ ม้าเจ๊กเห็นดังนั้นก็เดินตามขงเบ้งเข้าไป
ขงเบ้งตรึกตรองอยู่ครู่หนึ่งแล้วจึงว่า สุมาอี้ชำนาญการสงคราม เห็นจะคิดอ่านยกกองทัพไปสกัดทางถอยของกองทัพเราไว้ที่ตำบลเกเต๋ง แล้วตีกระหนาบเข้ามาจากทั้งสองด้าน แลตำบลเกเต๋งนี้เป็นที่คับขัน เป็นทั้งเส้นทางถอยของกองทัพเรา เป็นทั้งเส้นทางลำเลียงเสบียงอาหารของกองทัพ และยังเป็นจุดยุทธศาสตร์สำคัญที่คุกคามต่อเมืองฮันต๋ง หากเสียเกเต๋งแล้วการทั้งปวงก็จะขัดสนสิ้น.
เบ้งตัดสั่งให้นายประตูเมืองเปิดประตูแล้วพาทหารออกไปต้อนรับซินต๋ำและซินหงีโดยมิได้ระแวงสงสัยแต่ประการใด
พอเบ้งตัดพาทหารออกไปพ้นประตูเมือง ก็เห็นซินต๋ำและซินหงีขี่ม้าตรงเข้ามาหา แล้วร้องด่าเบ้งตัดว่า “อ้ายขบถ มึงคิดทรยศต่อเจ้า เร่งไปหาที่ตายเถิด” สิ้นคำทหารของซินต๋ำและซินหงีก็พากันจู่โจมตามมาอย่างรวดเร็ว
เบ้งตัดเห็นดังนั้นก็ตกใจ ควบม้าจะหนีกลับเข้าเมือง แต่ประตูเมืองก็ถูกปิดลงอย่างรวดเร็ว เบ้งตัดมองขึ้นไปบนเชิงเทินเห็นเตงเหียนและลิจูซึ่งคุมทหารรักษากำแพงเมือง สั่งทหารให้ระดมยิงเกาทัณฑ์สกัดหน้าเบ้งตัดไว้ไม่ให้เข้าใกล้ประตูเมือง และร้องด่าลงมาว่า อ้ายขบถ มึงไม่ใช่ข้าแผ่นดินวุยก๊กแล้ว จะด้านหน้าเข้ามาในเมืองนี้อีกหรือ
เบ้งตัดได้ฟังก็ตกใจ ชักม้าหันหลังกลับเห็นทหารของซินต๋ำและซินหงียกตรงมาก็ตัดใจขี่ม้าพาทหารตีฝ่าจะออกจากที่ล้อม ซินต๋ำเห็นเบ้งตัดตีฝ่าจะออกพ้นจากแนวล้อมก็ขี่ม้าไล่ตามไป พอทันกับเบ้งตัดจึงเอาทวนแทงเบ้งตัดตกจากหลังม้าถึงแก่ความตาย แล้วตัดศีรษะเบ้งตัดเอาไปให้สุมาอี้
เตงเหียนกับลิจูซึ่งรักษาเมืองซงหยง ได้เปิดประตูเมืองต้อนรับกองทัพสุมาอี้เข้ามาในเมือง และรายงานความทั้งปวงให้ทราบ สุมาอี้จัดแจงบ้านเมืองเป็นปกติแล้ว จึงจัดแจงกองทัพเกณฑ์ทหารเมืองซงหยงเข้าร่วมในกองทัพ และให้ทหารคุมศีรษะของเบ้งตัดเดินทางล่วงหน้าไปถวายพระเจ้าโจยอย และทำฎีกากราบบังคมทูลว่าซินต๋ำและซินหงีมีความชอบเป็นอันมาก ขอกราบทูลเสนอให้โปรดเกล้าแต่งตั้งเป็นขุนนางผู้ใหญ่ แลลิจูนั้นสมควรตั้งเป็นเจ้าเมืองซินเสีย ส่วนเตงเหียนนั้นเสนอให้ตั้งเป็นเจ้าเมืองซงหยง
พระเจ้าโจยอยกำลังจะเคลื่อนทัพออกจากเมืองลกเอี๋ยงได้ทราบฎีกาของสุมาอี้แล้วตรัสสรรเสริญว่าสุมาอี้มีสติปัญญาหลักแหลมเป็นอันมาก แล้วโปรดเกล้าแต่งตั้งขุนนางและเจ้าเมืองตามฎีกาของสุมาอี้ทุกประการ และให้เอาศีรษะของเบ้งตัดไปเสียบประจานไว้ที่ทางสามแพร่งมิให้เป็นเยี่ยงอย่างแก่คนทั้งปวงสืบไป
พระเจ้าโจยอยมีรับสั่งให้เจ้าหน้าที่อาลักษณ์ทำหมายไปถึงสุมาอี้ให้รีบยกกองทัพไปบรรจบกับกองทัพหลวงที่เมืองเตียงอัน ครั้นจัดแจงการทั้งปวงเสร็จแล้วพระเจ้าโจยอยจึงยกกองทัพออกจากเมืองลกเอี๋ยง
ฝ่ายสุมาอี้เมื่อได้รับหมายรับสั่งของพระเจ้าโจยอย ก็สั่งให้เคลื่อนทัพออกจากเมืองซงหยงยกไปที่เมืองเตียงอัน ครั้นถึงเมืองเตียงอันทราบว่าพระเจ้าโจยอยเสด็จเข้าประทับอยู่ในเมืองแล้ว สุมาอี้จึงให้ตั้งค่ายอยู่นอกเมือง แล้วเข้าไปเฝ้าพระเจ้าโจยอยตามประเพณี
พระเจ้าโจยอยทอดพระเนตรเห็นสุมาอี้เข้ามาเฝ้าก็ดีพระทัย รับสั่งว่าซึ่งเราทำผิดถอดถอนท่านออกจากตำแหน่งหน้าที่ในราชการนั้นเป็นเพราะเราหลงกลของขงเบ้ง ท่านอย่าได้น้อยใจเลย เราขออภัยต่อท่าน การครั้งนี้เบ้งตัดเป็นขบถ “หากว่าท่านรู้ หาไม่เมืองก็จะเป็นอันตราย”
สุมาอี้จึงกราบทูลว่า ข้าพระองค์เป็นข้าแผ่นดินวุยก๊กมาแต่ครั้งพระเจ้าวุยอ๋อง เป็นที่ไว้วางพระราชหฤทัยสืบมาจนถึงพระเจ้าโจผี ก็ได้ฝากการแผ่นดินไว้กับข้าพระองค์ เป็นพระมหากรุณาธิคุณเป็นล้นพ้น ซึ่งพระองค์ได้โปรดเกล้าให้คืนตำแหน่งและแต่งตั้งข้าพระองค์เป็นแม่ทัพในครั้งนี้เป็นพระมหากรุณาธิคุณยิ่งแล้ว ข้าพระองค์จะทำการถวายโดยมิเสียดายแก่ชีวิต
สุมาอี้กราบทูลต่อไปว่า “เมื่อซินหงีให้ทหารไปบอกข้าพเจ้าว่าเบ้งตัดเป็นขบถนั้น ข้าพเจ้าก็คิดอยู่ว่าเบ้งตัดเป็นขุนนางผู้ใหญ่ จะบอกหนังสือขึ้นไปกราบทูลพระองค์ให้มีหนังสือลงมาก่อนก็กลัวจะช้าไป ซึ่งข้าพเจ้าทำการละเมิดนอกรับสั่ง โทษข้าพเจ้าก็ผิดอยู่ตามแต่พระองค์จะโปรด”
กราบทูลดังนั้นแล้วสุมาอี้จึงเอาหนังสือของขงเบ้งที่ยึดได้จากทหารของเบ้งตัดขึ้นทูลเกล้าถวายเพื่อเป็นหลักฐาน
พระเจ้าโจยอยเห็นดังนั้นก็รู้ว่าสุมาอี้ระมัดระวังตัวป้องกันมิให้ผู้ใดกราบทูลใส่ร้ายในภายหลังว่าทำการนอกรับสั่ง จึงตรัสว่า “ท่านนี้มีสติปัญญาหลักแหลม หาผู้เสมอมิได้ แต่นี้ไปเมื่อหน้าถ้าผู้ใดทำความผิดโทษถึงตายแล้วก็ให้ฆ่าเสียเถิด อย่าบอกเราให้รู้เลย”
พระเจ้าโจยอยรับสั่งเช่นนั้นแล้วจึงพระราชทานเครื่องยศให้แก่สุมาอี้ และปูนบำเหน็จความชอบเป็นอันมาก สามก๊กฉบับเจ้าพระยาพระคลัง (หน) ระบุว่าพระเจ้าโจยอย “พระราชทานเครื่องยศสำหรับกษัตริย์ให้สุมาอี้เป็นอันมาก” ส่วนฉบับภาษาจีนระบุแต่เพียงว่าเครื่องยศที่พระราชทานในครั้งนี้เป็นเครื่องยศเสมอด้วยชั้นก๋ง แต่การที่พระราชทานอำนาจแก่สุมาอี้ถึงขนาดว่าถ้าผู้ใดกระทำความผิดโทษถึงตายก็ให้ประหารชีวิตได้โดยไม่ต้องกราบทูลนั้น เป็นการซ้ำรอยการที่พระเจ้าเหี้ยนเต้พระราชทานอำนาจให้แก่โจโฉ ซึ่งได้กลายเป็นเงื่อนไขให้โจผีชิงราชบัลลังก์ในเวลาต่อมา ทำให้การคาดคะเนของโจโฉที่เคยสั่งความไว้กับคนใกล้ชิดว่า สุมาอี้นี้ในภายหน้าอย่าให้มีอำนาจทางทหารเพราะจะเป็นขบถ ได้เริ่มก่อเค้าลางที่จะเป็นไปตามความคาดคะเนนั้น หรือว่านี่คือลิขิตของสวรรค์ที่กรรมย่อมสนองกรรมนั่นแล้ว
สุมาอี้ได้ยินรับสั่งของพระเจ้าโจยอยแล้วจึงถวายบังคมขอบพระทัย แล้วกราบทูลว่าในการศึกครั้งนี้ข้าพระองค์จะขอตัวนายทหารเสือคนสำคัญที่มีฝีมือประจักษ์มาแต่ก่อนไปด้วยจะได้ช่วยกันทำการสนองพระเดชพระคุณให้สำเร็จดังพระราชประสงค์
พระเจ้าโจยอยตรัสถามว่านายทหารผู้นี้เป็นผู้ใด สุมาอี้จึงกราบทูลว่าเป็นเตียวคับยอดทหารเสือของพระเจ้าวุยอ๋อง พระเจ้าโจยอยได้ฟังก็ดีพระทัย โปรดเกล้าอนุญาตตามที่สุมาอี้ทูลขอแล้วตรัสสั่งให้สุมาอี้เร่งยกกองทัพไปรบกับขงเบ้ง
สุมาอี้ถวายบังคมลาพระเจ้าโจยอยแล้วจึงกลับออกไปที่ค่าย แล้วพาเตียวคับยกกองทัพไปที่เขากิสาน
ครั้นสุมาอี้กลับออกไปแล้วพระเจ้าโจยอยจึงตรัสสั่งให้ซินผีและซุนเล้คุมทหารอีกกองหนึ่งยกไปช่วยโจจิ๋นซึ่งยกทหารไปตั้งหลักรักษาเมืองไปเซีย
สุมาอี้ยกกองทัพพ้นด่านปลายแดนเมืองเตียงอันแล้วให้ทหารตั้งค่ายไว้ แล้วเรียกเตียวคับมาปรึกษาว่า ซึ่งจะทำศึกกับขงเบ้งนั้นจะวู่วามมิได้เป็นอันขาด ด้วยขงเบ้งนี้มีสติปัญญา เจ้าความคิด หลักแหลม หากพลาดพลั้งก็จะเสียทีแก่ข้าศึก เตียวคับจึงถามว่าท่านแม่ทัพจะคิดอ่านประการใด
สุมาอี้จึงว่าขงเบ้งยกกองทัพล่วงลึกเข้ามาในแดนวุยก๊กย่อมวิตกระวังหลังเป็นแน่แท้ ดังนั้นกองทัพของขงเบ้งข้างหนึ่งคิดจะรุดไปข้างหน้า ข้างหนึ่งก็ต้องคิดระวังหลัง
สุมาอี้อรรถาธิบายต่อไปว่า ข้างที่จะรุดไปข้างหน้านั้นเห็นขงเบ้งจะแต่งกองทัพแยกออกเป็นสองกอง ยกไปตีเมืองไปเซียกองหนึ่ง และยกไปที่ตำบลกิก๊กอีกกองหนึ่ง ข้างที่ระวังหลังนั้นเห็นจะยกทหารไปรักษาเมืองหลิวเซียอีกกองหนึ่ง กลวิธีจะรับศึกสามเมืองนี้เราจะให้มีหนังสือไปถึงโจจิ๋นให้ตั้งมั่นอยู่แต่ในเมืองไปเซีย คอยระมัดระวังรักษาเมืองไว้มิให้เป็นอันตราย ยันกองทัพของขงเบ้งไว้อีกไม่นานก็จะต้องล่าถอยไปเอง แล้วเราจะมีหนังสือไปให้ซินผีกับซุนเล้ยกทหารไปตั้งซุ่มอยู่ที่ตำบลกิก๊ก หาก ขงเบ้งยกไปก็ให้จู่โจมรุกเข้าตีอย่าให้ทันตั้งตัว ส่วนเมืองหลิวเซียนั้นเราจะยกไปเอง
เตียวคับจึงถามว่า ไฉนท่านแม่ทัพจึงไม่ยกทหารไปรบกับขงเบ้ง กลับจะยกกองทัพไกลไปถึงเมืองหลิวเซียเล่า
สุมาอี้จึงว่าเมืองหลิวเซียนั้นเป็นที่คับขัน เนื่องเพราะอยู่ใกล้กับตำบลเกเต๋ง ซึ่งเป็นประดุจคอหอยของเมืองฮันต๋ง บรรดาเสบียงทั้งปวงของกองทัพขงเบ้งล้วนลำเลียงผ่านตำบลเกเต๋งทั้งสิ้น และเมืองเกเต๋งนี้ยังเป็นเส้นทางสำคัญที่ถ้าหากขงเบ้งจะถอยทัพแล้วก็จะต้องถอยทัพกลับเมืองฮันต๋งผ่านตำบลเกเต๋งด้วย อันการสงครามนั้นหาจำต้องรบตามสมรภูมิรบที่ข้าศึกกำหนดไม่ ขุนพลที่ปรีชาย่อมสามารถกำหนดสมรภูมิรบตามที่ต้องการ หากเราจะยกกองทัพไปเผชิญหน้ากับขงเบ้งก็เปลืองแรงแก่ทหารเสียเปล่า แต่หากเรายกกองทัพไปที่เมืองหลิวเซียแล้วยึดตำบลเกเต๋งให้ได้ ขงเบ้งก็จะต้องถอยทัพกลับไปเอง เพราะหากขืนรุดหน้าต่อไปทหารขาดเสบียงอาหารก็จะต้องพ่ายแพ้โดยไม่ต้องสงสัย ทั้งขงเบ้งจะต้องห่วงกังวลว่าเมื่อเราได้ตำบลเกเต๋งแล้วก็จะปิดทางถอยแล้วล้อมตีกระหนาบ ทหารเสฉวนก็จะตายสิ้น เห็นขงเบ้งจะต้องถอยทัพลงมาเมืองหลิวเซียเป็นมั่นคง
เตียวคับได้ฟังดังนั้นก็สรรเสริญความคิดของสุมาอี้เป็นอันมากว่าคิดอ่านวางแผนการสงครามดุจเทพยดา แล้วถามต่อไปว่าท่านแม่ทัพจะจัดแจงกำลังทหารในการนี้ประการใด
สุมาอี้จึงว่า “เราจะยกกองทัพไปซุ่มอยู่ อย่าให้ทันรู้ เห็นขงเบ้งจะประมาท สำคัญว่าโจจิ๋นเลินเล่ออยู่จะไม่ตระเตรียมทหารป้องกันเมืองไปเซีย ก็จะยกกองทัพรีบไปตีเอา ถ้าเราเห็นกองทัพขงเบ้งล่วงตำบลเกเต๋งเข้าไปแล้ว เราจะสกัดทางเสีย ขงเบ้งก็จะจนอยู่ แม้จะเลี้ยวไปทางเมืองหลงเส เราจะแต่งทหารไปตั้งสกัดทางน้อยทางใหญ่เสีย อย่าให้ทหารขงเบ้งออกเที่ยวหาเสบียงได้ก็จะขัดลง อยู่มิได้จะพาทหารหนีไปทางฮันต๋ง ฝ่ายเราได้ทีก็จะยกกองทัพออกโจมตีเอา เห็นจะได้ชัยชนะฝ่ายเดียว”
ครั้นปรึกษากันเสร็จแล้ว สุมาอี้จึงแต่งหนังสือให้ทหารเดินสารถือไปให้แก่โจจิ๋น ณ เมืองไปเซีย และแจ้งให้โจจิ๋นสั่งซินผีกับซุนเล้ให้ยกทหารไปซุ่มอยู่ที่ตำบลกิก๊กตามแผนการทุกประการ
สั่งการเสร็จสรรพแล้วสุมาอี้จึงกล่าวกับเตียวคับอีกว่า “เราจะคิดกลอุบายทั้งปวงถึงเห็นชอบด้วยกันก็ดี แต่ทว่าอย่าประมาท อันขงเบ้งนั้นจะเหมือนเบ้งตัดหามิได้”
แล้วสุมาอี้จึงสั่งให้เตียวคับเป็นแม่ทัพกองทัพหน้า ยกไปที่ตำบลหลิวเซีย กำชับว่าในการเคลื่อนทัพอย่าได้ดูเบาประมาทแก่ขงเบ้ง ให้ค่อย ๆ เคลื่อนทัพไปอย่างมั่นคง ให้แต่งกองลาดตระเวนระยะไกล ทำการลาดตระเวนให้ไกลที่สุด หากเห็นว่าปลอดภัยแล้วจึงค่อยยกไป แต่ถ้าหากยังมิได้ตรวจตราภูมิประเทศและการซุ่มโจมตีให้ละเอียดถี่ถ้วนแล้ว อย่าให้เคลื่อนกองทัพไปเป็นอันขาด หากมัวเห็นแต่จะได้ที ไม่ทำการระมัดระวังดังที่กำชับนี้แล้ว เห็นจะต้องกลของขงเบ้งโดยไม่ทันรู้ตัว
สุมาอี้กำชับเตียวคับถึงสามครั้งสามคราเตียวคับก็รับคำแล้วคำนับลาสุมาอี้ยกทหารเป็นกองหน้าไปที่เมืองหลิวเซีย
ฝ่ายขงเบ้งปลงทัพอยู่ที่เขากิสาน ได้ให้ทหารลาดตระเวนสอดแนมหาข่าวคราวอย่างละเอียดถี่ถ้วนเพื่อเตรียมยกกองทัพรุดหน้าต่อไป อยู่มาวันหนึ่งหน่วยสอดแนมได้กลับมารายงานว่า สุมาอี้ได้ยกกองทัพไปที่เมืองซงหยง เบ้งตัดประมาทว่าสุมาอี้จะยกกองทัพมาเมืองเตียงอัน จึงถูกสุมาอี้ยึดเมืองซงหยงและเบ้งตัดก็ถึงแก่ความตายแล้ว ขณะนี้สุมาอี้ได้ยกกองทัพมาที่เมืองเตียงอันและให้เตียวคับเป็นกองทัพหน้า สุมาอี้เป็นกองทัพหลวง จะยกมารบกับกองทัพเรา
ขงเบ้งพอทราบข่าวก็ตกใจ รีบเดินกลับเข้าไปในค่ายบัญชาการ ม้าเจ๊กเห็นดังนั้นก็เดินตามขงเบ้งเข้าไป
ขงเบ้งตรึกตรองอยู่ครู่หนึ่งแล้วจึงว่า สุมาอี้ชำนาญการสงคราม เห็นจะคิดอ่านยกกองทัพไปสกัดทางถอยของกองทัพเราไว้ที่ตำบลเกเต๋ง แล้วตีกระหนาบเข้ามาจากทั้งสองด้าน แลตำบลเกเต๋งนี้เป็นที่คับขัน เป็นทั้งเส้นทางถอยของกองทัพเรา เป็นทั้งเส้นทางลำเลียงเสบียงอาหารของกองทัพ และยังเป็นจุดยุทธศาสตร์สำคัญที่คุกคามต่อเมืองฮันต๋ง หากเสียเกเต๋งแล้วการทั้งปวงก็จะขัดสนสิ้น.