ตอนที่ 522. กล "ทำลายแผนตีกระหนาบ"
พระเจ้าโจยอยทราบว่าโจจิ๋นเสียทีจึงโปรดเกล้าให้คืนตำแหน่งแก่สุมาอี้ดังแต่ก่อน และแต่งตั้งให้เป็นแม่ทัพใหญ่ไปรับศึกขงเบ้ง ให้สุมาอี้ยกทหารจากเมืองอ้วนเซียไปบรรจบกับกองทัพหลวงที่เมืองเตียงอัน ในขณะนั้นลิเงียมได้ส่งบุตรชายไปแจ้งความแก่ขงเบ้งว่า เบ้งตัดขอกลับเข้าสวามิภักดิ์กับเมืองเสฉวนดังเดิม
ขงเบ้งได้ทราบข่าวก็มีความยินดี จึงถามว่าเบ้งตัดได้เสนอความคิดเห็นประการใดหรือไม่
ลิอ๋องจึงว่าเบ้งตัดได้ฝากมาบอกมหาอุปราชว่า ขอให้มหาอุปราชยกกองทัพเข้าตีเมืองเตียงอันทางหนึ่ง ส่วนเบ้งตัดจะยกทหารจากเมืองซงหยง เมืองชินเสีย และเมืองกิมเสีย บรรจบทัพเข้าไปตีเอาเมืองลกเอี๋ยง วุยก๊กจะพะว้าพะวงเห็นจะเสียทีเป็นมั่นคง
ขงเบ้งได้ฟังดังนั้นก็เห็นด้วย สั่งให้ลิอ๋องรีบกลับไปเมืองซงหยง ให้เบ้งตัดดำเนินการตามแผนการที่เสนอนั้นทุกประการ และได้ปูนบำเหน็จให้แก่ลิอ๋องเป็นอันมาก
ในขณะนั้นหน่วยสอดแนมได้รายงานความแก่ขงเบ้งว่า “บัดนี้โจยอยให้หนังสือรับสั่งไปตั้งสุมาอี้เป็นขุนนางผู้ใหญ่ แล้วให้ยกกองทัพมาบรรจบกันกับโจยอย ณ เมืองเตียงอัน” และบัดนี้ทหารของพระเจ้าโจยอยได้เชิญพระบรมราชโองการไปพระราชทานแก่สุมาอี้ที่เมืองอ้วนเซียแล้ว
ขงเบ้งได้ฟังรายงานก็ตกใจสะดุ้งขึ้นทั้งตัว ม้าเจ๊กซึ่งอยู่ในที่ปรึกษาราชการเห็นขงเบ้งดังนั้นจึงกล่าวว่า “ถึงโจยอยจะยกทัพหลวงมาตั้งเมืองเตียงอันจริงก็จะกลัวอันใด เราจะคิดอ่านเอาชัยชนะจับตัวให้จงได้”
ขงเบ้งได้ฟังก็ส่ายศีรษะแล้วกล่าวว่า “เราจะกลัวอันใดกับโจยอย เราเกรงแต่สุมาอี้คนเดียว มีสติปัญญาหลักแหลมนัก”
ม้าเจ๊กจึงว่าขณะนี้สุมาอี้อยู่ถึงเมืองอ้วนเซีย จะต้องเดินทางเข้าไปเมืองลกเอี๋ยงเพื่อรายงานตัวต่อพระเจ้าโจยอยก่อนจึงจะรับตำแหน่งได้ ทั้งเบ้งตัดก็จะยกกองทัพจากสามเมืองบรรจบทัพเข้าตีเมืองลกเอี๋ยง กลายเป็นศึกกระหนาบสองทางดังนี้ เห็นทีเราจะได้ชัยชนะเป็นแน่แท้
ขงเบ้งจึงว่า คนแบบสุมาอี้เห็นจะไม่ถือพิธีรีตอง หากแม้นทราบข่าวว่าเบ้งตัดจะยกกองทัพไปตีเมืองลกเอี๋ยงก็คงจะยกทหารเข้าต้านทานเบ้งตัดก่อน อันสุมาอี้นี้มีสติปัญญาเหนือกว่าเบ้งตัดเป็นอันมาก เห็นเบ้งตัดจะเสียทีแก่สุมาอี้เป็นมั่นคง
ม้าเจ๊กได้ฟังคำขงเบ้งก็เห็นด้วยจึงว่า เบ้งตัดยังไม่ทราบข่าวว่าสุมาอี้ได้คืนอำนาจวาสนาดังแต่ก่อน หากเรานิ่งไว้เบ้งตัดไม่ทราบความก็จะเสียทีแก่สุมาอี้ จึงชอบที่มหาอุปราชจะได้มีหนังสือไปแจ้งความให้เบ้งตัดทราบ แล้วกำชับให้ระมัดระวังตัว
ขงเบ้งเห็นด้วยกับความคิดของม้าเจ๊ก จึงแต่งหนังสือถึงเบ้งตัดความว่า มหาอุปราชจูกัดเหลียงมีหนังสือมายังเบ้งตัด ด้วยท่านเป็นผู้มีสติปัญญา และมีความกตัญญูต่อพระเจ้าเล่าปี่ ซึ่งคิดการจะยกกองทัพไปตีเมืองลกเอี๋ยงสนองพระเดชพระคุณพระเจ้าเล่าปี่นั้น เรามีความยินดีและขอบใจเป็นอันมาก หากสำเร็จการครั้งนี้แล้วเราจะกราบบังคมทูลพระเจ้าเล่าเสี้ยนให้แต่งตั้งท่านเป็นขุนนางผู้ใหญ่กว่าคนทั้งปวง แลบัดนี้เราได้ยินกิตติศัพท์ว่า โจยอยได้ตั้งให้สุมาอี้เป็นแม่ทัพใหญ่ ให้ยกทหารมาบรรจบกับโจยอยที่เมืองเตียงอัน หากสุมาอี้ทราบความคิดของท่าน เห็นจะยกกองทัพมารบกับท่านก่อน ตัดศึกเสียแต่ต้นลม การตามความคิดของท่านก็จะขัดสน เหตุนี้จึงให้ท่านคิดอ่านระมัดระวังตัวให้จงหนัก อย่าให้ความลับแพร่งพรายล่วงรู้ถึงหูสุมาอี้ได้
เมื่อผนึกหนังสือเรียบร้อยแล้ว ขงเบ้งจึงมอบหนังสือนั้นให้แก่ลิอ๋อง กำชับให้รีบนำหนังสือไปมอบแก่เบ้งตัดเป็นการเร็ว ลิอ๋องคำนับลาขงเบ้งแล้วรีบเดินทางกลับไปเมืองซงหยง แล้วมอบหนังสือของขงเบ้งให้กับเบ้งตัด
เบ้งตัดรับหนังสือมาเปิดอ่านดูแล้วหัวเราะ พลางกล่าวว่า “ความคิดขงเบ้งดีจริง แต่คิดเกินสูงกว่าการไป”
แล้วกล่าวสืบไปว่า ถ้าหากสุมาอี้ได้รับพระบรมราชโองการคืนตำแหน่งแต่งตั้งให้เป็นแม่ทัพจริงดังว่า สุมาอี้ก็ต้องเข้าไปที่เมืองลกเอี๋ยงรายงานตัวเข้ารับตำแหน่ง และจัดแจงทหารก่อนจึงจะยกมาได้ กว่าสุมาอี้จะยกมาเราก็ตีได้เมืองลกเอี๋ยงแล้ว
เบ้งตัดกล่าวแล้วก็แต่งหนังสือตอบขงเบ้งว่า “ข้าพเจ้าเบ้งตัดคำนับมาถึงมหาอุปราช ซึ่งท่านมีเมตตาช่วยเตือนสติมาทั้งนี้ พระคุณหาที่สุดไม่ ข้อซึ่งสุมาอี้นั้นมหาอุปราชอย่าวิตกเลย ข้าพเจ้าจะรับเป็นธุระ เพราะสุมาอี้อยู่ ณ เมืองอ้วนเซียนั้น ทางไกลเมืองลกเอี๋ยงแปดพันเส้น แต่เมืองลกเอี๋ยงจะมาถึงเมืองข้าพเจ้านี้ ทางไกลหมื่นสองพันเส้น แม้สุมาอี้รู้เนื้อความ กว่าจะขึ้นไปบอกโจยอยแล้วจึงยกทหารมาถึงข้าพเจ้า สักเดือนหนึ่งก็มิใคร่จะถึง ประการหนึ่งทหารทั้งสามหัวเมืองนี้ข้าพเจ้าจัดแจงไว้พร้อมแล้ว ถึงมาตรว่าสุมาอี้ยกมาข้าพเจ้าก็มิได้กลัว จะรบเอาชนะให้จงได้”
เบ้งตัดทำหนังสือเสร็จแล้วจึงกล่าวแก่ลิอ๋องว่า ท่านอย่าเห็นแก่ความยากลำบากเลย มหาอุปราชวิตกด้วยสุมาอี้อยู่ เกรงว่าเราจะทำการไม่สำเร็จ จึงไหว้วานท่านถือหนังสือนี้กลับไปให้แก่ขงเบ้งจะได้วางใจ แล้วยกเข้าทำการพร้อมกัน เห็นจะได้เมืองลกเอี๋ยงและเมืองเตียงอันเป็นมั่นคง
ลิอ๋องรับหนังสือเบ้งตัดแล้วจึงคำนับลาแล้วรีบเดินทางกลับไปหาขงเบ้งอีกครั้งหนึ่ง
พอขงเบ้งรับหนังสือของเบ้งตัดเปิดออกอ่านดูก็ลุกขึ้นยืนด้วยความโกรธ ขว้างหนังสือลงกับพื้นแล้วกล่าวว่า “เบ้งตัดคิดการดูหมิ่นฉะนี้ จะตายเพราะฝีมือสุมาอี้เป็นมั่นคง”
ม้าเจ๊กเห็นขงเบ้งยืนหน้าบึ้งด้วยความโกรธฉะนั้น จึงถามว่าเหตุการณ์ยังไกลเกินตัวนัก เหตุไฉนมหาอุปราชจึงโกรธเคืองขนาดนี้
ขงเบ้งหันมาทางม้าเจ๊กแล้วกล่าวว่า “คำโบราณกล่าวไว้ว่า ผู้จะเป็นขบถคิดร้ายต่อท่าน แม้ท่านไม่รู้ตัวจึงทำการได้สะดวก บัดนี้เบ้งตัดทะนงคิดการผิดไป แลสุมาอี้เป็นขุนนางผู้ใหญ่ ถ้ารู้ว่าเบ้งตัดเป็นขบถจะไปบอกโจยอยทำไมให้ช้าการ จะรีบยกทหารมาสักสิบวันก็จะถึงตัวเบ้งตัด ต่อจับตัวเบ้งตัดแล้วจึงจะกลับไปบอกโจยอยไม่ได้หรือ”
ม้าเจ๊กได้ฟังก็เห็นด้วย ขงเบ้งจึงกลับมาเขียนหนังสือถึงเบ้งตัดอีกฉบับหนึ่งว่า ซึ่งได้แจ้งท่านให้ระมัดระวัง อย่าได้ตั้งอยู่ในความประมาทนั้น ได้ทราบความตามหนังสือของท่านแล้ว เห็นว่าประมาทแก่ความคิดสุมาอี้มากเกินไป ขอกำชับให้ระมัดระวังตัว และเก็บความลับไว้อย่าให้แพร่งพรายจนกว่าจะยกทัพไปถึงเมืองลกเอี๋ยง แม้หากความลับรั่วไหลไปถึงสุมาอี้ก็จะเสียการเป็นมั่นคง
ขงเบ้งปิดผนึกหนังสือแล้วสั่งทหารให้รีบนำหนังสือนั้นไปมอบให้แก่เบ้งตัดที่เมืองซงหยง
ฝ่ายสุมาอี้นับแต่ถูกถอดยศและตำแหน่งลงเป็นไพร่สามัญ ก็ให้รู้สึกอัปยศอดสูและคับแค้นใจเป็นอันมาก พาครอบครัวกลับไปภูมิลำเนาเดิมแล้วย้ายถิ่นฐานไปตั้งบ้านเรือนอยู่ที่เมืองอ้วนเซีย แต่ยังคงติดตามข่าวคราวทางการเมืองอยู่อย่างใกล้ชิด ครั้นได้ทราบว่าขงเบ้งยกกองทัพบุกวุยก๊ก และกองทัพของพระเจ้าโจยอยเสียทีแก่ขงเบ้งครั้งแล้วครั้งเล่าก็รู้สึกสลดใจ ได้แต่ทอดถอนใจใหญ่ด้วยความตรอมใจ
ฝ่ายสุมาสูและสุมาเจียวซึ่งเป็นบุตรของสุมาอี้ได้ร่ำเรียนวิชาการทหารและการสงครามจากสุมาอี้มาแต่น้อย มีสติปัญญาเป็นอันมาก ในแต่ละวันสุมาอี้จะเล่าความบ้านการเมืองและหลักการปกครองบ้านเมืองให้บุตรทั้งสองฟัง ทั้งสุมาสูและสุมาเจียวเห็นบิดาตกอยู่ในความทุกข์ก็กังวลด้วยบิดาเป็นอันมาก เห็นบิดาทอดถอนใจใหญ่ทุกครั้งที่ทราบข่าวความปราชัยของกองทัพวุยก๊กก็รู้สึกสงสาร
วันหนึ่งสุมาสูและสุมาเจียวเห็นสุมาอี้ทราบข่าวโจจิ๋นเสียทีแก่ขงเบ้งแล้วทอดถอนใจใหญ่ ไม่เป็นอันกินไม่เป็นอันนอน จึงถามว่าท่านพ่อออกจากราชการแล้ว เหตุไฉนจึงตรอมใจทอดถอนใจอยู่ดังนี้ จะมีประโยชน์อันใด
สุมาอี้จึงว่า เจ้าทั้งสองยังเด็กนัก แม้นเราบอกความถึงจะรู้ก็แก้ไขอันใดไม่ได้ สุมาสูก็ว่าความทุกข์ในอกของบิดาเป็นแต่เหตุที่พระเจ้าโจยอยหลงเชื่อคำคนคด ข้าพเจ้าก็แจ้งอยู่ เพราะเหตุนั้นข้าศึกจึงบังอาจยกรุกล่วงเข้ามาตีเมืองได้
สุมาอี้หันไปทางสุมาเจียวเป็นเชิงอยากฟังความคิดเห็น สุมาเจียวเห็นดังนั้นก็หัวเราะแล้วกล่าวว่า จะต้องคิดอ่านแก้ไขอะไรกันเล่า ในไม่ช้าวันนี้วันพรุ่งแล้วท่านพ่อก็จะได้รับคืนอำนาจวาสนาเหมือนดังก่อนเป็นมั่นคง
สุมาอี้ได้ฟังคำสุมาเจียวก็มีสีหน้ายิ้มแย้ม ผงกศีรษะเป็นทีเห็นด้วยแล้วกล่าวว่า ซึ่งเจ้าคาดคะเนการณ์นั้นเห็นจะเป็นจริง เสียดายที่เราออกจากราชการเสียก่อน มิฉะนั้นไหนเลยกองทัพเสฉวนจะกล้ายกล่วงเข้ามาตีเมืองเราได้
แล้วสุมาอี้จึงกล่าวว่า ชะตากรรมของคนเราย่อมสุดแท้แต่ลิขิตสวรรค์ จะกังวลอะไรให้มากความ กล่าวแล้วสามพ่อลูกก็หัวเราะขึ้นพร้อมกัน ในทันใดนั้นทหารของพระเจ้าโจยอยก็ได้ขี่ม้ามาถึงหน้าบ้านสุมาอี้ และมีขบวนแห่อัญเชิญพระบรมราชโองการติดตามมาอย่างเอิกเกริก
สุมาอี้เห็นดังนั้นก็มีความยินดี ข้าหลวงในพระเจ้าโจยอยลงจากม้าแล้วเชิญพระบรมราชโองการมาถือไว้ สุมาอี้และบุตรทั้งสองเห็นดังนั้นก็คุกเข่าลงกับพื้นถวายบังคม ข้าหลวงในพระเจ้าโจยอยจึงอ่านประกาศพระบรมราชโองการโปรดเกล้าให้สุมาอี้ได้คืนตำแหน่งและอำนาจดังแต่ก่อนและแต่งตั้งให้เป็นแม่ทัพใหญ่ยกกองทัพไปบรรจบกับกองทัพหลวงของพระเจ้าโจยอยที่เมืองเตียงอันแล้วมอบตราตั้งประจำตำแหน่งให้แก่สุมาอี้
สุมาอี้ถวายบังคมรับพระบรมราชโองการและรับตราประจำตำแหน่งแล้วจึงเดินทางเข้าไปในตัวเมืองอ้วนเซีย สั่งเจ้าเมืองให้เกณฑ์ทหารทั้งเมืองเตรียมที่จะยกไปสมทบกับกองทัพหลวง เจ้าเมืองก็จัดแจงให้ตามความประสงค์ของสุมาอี้ทุกประการ
ในระหว่างที่สุมาอี้กำลังจัดแจงทหารอยู่นั้น ทหารรักษาการณ์ได้เข้ามารายงานว่า ซินหงีเจ้าเมืองกิมเสียใช้ทหารคนสนิทให้มาพบท่าน แจ้งว่ามีความลับสำคัญมารายงาน สุมาอี้ได้ทราบดังนั้นก็ทำหน้าฉงนใจ แล้วสั่งให้ทหารนั้นรีบนำตัวทหารคนสนิทของซินหงีเข้ามาพบ แล้วถามว่ามีเรื่องราวสิ่งใดหรือ
ทหารของซินหงีจึงว่า บัดนี้เบ้งตัดเจ้าเมืองซงหยงได้คิดขบถต่อพระเจ้าโจยอย แปรพักตร์ไปเข้ากับขงเบ้งแล้ว เตงเหียนซึ่งเป็นหลานของเบ้งตัด และลิจูซึ่งเป็นคนสนิทได้นำความมาบอกกล่าวแก่ซินหงี ครั้นซินหงีทราบความเกรงว่ากว่าจะรายงานไปถึงเมืองหลวงจะล่าช้าไม่ทันการ จึงสั่งให้ข้าพเจ้ามารายงานต่อท่านก่อน
สุมาอี้ได้ฟังดังนั้นจึงปรารภว่า ถ้าหากเบ้งตัดคบคิดกับขงเบ้งจริงแล้ว ขณะนี้ขงเบ้ง อยู่ที่เขากิสาน เห็นทีเบ้งตัดจะยกกองทัพไปตีเมืองลกเอี๋ยง ส่วนขงเบ้งก็จะเคลื่อนทัพเข้าตีเมืองเตียงอัน หากยกตีกระหนาบเข้าพร้อมกันดังนี้ เห็นจะสำเร็จเป็นแน่แท้ แต่เดชะบุญที่พระบารมีในพระเจ้าโจยอยนั้นมากล้น จึงมีเหตุอันเป็นให้พระเจ้าโจยอยโปรดเกล้าแต่งตั้งเราเป็นแม่ทัพ คืนอำนาจและตำแหน่งให้ดังแต่ก่อน และความลับซึ่งเบ้งตัดคบคิดกับขงเบ้งได้ล่วงรู้ถึงหูเรา มิฉะนั้นวุยก๊กก็จะเป็นอันตรายเป็นมั่นคง
แล้วสุมาอี้จึงว่า หากเราจะนิ่งเฉยอยู่หรือนำความขึ้นกราบบังคมทูลก่อนก็จะล่าช้าไม่ทันแก่การ “จำจะคิดอ่านไปจับตัวเบ้งตัด ตัดความคิดขงเบ้งเสียก่อน เห็นขงเบ้งจะถอยทัพกลับไป”
สุมาอี้เห็นว่าเมื่อเบ้งตัดคบคิดกับขงเบ้งแล้ว แผนการที่จะเป็นอันตรายที่สุดต่อวุยก๊กก็คือ ขงเบ้งยกกองทัพเข้าตีเมืองเตียงอันทางด้านตะวันตก เบ้งตัดยกกองทัพเข้าตีเมืองลกเอี๋ยงทางด้านใต้ เมื่อเป็นศึกกระหนาบพร้อมกันดังนี้วุยก๊กก็จะเสียทีแก่ข้าศึก และเห็นว่าแผนการอื่นใดนอกจากนี้จะไม่เป็นอันตราย จึงมั่นใจว่าแผนการของขงเบ้งและเบ้งตัดคือแผนการนี้เป็นแน่แท้ และการที่จะทำลายแผนการนี้ได้ก็ต้องทำลายการเข้าตีทางด้านใดด้านหนึ่งเสียก่อนที่กองทัพทั้งสองด้านจะยกเข้าไปพร้อมกัน การจะยกกองทัพไปทำลายการเข้าตีของกองทัพของขงเบ้งนั้นเป็นระยะทางไกลและเป็นจุดแข็ง ต่างกับเบ้งตัดซึ่งอยู่ใกล้กว่าและอ่อนกว่า ดังนั้นสุมาอี้จึงกำหนดแผนการที่จะจับเบ้งตัดให้ได้ก่อน กองทัพเสฉวนก็จะสิ้นความคิดที่จะยึดเมืองลกเอี๋ยงแล้วจะต้องถอยทัพกลับไปเอง.
ขงเบ้งได้ทราบข่าวก็มีความยินดี จึงถามว่าเบ้งตัดได้เสนอความคิดเห็นประการใดหรือไม่
ลิอ๋องจึงว่าเบ้งตัดได้ฝากมาบอกมหาอุปราชว่า ขอให้มหาอุปราชยกกองทัพเข้าตีเมืองเตียงอันทางหนึ่ง ส่วนเบ้งตัดจะยกทหารจากเมืองซงหยง เมืองชินเสีย และเมืองกิมเสีย บรรจบทัพเข้าไปตีเอาเมืองลกเอี๋ยง วุยก๊กจะพะว้าพะวงเห็นจะเสียทีเป็นมั่นคง
ขงเบ้งได้ฟังดังนั้นก็เห็นด้วย สั่งให้ลิอ๋องรีบกลับไปเมืองซงหยง ให้เบ้งตัดดำเนินการตามแผนการที่เสนอนั้นทุกประการ และได้ปูนบำเหน็จให้แก่ลิอ๋องเป็นอันมาก
ในขณะนั้นหน่วยสอดแนมได้รายงานความแก่ขงเบ้งว่า “บัดนี้โจยอยให้หนังสือรับสั่งไปตั้งสุมาอี้เป็นขุนนางผู้ใหญ่ แล้วให้ยกกองทัพมาบรรจบกันกับโจยอย ณ เมืองเตียงอัน” และบัดนี้ทหารของพระเจ้าโจยอยได้เชิญพระบรมราชโองการไปพระราชทานแก่สุมาอี้ที่เมืองอ้วนเซียแล้ว
ขงเบ้งได้ฟังรายงานก็ตกใจสะดุ้งขึ้นทั้งตัว ม้าเจ๊กซึ่งอยู่ในที่ปรึกษาราชการเห็นขงเบ้งดังนั้นจึงกล่าวว่า “ถึงโจยอยจะยกทัพหลวงมาตั้งเมืองเตียงอันจริงก็จะกลัวอันใด เราจะคิดอ่านเอาชัยชนะจับตัวให้จงได้”
ขงเบ้งได้ฟังก็ส่ายศีรษะแล้วกล่าวว่า “เราจะกลัวอันใดกับโจยอย เราเกรงแต่สุมาอี้คนเดียว มีสติปัญญาหลักแหลมนัก”
ม้าเจ๊กจึงว่าขณะนี้สุมาอี้อยู่ถึงเมืองอ้วนเซีย จะต้องเดินทางเข้าไปเมืองลกเอี๋ยงเพื่อรายงานตัวต่อพระเจ้าโจยอยก่อนจึงจะรับตำแหน่งได้ ทั้งเบ้งตัดก็จะยกกองทัพจากสามเมืองบรรจบทัพเข้าตีเมืองลกเอี๋ยง กลายเป็นศึกกระหนาบสองทางดังนี้ เห็นทีเราจะได้ชัยชนะเป็นแน่แท้
ขงเบ้งจึงว่า คนแบบสุมาอี้เห็นจะไม่ถือพิธีรีตอง หากแม้นทราบข่าวว่าเบ้งตัดจะยกกองทัพไปตีเมืองลกเอี๋ยงก็คงจะยกทหารเข้าต้านทานเบ้งตัดก่อน อันสุมาอี้นี้มีสติปัญญาเหนือกว่าเบ้งตัดเป็นอันมาก เห็นเบ้งตัดจะเสียทีแก่สุมาอี้เป็นมั่นคง
ม้าเจ๊กได้ฟังคำขงเบ้งก็เห็นด้วยจึงว่า เบ้งตัดยังไม่ทราบข่าวว่าสุมาอี้ได้คืนอำนาจวาสนาดังแต่ก่อน หากเรานิ่งไว้เบ้งตัดไม่ทราบความก็จะเสียทีแก่สุมาอี้ จึงชอบที่มหาอุปราชจะได้มีหนังสือไปแจ้งความให้เบ้งตัดทราบ แล้วกำชับให้ระมัดระวังตัว
ขงเบ้งเห็นด้วยกับความคิดของม้าเจ๊ก จึงแต่งหนังสือถึงเบ้งตัดความว่า มหาอุปราชจูกัดเหลียงมีหนังสือมายังเบ้งตัด ด้วยท่านเป็นผู้มีสติปัญญา และมีความกตัญญูต่อพระเจ้าเล่าปี่ ซึ่งคิดการจะยกกองทัพไปตีเมืองลกเอี๋ยงสนองพระเดชพระคุณพระเจ้าเล่าปี่นั้น เรามีความยินดีและขอบใจเป็นอันมาก หากสำเร็จการครั้งนี้แล้วเราจะกราบบังคมทูลพระเจ้าเล่าเสี้ยนให้แต่งตั้งท่านเป็นขุนนางผู้ใหญ่กว่าคนทั้งปวง แลบัดนี้เราได้ยินกิตติศัพท์ว่า โจยอยได้ตั้งให้สุมาอี้เป็นแม่ทัพใหญ่ ให้ยกทหารมาบรรจบกับโจยอยที่เมืองเตียงอัน หากสุมาอี้ทราบความคิดของท่าน เห็นจะยกกองทัพมารบกับท่านก่อน ตัดศึกเสียแต่ต้นลม การตามความคิดของท่านก็จะขัดสน เหตุนี้จึงให้ท่านคิดอ่านระมัดระวังตัวให้จงหนัก อย่าให้ความลับแพร่งพรายล่วงรู้ถึงหูสุมาอี้ได้
เมื่อผนึกหนังสือเรียบร้อยแล้ว ขงเบ้งจึงมอบหนังสือนั้นให้แก่ลิอ๋อง กำชับให้รีบนำหนังสือไปมอบแก่เบ้งตัดเป็นการเร็ว ลิอ๋องคำนับลาขงเบ้งแล้วรีบเดินทางกลับไปเมืองซงหยง แล้วมอบหนังสือของขงเบ้งให้กับเบ้งตัด
เบ้งตัดรับหนังสือมาเปิดอ่านดูแล้วหัวเราะ พลางกล่าวว่า “ความคิดขงเบ้งดีจริง แต่คิดเกินสูงกว่าการไป”
แล้วกล่าวสืบไปว่า ถ้าหากสุมาอี้ได้รับพระบรมราชโองการคืนตำแหน่งแต่งตั้งให้เป็นแม่ทัพจริงดังว่า สุมาอี้ก็ต้องเข้าไปที่เมืองลกเอี๋ยงรายงานตัวเข้ารับตำแหน่ง และจัดแจงทหารก่อนจึงจะยกมาได้ กว่าสุมาอี้จะยกมาเราก็ตีได้เมืองลกเอี๋ยงแล้ว
เบ้งตัดกล่าวแล้วก็แต่งหนังสือตอบขงเบ้งว่า “ข้าพเจ้าเบ้งตัดคำนับมาถึงมหาอุปราช ซึ่งท่านมีเมตตาช่วยเตือนสติมาทั้งนี้ พระคุณหาที่สุดไม่ ข้อซึ่งสุมาอี้นั้นมหาอุปราชอย่าวิตกเลย ข้าพเจ้าจะรับเป็นธุระ เพราะสุมาอี้อยู่ ณ เมืองอ้วนเซียนั้น ทางไกลเมืองลกเอี๋ยงแปดพันเส้น แต่เมืองลกเอี๋ยงจะมาถึงเมืองข้าพเจ้านี้ ทางไกลหมื่นสองพันเส้น แม้สุมาอี้รู้เนื้อความ กว่าจะขึ้นไปบอกโจยอยแล้วจึงยกทหารมาถึงข้าพเจ้า สักเดือนหนึ่งก็มิใคร่จะถึง ประการหนึ่งทหารทั้งสามหัวเมืองนี้ข้าพเจ้าจัดแจงไว้พร้อมแล้ว ถึงมาตรว่าสุมาอี้ยกมาข้าพเจ้าก็มิได้กลัว จะรบเอาชนะให้จงได้”
เบ้งตัดทำหนังสือเสร็จแล้วจึงกล่าวแก่ลิอ๋องว่า ท่านอย่าเห็นแก่ความยากลำบากเลย มหาอุปราชวิตกด้วยสุมาอี้อยู่ เกรงว่าเราจะทำการไม่สำเร็จ จึงไหว้วานท่านถือหนังสือนี้กลับไปให้แก่ขงเบ้งจะได้วางใจ แล้วยกเข้าทำการพร้อมกัน เห็นจะได้เมืองลกเอี๋ยงและเมืองเตียงอันเป็นมั่นคง
ลิอ๋องรับหนังสือเบ้งตัดแล้วจึงคำนับลาแล้วรีบเดินทางกลับไปหาขงเบ้งอีกครั้งหนึ่ง
พอขงเบ้งรับหนังสือของเบ้งตัดเปิดออกอ่านดูก็ลุกขึ้นยืนด้วยความโกรธ ขว้างหนังสือลงกับพื้นแล้วกล่าวว่า “เบ้งตัดคิดการดูหมิ่นฉะนี้ จะตายเพราะฝีมือสุมาอี้เป็นมั่นคง”
ม้าเจ๊กเห็นขงเบ้งยืนหน้าบึ้งด้วยความโกรธฉะนั้น จึงถามว่าเหตุการณ์ยังไกลเกินตัวนัก เหตุไฉนมหาอุปราชจึงโกรธเคืองขนาดนี้
ขงเบ้งหันมาทางม้าเจ๊กแล้วกล่าวว่า “คำโบราณกล่าวไว้ว่า ผู้จะเป็นขบถคิดร้ายต่อท่าน แม้ท่านไม่รู้ตัวจึงทำการได้สะดวก บัดนี้เบ้งตัดทะนงคิดการผิดไป แลสุมาอี้เป็นขุนนางผู้ใหญ่ ถ้ารู้ว่าเบ้งตัดเป็นขบถจะไปบอกโจยอยทำไมให้ช้าการ จะรีบยกทหารมาสักสิบวันก็จะถึงตัวเบ้งตัด ต่อจับตัวเบ้งตัดแล้วจึงจะกลับไปบอกโจยอยไม่ได้หรือ”
ม้าเจ๊กได้ฟังก็เห็นด้วย ขงเบ้งจึงกลับมาเขียนหนังสือถึงเบ้งตัดอีกฉบับหนึ่งว่า ซึ่งได้แจ้งท่านให้ระมัดระวัง อย่าได้ตั้งอยู่ในความประมาทนั้น ได้ทราบความตามหนังสือของท่านแล้ว เห็นว่าประมาทแก่ความคิดสุมาอี้มากเกินไป ขอกำชับให้ระมัดระวังตัว และเก็บความลับไว้อย่าให้แพร่งพรายจนกว่าจะยกทัพไปถึงเมืองลกเอี๋ยง แม้หากความลับรั่วไหลไปถึงสุมาอี้ก็จะเสียการเป็นมั่นคง
ขงเบ้งปิดผนึกหนังสือแล้วสั่งทหารให้รีบนำหนังสือนั้นไปมอบให้แก่เบ้งตัดที่เมืองซงหยง
ฝ่ายสุมาอี้นับแต่ถูกถอดยศและตำแหน่งลงเป็นไพร่สามัญ ก็ให้รู้สึกอัปยศอดสูและคับแค้นใจเป็นอันมาก พาครอบครัวกลับไปภูมิลำเนาเดิมแล้วย้ายถิ่นฐานไปตั้งบ้านเรือนอยู่ที่เมืองอ้วนเซีย แต่ยังคงติดตามข่าวคราวทางการเมืองอยู่อย่างใกล้ชิด ครั้นได้ทราบว่าขงเบ้งยกกองทัพบุกวุยก๊ก และกองทัพของพระเจ้าโจยอยเสียทีแก่ขงเบ้งครั้งแล้วครั้งเล่าก็รู้สึกสลดใจ ได้แต่ทอดถอนใจใหญ่ด้วยความตรอมใจ
ฝ่ายสุมาสูและสุมาเจียวซึ่งเป็นบุตรของสุมาอี้ได้ร่ำเรียนวิชาการทหารและการสงครามจากสุมาอี้มาแต่น้อย มีสติปัญญาเป็นอันมาก ในแต่ละวันสุมาอี้จะเล่าความบ้านการเมืองและหลักการปกครองบ้านเมืองให้บุตรทั้งสองฟัง ทั้งสุมาสูและสุมาเจียวเห็นบิดาตกอยู่ในความทุกข์ก็กังวลด้วยบิดาเป็นอันมาก เห็นบิดาทอดถอนใจใหญ่ทุกครั้งที่ทราบข่าวความปราชัยของกองทัพวุยก๊กก็รู้สึกสงสาร
วันหนึ่งสุมาสูและสุมาเจียวเห็นสุมาอี้ทราบข่าวโจจิ๋นเสียทีแก่ขงเบ้งแล้วทอดถอนใจใหญ่ ไม่เป็นอันกินไม่เป็นอันนอน จึงถามว่าท่านพ่อออกจากราชการแล้ว เหตุไฉนจึงตรอมใจทอดถอนใจอยู่ดังนี้ จะมีประโยชน์อันใด
สุมาอี้จึงว่า เจ้าทั้งสองยังเด็กนัก แม้นเราบอกความถึงจะรู้ก็แก้ไขอันใดไม่ได้ สุมาสูก็ว่าความทุกข์ในอกของบิดาเป็นแต่เหตุที่พระเจ้าโจยอยหลงเชื่อคำคนคด ข้าพเจ้าก็แจ้งอยู่ เพราะเหตุนั้นข้าศึกจึงบังอาจยกรุกล่วงเข้ามาตีเมืองได้
สุมาอี้หันไปทางสุมาเจียวเป็นเชิงอยากฟังความคิดเห็น สุมาเจียวเห็นดังนั้นก็หัวเราะแล้วกล่าวว่า จะต้องคิดอ่านแก้ไขอะไรกันเล่า ในไม่ช้าวันนี้วันพรุ่งแล้วท่านพ่อก็จะได้รับคืนอำนาจวาสนาเหมือนดังก่อนเป็นมั่นคง
สุมาอี้ได้ฟังคำสุมาเจียวก็มีสีหน้ายิ้มแย้ม ผงกศีรษะเป็นทีเห็นด้วยแล้วกล่าวว่า ซึ่งเจ้าคาดคะเนการณ์นั้นเห็นจะเป็นจริง เสียดายที่เราออกจากราชการเสียก่อน มิฉะนั้นไหนเลยกองทัพเสฉวนจะกล้ายกล่วงเข้ามาตีเมืองเราได้
แล้วสุมาอี้จึงกล่าวว่า ชะตากรรมของคนเราย่อมสุดแท้แต่ลิขิตสวรรค์ จะกังวลอะไรให้มากความ กล่าวแล้วสามพ่อลูกก็หัวเราะขึ้นพร้อมกัน ในทันใดนั้นทหารของพระเจ้าโจยอยก็ได้ขี่ม้ามาถึงหน้าบ้านสุมาอี้ และมีขบวนแห่อัญเชิญพระบรมราชโองการติดตามมาอย่างเอิกเกริก
สุมาอี้เห็นดังนั้นก็มีความยินดี ข้าหลวงในพระเจ้าโจยอยลงจากม้าแล้วเชิญพระบรมราชโองการมาถือไว้ สุมาอี้และบุตรทั้งสองเห็นดังนั้นก็คุกเข่าลงกับพื้นถวายบังคม ข้าหลวงในพระเจ้าโจยอยจึงอ่านประกาศพระบรมราชโองการโปรดเกล้าให้สุมาอี้ได้คืนตำแหน่งและอำนาจดังแต่ก่อนและแต่งตั้งให้เป็นแม่ทัพใหญ่ยกกองทัพไปบรรจบกับกองทัพหลวงของพระเจ้าโจยอยที่เมืองเตียงอันแล้วมอบตราตั้งประจำตำแหน่งให้แก่สุมาอี้
สุมาอี้ถวายบังคมรับพระบรมราชโองการและรับตราประจำตำแหน่งแล้วจึงเดินทางเข้าไปในตัวเมืองอ้วนเซีย สั่งเจ้าเมืองให้เกณฑ์ทหารทั้งเมืองเตรียมที่จะยกไปสมทบกับกองทัพหลวง เจ้าเมืองก็จัดแจงให้ตามความประสงค์ของสุมาอี้ทุกประการ
ในระหว่างที่สุมาอี้กำลังจัดแจงทหารอยู่นั้น ทหารรักษาการณ์ได้เข้ามารายงานว่า ซินหงีเจ้าเมืองกิมเสียใช้ทหารคนสนิทให้มาพบท่าน แจ้งว่ามีความลับสำคัญมารายงาน สุมาอี้ได้ทราบดังนั้นก็ทำหน้าฉงนใจ แล้วสั่งให้ทหารนั้นรีบนำตัวทหารคนสนิทของซินหงีเข้ามาพบ แล้วถามว่ามีเรื่องราวสิ่งใดหรือ
ทหารของซินหงีจึงว่า บัดนี้เบ้งตัดเจ้าเมืองซงหยงได้คิดขบถต่อพระเจ้าโจยอย แปรพักตร์ไปเข้ากับขงเบ้งแล้ว เตงเหียนซึ่งเป็นหลานของเบ้งตัด และลิจูซึ่งเป็นคนสนิทได้นำความมาบอกกล่าวแก่ซินหงี ครั้นซินหงีทราบความเกรงว่ากว่าจะรายงานไปถึงเมืองหลวงจะล่าช้าไม่ทันการ จึงสั่งให้ข้าพเจ้ามารายงานต่อท่านก่อน
สุมาอี้ได้ฟังดังนั้นจึงปรารภว่า ถ้าหากเบ้งตัดคบคิดกับขงเบ้งจริงแล้ว ขณะนี้ขงเบ้ง อยู่ที่เขากิสาน เห็นทีเบ้งตัดจะยกกองทัพไปตีเมืองลกเอี๋ยง ส่วนขงเบ้งก็จะเคลื่อนทัพเข้าตีเมืองเตียงอัน หากยกตีกระหนาบเข้าพร้อมกันดังนี้ เห็นจะสำเร็จเป็นแน่แท้ แต่เดชะบุญที่พระบารมีในพระเจ้าโจยอยนั้นมากล้น จึงมีเหตุอันเป็นให้พระเจ้าโจยอยโปรดเกล้าแต่งตั้งเราเป็นแม่ทัพ คืนอำนาจและตำแหน่งให้ดังแต่ก่อน และความลับซึ่งเบ้งตัดคบคิดกับขงเบ้งได้ล่วงรู้ถึงหูเรา มิฉะนั้นวุยก๊กก็จะเป็นอันตรายเป็นมั่นคง
แล้วสุมาอี้จึงว่า หากเราจะนิ่งเฉยอยู่หรือนำความขึ้นกราบบังคมทูลก่อนก็จะล่าช้าไม่ทันแก่การ “จำจะคิดอ่านไปจับตัวเบ้งตัด ตัดความคิดขงเบ้งเสียก่อน เห็นขงเบ้งจะถอยทัพกลับไป”
สุมาอี้เห็นว่าเมื่อเบ้งตัดคบคิดกับขงเบ้งแล้ว แผนการที่จะเป็นอันตรายที่สุดต่อวุยก๊กก็คือ ขงเบ้งยกกองทัพเข้าตีเมืองเตียงอันทางด้านตะวันตก เบ้งตัดยกกองทัพเข้าตีเมืองลกเอี๋ยงทางด้านใต้ เมื่อเป็นศึกกระหนาบพร้อมกันดังนี้วุยก๊กก็จะเสียทีแก่ข้าศึก และเห็นว่าแผนการอื่นใดนอกจากนี้จะไม่เป็นอันตราย จึงมั่นใจว่าแผนการของขงเบ้งและเบ้งตัดคือแผนการนี้เป็นแน่แท้ และการที่จะทำลายแผนการนี้ได้ก็ต้องทำลายการเข้าตีทางด้านใดด้านหนึ่งเสียก่อนที่กองทัพทั้งสองด้านจะยกเข้าไปพร้อมกัน การจะยกกองทัพไปทำลายการเข้าตีของกองทัพของขงเบ้งนั้นเป็นระยะทางไกลและเป็นจุดแข็ง ต่างกับเบ้งตัดซึ่งอยู่ใกล้กว่าและอ่อนกว่า ดังนั้นสุมาอี้จึงกำหนดแผนการที่จะจับเบ้งตัดให้ได้ก่อน กองทัพเสฉวนก็จะสิ้นความคิดที่จะยึดเมืองลกเอี๋ยงแล้วจะต้องถอยทัพกลับไปเอง.